621215_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ประชาธิปไตยไทย เกิดมาเพื่อให้ศึกษา
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1lRMdl_GO8Xc8Kw2ZANCvlgnxsoI5cc25NslpUOUAcnM/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1pfnGgJNqBAEOzhWqUYROewdVTzzptYkC
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้มีชาวต่างชาติมานั่งฟังธรรมด้วย เขาว่าอยากมาบวช ก็เลยถามว่าพระมีศีลกี่ข้อ เขาก็บอกว่ามี 227 ข้อ เราก็ต้องทำความเข้าใจกับเขาให้มาก
พ่อครูว่า…227 ข้อคือวินัย ส่วนศีล เป็นเรื่องหลักเกณฑ์ความจริงของชีวิตที่จะตรวจสอบได้ ตามศีล เป็นศีล 5 8 10 จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ตรวจสอบได้ว่าถ้าเราปฏิบัติตามศีล ทำได้เราจะได้เป็นคนประเสริฐเป็นคนเจริญตามเกณฑ์นั้นๆตามที่ระบุไว้ ตรวจสอบได้ เขาเชื่อถือศีลก็ปฏิบัติตาม ใครไม่เชื่อถือก็ไม่ต้องปฏิบัติตาม ศีลไม่ได้เป็นข้อบังคับ วินัยคือข้อบังคับ command ไม่ต้องปฏิบัติตามนี้ แต่ศีลแต่ละข้อ อยู่ที่ตัวบุคคลจะเห็นดี เขาบอกว่าไม่ให้ฆ่าสัตว์ ไม่ให้ลักทรัพย์ ดีจังเลยเราต้องปฏิบัติตามนี้ให้ได้ เราไม่ฆ่าสัตว์ไม่ถืออาวุธมีความเอ็นดูมีความกรุณาหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงได้ ศีลข้อที่ 2 ไม่เอาไม่อยากได้ของที่ไม่ใช่ของเรา
เราเห็นจริงเห็นดีเลยในเรื่องจะปฏิบัติศีลไม่ได้มีการบังคับ ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาแห่งการบังคับ แต่ผู้ที่มาขอบวชต้องมาเข้าหลักเกณฑ์วินัย ต้องปฏิบัติตามนะ ก็มาขอปฏิบัติ พระพุทธศาสนิกชนไม่เกี่ยวกับพระวินัยของพระภิกษุ ไม่เกี่ยวกับวินัย 227 เพราะไม่ใช่ศีล แต่จะปฏิบัติตามก็ได้ถ้าใครจะสมัครใจ และเมื่อคุณปฏิบัติตามพระวินัยที่พระพุทธเจ้ากำหนดให้พิสูจน์ปฏิบัติตามนั้นถ้าคุณสมัครใจเอง วินัยก็เป็นศีลของคุณ คุณก็เป็นพระรูปหนึ่งที่จะปฏิบัติตามวินัย 227 คุณตั้งใจปฏิบัติตามจะเจริญกว่าพระที่ถือว่าศีลมี 227 ข้อ
sms วันที่ 13 ธ.ค. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ : พ่อครู บ้านราช)
_พิศิษฐ์ แซ่โง้ว : อยู่ปัจจุบัน ทำปัจจุบัน ให้ดีที่สุด จึงไม่มีอนาคตที่ต้องพะวงไม่มีอดีตให้รู้สึกทางอารมณ์มากมาย อารมณ์ที่สิ้นเปลืองพลังงานก็ไม่เกิด รักษาความเรียบทางอารมณ์ในชีวิตประจำวันให้เป็นไปตามควรทางธรรมก็ดีสุด / จิตแท้ ไม่ใช่ใจ จิตไร้สำนึกแปรผันตามความเคยชินใจ คือใจเคยชิน จิตแท้ เป็น จิตสำนึกแปรผันตามธรรมะ ทำให้จิตไร้สำนึกเป็นหนึ่งเดียวกับจิตสำนึกได้คือใจ ก็เป็นธรรม / จิตที่ไร้สำนึก คือ ความเคยชินใจ ถูกบ่มมาดีก็ดี แต่จิตสำนึกถูกกระตุ้นโดยธรรมะ และธรรมชาติความเห็นใจ กิเลสเกิดจากความเคยชินที่ไม่ดี และโดยอธรรม
_view6 view6 : พระโพธิสัต จะต้องลำบาก เพื่อความเข้าใจวิถีแต่ละวิถิ จึงจะรู้แจ้งในเรืองต่างๆ / เวลาเห้น คนลำบากมากๆ คนๆนั้นอาจจะเป็นพระโพธิสัตก็ได้
พ่อครูว่า..ก็ใช้แต่เราต้องมีคุณอันสมควรก่อนจึงสอนผู้อื่นได้ เหมือนเห็นคนตกน้ำแล้วจะช่วยแต่หากเราว่ายน้ำไม่แข็งไปช่วยเราก็ตายไปด้วยเลย
_กุญแจ เงินทอง : โพธิ คือ ความตรัสรู้ ความรู้ที่เกิดไม่ใช่ความรู้ที่นอกจากโลกุตตระธรรม
พ่อครูว่า..โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เขาไม่รู้เรื่องโลกียะ พออาตมาเอาโลกุตระมาเผยแพร่มันตรงกันข้ามกันเขา เขาจะเอาอาตมาตายหาว่ามาทำลายศาสนา ความรู้ของพระพุทธเจ้ามีโลกียะก็มี ให้คนทำดี แต่ต้องมีสจิตตปริโยทปนัง รู้จักจิตที่เป็นบาป กิเลส กำจัดกิเลสบาปได้หมดเลย ไม่ทำบาปทั้งปวง คนที่หมดบาป แต่มีกรรมอยู่ เมื่อหมดบาป บุญก็หมดไปด้วย กิเลสหมดไป แต่คนไม่ตายมีกรรมกิริยา คนผู้นี้เป็นผู้ปุญญปาปปริกขีโณ เป็นผู้ไม่มีบุญไม่มีบาปแล้วทำกรรมใดจึงมีแต่กุศล กุสลสูปสัมปทา
