630110_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ จรณะ 15 พาให้เกิดสมาธิและอุปธิวิเวก
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1a8AHhg7tVsT1z_04Mi-wAEBwMPyv654pIH1ArXnBQEw/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1VeN3j-rYl0VD1Hrpslbvf88w4ik93G44
สมณะฟ้าไทว่า..วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก
_ขอเชิญเข้าค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า
ค่าย “แสงอรุณแห่งปัญญา” ครั้งที่ 42 ณ บวร ราชธานีอโศก
ศุกร์ที่ 17 – อาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2563
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)
สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ
โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865
##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP หรือสื่อธรรมะพ่อครู
พ่อครูว่า…มาดู 630110 sms
_สำนักพิมพ์กลั่นแก่นขออนุญาตพ่อครู
เรียนท่านสมาชิกท่านใดที่ยังไม่ได้รับหนังสือว่า เนื่องจากหนังสือเราคิดอะไรฉบับ 351 ฉบับสุดท้ายพร้อมหนังสือฉบับแถมรวมคนฯเล่ม 3 ถูกตีกลับประมาณ 20 กว่าเล่ม ทางไปรษณีย์แจ้งเหตุผลในการตีกลับว่า ย้ายที่อยู่ใหม่ ที่อยู่ไม่ชัดเจน ไม่มีตรอกซอย
ซึ่งเป็นสาเหตุให้สมาชิกไม่ได้รับหนังสือ
จึงขอให้ช่วยติดต่อกลับมาที่เบอร์ 086-755-9486 (เบอร์นี้แอดไลน์ได้) เพื่อจะได้จัดส่งไปให้ท่าน..
กราบนมัสการขอบพระคุณยิ่ง
สำนักพิมพ์กลั่นแก่น
_SMS วันที่ 8-9 ม.ค. 2563
_7230พระโพธิสัตว์มาสร้างบารมีจะทำงานได้สำเร็จจะมีคนมาช่วย / สมาธิประกอบด้วยเหตุสามประการกินน้อย นอนน้อย งานน้อยซึ่งชาวอโศกไม่มี / พ่อครูสอนวกวนบยากจะเข้าใจได้ / กระผมแสดงความคิดเห็นได้แค่พระโสดาบันบุคคลเท่านั้น
พ่อครูว่า…การแสดงความคิดเห็นมา พยายามทำความเข้าใจก็แล้วกัน จริงอาตมาจะเป็นคนแสดงธรรมะวกวนเยอะ แต่ผู้ที่ตั้งใจฟังให้ดีก็จะเข้าใจได้ ไม่ตั้งใจฟังให้ดีหรือไม่มีภูมิปัญญาพอก็จะเข้าใจได้ยาก อาตมาแสดงธรรมะไม่ใช่แค่พระโสดาบัน แต่แสดงไปถึงพระอรหันต์พระโพธิสัตว์ ไม่ได้บรรยายธรรมะเรื่องโลกียะเท่าไหร่ ไม่ได้แสดงธรรมะที่เกี่ยวกับโลกียะเท่าไหร่ หรือเรื่องทุจริตสุจริต คนเขาอธิบายกันเยอะอยู่แล้วอาตมาเลยไม่ได้ค่อยอธิบายเท่าไหร่ในเรื่องโลกียะ อาตมาก็แสดงธรรมโลกุตระเป็นส่วนใหญ่
_จักรพล พุทธพัฒนา : ธรรมะโลกุตระอเทวนิยม..ทวนกระแสโลก ทวนกระแสใจที่มีกิเลสและทวนกระแสลมและไฟฟ้าด้วยครับ.
