621228_ทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 7 อาหารของนิวรณ์ทั้ง 5
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1BLpCxgvdqdmrw2LLXvR0PiofMk91Nn99pyqgmouTpDk/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1G8xsD6lmdiDzx1wdwBM504BVsJ5XaYBP
พ่อครูว่า…วันนี้วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก
อาตมาบวชมาเกือบ50 ปี วันนี้ยอดคนลงทะเบียน 663 คน มีคนไม่ลงทะเบียนเล็กน้อย ก็คงจะถึง 700 มั๊ง เอาน่า เข้าเส้นชัยเข้าเลข7 แล้ว อีกไม่กี่วันจะถึงปีชวดแล้ว
ชวด ภาษาแสลงแปลว่าหลุดมือไป ถ้าเราปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแล้วเราจะหลุดมือไปก็หลุดไป เราอยากให้หลุดให้พ้นด้วยซ้ำไป แล้วก็มีอิสระเสรีสบาย ความหมายลักษณะพวกนี้เป็นลักษณะธรรมะ เป็นธรรมะที่ลึกซึ้งซับซ้อน พวกเราได้ศึกษาโลกุตรธรรมเป็นธรรมชาติที่สุดยอดวิเศษลึกซึ้งซับซ้อน พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เอามาสอนไว้ สุดยอดจริงๆเลยความรู้ เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็มีอะไรซับซ้อน จนเจ้าประคุณเอ้ย จนหมุนสมองให้ทันสมัย ก็ไปกันใหญ่เลย
อาตมาตั้งใจว่าวันนี้จะอธิบายเรื่องคำว่าอาหาร เอามาจากพระไตรปิฎก 3 เล่ม ก็ซ้ำแต่ว่ามันลึกซึ้ง การศึกษาของพวกเราก็มี ศีล สมาธิ ปัญญา แต่ก็ไม่เป็นจรณะ 15 วิชชา 8
ศีลเป็นเบื้องต้น อธิศีล ก็จะต้องปฏิบัติให้ถูกคืออปัณณกปฏิปทา 3 ถ้ามีศีลอื่นแล้วแต่ก็ปฏิบัติไม่ตรงอปัณณกปฏิปทา 3 ไม่มี สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค ไม่มีหรือมีไม่ตรงมันก็ไม่เกิดผลเป็นสัทธรรม 7 ไม่เกิดฌานแบบพุทธ ก็ไม่มีวิชชา 8 ก็กลายเป็นอวิชชาไป อวิชชาหนา เพิ่มเติมความเข้าใจผิดความไม่ถูกต้องซับซ้อนเข้าไปอีกใหญ่เลย ยึดมั่นถือมั่นความไม่ถูกนั้นความที่เป็นผิดนั้นซับซ้อนเข้าไปหนักเข้าไปอีก อวิชชาก็งอกงามไพบูลย์ ไกลไปจากวิเวก ไกลแสนไกลไปกันใหญ่เลย มันคนละทางเลย
ทุกวันนี้ผู้รู้ทุกวันนี้ศาสนาพุทธ ขออภัยที่ต้องพูดให้ชัด ท่านรู้แล้วท่านก็รู้ผิดทาง มันก็เลยเป็นอวิชชาที่งอกงามไปเรื่อยๆ กลายเป็นตรรกะ กลายเป็นเจริญไปได้พยัญชนะไวยากรณ์ ไปกันใหญ่เลย การจะมารู้เรื่องของการสัมผัสจิตในจิตบ้าง แต่เรื่องจิตในจิตนั้นกลายเป็นเรื่องซับซ้อน เช่น สมาธิก็กลายเป็นสมาธิแบบเดียรถีย์แบบฤาษี ยึดมั่นถือมั่น แทนที่จะเข้าใจโลก ไปเข้าใจสมาธิแบบฤาษี ก็เลยกลายเป็นจิตที่ยิ่งเกาะแน่นกันไปใหญ่เลย แทนที่มันจะขยายความ แทนที่มันจะมีการรู้เรื่องสาระที่แท้จริง เทียบเคียงเทวนิยม อเทวนิยมเป็นคู่ ก็เปล่า มันกลับกลายเป็นก้อนแข็ง แน่น ผนึก
ทีนี้มันมีทางด้าน ปฏิภาณปัญญา มันไม่ใช่ปัญญาหรอกมันเป็นความฉลาด ก็เป็นความฉลาดแบบ เฉโก กลายเป็นโลกียะซับซ้อน เหมือนอย่างกับธัมมชโย เหมือนอย่างกับทางโลกีย์ 1. หลงในลาภ 2. หลงในยศ 3. หลงในสรรเสริญ 4. หลงในความสุข นี่คือโลกีย์ที่พระพุทธเจ้าแยกไว้
ลาภ นี่ก็ คือสิ่งที่ได้มาให้แก่ตัวเอง อย่างยกตัวอย่างชัดๆ ที่มีพฤติกรรมจริง มีคนจริงประพฤติ เช่น มหาบัว ได้ลาภ ได้ยศ ได้มาเยอะ โดยอาศัยศรัทธาศาสนาประชาชน แล้วก็อาศัยสถาบัน อาศัยบัลลังก์สถาบันร่วมกันเป็นยศ เป็นอำนาจ เป็นความยอมรับสรรเสริญครบโลกียะ ก็ได้ลาภมา พอได้ลาภมาแล้ว ที่จริงลาภนั้น ถ้าไม่เข้าใจเป็นเรื่อง สาเปกโข ได้ลาภมาแล้วเป็นของตนๆก็จะต้องให้ ก็ทาน มหาบัวก็ให้ไม่เอาเป็นของตนนะ แต่อัตตา ลาภเป็นอัตตาหรือยศเป็นอัตตา สรรเสริญเป็นตัวกลางยกย่องเชิดชูยิ่งใหญ่มโหฬาร