_ส.คิดถูก : ปรัชญา คือวิชา “ที่ไร้กรอบแต่ไม่ทิ้งแก่น” อยากถามพ่อครูว่า แก่นของปรัชญา คืออะไรครับ
พ่อครูว่า..คำว่าแก่นของปรัชญาไม่ได้หมายถึงความรู้โพธิ ปรัชญา philosophy เป็นความรู้มีเหตุมีผล ทีนี้ศาสนาทางเทวนิยม เขาเข้าใจว่า religion คือศาสนาจะต้องมีเรื่องวิญญาณ spirit mental ไม่ใช่แค่ปรัชญาเท่านั้น เขาก็เลยบอกว่าศาสนาพุทธมันชอบกล บางคนก็บอกว่าศาสนาพุทธเป็นปรัชญา แต่บางคนก็ว่าศาสนาพุทธไม่มีวิญญาณ ถ้ามีวิญญาณเป็นศาสนา แต่บอกว่าศาสนาพุทธไม่มีวิญญาณก็ไม่ใช่ศาสนา บอกว่ามีแค่ปรัชญา แต่ที่จริงแล้วศาสนาพุทธมีทั้งความจริงของวิญญาณและปรัชญาด้วย รู้จักวิญญาณดีมากด้วย เพราะว่าศึกษาเพราะมีสิ่งนี้จึงมีสิ่งนี้ มีเหตุจึงมีผลตามมา พิสูจน์ยืนยันทั้งรูปและนามละเอียดลึกซึ้ง
แก่นของปรัชญาคือเข้าไปถึงจิต แก่นของเหตุผล เข้าถึงจิต จิตที่ชัดเจนเหตุผลแล้ว จิตก็จะรู้จักเหตุ ประเด็นหลักจุดสำคัญของเหตุที่ศาสนาพุทธศึกษาคือเหตุทำให้ทุกข์ เรียกว่าอาริยสัจะ เป็นสัจจะความจริงนี้ ประเด็นของศาสนาพุทธคือแก้เหตุที่ทำให้ทุกข์ แล้วเป็นผู้ไม่มีทั้งทุกข์และสุข สำเร็จผล เพราะรู้ดีว่าทุกข์กับสุขอันเดียวกัน ดับทุกข์ได้สุขก็หมดไปด้วย จึงเรียกปุญญปาปปริกขีโณ
ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาสุขนิยมแต่ลดทั้งความสุขความทุกข์ จบหมดสุดยอดแล้วไม่มีสุขไม่มีทุกข์จึงไม่มีเทวะ ที่เป็นแดนสุขาวดี ตายไปแล้วต้องอยู่แดนสุขาวดีกับพระเจ้า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาอย่างนั้น ส่วนศาสนาเทวนิยมนั้น ฟังแล้วมึน เอ็งตายแล้วจะไปไหน เพราะว่าจิตวิญญาณนิรันดร เขาเข้าใจว่าจิตวิญญาณสูญไม่ได้เลิกไม่ได้ เป็นอัตตาอาตมันนิรันดร แล้วยิ่งศาสนาที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ศึกษาแค่ชีวิตชาติเดียว เป็นชีวิตที่สั้นมาก ชีวิตเกิดมาชาติเดียวตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า ไม่มีกรรมวิบากชาติที่ 2 ชาติที่ 3 ต่อไป
ศาสนาที่ไม่รู้กรรมวิบากเป็นศาสนาที่น่ากลัว เพราะเขาไม่รู้ว่าจะเกิดต่อไปอีกได้เป็นนรก เขามีแต่จะไปอยู่กับสวรรค์กับพระเจ้า ถึงต้องประจบพระเจ้าให้ดีๆอย่าให้พระเจ้าชัง ส่วนกรรมกิริยาที่จะมีวิบากไม่รู้ ก็ทำเถอะอย่าให้พระเจ้ารู้ พระเจ้าก็ไม่ค่อยรู้หรอก เราทำกรรมของเราประจบพระเจ้าอย่างเดียวเลย มันพรางลวงแฝง จึงกล้าทำกรรมหนักบาปแรงโดยไม่รู้ ไม่รู้ต่อไปเป็นชาติๆ สั่งสมหนักหนาสาหัส แต่ศาสนาพุทธอธิบายได้
อธิบายแม้แต่ทุกข์ของเศรษฐี หรือคนที่ทุกข์เพราะไปมีเมียหลายคนเขานึกว่าสุขแต่ยิ่งทุกข์มากต่างหาก ดีไม่ดีจะมาฆ่าเราตายอีก เขาก็ไม่ได้ศึกษา แต่พอรู้โดยปฏิภาณบ้างแต่ไม่ได้ศึกษาเหตุคือกิเลสที่ไปแก้เหตุแห่งทุกข์ ก็แย่งชิงทรัพย์สินเงินทอง โลภโมโทสันไป มีแต่แย่งอำนาจบาตรใหญ่สร้างอัตตาใส่ตน เทวนิยมไม่รู้เรื่องเขาจะเจริญไปเป็นมหาอำนาจ ส่วนในหลวงรัชกาลที่ 9 บอกว่าทำยังงั้นเราไม่เอาทำอย่างนั้นจะเป็นการถอยหลังอย่างน่ากลัว ประเทศทั้งหลายที่จะเป็นมหาอำนาจเป็นเจ้าโลก เขาจะเป็นเจ้าความรวย ความจริงแล้วมันก็มีแค่เรื่องราคะกับโทสะ
