621229_ทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 7 ปัญญาสูตรพิสดาร ตอน 1
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1S2Hw6P9yoG7XNk7xk08pQbGmDYVuFK9zO0hA_eaXjRU/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=10vMGtK0nuTMrZORUs8Pa1HqNWriLnOXo
พ่อครูว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก อาตมาเกิดมาในชาตินี้แล้วมารู้สึกจริงๆว่าชีวิตเรามีคุณค่าที่ได้นำคุณค่าอันสุดยอดอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าเอามาแก้ไขเอามาประกาศขึ้นมาใหม่ ที่ใช้คำว่าประกาศขึ้นมาใหม่ก็เพราะว่าสัจจะของพระพุทธเจ้าความจริงคือโลกุตรธรรมมันได้เสื่อมหายไปหมดแล้วจากคนไทยจากพุทธศาสนิกชนคนไทย มันก็เลยจำเป็นที่จะต้องพยายามนำสิ่งเหล่านี้มาประกาศไปสถาปนาลงไปในมนุษยชาติในพุทธศาสนิกชนโดยเฉพาะคนไทยใหม่ เพราะมันไม่มีมันหายไปมันลบเลือนไปจนแทบจะไม่เหลือร่องรอยโลกุตระ
อาตมาจึงชัดเจนในตัวเองว่าตัวเองเป็น สยังอภิญญา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เป็นภิกษุผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่จะได้มาประกาศโลกนี้โลกหน้าที่รู้ได้ด้วยตนเอง รู้ได้ด้วยตนเองภาษาบาลีคือ สยังอภิญญา ไม่ใช่รู้ได้ด้วยตัวเองอย่าง สยัมภู ที่เป็นแบบพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของธรรมะโลกุตระ เป็นธรรมะสามีเป็นเจ้าของ แต่อาตมานี้เป็นเจ้าของในระดับโพธิสัตว์ คือมีมาด้วยตนเองในตนเอง คำว่าโดยตนเองในตนเอง คำว่าตนเองนี้
เริ่มจากปัจจัตตัง ปัจจะคือแจ้งสว่าง รู้ได้ด้วยตนเอง หมายความว่าตัวเองสัมผัสแตะต้องตัวเองเกิดขึ้นในตัวเองเรียกว่าปัจจัตตัง
แล้วก็มาเป็นปัจเจก จากปัจเจกแล้วก็จะมาเป็น สยังอภิญญา จากนั้นก็จะเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า มี 5 ขั้น ปัจจัตตัง ปัจเจก สยังอภิญญา ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ สัมมาสัมพุทธะ
จะมาเป็นสมณะพราหมณ์ในข้อที่ 10 ของสัมมาทิฏฐิ ที่รู้ที่ชัดจริง เพราะสัมมาทิฏฐิทั้ง 10 ข้อ แน่นอนผู้ที่เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สยังอภิญญา ก็จะต้องรู้ถูกต้องตั้งแต่ข้อหนึ่งของสัมมาทิฏฐิ จนถึงข้อที่ 9 ว่าคืออะไร แล้วก็เอามาอธิบาย เอามาขยายความ
เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).
-
ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ . ทินนัง) . . . .
-
ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง)
-
สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง)
-
ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ .
(อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก) . .
-
โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .
-
โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ .
-
มารดา มี (อัตถิ มาตา) . . .
-
บิดา มี (อัตถิ ปิตา) . .
9 . สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา) . . .
-
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) . . . . .
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 257)
พ่อครูว่า…คนที่เกิดมาทุกวันนี้ไม่รู้โลก ไม่รู้ทันโลก แล้วจะอยู่เหนือโลกอย่างไรไม่รู้ จะอาศัยอาหารอย่างไร