ลาภใหญ่ ยศได้รับการยกย่องเชิดชูอย่างสูง เอาไปให้ทานยกให้แก่ประเทศชาติ แล้วมีการสำทับด้วย ห้ามเอาไปใช้นะ ต้องเอาให้เป็นเงินคงคลังห้ามเอาไปใช้ ให้เอาไว้เป็นเงินของประเทศ สำทับลงไปชัดเจนว่าคุณไม่ได้ให้ คงคลังก็คือเศษกระดาษ เป็นแต่เพียงว่าเป็นเงินต้นว่าฉันมีหลักประกัน แต่โดยหลักเศรษฐศาสตร์แล้วเงินไม่ได้เดินทาง ก็คือเศษกระดาษธรรมดา เงินหรือธนบัตร มันไม่ได้เดินทาง มันก็เป็นเศษกระดาษธรรมดา อะไรก็แล้วแต่ เพชรนิลจินดาทองคำก็แล้วแต่ มันไม่ได้เดินทางมันไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเอาไปหมกใส่เซฟเอาไว้ นิ่งอยู่ แม้แต่คนเห็นก็ไม่เห็น สมัยโบราณเอาใส่ไหแล้วก็ฝังดินไว้มันก็เป็นเศษกระดาษ เป็นขยะเฉยๆ แต่หลงว่ามันมีค่า เข้าคงคลัง
เสร็จแล้วก็กรึ่มมาก ข้านี้แหละใหญ่ข้าได้ทำสิ่งยิ่งใหญ่ข้ามีราคาข้าได้ทำให้แก่ประเทศชาติ ได้รับการยอมรับยกย่องเชิดชู ขออภัยที่อาตมาพูดเป็นธรรมะไม่ได้ไปถล่มทลายมหาบัวหรอก แต่มันเป็นสัจจะที่ขออนุญาตขออภัยอย่างยิ่งที่เอามา เพื่อจะใช้อธิบายให้ชัดเจน มันไม่มีภาษาที่จะอธิบายในรายละเอียดของกิเลสอุปกิเลส ทั้งหมด อันนี้มันเป็นสภาวะจริง ยกขึ้นมาแล้วทุกคนรับฟังที่อาตมาเน้น ก็จะเข้าใจชัดเจนลึกซึ้ง
ความหลงนี่ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ผู้หลงยึดอยู่ในถ้ำ ผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นผู้จมหยั่งลงในความหลง เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้วก่อน ข้องอยู่ในถ้ำแล้วกิเลสมากด้วยนะ ปิดบังไว้ พรางตัวเอง ปิดบังไว้แล้ว เป็น Past perfect tense ผ่านกิริยาทุกอย่างเสร็จจบปิดบังไว้เหมือนไม่มีอะไร
พระพุทธเจ้าท่านตรัสเป็นผู้ข้องไว้ก่อน ก็คือ ผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เก็บงำไว้ ฝังไว้ ปิดบังไว้ก่อนแล้ว ทรงตรัสคำว่าเป็นผู้ข้องไว้ก่อน ก็แต่คำว่าถ้ำควรกล่าวก่อน อะไรล่ะ ทีนี้ขยายความ
[31] คำว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้วมีความว่าทรงตรัสคำว่า เป็นผู้ข้องไว้ก่อน. ก็แต่ว่าถ้ำควรกล่าวก่อน กายเรียกว่า ถ้ำ. คำว่า กายก็ดี ถ้ำก็ดี ร่างกายก็ดี ร่างกายของตนก็ดี เรือก็ดี รถก็ดี ธงก็ดี จอมปลวกก็ดี รังก็ดี เมืองก็ดีกระท่อมก็ดี ฝีก็ดี หม้อก็ดี เหล่านี้เป็นชื่อของกาย.
อาตมาสรุป ทั้งหมดนี้คืออาหารคือเครื่องอาศัย ทั้งนั้นเลยในชีวิตมนุษย์เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ทั้งหมด ตั้งแต่ร่างกายพาหนะรถแม้แต่ธง ธงนี้คือ 1. จุดหมายปลายทาง 2. ธงคือสิ่งที่ต้องยึดถือไว้แล้วต้องดำเนินไปต้องถือธงไปด้วยนะ ชูธงไปจนกว่าจะเอาไปปักถึงที่หมายสุดท้าย
ธ. ธง นี้หมายถึงพระเจ้าแผ่นดิน หมายถึงทุกอย่างที่เป็นความทรงอยู่ในเราคือจะอาศัย แม้ที่สุดเป็นพระอรหันต์แล้วยังต้องมีธงยังจะต้องอาศัย ถ้าเคลื่อนไหวก็เป็น ธมมฺ หรือ ธรรมะไป
ธรรมะเป็นคำบาลีมี ม.ม้า 2 ตัว ถ้าเป็นสันสกฤตก็มี ร.เรือ 2 ตัว
เพราะฉะนั้นเครื่องอาศัยต่างๆจึงยิ่งใหญ่มากเลยที่เรายังจะต้องเรียนรู้ แล้วก็ต้องไม่ข้อง ไม่ให้มันข้อง แล้วเราไม่ข้องมัน แต่จะต้องอยู่กับมันให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและเป็นประโยชน์กับผู้อื่นอาศัย
สู่แดนธรรม…มีพระสูตรที่ยกอาริยสัจ 4กับอาหาร อาหารคือสิ่งที่ต้องกำหนดรู้ อาหารคือสิ่งที่ควรทำให้ดับ และปฏิปทาที่ควรในอาหารยังต้องมีอยู่
พ่อครูว่า…แต่วันนี้จะขออธิบายในเวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง
พระไตรปิฎกเล่ม 19 ข้อ 522 หมวด 6 แห่งโพชฌงค์ที่ 6
อาหารสูตร
อาหารของนิวรณ์
[522] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอาหารและสิ่งที่มิใช่อาหารของนิวรณ์ 5 และโพชฌงค์ 7 แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังเรื่องนั้น.