ประเทศไทยเป็นประเทศเมืองพุทธแล้วมีนัยที่รู้จักพุทธอย่างลึกซึ้งโดยไม่รู้ตัว แต่ศาสนาพุทธมีนัยยะลึกซึ้งของโลกุตระในตัว แต่ทุกวันนี้เพี้ยนไปเยอะ จึงน่าสงสาร แต่เพราะอาตมาอุบัติมายุคนี้เอาโลกุตรธรรมมาประกาศ ถูกเถรสมาคมที่ยึดถือผิด ไม่ให้อาตมาเผยแพร่โลกุตระ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้จบแล้วเขาเอาอาตมาตายไม่ได้แล้วจำนน เรียกว่าอาตมาเอาของแท้ เอาพระไตรปิฎกมายืนตลอดเวลาเขาก็ยอมรับนับถือพระไตรปิฎกเขาก็อ่านหนังสือเป็น รู้ ความหมายของตัวหนังสือด้วย เขาเลยต้องจำนนอาตมา นอกจากทุนคือในพระไตรปิฎกอาตมาก็เอาในพระไตรปิฎกอธิบายให้พวกเราเข้าใจพวกเราก็เห็นดีแล้วมาปฏิบัติตาม จนได้เกิดเป็นโลกุตระบุคคล จนรวมกันเป็นชุมชนสังคมหมู่บ้านโลกุตระขึ้นมาในสังคม เขาก็เลยจำนน เอาหลักธรรมยืนยันว่าชาวอโศกเป็นพวกที่มีสาราณียธรรม 6 วรรณะ 9 เป็นสังคมที่พูดกันด้วยกถาวัตถุ 10 คือพูดอย่างไรก็พูดเพื่อ กถาวัตถุ 10 อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา ศีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสสนกถา
แม้เรื่องการเมืองก็เป็นกถาวัตถุ อาตมานำไปร่วมชุมนุมกับกปปส. กับกำนันสุเทพ สามารถปิดกรุงเทพฯได้
สามารถทำสังคมสาธารณโภคี สุดยอดของประชาธิปไตยและยอดของคอมมิวนิสต์คือทุกคนในชุมชนนี้ทำงานฟรีเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ คอมมิวนิสต์ก็ต้องการให้ประชาชนเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน เหมือนกัน แต่เขาไม่รู้สึกตัวต้นเหตุที่จิตวิญญาณที่มีความรู้ นี่คือจุดสำคัญ พออาตมาเอาความรู้ของพระพุทธเจ้ามาประกาศ คุณเข้าใจจิตวิญญาณแล้วเอาไปปฏิบัติ คุณจะเป็นทั้งประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์สุดยอด
ประชาธิปไตยก็แปลว่าสังคมคอมมิวนิสต์ก็แปลว่าสังคม สังคมที่อยู่ร่วมกันให้อย่าแย่งชิงกันมากมาย อย่าเห็นแก่ตัวกันมากมาย ประชาธิปไตย อ่านเลย
ประชาธิปไตยไทย เกิดมาเพื่อให้ศึกษา
[เมื่อไม่รู้จริง ก็ฉลาดแย้งกันไม่รู้จบ]
(ผู้รู้ครบจริง คือ ผู้จบ)
การบริหารที่เป็น“ประชาธิปไตย”หรือการบริหารที่เป็น “เผด็จการ” ก็ให้ดูกันที่“พฤติกรรมของผู้บริหาร”หรือดูที่คณะรัฐบาลบริหารนั้นๆ ว่าเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการ
หากจะนับเอาแค่มี“การเลือกตั้ง”ของประชาชนเกิดขึ้นแล้ว เท่านี้ก็ชื่อว่า เป็น“ประชาธิปไตย” นั่นคือ ผู้ไม่รู้จักความเป็น“ประชาธิปไตย”เอาเสียเลย
ประชาธิปไตย จึงไม่ใช่แค่นับเอาเพียง“ประชาชน”ได้ทำพิธีการ“เลือกตั้ง”เท่านั้น เป็นแน่แท้
อย่าตื้นเขินกับความเป็นประชาธิปไตยนั้นมีอยู่แค่ประชาชนได้ทำ“การเลือกตั้ง”ตาม“พิธีการ”เท่านั้นเป็นอันขาด
อาตมาขอยืนยันว่า ประเทศไทยในขณะนี้ไม่ใช่การบริหารที่จะเรียกว่า“เผด็จการ”ได้เป็นอันขาด แต่เป็นการบริหารที่เป็น“ประชาธิปไตย”ยิ่งกว่าประเทศอเมริกายุคนี้ที่มีคนยังหลงอุปาทานกันว่า“อเมริกา”เป็นประเทศประชาธิปไตยเสียอีก
ความเป็น“ประชาธิปไตย”นั้นสูงส่ง มีภูมิธรรมละเอียดลึกซึ้งขั้นเป็น“โลกุตระ” ปานฉะนั้นทีเดียว
เพราะความเป็นประชาธิปไตยนั้นมันต้องมี“จิตใจ”มี “คุณสมบัติเป็นประชาธิปไตยกันแท้ๆ” มิใช่เอาแค่“รูปแบบ”หรือเอาแค่ตาม“กฏหมาย”บังคับไว้เท่านั้น
สังคมใดที่จะนับได้ว่าเป็น“ประชาธิปไตย” สังคมนั้นทั้งผู้บริหาร ทั้งประชาชนในสังคมต้องมี“จิตใจ”ไม่มี“ตัวกูของกู”
นั่นคือ ไม่มี“ความเห็นแก่ได้มาให้ตัวเอง” ไม่เป็นผู้หลงมาบำเรอตัวเองทั้งทางวัตถุ ทั้งทางจิตใจ หรือเป็นผู้มี“อัตตา”น้อย กระทั่งที่สุดไม่มี“อัตตา”เลย ขณะนี้คนไทยมีอัตตาน้อย จึงเกิดประชาธิปไตยได้ ผู้ศึกษาศาสนามาก หรือเป็นนักการเมืองมากๆก็มีอัตตามากไปด้วย
ที่สุดเป็นสังคมที่มี“สาราณียธรรม ๖” จึงจะเป็นสังคมชั้นสูง คือสังคมที่มี“วรรณะ ๙”แท้จริง สุดยอดทั้งความเป็น “ประชาธิปไตย” และสุดยอดทั้งความเป็น“คอมมูนิสต์”