ถ้ามีความรู้ว่าเราอาศัยอย่างนี้จะได้ดี คนนั้นก็อยู่รอดอยู่ดี อยู่อย่างเจริญอยู่อย่างประเสริฐ แต่ถ้าไม่รู้ก็อยู่อย่างไม่ดีไม่เจริญไม่ประเสริฐ ยิ่งเข้าใจผิด อย่างคุณทักษิณอย่างธัมมชโยก็เข้าใจผิด หรืออย่างโดนัลด์ทรัมป์ เข้าใจว่าจะมีอำนาจจะร่ำรวยที่สุดในโลก จะยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ก็เลยไปกันอย่างที่เห็น หลงทาง หรือคนที่มุ่งหมายไปร่ำรวยไปแย่งชิงไปเอาเปรียบเอารัด รวย รวย รวย ก็คือไม่รู้ว่าตัวเองทำกรรมที่มันเป็นกรรมชั่ว เขาก็ปฏิบัติประพฤติไปในทางชั่ว ฟังดีๆ ฟังภาษาไทยแล้วใครยังเป็นยังรู้สึกว่าเรายังมีอาการอย่างนั้นลักษณะพฤติกรรมอย่างนั้นให้รู้สึกตัว แล้วเลิกลดละ สะพัดออก มีชีวิตเป็นคนจน เหมือนอย่างพระพุทธเจ้า เกิดมาก็มีบัลลังก์เป็นลูกกษัตริย์ก็ไม่เอา ทิ้งมาเลยทันที ท่านมีบารมีขนาดนั้น ถ้าเราไม่มีบารมีขนาดนั้นคงจะทิ้งได้ยาก แต่คนที่มีบารมีแล้วก็สบายๆไม่ได้ติดยึดอะไร
เพราะฉะนั้นจะเข้าใจจะรู้โลกนี้ ก็ยังไม่รู้ โลกหน้าก็ไม่รู้จักโลกหน้า ยิ่งโลกหน้าเป็นโลกโลกุตระแยกเป็นโลกกัลยาณชน โลกของอาริยชน เข้าใจพฤติกรรมของเรา เป็นพฤติกรรมของกัลยาณชนเป็นคนดีหรือยัง เป็นพฤติกรรมที่เป็นโลกุตระ ได้หรือยัง ก็ต้องรู้ต้องเข้าใจแล้วก็ทำ แล้วมาบอกสอนผู้อื่นให้ทำตามได้ อาตมาสอนให้ผู้อื่นทำตามได้จนมีผล มีคนเอาชีวิตมาอยู่อย่างนี้เลยอยู่รอด อาตมารู้จัก มาตา ปิตา รู้จักแม่รู้จักพอ
แม่คือศีล พ่อคือปัญญา เอาพ่อและแม่มาช่วยกันเอาศีลกับปัญญามาช่วยกันให้เกิดจิตใจที่เป็นสัตว์โอปปาติกะ จิตของพวกเราก็เป็นสัตว์โอปปาติกะ เกิดใหม่เกิดเป็นกัลยาณชนเกิดเป็นโลกุตระบุคคลได้ เกิดในตัวเรานั่นเอง เป็นการอุบัติเกิดที่จริง ได้สำเร็จ นี่คือความรู้ความสามารถที่แจกแจงเปิดเผยให้คนรู้เข้าใจตามปฏิบัติตามมีมรรคผลตาม สิ่งนั้นก็บริบูรณ์สมบูรณ์ อย่างอาตมารู้ตั้งแต่ทินนังจนถึงสัตว์โอปปาติกะอย่างที่ได้กล่าวอธิบาย พวกเราพอปฏิบัติได้บ้างแล้วใช่ไหม ….อาตมาไม่ได้ขี้ตู่นะ
ทำไมยืนยัน? ทำได้ มั่นใจว่าทำได้
ศาสนาพุทธก็ยังเหลือเชื้อยืนยันเป็นความจริงอยู่ได้ อาตมาได้นำเอาธรรมะพระพุทธเจ้าจากพระไตรปิฎกต่างๆมาไขความไป พวกเราเกิดปัญญา อาตมาเอาศีลสมาธิปัญญามาอธิบาย ว่าศีลคืออย่างนี้ พวกเรามีศีล 5 ไม่ฆ่าสัตว์ ยกอธิศีล ไม่ฆ่าสัตว์แล้วก็ต้องไม่กินเนื้อสัตว์ พวกเราก็ชัดเจนขึ้นมีหลักปฏิบัติที่จับต้องได้ สอนกันมาจนกระทั่งเคยชินกันว่า อย่าฆ่าสัตว์ แต่มันไม่สะดุดไม่มีอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้สะดุด แต่เมื่อบอกว่าไม่ให้กินเนื้อสัตว์ก็สะดุดใจขึ้นมันเป็น อธิศีล พอสูงขึ้นละเอียดขึ้นก็จะได้ปัญญาเพิ่มขึ้น ปฏิบัติ อธิจิตได้เพิ่มขึ้นก็จะมี อธิปัญญา
คำว่า ปัญญา อาตมาก็พยายามเน้นย้ำ ว่ามันคืออะไรกันแน่ ตอนนี้เขียนเป็นหนังสือ เขียนไปจนกระทั่งคอมพิวเตอร์มันรวน เขียนต่อไปไม่ได้ ก็ให้สมณะช่วยแก้ไข
คำว่าเฉกตา หรือเฉกา แปลว่าความฉลาด แต่ก่อนมีคำนี้คำเดียวที่ใช้กันอยู่ในสังคมชุมชน เมื่อพระพุทธเจ้ามาอุบัติจึงมีคำว่าปัญญาขึ้นมาหมายถึงความฉลาดที่เป็นโลกุตระ ไม่ใช่ความรู้ความฉลาดที่เป็นโลกีย์ แล้วก็เอามาใช้ พอใช้แล้วคนก็ชักลาม เหมือนเล่นกับหมา หมาก็เลียปาก เล่นกับสาก สากก็ต่อยหัว ได้เข้ามาใกล้ผู้ที่สูงผู้ที่เจริญก็ชักลาม ภาษาไทย คำว่าลาม
คำว่าปัญญาถูกลาม คำว่าเฉโกก็เลยเท่ากันกับปัญญา ตีเสมอกันเลย ดีไม่ดีจะเกินเลยหน้าปัญญาไปอีก
ปัญญาสูตร