[523] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นอาหารให้กามฉันทะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นหรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศุภนิมิตมีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในศุภนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารให้กามฉันทะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.
พ่อครูว่า…ศุภนิมิตหมายความว่าเป็นเรื่องดีเป็นมูลเป็นเค้าเป็นเหตุ เป็นเครื่องหมายที่ดี มูล เค้า เหตุ ที่ดี ไปเห็นว่าดี หรือไม่เห็นว่าดี ขณะนี้เห็นว่าดีหรือเห็นว่าไม่ดี?…ไม่เห็นสิ อโยนิโสฯ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการ
อโยนิโสมนสิการ หมายถึงที่จุดเกิดเลย อโยนิโส ถ้าใครไม่เจอจุดนี้ จุด ณ หทยรูป จุด ที่คุณจะต้องมีรูปมีนาม หทยรูป แล้วคุณต้องมีนามต้องมีปัญญา เข้าไปสัมผัสถึงจุดนี้ ถ้าไม่มีปัญญาสัมผัสถึงจุดนี้ พลาด ไม่ถ่องแท้ ไม่ลงไปถึงที่เกิด ไม่แยบคาย ไม่ละเอียดลออพลาดผิดแน่นอน แล้วไปกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในศุภนิมิต
ศุภนิมิตคือสิ่งที่ถูกต้องแต่คุณไม่เลย คุณอโยนิโส แล้วคุณก็ทำใจในใจของคุณ อโยนิโสมนสิการ ทำใจในใจของคุณอย่าง อโยนิโส ไม่ถ่องแท้ก็คือไม่ถูกต้องแล้วไปเข้าใจว่าศุภนิมิต
สู่แดนธรรมว่า ศุภนิมิตนี้เป็นอาหารของกาม
พ่อครูว่า…ไปทำการ อโยนิโสมนสิการ ซ้อนในศุภนิมิตนั้น ขึ้นต้นว่าก็อะไรเล่าเป็นอาหาร ให้กามฉันทะที่เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว งอกงามไพบูลย์มากยิ่งขึ้น กามฉันทะเจริญ
ศุภนิมิตมีอยู่ ไปเห็นว่าเป็นนิมิตดี ใช่เลย หลงเลย ใช่แล้วใช่เลย การทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการ ก็คือ คุณไม่ถูกต้อง ทำใจในใจไม่ถูกต้อง อโยนิโส แปลว่าไม่ถูกต้องถ่องแท้แยบคายไม่ลงไปถึงที่เกิด ในศุภนิมิต
ไปยึดถือกามฉันทะเป็นศุภนิมิต แล้วก็ยังไป อโยนิโส อีก ความซับซ้อนกลับไปกลับมา มันก็ยิ่งผนึกแน่นเข้าไปใหญ่แล้วไปหลงผิด หลงว่าเป็นสิ่งที่ถูกก็ผนึกเข้าไปอีก ผนึกเข้าไปแล้วก็นึกว่าถูกก็ผนึกเข้าไปอีกนึกว่าถูกอีกก็ผนึกเข้าไปเอง ก็เลยงอกงามไพบูลย์ ก็คืออวิชชางอกงามไพบูลย์
สรุป
นี้เป็นอาหารให้กามฉันทะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้นไม่รู้กี่ชั้น
[524] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นอาหารให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นหรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิฆนิมิตมีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในปฏิฆนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.
พ่อครูว่า…อย่าลืมว่าความชอบหรือไม่ชอบเป็นเหรียญอันเดียวกันแยกกันไม่ได้นะ
ตกลงได้เหรียญมา 1 เหรียญด้านหนึ่งเป็นกามฉันทะอีกด้านหนึ่งเป็นพยาบาท ก็นึกว่าได้แล้วยอดทรัพย์ แล้วแม้แต่กามฉันทะกับพยาบาทก็ตีไม่แตกแยกไม่ออกว่าคุณหลงอะไร คุณเหมาหมดเลย โง่ในความสุข โง่ในความทุกข์ โง่ในชอบ โง่ในชัง โง่ในเทวะ 2 คุณตีไม่แตกว่าเป็นหนึ่งแล้วคิดว่าใครอย่ามาตีแตกนะถ้าตีแตกเอาตาย รักษาเหรียญนี้ไว้ นี่แหละคือเทวะ เขาก็ได้อันนี้เป็นอาหาร
[525] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นอาหารให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น
หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความไม่ยินดี ความเกียจคร้าน
ความบิดขี้เกียจ ความเมาอาหาร ความที่ใจหดหู่มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในสิ่งเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.