เราหันมาดูประเทศไทยกันดูดีๆ ซึ่งประเทศไหนๆก็น่าจะได้ศึกษาความเป็น“ประชาธิปไตย”หรือความเป็น“คอมมูนิสต์”กันให้ถ่องแท้
มีสังคมที่มาแวะเรา คือโคโนฮานะ อยู่ที่ญี่ปุ่น หัวหน้าเขาชื่อ อิซะด้ง ทุกคนทำงานเอาเข้าศูนย์กลางหมดแต่เขามีประชากรไม่มากมีแค่ไม่ถึงร้อยคน มีผู้ร่วมสังเกตการณ์อีกรวมๆทั้งหมด 120 คน เขาก็เป็นสาธารณโภคีเขาทำได้เพราะว่ามันเล็ก เอาสมบัติส่วนตัวเข้าศูนย์กลางหมดเลยนะ ของเราไม่ได้บังคับ แต่ถ้าคุณมาอยู่ในนี้มีพฤติกรรมการงานอยู่ในส่วนกลางกินใช้กับส่วนกลาง คุณทำงานก็เอาเข้ากองกลางหมด
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…
ในเรื่องที่ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกหาว่าเป็น“เผด็จการ” หรือเห็นกันว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นผู้ทำ“รัฐประหาร” โดยการใช้กำลังกองทัพทหาร ที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์อยู่ในมือแล้วใช้พลังอำนาจขับไล่รัฐบาล หรือทำการปฏิวัตินั้น ล้วนพากัน“เข้าใจผิด”ทั้งเพ ผิดกันไปทั้งโลก
เลยพากัน“หลงผิด”จาก“ความเป็นจริง”ที่แท้จริงไปไกลลิบ กระทั่งไกลถึงขั้น“โง่”ในความเป็นประชาธิปไตยอย่างซับซ้อน“หมุนรอบเชิงซ้อน(คัมภีราวภาโส)” จึงจะ“สุดโง่”ไม่มีที่สุด
ทั้งๆที่พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เป็นผู้ทำ“รัฐประหาร”เลย
“มวลประชาชนคนไทย”แท้ๆ ที่รวมกันเป็นล้านๆคน ต่างหาก ทำ“รัฐประหาร” โดยพลังอำนาจของ“มวลประชาชน”
แท้ๆ ซึ่งเป็นพลัง“ประชาธิปไตย”ที่สมบูรณ์จริงๆ ร่วมกันปฏิวัติโดยการประท้วง ซึ่งเป็น “การประท้วงแบบประชาธิปไตยที่สวยงามสุดๆ”เท่าที่เคยมีในโลก
โดยประชาชนไม่ได้ไปใช้กำลังอาวุธปืนผาหน้าไม้อะไรต่อสู้ ทำลายทำร้ายเลย นอกจากคณะรัฐบาลทรราช ผู้รับใช้รัฐบาลทุรชนนั่นต่างหาก ที่ทำร้ายประชาชน จนกระทั่งมีคนตายมีคนบาดเจ็บ พิการ อย่างที่เห็นและเป็นจริง
คนไทยไม่ได้ใช้ความรุนแรงเลย สุภาพ อยู่ในกฏเกณฑ์สากลมากที่สุดเท่าที่มี“การปฏิวัติรัฐประหาร”เคยมีมาในโลก
คนไทยใช้“ความสงบที่มีพุทธิปัญญา” กับยืนยัน“ความจริงของคนผิด”เอามาเปิดเผยตามหลักฐานที่มีจริงยืนยันกัน วินิจฉัยกัน ซึ่งรัฐบาลทุรชนที่เลวร้ายเท่านั้นที่ทำรุนแรงฝ่ายเดียว กระทั่งจำนนต่อความจริงตั้งแต่รัฐบาลตนเองคือ นายทักษิณ ชินวัตร เอง ไม่กล้าสู้หน้า หนีออกไปต่างประเทศ แล้วใช้เงินจ้างคน จ้างทนาย จ้างคนที่เป็นทาสน้ำเงิน เอาน้องสาวออกมารับหน้าต่อสู้แทนตนเอง ตนเองขี้ขึ้นสมอง หัวซักหัวซุน แพ้แล้วหนี ไม่กล้าเข้ามาต่อสู้ด้วยตัวเอง ไม่กล้าออกมาเสนอความจริงประกาศความจริงออกมายืนยันต่อสู้กับโลก ซ้ำมิหนำหาว่า“สถาบันยุติธรรมไทย”ไม่ซื่อสัตย์ ลำเอียง พึ่งไม่ได้ ไปโน่น
มวลมหาประชาชนคนไทยได้ร่วมกันปฏิวัติรัฐประหารชนิดที่ไม่เคยมีประเทศใดในโลกที่สามารถทำการรัฐประหารหรือปฏิวัติรัฐบาลทักษิณ“จอมเผด็จการ” ซึ่งตนเองพ่ายแพ้แล้วรีบหนีออกนอกประเทศ แต่ก็ยังเป็นผู้ใช้“อำนาจเผด็จการ”ชักใยต่อไปอยู่ อย่างเกี่ยวพันต่อๆเนื่องๆกันมาไม่ขาดสาย อันมีปรากฏการณ์จริงนี้ ถึง ๗-๘ ปี และประชาชนทำได้สำเร็จจริงถึง ๕ รัฐบาลที่มีของจริง มีหลักฐานจริง และเป็นผลสำเร็จได้จริง
หลักฐานทั้งภาพ ทั้งเสียง ทั้งการขีดเขียนกันไว้ ทั้งถ่ายทำบันทึกไว้ด้วยเครื่องมือเทคโนโลยีต่างๆ ทั้งภาพนิ่ง ทั้งภาพเคลื่อนไหวในประเทศ ทั้งต่างประเทศมีให้ค้นคว้าศึกษาหาความจริง มีให้ติดตาม ให้ค้นคว้ามายืนยันความจริงต่างทั้งหลายได้
ซึ่งประชาชนคนไทยได้ทำ“การปฏิวัติรัฐประหาร”ที่ถูกต้องที่สุด เพราะเป็น“ประชาธิปไตย”แท้จริงยิ่งใหญ่เกินกว่าคิด