_Manoon Manakhon(มนูญ มานะคอน) : กราบนมัสการพ่อครู, สมณะและสิกขมาตุทุกท่าน เจริญธรรมชาวอโศกทุกคน ผมคนนอกบวรรับชมรายการพุทธศาสนาตามภูมิที่สันกำแพง เชียงใหม่ สัญญาณภาพแจ่ม เสียงชัดครับ
_ปองแสงพุทธ ทองสุขนอก พ่อครูเจ้าขา : ลูกกลุ้มใจมะม่วงเขียวเสวยแก่เต็มต้นเลย หวานอร่อยมาก ลูกไม่มัปัญญาเอาไปถวายพ่อครูถวายแม่เณร และพี่น้องชาวอโศก ลูกจะทำงัยดีเจ้าคะ อยากให้ทุกคนได้กินจังเจ้าคะ ถนอมสุขภาพนะเจ้าคะ น้อมกราบนมัสการเจ้าคะ
_สมประสงค์ วรรณเพียร : กราบนมัสการพ่อครูครับ โดยสภาวะแล้วถ้าจะเทียบว่า ตรรกะคืออุตุ และวิตรรกะไปจนถึงวจีสังขารคือพีชะ ถูกต้องหรือไม่ครับ?
พ่อครูว่า…ที่คุณพูดมานี่ มันเอาอะไรมาปนอะไรกันเยอะไปหน่อย ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขาร เป็นกระบวนการของสังกัปปะ 7 คุณก็ไปบอกว่าตักกะนี่คืออุตุ ก็เป็นเรื่องของคุณไปว่า ตักกะคือความคิดความคิดที่เป็นอุตุดินน้ำไฟลมก็เป็นแค่นั้น คุณจับไปชนกันอย่างไรกับ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขาร กระบวนการสังกัปปะ 7 เอาอะไรมาชน มันยากนะ ก็ตั้งใจฟังใหม่ฟังดีๆ
_รักธรรม สรหงษ์ : ดูทางทีวีตอนพ่อท่านเทศน์ เห็นมีหนุ่มๆ หน้าใหม่ๆ มานั่งฟังธรรมอยู่หลายคน เห็นแค่นี้ก็ปลื้มแล้วค่ะ น้อยนักที่คนวัยรุ่นจะมาฟังธรรม
_Onwipa Griffiths(อรวิภา กริฟฟิทส์) · สาธุค่ะ รู้สึกว่าตัวเองมีบุญที่ได้ฟังธรรมมะที่เป็นโลกุตระ ไม่เคยได้ยินฟังที่ไหนมาก่อน ลูกขอพากเพียรลดกิเลสของตน ถ้ามีโอกาสลูกจะไปกราบพ่อครูค่ะ
_Dd Gfs (ดีจี จีเอฟเอส) • 23 ชั่วโมงที่ผ่านมา
มนัสการพระคุณเจ้าทุกรูปครับและการจากไปหากได้ประพฤติตนดำรงธรรมครบก่อนสังขารแตกสลายก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายตามโอกาสพิเศษที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ของภพ ภพที่สามารถเข้าสู่นิพานได้จากอาศัยอาการ 32 ประการเป็นปัจจัยสำคัญในการบำเพ็ญเพียร
ก็มีเสียดายเมื่อได้ยินคำว่า หมดกรรม ของ ผู้จากไป ซึ่ง ผมก็ไม่ทราบครับ พระคุณเจ้าว่า หากเขาไม่บรรลุธรรมก่อนจากไป ก็ น่าเสียดายโอกาสพิเศษของภพมนุษย์นี้ ก็ขอแสดงความยินดีกับญาติธรรมที่ได้ดำรงตนบนความไม่ประมาทกับพระคุณเจ้าครับทุกๆท่าน
นิพพาน ไม่ได้ หมายความว่า สูญ แต่ เป็น สภาวะของความว่างของจิต จาก โลภ โมหะ โกรธ ดัง พระคุณเจ้ากล่าว เพราะ จิต เรา ดำรงสถานะของความว่าง คือ สถานะของ นิพพาน และ ขอน้อมกราบขอบพระคุณพระคุณเจ้าที่ได้โปรดเมตตากับภิกษุณีให้ได้มีโอกาสกับการได้ใช้อาการ 32 ประการเพื่อบรรลุนิพพานครับ