พ่อครูว่า…โดยเฉพาะเวลานอนลุกขึ้นมาก็บิดขี้เกียจ ใครยังมีบิดขี้เกียจอยู่? ปวดเมื่อยก็ไม่มีบิดขี้เกียจ เมื่อยก็นวด บิดขี้เกียจนี้เป็นการแฝง ภาษาไทยคำว่าบิดขี้เกียจเป็นอาการแฝงเป็นอุปกิเลส คุณเคยเห็นพวกหมาก็ดีพวกแมวก็ดีมันบิดขี้เกียจไหม
คนที่ยังไม่ชาคริยา คนที่ยังไม่ตื่น คนที่ตื่นแล้วไม่มีการบิดขี้เกียจหรอก จะเจ็บจะปวดตรงนั้นตรงนี้ตรงไหนก็บีบนวด(มีคนถามว่า การยืดเส้นยืดสายเป็นอย่างไร) การยืดก็คือตังเมยางเหนียว กิเลสตัณหาเป็นยางเหนียว การเป็น 2 ชิ้นนี้ดูง่ายแต่ถ้าผนึกด้วยยางเหนียวเป็นหนึ่งนั้นมันยาก เป็นรูปธรรมก็คือการบิดขี้เกียจ ไม่ใช่เรื่องเล่นนะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ฝึกให้ดีๆ
อาตมาพูดถึงเรื่องนี้หลายครั้ง ว่า ผู้ที่ตื่นปุ๊บก็สว่างเลย ไม่มีถีนมิทธะ การบิดขี้เกียจก็คือมีถีนมิทธะ
ความเมาอาหารนี้ เหมาอาหารหมดเลย อาหารยิ่งใหญ่มาก เป็นเครื่องอาศัย คุณยังไม่รู้ว่าคนเมาอะไรเป็นเครื่องอาศัยด้วยซ้ำ เหมาเข่งอาหาร คุณต้องอาศัยมันก่อนต้องมาแยกแยะ คุณเมาขี้ฝุ่น เมาอาหาร เราเมามหาจักรวาล เราเมาจักรวาลน้อย จักรวาลใหญ่
จักรวาลน้อย มีดาวนพเคราะห์ 9 ดวง เราเมาจะเป็นเจ้าโลก เหมือนยังกับโดนัลด์ทรัมป์กำลังทำ ก็จะต้องเป็น the great ยิ่งใหญ่ในโลก นี่แหละจริงๆเลย ขออภัย โดนัลด์ทรัมป์ แต่แกไม่ประสีประสาไม่รู้เรื่องเลย แกจะแย่ยิ่งกว่าด.ช.ภูมิพุทธ ๆ จะฉลาดยิ่งกว่าโดนัลด์ทรัมป์ เรื่องที่แกเมา จะเป็นเจ้าโลก ขออภัยที่ต้องพูดความจริงไม่ได้ดูถูก แต่มันเป็นเรื่องผิดเรื่องบาป คำว่าดูถูกนี้สลับกันไป เป็นสิริมหามายา คือมันไม่มีราคา มันถูกมาก ดูถูกแต่มันผิด แต่เจ้าตัวไม่รู้ว่าผิด
ขณะนี้กำลังพูดกันว่าอาหารของถีนมิทธะคือ ความไม่ยินดีความเกียจคร้าน แล้วไม่พอ ยังขายขี้หน้าตัวเอง บิดขี้เกียจให้คนอื่นเห็นอีก ก็ขี้ของคุณเกียจ ขี้คร้านของคุณ แล้วคุณก็มาบิดให้-หยดให้คนอื่นเห็นอีก ไม่ต้องอวดโชว์ว่าฉันมีขี้เกียจคือน้ำนี้ แต่เปล่า บิดออกมาเป็นทั้งน้ำทั้งก้อนเลย เพราะในโลกก็มีดินน้ำไฟลม ไฟลมคือ Dynamic ดินกับน้ำก็คือ Static เป็นคู่ อย่างนี้เป็นต้น
อาหารเป็นเครื่องอาศัย แต่นี่เกินกินมันเมา อาหารนี้เหมาเข่งหมดนะ
ใจหดหู่ มันเกาะแน่นเหนียว ยิ่งกว่าตังเม หดหู่มีอยู่
นี้เป็นอาหารให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าลึกซึ้งซับซ้อน ปฏินิสสัคคะ คือ ไม่มีสวรรค์ แต่คุณก็ไปหลงว่ามันมีก็ซับซ้อน สวรรค์แล้วสวรรค์อีก ทั้งๆที่มันไม่มีอะไรเป็นลมเป็นแล้งก็ปั้นเป็นตัวเป็นตนไป ยิ่งกว่าปั้นอากาศ ปั้นความอุปาทาน ปั้นความไม่มีตัวตน เป็นความยึดสิ่งที่ไม่มีนิรมาณกายเป็นกายที่มี แต่คุณเนรมิตเองสร้างขึ้นมาเอง ทั้งที่มันไม่มี เมื่อสร้างกันให้มีแล้วก็ชวนกันไปบริโภคเป็นสัมโภคกาย คนที่โง่ด้วยกันก็ไปด้วยกันเป็นโลกียะ เป็นคนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้กันทั้งนั้นเลย คน 7 พันล้านคนในโลก คือ คนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้กัน พอฟังเข้าใจชัดเจนขึ้นไหม แต่ไม่ใช่หมดทั้งโลกมันยังมีคนที่เป็นโลกุตระอยู่จำนวนหนึ่ง
ไม้ร่มว่า… ปั้นอันหนึ่งปั้นไม่มีให้มี อีกอย่างปั้นความมีให้ไม่มี สองอย่าง
พ่อครูว่า..ก็สองเป็นหนึ่ง อย่างน้อยก็แก้ให้เป็น 2 ได้แล้วแต่เป็น 4 เป็น 8 เป็น 16
สองปั้น เอามารวมกันเป็นปั้นเดียว ทั้งที่มันมี 2 ปั้น ก็ปั้นแน่นรวมกันเป็นหนึ่งให้เป็นอันเดียว ที่จริงในนั้นมันมีอีกเป็นล้าน แล้วคุณก็ไปหลงรวมกัน ไอ้นี่ก็ปั้น หลงทั้งความมีและไม่มี