[92] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ 8 ประการ ปัจจัย 8 ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงามไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว 8 ประการเป็นไฉน
1.ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรักและความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 1 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว
พ่อครูว่า…ผู้ที่เข้าใจรู้จริงจะเกิดหิริโอตตัปปะถ้าหากเราเข้าใจธรรมะผิด แต่ว่าผู้รู้คนไทยที่ได้ยินอาตมาพูด เขาคงไม่รู้สึกไม่เข้าใจ ว่าตนเองเข้าใจผิด รู้สึกสะดุดละอาย ในบรรดาผู้รู้ทั้งหลายในสังคมศาสนาพุทธทุกวันนี้
อาตมาจึงต้องยืนยันว่าอาตมาเป็น สยังอภิญญา ตามที่พระไตรปิฎกได้พูดเอาไว้ ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 คนอื่นอ่านเจอเขาก็ไม่มีการสะดุดเพราะไม่มีอะไร เขาไม่รู้เรื่อง แต่อาตมารู้เรื่อง ว่าเราอยู่ตรงนี้หรือ นี่เรา ถ้าไม่ใช่เราแล้วจะใครหนอ 2,500 กว่าปีมาแล้ว
ผู้ที่ฟังด้วยดีจะสะดุดที่อาตมาพูด ว่า ช่างพูดได้ขี้ตู่ตัวเองหรือเข้าท่าเหมือนกันหนอ ผู้ที่ได้ทำแล้วรู้สึกดูถูกแต่พอรับรู้ได้ก็จะละอาย เข้าไปตั้งความละอายความเกรงกลัว ความรัก ความเคารพไว้อย่างแรงกล้า คนที่จะมีภูมิอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มันไม่ง่ายเลย ถ้าหากเป็นได้อาตมาจะสบายกว่านี้ แต่นี่ไม่ง่ายเลย เพราะฉะนั้นถ้าไม่เกิดอาการนี้คุณก็จะไม่ได้ปัญญา ถ้าเขาเข้าใจจะสะดุ้ง รู้สึกเลย มันน่าสงสารคนทุกวันนี้ที่ยึดถืออุปาทานผิดไปไกล แต่อาตมาก็ไม่ท้อจำเป็นจะต้องมาพูดขยายความ อาตมาไปอีกนานเท่าไหร่ก็สบาย มีพระไตรปิฎกเป็นหลักฐานอ้างอิงยืนยันได้ เชื่อไหมว่าอาตมาอายุ 151 ปีก็ยังไม่หมด
โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้านั้นใครที่เป็นปุถุชนเป็นเทวนิยมเป็นคนโลกีย์ จะรู้เองไม่ได้เลยจะต้องได้ยินจากพระศาสดาหรือได้ยินได้ฟังจากผู้ที่อยู่ในฐานะของครู ได้ยินจากสัตบุรุษ เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังไม่ได้พบสัตบุรุษ ไม่ได้ยินจากสัตบุรุษก็เป็นห่วงตลอดเวลาไม่ได้รับอาหารที่จะทำให้เกิดโพชฌงค์ต่อไปเลย พระพุทธเจ้าตรัสไว้อาหารเป็นอาริยสัจ อาหารเป็นโพชฌงค์ 7 เพราะอันนี้เป็นอาหาร สติปัฏฐาน 4 โพชฌงค์ 7 เป็นอาหาร แต่พวกคุณไปกินอาหารที่เป็นนิวรณ์ 5 อยู่ตลอดเวลา แล้วยังเล่นทุจริต 3 เป็นอาหารอีก ไม่พอยังไม่สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 อีก ดีไม่ดีไปนั่งหลับตาอีกทั้ง 5 ทวารเลย ปิดทวารอีก แล้วจะบอกว่าบรรลุอรหันต์ตรงทวารใจอย่างเดียวนี่แหละ นั่งจนตูดแข็งตูดด้าน พูดอย่างไรก็ไม่เคลื่อนไม่คลายพูดอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่าศาสนาพุทธไม่ได้ไปนั่งหลับตาอยู่อย่างนั้น พูดไปเถอะ มีหูหรือเปล่าคน มีหูก็เหมือนกับเป็นหูกระทะหูหม้อไห หูที่ไม่ได้มีแก้วหูมีประสาทหู ไม่ได้มีรูหูด้วยซ้ำไป ก็เลยไม่เข้า หรือมีรูหูก็เข้าหูขวาทะลุหูซ้าย
สู่แดนธรรมบอกว่า… เขาปิดหูปิดตาปิดจมูก เขาก็บอกว่าต้องเบิกเนตรพระพุทธเจ้า
พ่อครูว่า…เจ้าประคุณเอ๋ยอวดดีอย่างไร จะไปเปิดตาพระพุทธเจ้าไปเบิกเนตรพระพุทธเจ้า พูดแล้วเหมือนตลกออกนอกลู่นอกทางไปไกล ไม่มีทางที่เขาจะได้แม้กระทั่งกายวิเวก กายวิเวกของเขาคือเอาร่างกายออกป่า เป็นมิจฉาทิฐิตั้งแต่ข้อที่ 1 นำตนออกสู่ป่านึกว่ากายวิเวกแล้ว ข้อที่ 2 กายวิเวกก็นั่งสมาธิ ถ้าหากนั่งสมาธิเป็นเตวิชโช ก็ได้ แต่ต้องเข้าใจคำว่าฌาน คำว่า อธิจิต คุณไม่ต้องนั่งหลับตาหรอก ลืมตามีภายนอกก็มีจิตวิเวกได้ หากลืมตามีกายภายนอกด้วย ในคุหัฏฐกสุตตนิทเทส อธิบายไว้ตอนท้าย มีภายนอกด้วย