ผู้อวิชชาในความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งคือ คนผู้ยังไม่รู้ในสัจธรรมของความเป็นประชาธิปไตยที่สัมบูรณ์แบบตามที่เป็นจริงทั้งหลายก็พลอยไปหลงเออออห่อหมกกับเขา ยอมรับว่า พฤติการณ์ของการปฏิวัติรัฐประหารที่เกิดในเมืองไทยนี้ เป็นการปฏิวัติโดยคณะทหารที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้า นำทำการปฏิวัติรัฐประหารรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งโดยสัจจะแล้ว ความเข้าใจอย่างนั้น นั่นมันไม่ใช่เลย ไม่ถูกต้องตามธรรมที่แท้ มันเข้าใจยังผิดเพี้ยนไปจาก“ความจริง”
พลเอกประยุทธ์ก็พลอยรับสมอ้างว่า “ตนเองเป็นผู้ทำปฏิวัติรัฐประหาร”ไปกับเขาเสียอีกแน่ะ ก็เลยเท่ากับรับสมอ้างว่า“ตนผิด” ตนเป็นหัวหน้าปฏิวัติรัฐประหาร จึงผิดไปตามๆกัน
ทั้งๆที่โดยพฤตินัยที่สัมบูรณ์ โดยวุฒินัยแท้ๆ โดยสัจจนัยจริงมันไม่ใช่เลย
คนผู้ไม่รู้จริงก็พลอยหลงยึดว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นผู้“เผด็จการ”ไปกับเขาด้วย ..เข้าใจผิดกันไปทั้งหมู่
ที่จริงแท้แล้วมันเป็นเรื่องของ“ประชาธิปไตย”อันสมบูรณ์แบบทีเดียว ที่เกิดในเมืองไทย ซึ่งมีประชาชนคนไทยได้ร่วมมือกันกระทำ“การปฏิวัติรัฐประหาร”
งานปฏิวัติรัฐประหารคราครั้งนี้ที่ประชาชนไทยได้พากันทำอย่างสวยสดงดงามแสนสง่ายอดเยี่ยมนี้เป็นการศึกษาที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง เพราะได้ใช้เวลาปฏิวัติรัฐประหารทั้งยาวนานทั้งสุภาพ ทั้งสงบแท้ ทั้งใช้คุณธรรมขั้นโลกุตระจริง ทั้งเต็มรูปขบวนการของประชาชน อีกทั้งประหารรัฐบาลมีผลสำเร็จสมบูรณ์ไปมากมายหลายรัฐบาลต่อเนื่องกันถึง ๕ รัฐบาล
ซึ่งเป็นการปฏิวัติรัฐประหารด้วย“ความสงบสยบความรุนแรง”ได้สำเร็จจริง วิเศษยิ่ง เป็นปาฏิหาริย์
ตามความรู้ของคนที่ยังไม่รู้ความเป็น“ประชาธิปไตย” อย่างถ่องแท้ก็สบสันหลงผิด ซึ่งแท้ที่จริงคนไทยปฏิบัติประชาธิปไตยได้สัมบูรณ์แบบ ตามความรู้ที่เป็นประชาธิปไตยในศาสนาพุทธอันเป็น“โลกุตระ”ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ประท้วงปฏิวัติรัฐประหารรัฐบาลที่ไม่สมควรบริหารประเทศแล้ว ด้วยความสงบสยบความรุนแรงอย่างมีประสิทธิภาพแท้ ได้รับผลสำเร็จแท้จริง จึงสูงสุดแล้วสำหรับ“ประชาธิปไตย”ในความเป็นมนุษย์และความเป็นสังคมที่มีชีวิตอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในโลก
แต่ก็พากันสับสน“หลงผิด”กันไปได้ ทั้งๆที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาไม่ได้เป็นผู้“ทำปฏิวัติ”หรือ“ทำรัฐประหารรัฐบาล”เลยสักหน่อย
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาแค่ทำหน้าที่เป็น“ตัวแทนประชาชน”ตามหน้าที่ขณะนั้น เพราะในขณะนั้น อยู่ในตำแหน่งสำคัญยิ่งของประเทศเป็นหัวหน้าผู้รักษาความมั่นคงของชาติ ก็ทำหน้าที่“แทนประชาชน”ในประเทศตามฐานะ“ข้าราชการประจำ” เข้าไปพูดด้วยคำพูดเพียงแค่ ว่า “ผมขอยึดอำนาจ” จากคนผู้ถูกอุปโหลกว่าสวม“หัวโขน”แต่แท้ๆแล้วไม่มีอำนาจอะไรจริงๆเลยในการบริหารประเทศขณะนั้น เท่านั้นเอง
เป็น“ชัยชนะในการยึดอำนาจรัฐบาลโดยประชาชน”ที่สวยงามที่สุดในโลกแห่งความเป็นประชาธิปไตยของโลก ที่ได้ใช้ความสงบเป็นอาวุธ ยึดอำนาจได้เรียบร้อยสุภาพสุดยอดอย่างนี้มาก่อนเลยในโลก และเป็นการยึดอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยประชาชนจริงๆตั้งหลายรัฐบาลต่อเนื่องกัน ที่พิสูจน์อำนาจของประชาชนแท้ๆอย่างขาวสะอาดสง่าผ่าเผยชนิดซึ่งไม่เคยมีได้ปานฉะนี้มาในประเทศไหนๆ ทำเป็นแบบอย่างไว้เลย