ความมีกับความไม่มี ของพระพุทธเจ้าเลิกทั้งความมีและความไม่มี หากท่านยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็รู้ว่าโลกยังต้องมี อรหันต์ทุกองค์ จะเข้าใจว่าทุกอย่างมี 2 ก็แยกความเป็น 2 แล้วอยู่ให้ได้ เหมือนคนตลบแตลง เขายึดว่ามีเราก็อยู่กับมีกับเขาให้ถูกต้อง เขาคิดว่าไม่มีเราก็อยู่กับความไม่มีให้ถูกต้อง แล้วเราต้องอยู่เหนือ เหนือความเจริญของความมี เหนือความเจริญของความไม่มี แล้วพยายามเป็นผู้ที่มีอำนาจอยู่เหนือ ทำให้เราเจริญขึ้น
คุณไม่มีนั้นดีแล้ว ก็อย่าไปยึดความไม่มี แต่คุณก็ต้องอาศัยความไม่มี หากคุณมี ก็อย่าหลงยึดว่าเป็นสิ่งที่มีนิรันดร มันไม่มีหรอก มันจะมาจบที่ความไม่มีของพระพุทธเจ้า จะมาจบที่ไม่มี ที่ไม่มีคุณอาศัยให้เป็นอาหารอาศัยให้เป็นประโยชน์เป็นคุณค่า เสร็จแล้วคุณก็ เร็วกว่า วินาที ทำเป็นประโยชน์เสร็จแล้วเร็วกว่าวินาทีก็จบ ผ่านปัจจุบันที่เร็วกว่าวินาทีนั้นเสร็จแล้วหรือจะช้านานกว่านั้นคุณก็ร่วมทำร่วมเป็นประโยชน์กับเขา เสร็จแล้วก็จบจบแล้วก็ไม่มีมันมาจบที่ความไม่มี สูงสุดจบที่ไม่มี
แต่ก็อย่าลืมว่าตนเองยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เราก็มี เพื่อที่จะทำประโยชน์ให้แก่คนอื่นตลอดเวลาที่เรามีเรา0 อันนี้แหละเป็นตัวจบที่มันยาก สรุปแล้วคนที่ไม่มีสรุปว่ามี
ถีนมิทธะคือ ก้อน จม คนยึดในทิศนี้ก็อันนี้ ต่อมามีทิศตรงกันข้าม
[526] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นอาหารให้อุทธัจจกุกกุจจะ ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความไม่สงบใจมีอยู่ การ
กระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในความไม่สงบใจนั้น นี้เป็นอาหารให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.
[527] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นอาหารให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น
หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย อันเป็นที่ตั้งแห่ง
วิจิกิจฉามีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.
พ่อครูว่า..ใครที่ตีทั้ง 4 อันนี้ไม่แตกอย่างละเอียดไม่ออกก็ไม่จบ คุณก็จะอยู่ในวิจิกิจฉา คำว่าวิจิกิจฉาคือตัวรวมของความโง่ในทุกสิ่งทุกอย่าง กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ
กามกับพยาบาทคือฝ่ายนอกถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ ก็คือฝ่ายใน
พวกที่นั่งหลับตาปฏิบัติก็จะจมอยู่ใน ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ ส่วนพวกที่ไม่ได้ไปหลับตาปฏิบัติก็จะฟุ้งอยู่ใน กามกับพยาบาท
ส่วนผู้ที่ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 ก็จะหมดความเป็นทาส กามพยาบาทก่อน แล้วก็ปฏิบัติสิ่งที่ยังเหลืออยู่ภายใน ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ คือ 2 อย่าง
ปฏิฆะ เทียบง่ายๆก็คือ เท่ากับตัว อุทธัจจะกุกกุจจะ
กามฉันทะเทียบง่ายๆกับ ถีนมิทธะ มันดูดแน่นเกาะกุม
ส่วนพยาบาท ทำให้กระจายทำให้สูญไป ถ้าใครสลับ เอาปฏิฆะมาจับคู่กับถีนมิทธะก็ไปกันใหญ่ สะสมปฏิฆะ ลงไปในถีนมิทธะ
หรือเอากามฉันทะไปคู่กับอุทธัจจะก็ไปกันใหญ่เลยเหมือนกับพวกที่สร้างแสงสีเสียงไปกันใหญ่ พวกนักออกแบบพวกศิลปิน ศิลเปรอะ เอาขี้หมาทาสีก็ขายได้ราคาอะไรอย่างนี้จะไปกันใหญ่
อาหารของนิวรณ์ทั้ง 5 คือความโง่ครบเครื่อง มี 4 อย่างแล้วมีวิจิกิจฉาเป็นตัวสารถีที่พาทั้ง 4 ไป เป็นตัวหัวหน้าใหญ่นำขบวนเลย
อาหารของโพชฌงค์
[528] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นอาหารให้สติสัมโพชฌงค์ ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญบริบูรณ์? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่งสติ
สัมโพชฌงค์มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้สติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญบริบูรณ์.