แต่จิตวิเวกไม่มีภายนอกก็เลยข้องอยู่ในถ้ำอันไกลแสนไกล ยิ่งอุปธิวิเวกก็ปิดประตูเลยเพราะว่า อุปธิวิเวกคือ ขันธ์ คืออภิสังขาร ก็ทำไม่เป็นก็เลิกเลย นี่คือผู้ที่ไกลจากวิเวก
วิเวกนั้นไม่ได้แปลว่าปัสสัทธิ วิเวกแปลว่าสงบ ใช้คำไทยว่า สงัด
พอเข้าใจคำว่าสงัดเป็นสงบก็แย่ สงัดคือเงียบเสียง สงัด ไม่ได้ทำความหยุดสงบเรียบร้อยหมด สงัดคือหลีกเร้นออกจากความอึกทึกวุ่นวาย
2.เธออาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพไว้อย่างแรงกล้านั้นแล้ว เธอเข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่านเหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง และบรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการแก่เธอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 2 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
พ่อครูว่า…เทศน์ออกอากาศไปเขาก็ไม่ฟังมันไกลแสนไกลจากวิเวก ข้องอยู่ในถ้ำ
กายต้องมีทั้งภายนอกและภายในแยกกันไม่ออก สามารถแสดงออกอย่างแคล่วคล่องว่องไว แต่จิตใจสงบคือปราศจากกิเลส กายกรรมจะแรงจะเร็วจะดังอย่างไร วจีกรรมก็อย่าให้พูดคำหยาบหรือส่อเสียดเพ้อเจ้อ ให้เป็นคำที่จริง ไม่ปด กายวิญญัตวิจีวิญญัติ แต่สงบ ไม่ใช่ทำกายวาจาให้แข็งทื่อ แล้วจิตสงบเขาก็ให้หยุดคิด ไปอ่านดูของอาจารย์บูรพา ผดุงไทย การสงบเป็นฌานสมาธิคือหยุดคิด แล้วปัญญาจะโผล่ขึ้นมาเองอธิบายไปอย่างนั้น
แทนที่จะทำให้เกิดปัญญาคือจิตไม่มีกิเลสแล้วจิตก็จะสงบ แต่นี้ไปนั่งสงบแล้วจะเกิดปัญญา เขาเข้าใจ อธิศีล อธิจิต ปัญญาจะเกิดตาม ที่จริงปัญญาเป็นธาตุรู้ที่รู้ไปตลอดการปฏิบัติศีลปฏิบัติจิต ครบถ้วนปัญญาบริบูรณ์ก็เรียกว่า ปัญญา
ปัญญาเป็นยาดำ ไม่ได้ละไปจากทุกๆอิริยาบถทุกอย่าง
สู่แดนธรรม ผมเคยเข้าใจว่า ศีลกับปัญญาทำให้เกิดสมาธิ
พ่อครูว่า…ศีล คือข้อต้นของจรณะ 15 ปัญญาคือข้อที่ปลายของ วิชชา
วิชชาคือปัญญา แม้ในจรณะ 15 ปัญญาก็อยู่ที่ข้อ 11
ฌานต้องมีปัญญา ฌานไม่มีปัญญาไม่มี ฌานคือพลังงาน ที่เราสร้างพลังงานขึ้นมา ละลายพลังงงานไฟราคะไฟโทสะไฟโมหะได้
1 มันจะต้องเป็นไฟ ไฟแบบพิเศษที่เป็นไฟฌาน แต่เขาแปลฌานว่าคือการเพ่ง จะว่าเพ่งก็ต้องจดจ่อในการทำการศึกษาทำใจในใจไม่ใช่ไปเพ่งกสิณดินน้ำไฟลม เพ่งข้างนอกเหมือนนักสะกดจิตมันไม่ใช่ เพ่งต้องรวมที่หทยรูปจิต คุณต้องทำให้จิตมีบทบาทมีพลังงาน ไม่ใช่เพ่งให้เป็น static แต่ต้องเพ่งให้เกิด dynamic ไม่ใช่เพ่งให้เป็นก้อนให้หยุดนิ่ง มันเข้าใจคนละทิศทางก็เลยไปกันใหญ่ คนละเรื่องเลย
เพราะฉะนั้นทำไฟฌานได้แล้ว มีพลังงานจริง มีพยัญชนะเอาไปแทนสภาวะธรรม เอาภาษาไทยว่าคือไฟเอาภาษาบาลีว่า ฌาน ภาษาไทยก็คือพลังงานอันนั้นไฟเป็นสภาวะอันนั้น คุณก็ทำใจในใจของคุณเป็นมนสิการเป็น ทำการโยนิโสมนสิการ ฟังธรรมะแล้วคนก็เอาไปศึกษาเมื่อเกิดการกระทบสัมผัสคุณก็พยายามทำใจในใจให้มันเกิด
1 รู้ มีพลังงาน ฌาน ไฟ เป็นพลังงานธาตุ ฌานคือปัญญา ปัญญาคือฌาน ฌานไม่มีปัญญาไม่ได้ ปัญญาไม่มีฌานไม่ได้ ก็จะรู้สภาพพลังงานที่เราทำถูกต้องมีประสิทธิภาพเข้าไปรู้จิตในจิต เข้าไปรู้เวทนาในเวทนา แยกเวทนาออก แยกตัณหาออกจากเวทนาได้ ไฟ เข้าไปแยก เทวะ แยกคู่สองออก โอ้ อันนี้คือตัณหา แยกตัณหาได้ แล้วจึงทำลายตัณหา