ประชาชนคนไทยยึดอำนาจได้สำเร็จลง จะเห็นได้ว่า ต่างคนต่างก็ งงๆ เงอะๆ งะๆ ทำอะไรไม่ถูก เพราะมันเป็น“ของใหม่” ที่ไม่เคยมีแบบอย่างปรากฏการณ์มาก่อนในโลก ที่เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ประชาชนปฏิวัติเสร็จแล้ว ได้พากันนำผลสำเร็จไปเพื่อทูลเกล้าถวายผลสำเร็จในการทำรัฐประหารที่หน้าพระราชวัง แต่ข้าราชการก็พากันงงๆ ไม่รู้จะทำยังไงกันต่อไป เพราะไม่เคยมีแบบอย่าง ประชาชนเลยต้องพากันกลับไปนั่งประท้วงหรือ“ปฏิวัติด้วยความสงบ”กันอีกใหม่ให้ดูซ้ำแล้วซ้ำอีก
ก็ยืนยัน“ความสำเร็จของประชาชน”ที่ยึดอำนาจได้แล้วอยู่อีกนั่นเอง จนที่สุดในที่สุดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาจึงได้เข้าพบกับตัวอุปโหลก“หัวโขน”ให้อยู่ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่ซึ่งไม่ตำแหน่งอะไรเลยตอนนั้น จึงได้เข้าไปทำการกล่าวว่า“ถ้างั้นผมก็ขอยึดอำนาจ”กับ“หัวโขนเก๊ๆ”ที่อุปโหลกกันขึ้นมานั้น ทันทีที่กล่าวคำจบ ก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร เป็นอันเสร็จจบการทำรัฐประหารบริบูรณ์ลง อย่างเรียบร้อย สุภาพ สงบ สะอาด สว่าง สมบูรณ์ในการทำรัฐประหารโดยประชาชน แล้วมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์อชาตัวแทนประชาชนเข้าไปทำหน้าที่รับช่วงจากประชาชน และบริหารประเทศต่อไป
เมื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาทำอย่างนั้น แม้จะมีคนผู้ไม่มีความรู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นประชาธิปไตยกล่าวหาว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็น“เผด็จการ”ดังโหวกเหวกๆ ประชาชนก็ไม่ได้ประท้วงพล.อ.ประยุทธ์แต่อย่างใดเลย เหมือนที่ประชาชนได้
ประท้วงรัฐบาลเผด็จการที่ประชาชนเห็นว่าไม่ดีที่ผ่านมาแล้วตั้ง ๔-๕ รัฐบาลสำเร็จไปแล้วหลัดๆ เพราะประชาชนเห็นดีเห็นควรตามเหตุการณ์ตอนนั้น และประชาชนก็พอใจอีกที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเข้ามาบริหารประเทศได้เข้าตาประชาชน
จึง“ไม่มีมวลมหาประชาชน”ลงถนนรวมตัวกันประท้วงปฏิวัติรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชากันอย่างนั้นอีก ไง!
ความเป็นประชาธิปไตยของไทยจึงงดงามบริบูรณ์ดียิ่ง
แต่…กระนั้นที่ยังมี“คน”ตกโลกหรือหลุดโลก ที่ยังมีอารมณ์ค้าง ล้นไปด้วย“ความคิดแย้ง”ซึ่งยังกะปริดกะปรอยทำการค้านอยู่“ส่วนน้อย” ทั้งๆที่“ฝ่ายค้าน”ที่ถูกครรลองครองธรรมก็มีแล้ว เขาก็ทำหน้าที่อยู่เต็มสภาพ ตามธรรมชาติของความเป็น“ประชาธิปไตย”ที่แท้จริง มันต้องมีทั้งฝ่ายรัฐบาล และต้องมีทั้งฝ่ายค้าน..ไง! ดังที่เห็นและเป็นอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ที่บริหารประเทศของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาอยู่
นายกฯประยุทธ์ไม่ได้อยู่ในพรรคไหน มีฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล แต่นายกฯไม่ได้อยู่พรรคไหน เขาหาว่าเป็นเผด็จการ แต่พรรครัฐบาลก็ยินดีให้นายกฯประยุทธ์เป็นหัวหน้า แต่นายกฯก็ยังไม่เอา แต่นายกฯก็ตั้งให้คนต่างๆในพรรคเป็นรมต.ได้ นายกฯไม่ได้อยู่ในพรรคแต่เป็นผู้ตั้งให้เป็นผู้บริหารได้ เป็นนายกฯของประชาธิปไตยที่อิสรเสรีภาพมากที่สุดอย่างไม่เคยมีในโลก
ก็เป็นไปอย่างถูกต้องระบอบประชาธิปไตยสัมบูรณ์ แต่ก็ยังมี“คน”ตกโลกหรือหลุดโลกกันอยู่ได้เนาะ
กระนั้นความแปลกประหลาดพิสดารยิ่ง ที่มันมีฝ่ายค้าน อยู่ ๒ พวก คือ มีฝ่ายค้านที่ถูกต้องตามแบบประชาธิปไตยของโลก ที่เป็นฝ่ายค้านทำหน้าที่กันอยู่ในสภา กับมี“ฝ่ายค้านแหกคอกหลุดโลก”อีกต่างหาก ที่รวมพวกกันตะโกนโหวกเหวกๆอยู่ให้รำคาญหูรำคาญตาประชาชน ทั้งๆที่ไม่มีผลอะไรกับระบอบประชาธิปไตยเลย แต่คนพวกนี้ก็มืดบอดตะแบงออกแรงสำแดงเดชกันอยู่นั่นแหละ แล้วผู้ที่นำพาประท้วง ก็พูดเท่ๆว่าเมื่อไม่ให้ผมเข้าสภาฯผมก็จะไปอยู่กับประชาชน เป็นวาทกรรมของเขา เขาก็ไปอยู่กับประชาชนที่หูหนวกตาบอดไปกับเขา