พ่อครูว่า..สติ มาจาก คำว่า สต แปลว่า 100
สติ นี้คือตื่นทั้งภายนอก ตื่นทั้งภายใน
แล้วตื่นทั้งภายในนี่แหละพวกที่นั่งหลับตาทั้งหลายเขาก็บอกว่าเขาตื่นภายใน แต่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับภายนอกเลย อันนี้ผิดไปทั้งขบวนเลย เพราะว่าชาคริยา นี้จะต้องเป็นผู้ที่ตื่นออกมาข้างนอกเป็นสำคัญ
ถ้าพุทธะ นี้ตื่นทั้งนอกทั้งใน ชาคริยาคือมาตื่นข้างนอก คือ ดำเนินความรู้ให้เป็นไป ชาคะ หรือ ชาคร ให้มีธาตุรู้เดินทาง คร คือเป็นไป จะต้องให้ธาตุรู้ดำเนินไปไม่ใช่มันเกาะนิ่งไม่รู้หรือเข้าไปใส่เซฟภายใน ไม่ใช่ ให้มันออกมาให้มันมีจักษุมีปัญญา มีญาณ วิชชา อยู่กับโลกอยู่กับแสงสว่างดวงอาทิตย์ 5 ดวงก็อยู่กับดวงอาทิตย์ 5 ดวงนี้ ของโลกเรามีดวงอาทิตย์ดวงเดียวก็เอาให้ครบเถอะ ต้องออกมาอยู่ให้ครบกระบวนการที่มีทัังหมดที่คุณอยู่ในบริบทนี้ คุณต้องอยู่ให้ครบบริบทนี้ในกรอบนี้ เอาให้เป็นของแท้ให้มันรู้จบสิ้น สัมมาปฏิเวธ แทงทะลุ สัญญาเวทยิตนิโรธเคล้าเคลียเวทนาให้หมด ละเอียดลออทุกจุด ไม่มีจุดไหนๆที่จุนสีจะไม่แทรกตัวเข้าไปถึงทุกส่วนในเอกเทศทั้งหลาย
เป็นสำนวนของพระพุทธเจ้า เหมือนคุณไปแช่ในน้ำที่มีจุนสี ไม่มีเอกเทศใดที่แยกไปเหลือเป็นเอกเทศ เป็นขบถ รวมไว้ได้หมด รู้หมดทุกจุดทุกอัน จุนสีที่แทรกเข้าไปถึง ทั่วหมดไม่ให้ตกหล่น ไม่ว่าจะเป็นซอกที่ละเอียดลออขนาดไหน
พระพุทธเจ้าขยายความ แช่ในน้ำจุนสี ไม่ให้มีเอกเทศอยู่จุดหนึ่งจุดใดที่เหลือที่แตกต่าง ต้องใช่ทั้งหมด ที่แตกต่างออกไปอีก เป็น เอกเทศ หมายถึงว่าคุณแข็งข้อไม่ได้ เอามารวมกันหมดเป็นหนึ่งเดียวไม่มีใครเป็นกบฏเป็นเศษธุลีของกบฏก็ไม่ได้ เอามารวมหมด
ทั้งหมดจากนับไม่ถ้วนเป็นหนึ่งและจากหนึ่งเป็นนับไม่ถ้วนสามารถแตกสลายกลายเป็นศูนย์ได้ ถ้าคุณแตกจาก 1 เป็น 0 ได้คุณก็ทำไม่ทุกข์ได้เป็นสุขอย่างเดียวได้ แต่สุขอย่างเดียวนี้ไม่เที่ยง ถ้ามีก็ไม่เที่ยง ต้อง 0 จึงจะมีความเที่ยงที่เป็นนิรันดร
ความเที่ยง ที่มีอย่างนิรันดรก็คือ เทวนิยม
ไม่เที่ยง ความไม่มีให้เที่ยงอีกแล้ว นิรันดร สูญ นิรันดร คือ สูญนี่ลเที่ยงเลย สูญนี้นิรันดร นิรันดรนี้คือเที่ยง แต่มันเที่ยงยังไม่มี คือ สิ่งที่ไม่มีนี่มันเที่ยง นี่ละยาก
มหาบัวบอกว่านิพพานเที่ยง บอกว่าใครปฏิบัตินิพพานไม่เที่ยงนี้มันผิด ท่านก็พูดถูกของท่าน เพราะว่าท่านเอาความมี ท่านจึงจะมีไปอีกนิรันดร
พ่อครูว่า..สติปุถุชนมีความตื่นรู้เต็มแต่ก็เต็มไปด้วยอวิชชา ภายนอกภายในไม่มีอะไรมัวซัว ไม่มีอะไรงง กระจ่างชัด ตื่นเต็ม แต่คุณก็ตื่นเต็มไปด้วยรากฐานของอวิชชา คุณก็หลงโลก พอตื่นขึ้นมาก็นึกว่าจะไปตีเมืองไหนดี จะไปเอาเมืองไหนที่มีทรัพย์สินมากจะต้องตีไว้ก่อน มีแต่คิดโลภโมโทสันกอบโกย สร้างตัวสร้างตนให้ยิ่งใหญ่
อาตมาเคยงงอย่างหนึ่งว่า ทำไมผมของโดนัลด์ทรัมป์มีเยอะ ต้องเอามาพับไว้ข้างหน้า ข้างหลังก็ยังมีม้วนไว้ ทำไมมันไม่หัวล้าน เพราะคนคิดทางโลกีย์มากๆมันก็จะหัวล้านน้ำเลี้ยงมันไม่พอ แต่นี่ทำไมผมมีเยอะ ผมปลอมหรือเปล่า