เหมือนตำรวจจะไปจับโจรผู้ร้าย ต้องจับให้ถูกตัวของโจรไม่ใช่จับแพะมาเข้าคุก มันผิดตัวผิดตน ตำรวจต้องไปหาตัวจริงเลยตัวแท้เลย ยิ่งไปจับตัวการใหญ่ได้เลย แต่ถ้าหากไปจับได้แค่ลูกน้องของมันมา ก็ไม่รู้จัก ผู้บงการ ได้แต่ลูกน้องระดับลิ่วล้อ แต่ลิ่วล้อ ไม่เคยเห็นหัวหน้าใหญ่ จางซูเหลียง นิยายเรื่องเล็บครุฑของพนมเทียนเลย
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สู่แดนธรรมว่า..นิมนต์ขยายวูปสโมสุขต่อ
พ่อครูว่า อุปสมะหรือวูปสมะ แปลว่าสงบ แต่เอาภาษาไทยมาใช้อธิบายไม่พอ สงบคือจิตของเราไม่มีกิเลสมากวนเลย นี่คือจุดสำคัญเนื้อแท้ไม่มีอะไรอย่างอื่นมาก
จิตกับกิเลสจะว่าตัวเดียวกันมันก็ตัวเดียวกัน จะว่าไม่ใช่มันก็ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าบอกว่ามันไม่ใช่ตัวเดียวกับจิตหรอก มันเป็นแขกมันเป็นอาคันตุกะ มาทำทียึดครองจิตเรา เราโง่ให้มันยึดครองจิตใจเรามานาน เมื่อเรารู้แล้วว่ามันมาบงการมาเป็นเจ้าของสั่งการอยู่ ก็กลายเป็นตัวเรา กลายเป็นเจ้าหนี้มาบงการ ให้เป็นสัตว์นรกอเวจีไปใหญ่เลยไม่รู้ตัว พอรู้ตัวก็กว่าจะแก้กลับ กว่าจะมาทำคืน ก็ยากแสนยาก
คำว่า กาย คำว่า จิต คำนี้
อาตมาก็พยายามอธิบาย พระพุทธเจ้าท่านอธิบายไว้ผู้จะมาบวชศาสนาพุทธต้องไปนิพพาน ผู้ที่เริ่มบวชพระพุทธเจ้าก็ให้ศึกษาการแยกกายแยกจิตก่อน
เดี๋ยวนี้ทำไม่เป็น แยกกายแยกจิต เขาก็ไปทำกันนั่งสมาธิแล้วให้ถอดกายทิพย์ออกไป กายที่ถอดออกไป กายที่ถอดไปก็คือจิตถอดออกไปจากร่าง เสร็จแล้วก็ไปมองกลับมาที่ร่างเห็นร่างตัวเองนั่งนิ่งๆอยู่ เขาก็บอกว่าทำได้เก่ง แล้วกายที่ถอดออกไปได้นั่นคือจิตวิญญาณของเรา ส่วนกายก็คือร่างที่นั่งอยู่ตรงนั้นเราก็เห็นตัวเรานั่งอยู่ เขาบอกว่านี่แหละคือความสำเร็จของการแยกกายแยกจิตไปนู่น เป็นเดียรถีย์ไปเลยแบบนั้นคือการเข้าใจแบบเดียรถีย์ ซึ่งมันง่ายที่ไหน พยายามทำมันไม่ได้ทำง่ายๆนะมันเป็นอุปาทาน คนที่ไม่มีอุปาทานทำไปเถอะก็จะไม่ได้เลยนึกว่าตัวเองไม่มีบารมี ที่จริงคุณแยกไม่ได้ทำไม่ได้เหมือนที่เขาบอกนั่นแหละคนมีบารมี แต่คนไปถูกครอบงำทางความคิดต้องแยกให้ได้ให้จิตเราออกไปเห็นตัวเรานั่งอยู่ คนนี้แหละเก่งชะมัดเลย คนนี้ยอดเยี่ยม เอาไปโชว์ให้ลูกหลานเพื่อนฝูงคนอื่นบอกว่าแยกกายแยกจิตได้แล้ว ขี้หมาแหละครับ คนละเรื่องเลย
ดุลเพชรว่า..แยกกายแยกจิตได้ก็เลยเชือดคอตัวเองตายเลย ปรินิพพานเลย
พ่อครูว่า…นี่คือความหลงผิดน่าเวทนามากสอนกันอย่างนั้น
3.เธอฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมยังความสงบ 2 อย่าง คือ ความสงบกายและความสงบจิต ให้ถึงพร้อม ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 3 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
พ่อครูว่า…กายสงบ จิตสงบ คือกายที่มีกิเลสน้อย กายหมายถึงครบทั้งภายนอก ครบทั้งภายในกระทบสัมผัสภายนอกอย่างไรกิเลสของคุณก็ไม่มีเข้ามาร่วม แม้ในปัจจุบันที่ทำได้ชั่วคราวเป็นตทังคปหาน ชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดี เราก็รู้ว่ากิเลสมันมี เรามีประสิทธิภาพธาตุรู้ รู้ว่ากิเลสโผล่หน้า หากปัญญามีฤทธิ์มากกว่ากิเลส เจอหน้ากันปั๊บ กิเลสมันก็หลบเลยนี่คือประสิทธิภาพของปัญญา
สู่แดนธรรมว่า..การไม่มอบตนในทางที่ผิด โดยออกมาจากสังคมเก่าไม่มอบตนในทางที่ผิด ถือว่าเรามีกายสงบ จิตสงบไหม?