พ่อครูว่า…อาตมาไม่ค่อยกำหนดหมายในรูปแบบ ใครก็ตามให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมเถิด อย่าให้กลายเป็นทำลายประเพณีจารีต บัญญัติของพระพุทธเจ้า
_บุญเติม แสนทวีสุข • 1 วันที่ผ่านมา
ชาติหน้า มีจริงๆๆๆ ถ้ายังมีการ”ผสมพันธ์”กัน ชาติหน้า ไม่มี ไม่มี ไม่มีไม่มี ล้านๆๆๆ% แน่นอน ถ้าจับสัตว์ตัวผู้-จับผู้ชาย ทำหมัน คุมกำเหนิด แล้ว จับสัตว์ตัวเมีย-จับผู้หญิงทำหมันคุมกำเหนิด เพื่อไม่ให้ผสมพันธ์ กันอีก น่าจะไม่มีชาติหน้า อีกต่อไป น่าจะสูญพันธ์ จากโลกใบนี้
พ่อครูว่า..อย่าเพ้อเจ้อมากไป คิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยในโลก คนที่โง่ดักดานคือคนที่คิดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยเอามาเสนอ เป็นคนที่โง่ดักดานที่สุด อย่าทำ ขอเตือน พูดไปไม่โก้หรอก คนฟังก็จะรู้ว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเปล่า มันไม่ดี
การทอดผ้าป่า ทอดกฐิน กับการรับบริจาค
_Boonlert Soomprasert (บุญเลิศ สุ่มประเสริฐ)• 1 วันที่ผ่านมา
การทอดผ้าป่า…การทอดกฐิน…การรับบริจาค…มันต่างกันตรงไหน…เป้าหมายก็คือหาเงิน…เพียงแต่แตกต่างกันที่ใช้คำและวิธีการ…นี่มันการสร้างภาพและสร้างอาณาจักรคุ้มครองตัวเองชัดๆ …
_ไสว อังคุระศรี • 2 วันที่ผ่านมา
ทอดผ้าป่า กฐินไม่ผิดครับ เพราะหาเงินร่วมสร้างบูรณะปฎิสังขรณ์สิ่งต่างๆครับเพื่อให้เป็นที่ศูนย์รวมกิจของสงฆ์ และที่ประกอบพิธีกรรมต่างๆๆตามความเชื่อที่บรรพบุรุษอบรม ถ่ายทอดไว้ครับ เป็นการสืบสานประเพณีครับ ส่วนใครจะทำบาป บุญแล้วแต่คนครับ
พ่อครูว่า..การทอดผ้าป่านั้นทุกวันนี้ได้บาป เพราะว่าผ้าป่า คือผ้าที่ไม่มีเจ้าของ เป็นผ้าบังสุกุล เขาทิ้งแล้วไม่มีราคา เดี๋ยวนี้ผ้าป่าก็เอาผ้าใหม่มา มีเจ้าของผ้านั้นด้วย ทำลายพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า
การทอดกฐิน สมัยโบราณ สมัยพระพุทธเจ้าหาผ้าได้ยาก ก็เลยต้องทำสะดึงที่มีขนาดใหญ่ เอาผ้ามาต่อกัน เพราะเป็นผ้าบังสกุล เป็นผ้าที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เป็นผ้าที่เขาทิ้งแล้ว ได้เป็นเศษเล็กเศษน้อยก็เอามาต่อกัน หรือผืนใหญ่ก็เอามาต่อกัน แต่เมื่อนางวิสาขาเข้าไปเห็นเข้าก็เลยสงสารภิกษุ ก็เลยขออนุญาตพระพุทธเจ้า ว่าให้ผู้ที่มีฐานะหาซื้อผ้าที่ดีเป็นไตรจีวรเอามาถวาย เอามาทอดให้แก่ภิกษุสงฆ์ แล้วสงฆ์ก็ไปกรานกฐินเอง จุดมุ่งหมายคือการหาผ้ามาให้พระนุ่งเพราะว่าผ้ามันไม่พอ แต่ยุคนี้ถ้ามันเหลือเฟือการทอดกฐินก็บาปไปอีกเพราะเป็นการผิดเพี้ยนวินัยของพระพุทธเจ้า ไปเป็นวิธีการหาเงิน แล้วพระที่หาเงินด้วยการทอดผ้าป่าหรือทอดกฐินได้บาปด้วยกันทั้งสิ้น วินัยพระพุทธเจ้าเละ