ทุกอย่างในโลกต้องมีคู่มีการเปรียบเทียบจึงจะชัดเจน ถ้าไม่มีสิ่งเปรียบเทียบก็จะไม่ชัดเจนอธิบายยาก เรียนรู้ไม่ได้ ต้องมีสิ่งที่ชัดเจนมาให้ต้องมีดีมีชั่วต้องมีดำมีขาวมาให้ ถ้าไม่เช่นนั้นมันไม่ได้ ขออภัยยกตัวอย่าง
อาตมายกตัวอย่าง ผู้ที่ดำ ยกตัวอย่างมาเทียบกับอาตมาว่าอันนั้นไม่ใช่อาตมาใช่ ก็คืออาตมายกตัวอย่าง อาตมาขาว ทางนั้นคือดำ มหาบัวก็ดีธัมมชโยก็ดีหรือองค์อื่นๆก็ตาม และละไว้ในฐานที่เข้าใจยังไม่อยากจะพูดยังไม่อยากจะหัก มันพูดไปไม่ดีเหมือนกับอาตมาไม่มีปฏิภาณรู้ว่าสิ่งที่ควรจะยกเว้นก็ไม่ยกเว้น เป็นใครก็ให้ละไว้ในฐานที่เข้าใจกันเองก็แล้วกัน ใครแค่ไหนฉลาดผิดบ้างถูกบ้างก็ไม่รู้นะ
สรุปแล้ว ถ้าเชื่อว่าอาตมาถูก สิ่งที่ขัดแย้งตรงกันข้ามกับอาตมา หรือแม้จะไม่ตรงกันข้ามก็ค้านแย้งประมาณไหนก็แล้วแต่ มันก็คือสิ่งที่ไม่ตรงลงตัวเป็นหนึ่งเดียวกัน
ในสติสัมโพชฌงค์ ก็มีความตื่นเต็มร้อย
สติสัมโพชฌงค์ก็ดี สัมมาสติก็ดี สติปัฏฐานก็ดี
สัมมาทิฏฐิ เป็นความตื่นเต็มในความเห็นความรู้ เป็นการเริ่มต้นเป็นความเข้าใจเป็นความรู้ เริ่มรู้เริ่มเข้าใจ เริ่มศรัทธาแล้วศึกษาต่อ ศึกษาต่อก็ยังไม่เต็มร้อย สติปุถุชน สติกัลยาณชน ก็คือสร้างสตินั้นให้เจริญขึ้นเรื่อยๆ สร้างจิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นสติโพชฌงค์หรือสติอาริยะ สติของพระอาริยะที่เต็ม
โพชฌงค์ แปลว่าองค์แห่งการตรัสรู้ หมายความว่า ความตรัสรู้ทั้งหมด ทุกองค์ทุกหน่วย ทุกสิ่ง เรียกว่าโพชฌงค์ คือโพชฌ หรือโพธิ
โพชฌ ที่อยู่ในพยัญชนะตัวที่ยังไม่เต็ม พอรวมตัวกันแล้วเป็นโพธิ หรือโพธะ รวมเป็นหนึ่ง แน่น
โพชฌ เป็นองค์แห่งการปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติจบลงก็เป็น โพธิ หรือโพธะ
เอาพยัญชนะมาขยายความสภาวะให้ละเอียดลงไปอีก
โพธิ ก็เต็มกว่า โพธะ
อะ อา อิ ไม่ต้องขยายเพิ่มถึง โพธุ เอาแค่โพธิ ก็พอแล้วประเดี๋ยวมันจะทะลุเกินไป ในบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติมันจะมากไป
ขอเริ่มต้นด้วยสติ ในโพชฌงค์ สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ ต่อมาก็มีวิริยะสัมโพชฌงค์ แล้วก็มีปีติสัมโพชฌงค์ แล้วก็เป็นปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ แล้วก็มีสมาธิสัมโพชฌงค์ แล้วถึงอุเบกขาสัมโพชฌงค์ เป็นโพชฌงค์ 7
นี่แหละเป็นอาหารที่ทำให้สติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วก็เจริญบริบูรณ์
[๕๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นอาหารให้ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญบริบูรณ์? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลและ
อกุศล ที่มีโทษและไม่มีโทษ ที่เลวและประณีต ที่เป็นส่วนข้างดำและข้างขาว มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญบริบูรณ์.