พวกสื่อสารที่พลอยหลงเลอะไปตาม ก็หลงหยิบเอาเศษสวะพวกนี้มาเป็นข่าวให้เกิดสับสนวุ่นวายในสังคมประชานขึ้นไปอยู่อีก ช่างกระไรจริงๆ
มันควรจะไม่ไปแตะคนพวกนี้เอามาเป็นข่าวคราวอะไรให้เสียวงการข่าว ควรพรหมทัณฑ์ ปล่อยให้เห่าหอนกันไปตามประสา ไม่เช่นนั้นมันก็เกิดเป็นประเด็น เป็นผลกระทบ ทำให้มีน้ำหนักในสังคมขึ้นมาอีกอยู่จนได้ อย่างที่เห็นและเป็นอยู่
นักสื่อสารหรือวงการข่าวก็น่าจะพิจารณาและใช้วิจารณญาณช่วยประเทศชาติกันบ้าง ในมิติที่ควรจะเป็นนี้
เพราะสื่อสารมวลชนนั้นมีอิทธิพลต่องสังคมจริงๆนะ
รัฐบาลก็แสนดีไม่ถือสา ให้อิสระเสรีภาพทำกันไป ซึ่งก็เป็นเรื่องไม่รู้จบ ไม่รู้แล้ว ทั้งๆที่มันจบกันไปแล้ว
ก็ถือเป็น“การศึกษา”ที่มีปรากฏการณ์เกิดจริงเป็นจริง
ประเทศไทยถึงขณะนี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาก็ได้พิสูจน์ตัวเองมาแล้วทั้งในแบบ“ไม่มีการเลือกตั้ง” และทั้งในแบบ“มีการเลือกตั้ง” ดังปรากฏการณ์จริงที่เกิดที่เป็นมาจริงของไทยตลอด ๕-๖ ปีที่ผ่านมานั้น
จนกระทั่งถึงขั้นฝ่ายค้านใช้“กลวิธียุทธการ”สามารถสะสม“ส.ส.”ในสภาได้มาก ถึงขั้นฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล มีส.ส.คู่คี่กัน“ปริ่มน้ำ”
การมีส.ส.คู่คี่กัน“ปริ่มน้ำ”นี่แหละ ที่ยิ่งพิสูจน์กันแจ่มแจ้งชัดเจนว่า ไม่ใช่“เผด็จการ” แต่เป็นการต่อสู้กันแบบประชาธิปไตยในระบอบประชาธิปไตยที่ไม่ใช่รัฐบาลมีส.ส.ในสภามากจนเป็น“เผด็จการเบ็ดเสร็จของรัฐบาล”ที่มีส.ส.ในสภามากท่วมท้น จนฝ่ายด้านหมดท่าที่จะทำหน้าที่ค้านได้ด้วยประการทั้งปวง จึงทำการ“เผด็จการทางสภากันได้ตลอดเวลา เช่น รัฐบาลทักษิณ ชินวัตรเคยทำ ที่เป็น“สภาเผด็จการ”กันมาแล้วเป็นตัวอย่าง
นายทักษิณ ชินวัตรนั้นไม่เคยทำตนเองเป็นนักประชาธิปไตยเลยตั้งแต่ต้นจนตลอดถึงวาระสุดท้ายที่มีสิทธิบริหารประเทศมา เขาเป็น”จอมเผด็จการ”มาตลอดที่ทำงานการเมืองแม้กระทั่งทุกวันนี้เขาก็ยังดิ้นให้คนหลงผิดว่าเขามีอำนาจอยู่เลย ไม่เคยรู้ตัว ไม่เคยรู้เหตุการณ์ ไม่เคยรู้ความเป็นจริงเลย ทั้งตามสมมุติสัจจะ และทั้งตามปรมัตถสัจจะ
(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
ถ้ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ยังยืนหยัดอยู่ในความเป็นผู้จริงใจใน“ความเป็นประชาธิปไตยแท้ๆ”ดังที่คณะรัฐบาลเชื่อมั่นในตนเอง และได้ประพฤติอยู่อย่างสามารถมา ๔-๕ ปีนั้นแหละ หรือถ้ายิ่งบริสุทธิ์สะอาดกว่านี้ยิ่งขึ้นๆก็ยิ่งขอรับรองว่า ประชาชนก็จะเป็น“ผู้รู้-ผู้เห็น”มอบอำนาจอธิปไตยให้แก่พล.อ.ประยุทธ์เองอยู่ดี แน่ยิ่งกว่าแน่
เว้นเสียแต่ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะ“เปลี่ยนไป๋” จนมวลประชาชนเขา“เห็นได้”จริงว่า ไม่เหมาะไม่สมควรแล้ว ประชาชนคนไทยก็จะ“จัดการ”ตามสมควรเองแหละ ก็โปรด“ดูไป” โดยไม่ต้องถ่อร่างไปถึง“ดูไบ”กันเลย
ความเป็น“ประชาธิปไตย”ที่เป็นความจริงของประเทศไทยนี้ยอดยิ่งสุดสูง มีลักษณะ “อเทฺวนิยม”จริงๆกันฉะนี้ๆ
ที่ประเทศต่างๆในโลกเป็น“เทฺวนิยม”ทั้งหลายเข้าใจไม่ได้ ทำไม่ได้ เพราะไม่เหมือน“อเทฺวนิยม”เข้าใจกัน และทำกันได้
ซึ่งประชาธิปไตย“แบบโลกุตระ”นี้มันแตกต่างกับ“แบบโลกียะ”คนละขั้วกันจริงๆในความเป็น“ประชาธิปไตย” มีนัยะสำคัญ
“ประชาธิปไตยแบบโลกุตระ”มี“คุณวิเศษทางวิญญาณ” ที่ยอดยิ่ง อันเป็น“อำนาจคืออธิปไตย”ที่มีคุณธรรมตามสัจธรรม