พ่อครูว่า.มีสิ.แล้วคุณต้องมารักเคารพมาเกรงกลัวชัดเจนเลย ถ้ามาอย่างไม่เคารพไม่เกรงกลัว มาอย่างอาบน้ำกลัวเปียก แล้วคุณก็ไม่ได้อาบน้ำฉันใดก็ฉันนั้นคุณมายังไม่มีความรักไม่มีเคารพไม่มีเกรงกลัว ดีไม่ดีมาตั้งเป้าลองของไว้เลย ดูซิ เอ็งจะพูดอย่างไรจะว่าอย่างไร อย่างนั้นไม่เข้าท่าแน่ นึกว่าจะใกล้เคียงกับที่ข้ารู้ไหม
อย่างนั้นกายไม่สงบ จิตก็ไม่สงบ ตั้งท่ามาเป็นศัตรูมาเป็นคู่แข่ง มาจับผิด 100% คุณเข้ามาอย่างนี้ คุณต้องเทน้ำออกจากถ้วยชาออกให้หมดแล้วมารับ ไม่ใช่มาอวดดี ไม่ใช่มาแสดงตัวเต็มถ้วยเป็นน้ำชาเต็มถ้วย ไม่ใช่
อย่างพวกคุณมาด้วยความรักความเกรงกลัวความละอาย เอาถ้วยชาเทน้ำทิ้งมา คุณก็ได้ แต่ขนาดนั้นก็ยังไม่ง่ายเพราะชามันมีอยู่ ถ้วยรั่วอีก มีสารพัด
คนที่มีกายสงบจิตสงบ กาย รวมถึงภายนอกชัดเจน จิตก็เน้นภายใน จิตกับกายแยกกันไม่ได้ เน้นให้รู้มีนัยสำคัญเท่านั้น ให้รู้ว่านี่คือจิต เน้นจิตแต่ทิ้งกายไม่ได้
การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ขาดภายนอกไม่ขาดภายใน เช่น สายที่นั่งหลับตามิจฉาทิฏฐิขาดภายนอกไปหมดเลย เขาจะทำจิตในจิตให้หมดกิเลสก็ไปนั่งหลับตาเขาทิ้งภายนอก 5 ทวารไว้ แล้วก็งมกับการนั่งสมาธิทำจิตอยู่อย่างนั้นไปกันใหญ่ทิ้ง 5 ทวารไปหมด
เริ่มต้นจากขั้นแรก เบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์คือการสงัดจากกาม เขามีที่ไหนเบื้องต้นเริ่มต้นแห่งพรหมจรรย์ในการสงัดจากกาม แล้ว กามคุณ 5 มันอยู่ภายในหรือ กามคุณ 1 ไม่มี
เพราะฉะนั้นคุณจึงไกลแสนไกลจากวิเวก เพราะข้องอยู่ในถ้ำแห่งใจ พวกนั่งหลับตาคือพวกไกลจากวิเวกตลอดกาลนิรันดร คือพวกนอกรีตของศาสนาพุทธ เดียรถีย์ นั่งหลับตาปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้านอกรีตหมด
ศาสนาพุทธนั้นแม้คุณลืมตาปฏิบัติธรรมกิเลสกามลดคุณก็ไม่ต้องหลับตา หมดกามาวจร หมดกามภพ เป็นอนาคามี คุณก็ลืมตาอยู่บนรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอยู่กับกามภพ มีกามาวจร แต่กิเลสคุณไม่มีแล้วเหลือแต่กิเลสรูปภพ อรูปภพภายในเท่านั้น คุณไม่ได้หลับตาสักอย่างเลย เห็นไหมว่ามันตรงกันข้ามเลย แต่นั่นนั่งหลับตาไม่ลืมตาเลย อันนี้ลืมตาไม่หลับตาเลย เห็นไหม สอนกันคนละขั้วเลย น่าสงสารนะ
คนหลับตากับลืมตา คนไหนมืดบอดกว่ากันก็ต้องคนหลับตา เชิญไปเรียนกับพวกตาบอด ขออภัยพูดแรง พูดชัดนะก็เลยแรง
ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าเขาก็ปฏิบัติไปเพื่อคนตาบอด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อินทริยภาวนาสูตร ..เขาสอนกันก็เหมือนกับเอาอะไรไปทิ่มตาให้บอด ทำให้หูหนวก ขนาดนั้นเขาก็ยังไม่สะดุ้งสะเทือนเลย
ที่อาตมาต้องพูดเนี่ย ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไปนับถือกัน นั่งหลับตากันแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง เดียรถีย์นอกรีต อาตมาพูดไปเท่าไหร่โทรทัศน์ที่เขาพานั่งหลับตาจะเลิกไหม…ไม่เลิก
เพชรพลัง …ที่ว่า หงายของที่คว่ำ จุดประทีปในที่มืด คือพระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ไปนั่งหลับตาทำความมืด
พ่อครูว่า…เขาไม่เคยคิดเลยว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้นั่งหลับตา ท่านตรัสรู้ธรรมจักรกัปปวัตนสูตรด้วยจักษุ ญาณ ปัญญา วิชา อาโลก แสงสว่างจ้าๆเลย อันนี้ก็เอามายืนยันไม่รู้กี่ครั้ง พระพุทธเจ้าไม่ได้รู้ด้วยการนั่งหลับตาแต่ลืมตามีโลกมีแสงสว่างครบถ้วนเลย นี่คือการจะต้องรู้ตรัสรู้เป็นการรอบรู้ ท่านไม่ได้รู้ด้วยการขโมยรู้แต่รู้โดยรอบ แต่รู้จริงๆ เห็นไหมว่าอาตมายากจะไปสอนในคนพุทธที่ติดยึด เหมือนเข็นเขาขึ้นครก เป่าควายใส่หูปี่..