พ่อครูว่า.ถ้าคุณจับคู่ไม่ถูกเอา เอาเลวไปคู่กับส่วนที่ข้ามตระกูลก็จะงง ผู้ที่รู้ด้วยบริบทด้วยกรอบของมันเทียบกันอยู่ในวงกรอบของมัน เช่น 2 ชัดเจนแล้วก็จะไปเทียบ 3 4 8 ก็ต้องชัดเจน ในตัวใดๆๆๆกว่าจะเทียบถึง 8 ก็ต้องชัดเจนใน 7 ก่อน เอาไปเทียบทีละคู่แล้วก็จะชัดเจนทุกอย่าง แต่ถ้าไปหลงเทียบแล้วมันไม่ใช่ คุณจะเทียบกับ 3 ก็ต้องรู้ทั้ง 3 ตัวนี้ให้ชัดเจน คุณจะไปเทียบกับ4่ก็ต้องรู้ 4 นี้ให้ชัดเจน
จะเอา 1 ไปเทียบกับ 2 จะเอาไปเทียบกับ 4 เอาไปเทียบกับ 3 คุณจะได้ไม่สับสน
จากคู่ นี่คือเทียบเลขคู่ เลขคี่ก็เทียบเลขคี่ จากคู่จากคี่ต่อมาคู่ยกกำลังคู่ คี่ยกกำลังคี่ คุณก็ต้องรู้เป็นหมวดหมู่ไปอีก
2 ถ้า 2 คู่มันเป็น 4 นะ ถ้า3 คู่ 3 ก็เป็น 9 นะ
แต่ถ้า 3 คู่ 2 ก็แค่ 6 ถ้า 3 ยกกำลัง 2 ก็เป็น 9
เอามุมเหลี่ยมเส้นแสงเรขาคณิตสังขยาเลขมาสื่ออธิบายสภาวะ ซึ่งมันไม่เป็นแท่งไม่เป็นเส้นไม่มีก้อนอย่างที่เราพูดกันนะที่เป็นสภาวะธรรมน่ะ แต่คุณจับตัวมันถูกใช่ไหมก็เข้าใจ ถ้าจับตัวไม่ถูกก็ไม่เข้าใจ
ขอสรุป ในโพชฌงค์ 7 ตั้งแต่สติถึงอุเบกขา
สติ ธรรมวิจัย วิริยะ 3 ตัวนี้ ถ้าคุณมีสติคุณไม่มีการวิจัยธรรม แยก 2 แยก 4 แยก 9 แยก 3 อะไรต่างๆนานา แล้วคุณไม่พากเพียรทำ ให้ได้ละเอียดลออคุณก็จะไม่ได้สัดส่วนของการเก็บรายละเอียดที่คุณจะรู้ต่างๆ ก็จะรู้ทื่อ เหมา อะไรก็ รู้ นิ่ง เฉย มันก็แคบ มันก็ไม่ละเอียดลออมันก็ไม่ครบถ้วน มันก็ตื้อๆทื่อๆบื้อๆอยู่อย่างนั้นจึงต้องแยกออกไปอีก
เมื่อแยกออกไปก็ได้เป็น 2 คู่ 3 คู่ 4 คู่ คุณได้เพิ่มขึ้นเมื่อใดๆ คุณก็มีปีติ เมื่อนั้นๆ ดีใจที่คุณได้เจริญ ถ้าดีใจ จะต้องเป็นคู่ช่วย ช่วยให้คุณมีกำลัง
ถ้าคุณทำงานแบบไม่มีปีติ คุณไปช้า อืดเข็นอืด ไม่มีปีติ มันก็จะฝังรากอยู่ตรงนั้นเคลื่อนไม่ออก ปีติ เป็นตัวขับเคลื่อนที่ดี
ถ้าเผื่อว่าคุณไม่มีปิติขับเคลื่อน คุณทำอะไรก็ไม่ไป ไม่เจริญ
สติ ธัมมวิจัย วิริยะ เป็นสามเส้า ที่คุณต้องพากเพียรแยกแยะให้ได้ แยกแยะได้ คุณก็จะเข้าใจ คุณก็จะเห็น คุณก็จะรู้ คุณก็จะเจริญ คุณก็จะมีความดีใจเป็นปีติ
ปีติ เป็นอาหารตัวที่จะกระตุ้นให้เกิดการเดินอยู่เสมอ
คนที่แห้งเหี่ยว ไม่ตื่นเต้น ไม่มีปิติ ก็มีแต่จมกับจม จมมากเข้าก็เน่า ไม่เน่าก็แห้งๆๆ
สู่แดนธรรม นิมนต์พ่อท่านจิบน้ำ เดี๋ยวคอแห้ง
พ่อครูว่า…ก็ตกลงเป็นว่า อาหารของโพชฌงค์ ใน นิวรณ์ 5 กามกับพยาบาทข้างนอก ถีนมิทธะกับอุทธัจจะข้างใน ที่จริงมันไม่ได้แยกกันทีเดียว มันจับกลุ่มก้อนเป็น ถีนมิทธะ ถ้ามันฟุ้งกระจายก็เป็น อุทธัจจะ
กามฉันทะของคุณ จับตัวเป็นก้อนหรือฟุ้งกระจายก็ได้
พยาบาทของคุณ จับตัวเป็นก้อนหรือจะฟุ้งกระจายก็ได้
ความหมุนรอบเชิงซ้อนที่กลับไปกลับมา ถ้าคุณไม่แน่ไม่ชัดเจน ยังมีวิจิกิจฉายังไม่สมบูรณ์ที่เป็นความรู้รอบอย่างสมบูรณ์แบบอย่างชัดเจน คุณก็จะมีความไม่ละเอียดลออความไม่ครบ จึงต้องพยายามพิจารณาให้รอบให้ถ้วนให้ดี
สติต้องตื่นข้างนอกเป็นหลัก เป็นพลังใหญ่ พลังข้างในจิตนั้นเป็นพลังงานอยู่ในตัวเองเท่านั้น มันไม่สามารถที่จะไปทำงานร่วมกับอันอื่นได้
ฉะนั้นเราจะต้องมีพลังงานภายนอกประสานกับตัวพลังงานภายในเรา จับคู่กัน แล้วข้างนอกกับข้างใน ต้องเป็นหนึ่งเดียวกันได้ จับคู่กันจนเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ถึงจะเรียกว่า กาย
ทเว คำว่าเทวะ แปลว่า 2 อวิชชาคือตี 2 นี้ไม่แตก พอคนที่แยก 2 นี้ออกได้ จึงเป็นรูปเป็นนามเป็นกาย แยกออกแล้วเป็น กายะ เป็นรูปเป็นนาม
รูปนามก็คือเราเอง
-
สิ่งที่ถูกรู้ 2. ตัวรู้ตัวประธาน