และที่พูดนี้ก็ไม่ใช่“ยกตนข่มท่าน”แต่อย่างใด
พูดกันแบบตรงๆ ตามความมีจริงและทำได้จริง ไม่ได้อยากอวดอยากโชว์ด้วย พูดเป็นการศึกษา เป็นวิชาการแท้ๆ
“อเทฺวนิยม”คือ ศาสนาที่ทำคนให้“ไม่มีกิเลส”หรือให้ “กิเลสน้อยลงๆ”ได้สำเร็จจริง และเป็นศาสนาที่ขยันอุตสาหะ เสียสละจริงใจ ด้วย“เหตุ-ผล” อันประกอบด้วย“ปัญญา”ซึ่งเป็น“โลกุตระสัจจะ”แท้ๆ จึงทำ“ประชาธิปไตยโลกุตระ”ได้จริงๆ
“ประชาธิปไตยโลกุตระ”นั้นประชาชนปฏิวัติด้วยหมู่มวลประชาชนเอง และประชาชนทำรัฐประหารโดยใช้ความสงบกับใช้ความถูกต้องที่เป็นจริง จนกระทั่ง“รัฐบาล”ต้องพ่ายแพ้ ต้องหยุดบริหาร เปลี่ยนรัฐบาลไปได้สำเร็จจริงๆ
เพราะประเทศไทยเป็นเมืองพุทธที่นับถือศาสนาพุทธกันมาตั้งแต่เกิดประเทศไทย และเป็นชาวพุทธดั้งเดิมที่มีความจริงของ“โลกุตรธรรม”อยู่ในสายเลือดและวิญญาณฝังลึกเป็นอนุสัย(อนุสัยคือตัวตนที่อาสัยในจิตวิญญาณอยู่จริงมาตลอดความเป็นจิตนิยาม)ตั้งแต่อ้อนแต่ออกแท้ๆ “อนุสัย”ที่เป็น“โลกุตรธรรม”ก็สะสมมา
และมวลประชาชนคนไทยก็ได้ร่วมกันทำ“การประหารรัฐบาลที่ไม่ดี-รัฐบาลที่ชั่วร้าย” หรือที่เรียกว่า“ทำรัฐประหาร”
หรือ“ทำการปฏิวัติประเทศไทย”ที่มันตกต่ำย่ำแย่ลงให้หลุดพ้นจาก“ความเลวร้าย”นั้น ได้สำเร็จ โดยฝีมือประชาชนจริงๆ
ประชาชนไทย“ปฏิวัติ”ด้วยการประท้วง ที่เป็น“แบบโลกุตระ” อันเป็น NEO PROTEST ไม่เคยมีมาก่อนในโลกยุคศตวรรษที่ ๒๕ นี้ โดยใช้“ความสงบสยบความรุนแรง” ใช้“ความจริง”มาเปิดเผย“ความผิดของรัฐบาล” ยืนยัน“ความถูกต้อง”ของ“ความจริง”หลากเหลี่ยมหลายมุมจนกระทั่งมีน้ำหนักทุกนัย อันมีทั้งภาวะที่เป็น“รูปธรรม”ทั้งภาวะ“นามธรรม”แท้ๆ ทั้งหลายประหาร“รัฐบาล”ได้สำเร็จมาแล้ว โดยประชาชนรบด้วยมือเปล่าปราศจาก“อาวุธ”ร้ายใดๆ ไม่รุนแรงเลวร้ายจริงๆ
มีแต่ทาง“รัฐบาลเลวทุจริตร้าย”กับพรรคพวกเท่านั้นที่ใช้“อาวุธ”มาทำร้ายประชาชน จนล้มตายกันไปหลายศพ
เป็น“การทำรัฐประหารโดยมวลประชาชน”รวมตัวกันออกมาประท้วงด้วยความสงบใจเย็นสุภาพ กินนอนกันกลางถนน ใช้เวลายาวนานอุตสาหะอดทนเป็นร้อยๆวัน ทำกันอยู่หลายปี เป็นประวัติการณ์ และประชาขนก็ทำ“รัฐประหาร”สำเร็จได้หลายรัฐบาลด้วย ซึ่งยังไม่เคยมีประเทศใดๆในโลกทำได้สวยสดงดงาม ประสพผลสำเร็จด้วยดีเท่านี้มาก่อนเลย
และได้ทำการปฏิวัติด้วยการขึ้นป้ายเขียนตัวหนังสือประกาศไว้ว่า “ปฏิบัติการชุมนุมประท้วงแนวใหม่ NEO PROTEST”กันทีเดียว
ทั้งชักชวนด้วยตัวตนบุคคลจริง ทั้งพฤติกรรมสังคม ทั้งสื่อสารสารพัด ทั้งเป็นแผ่นพับแจกจ่ายทั่วไปกับผู้คนประชาชนทั้งหลาย ฯลฯ ทั้งเขียนตัวหนังสือใหญ่ๆใส่ฉากเวทีในการแสดงออกอันเป็นสถานที่ใช้ในการประท้วงหรือออกรบร่วมกัน
เป็นต้นว่า…
-
NEO PROTEST ปฏิบัติการชุมนุมประท้วงแนวใหม่
ให้ประโยชน์ และคุณค่า กับการพัฒาประชาธิปไตย
มุ่งเอาความจริงกับความรู้ ออกมาตีแผ่
ไม่มุ่งแพ้ชนะ – ไม่รุนแรง – ไม่หยาบคาย
เพื่อยกระดับการต่อสู้ขึ้นสู่…“วิถีอาริยชน”
-
ปรัชญาการชุมนุม ได้แก่ สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น
-
ยุทธวิธีการชุมนุม (รูปแบบการชุมนุม)
๑. สุภาพ สงบ และเรียบร้อย
๒. ไม่มีความรุนแรง
๓.เสนอ ความรู้ และ ความจริง
๔. ไม่หยาบ
๕. ไม่ผิด
กล่าวคำแรง เสียงดัง เท่าใดก็ได้
-
เป้าหมายการชุมนุม
๑. ไม่มุ่งหาปริมาณเป็นเอก แต่มีปริมาณแสดงออกเป็นประชาธิปไตย
๒. แสดงคุณภาพของความเป็นประชาธิปไตย(จิตที่มีธรรมะ)
๓. เพื่อมาแสดงสิทธิ์ร่วมชุมนุม ยืนยันอำนาจอธิปไตย ของมวลประชาชน
๔. ไม่มุ่งหมาย ชนะหรือแพ้
๕. เอาวิถีชีวิต ความเป็นสาธารณโภคี มาแสดง
-
ปฏิบัติการชุมนุมประท้วงแนวใหม่ NEO PROTEST