สู่แดนธรรมว่า…แม้แต่ผู้ปฏิบัติลืมตาก็ยังมีมิจฉาทิฐิได้
พ่อครูว่า…มารย่อมล่อให้หลงทางได้ตลอดเวลา
คำว่าสงบจึงเป็นเรื่องที่เป็นเป้าหมาย ของศาสนามีกายสงบจิตสงบ
ผู้ที่เข้าใจการแยกกายแยกจิต ผู้ที่มาบวชเริ่มต้นต้องทำการแยกให้ออก
แยกให้ออกว่าอะไรคือกาย อะไรคือสิ่งที่ไม่เป็นกาย
อะไรคือสิ่งที่เป็นชีวะแต่ไม่ใช่กายอยู่ในตัวเรา ถ้าคุณเข้าใจตรงนี้ไม่ได้ คุณก็ทำจิตให้เป็น พีชะ ไม่ได้ พีชะ คือยังมีส่วนที่อยู่ในตัวเราแต่ไม่ใช่กาย ส่วนในชีวะของเรา จิตเป็นชีวะของเราแน่ แล้ว เราจะต้องทำจิตนี้แหละให้ไม่ใช่กายแต่อยู่ในชีวะของเรา เพราะกายที่ไม่ใช่กายนั่นคือพีชะ
พีชะคือชีวะที่ไม่รู้กาย ไม่รู้สุขทุกข์ ไม่รู้บาปบุญ ทำบาปทำบุญไม่เป็น พระอรหันต์ทำบาปทำบุญไม่เป็นแล้ว ขออภัยเหมือนอย่างอาตมา ทำบาปมันเป็นอย่างไรนะ บุญมันเป็นอย่างไร ทำไม่เป็นแล้ว มันลืมแล้ว แต่ก็รู้อยู่ ทำอย่างไรก็ไม่เป็นบาป สัพพปาปัสสอกรณัง ทำอย่างไรๆ ก็เป็นแต่กุศล ไม่เป็นบุญด้วย เพราะว่าบุญได้เลิกแล้วหายไปแล้ว
บุญคือพลังงานที่สร้างเกิดขึ้นมาในปัจจุบันเท่านั้น พลังงานนี้มันมีหน้าที่กำจัดกิเลสเสร็จ บุญก็หมดไปด้วย เสร็จหน้าที่แล้วไม่มีบุญอีก
มันกำลังจะเป็นบุญก็คือเป็น ฌาน เป็นพลังงานไฟฟ้า พลังงานฌาน เผากิเลส เมื่อเผาหมด ก็คือหมดบุญ
บุญข้อ 1 คือฌาน 1 บุญข้อ 2 คือฌาน 2 ..บุญข้อ 4 เป็นฌาน 4 ทำเสร็จเป็นอุเบกขาแล้วบุญก็หายจ้อย
ฌานเป็นปัญญา ปัญญาเป็นฌาน ก็เลยใช้ฌานเป็นพลังงานเป็นฌาน 1 2 3 4 โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 แต่บุญหายไป บุญหมด พระอรหันต์จึงเป็นผู้ที่หมดบุญ บุญหมด ปุญญปาปปริกขีโน ยังดีที่มีพยัญชนะบาลีให้ยืนยันไม่อย่างนั้นอาตมาพูดเขาจะหักคออาตมาเลย
พระพุทธเจ้าตรัสไว้…เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง” ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา๖ปี เราถูกบุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป(ปุญญปาปปริกขีโณ)(ล.๓๒ ข.๓๙๒)
ตอนนั้นพระพุทธเจ้ากัสสปะกำลังหาที่นั่งเพื่อตรวจสอบระลึกตัวเอง โพธิญาณของตัวเอง โชติปาละสู่รู้ว่า จะได้โพธิญาณอย่างไรกับการมานั่งใต้ต้นไม้นี้
ต้นไม้ต้นนั้นที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็เรียกว่าเป็นต้นโพธิ์
โชติปาละไปจาบจ้วงท่าน เท่านี้ ทำไมโชติปาละรู้ว่าคนนี้จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็เหมือนพระสมณโคดมเขาก็รู้กันทั้งหมดว่าองค์นี้จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแต่ก็รอ ปัญจวัคคีย์ก็ไปรอ แต่ไม่เห็นเป็นพระพุทธเจ้าสักที พวกพราหมณ์ 7 รูปก็ทำนายไว้แล้ว องค์นี้อุบัติขึ้นมาจะเป็นพระพุทธเจ้าอนาคต ก็รอกันอยู่อย่างนั้น
ทรมานกับกิริยาที่ไม่เข้าท่าถึง 6 ปี ไปนั่งเขย่งเก็งกอยไปกินขี้ เป็นกิริยาที่อุบาดว์เรียกว่าทุกรกิริยา หรือไปเดินธุดงค์สู้กับเสือสิงห์กระทิงแรด เพราะปิดไม่มีสักบทเลยพระไตรปิฎก พระกรรมฐานธุดงค์เอามาคุยแข่งกัน แต่ไม่เคยมีที่สอนกันในพระไตรปิฎกเลย เขาก็ไปนิยมชมชื่นว่าเป็นพระธุดงค์บุกมาไม่รู้กี่ป่าแล้ว สร้างพระเครื่องที่ขลัง เลยเต็มไปด้วยศาสนาพระเครื่องเต็มบ้านเต็มเมือง ไม่รู้แล้วก็ส่งเสริมกันอีก
เหมือนตอนนี้ลูกน้องทักษิณกำลังทยอยเข้าคุกกัน แล้วลูกในไส้จะเข้าคุกกันไปด้วยไหมนี่
พระพุทธเจ้าถูกบุพกรรมทวงหนี้เอาต้องใช้หนี้ถึง 6 ปี ทุกรกิริยาคือกิริยาที่นอกรีต ไม่พาไปนิพพานก็เป็นทุกรกิริยาทั้งนั้น นั่งหลับตาสมาธิก็เป็นทุกรกิริยาโดยหลงว่านั่งหลับตาสมาธิแล้วจะบรรลุพระอรหันต์นี่เป็นทุกรกิริยาชั้น 1
สู่แดนธรรมว่า…ทางผู้รู้ท่านนั้นบอกมาว่าทุกรกิริยาคือการบําเพ็ญอะไรที่ยากไม่ผ่านบรรลุธรรม
พ่อครูว่า… มันหลอกกันซับซ้อนเป็นคนละเรื่อง เพราะฉะนั้นไปแสวงหาโพธิญาณในทางที่ผิด พระพุทธเจ้าก็ยืนยันว่าโพธิญาณไม่ได้ได้ด้วยวิธีนั้นทำแบบนั้น ให้ตื่นเสียทีสิพุทธศาสนิกชนท่านอาจารย์ที่สอนศาสนาทั้งหลาย ตื่นเสียที
สงบกายสงบจิตยิ่งเป็น กายปาคุญญตา ยิ่งคล่องแคล่วว่องไวทั้งกายทั้งจิต กายวิญญัติวจีวิญญัติ
กายคือ หมวดแห่งเวทนา สัญญา สังขาร เป็นตัวงานแท้ๆของวิญญาณ วิญญาณมีเจตสิก 3 เวทนา สัญญา สังขาร ตัวงานแท้ๆของวิญญาณคือ เวทนาสัญญาสังขาร
เวทนาคือความรู้สึก สัญญาคือตัวกำหนดรู้ เวทนาเข้าไปเป็นสังขารปรุงแต่งเป็นบทบาท เป็นพลังงานนิวเคลียส เป็นพลังงานนิวเคลียร์ เกิดพลังงานอยุ่ในนั้นเสร็จเลย 3เส้า
กายสงบจิตสงบ สุดยอดของการของจิต คือขจัดพิษภัย คือกิเลสออกไปจากจิตสะอาด มีแต่เจตสิกที่สะอาดเวทนาที่สะอาด สัญญาที่สะอาด สังขารที่สะอาด คล่องแคล่วว่องไว สะอาดสงบได้อย่างพร้อมพรัก ทำให้กายและจิตสงบ เรียกถึงซับซ้อน 2 เป็น 1 กายคือจิตก็ต้องเป็นหนึ่ง ไม่มีกิเลส กายก็สงบ จิตก็สงบ สงบด้วยกันทั้งคู่ แต่กายไม่ได้หมายถึงเพียงแต่ร่างภายนอกเท่านั้นแข็งทื่อเท่านั้น ไม่ใช่ แต่ไม่มีกิเลสจะคล่องแคล่วทั้งกายวิญญัติ วจีวิญญัติ เหมือนโพธิรักษ์แสดงธรรมคล่อง เขาก็หาว่าพระอรหันต์พระอริยะอะไรไม่นิ่งเลยดิ้นไป ก็เข้าใจไปคนละทาง ก็ดิ้นสิ อาตมาคล่องน่ะ แต่ของคุณตื้อทื่อดื้อ มันคนละเรื่องคนละทางกันเลย
ถ้าเข้าใจสภาวะแล้วจะชัดเจนยิ่งขึ้นที่อาตมาขยายความ
เมื่อสงบแล้ว ได้แล้ว ถึงพร้อมแล้ว เป็นปัญญาครบข้อที่ 3
-
เธอเป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจรมีปรกติเห็นภัยในโทษแม้มีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลายดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 4 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯเพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