อาตมาตั้งแต่ทำงานศาสนามาตอนแรกก็พยายามจะทำตามให้ถูกประเพณีถูกพระธรรมวินัยแต่มันเป็นไปไม่ได้เลย ก็เลยเลิกประเพณีนั้น เพราะว่าผ้าเดี๋ยวนี้มันเหลือเฟือกองทิ้งเละเทะ ถึงไม่มีความจำเป็นในจุดนี้ ในยุคพระพุทธเจ้านั้นไม่มีอุตสาหกรรมทอผ้า ผ้าจึงมีน้อยไม่พอกินพอใช้จึงลำบาก แต่ในยุคนี้มันหมดสมัย เป็นกาละนี้ที่ไม่ใช่ยุคพระพุทธเจ้าแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เลิกได้ไม่เสียหาย แต่ไม่เลิก เอาไปแปลงทำลายพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า
การรับบริจาค เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องของจิตที่เป็นฐานของมนุษยชาติ การบริจาคมีการบริจาคข้าวของ ปัจจัย 4 อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย 4 อย่าง แต่เดี๋ยวนี้เพี้ยนเรียกเงินว่า ปัจจัย แท้จริงเงินคือวัตถุอนามาส ไม่ควรยุ่งเกี่ยว ชาวอโศก สมณะ สามเณรไม่ได้สะสมเงินทองได้แล้ว แต่เป็นความอ่อนแอของสงฆ์ทั่วไปที่ต้องใช้เงิน อ้างว่าเพื่อสร้างวัดวา ชาวอโศกไม่รับเงินจากคนนอกอโศก รับแต่เงินคนภายในอโศก แม้แต่ของที่จะรับบริจาค ผู้ที่ไม่ได้คบคุ้นเข้าเกณฑ์ เช่น อ่านหนังสือ 7 เล่ม เป็นต้น ก็ไม่มีสิทธิ์บริจาค เป็นการป้องกัน
ชาวอโศกจะเข้าใจการบริจาคและบริจาคกันอย่างพอเหมาะพอควร ชาวอโศกดำเนินมาเกือบ 50 ปีแล้วไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทอง พอเป็นพอไปเลย แล้วเกิดสังคมบวร สังคมศาสนาพุทธเจ้าอย่างมีประสิทธิภาพด้วย จนกระทั่งถึงขั้นสาธารณโภคีเลย แล้วคนที่อยู่ในชุมชนชาวอโศกทำงานแล้วเสียภาษีให้กองกลาง 100% ด้วย เพราะเข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้า มาปฏิบัติธรรมให้จิตวิญญาณชาวอโศกเข้าใจธรรมะพุทธเจ้าได้ จึงบริจาค 100 เปอร์เซ็นต์
พิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าในสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7
อาตมาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า อ้างอิงหลักฐานเป๊ะ แต่ที่ผิดพระวินัยทั้งรับบริจาค กฐิน ผ้าป่า พากันสร้างบาปสร้างเวรให้แก่ตัวเอง เป็นการทำร้ายตัวเองและศาสนา
_คุณดวงใจ….กราบนมัสการ พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ค่ะ
ข้าพเจ้าได้ฟังธรรมะของพ่อครูมาสักระยะหนึ่งแล้วค่ะ มีทั้งเนื้อหาทางธรรมที่ฟังแล้วข้าพเจ้าเข้าใจได้ทันที และส่วนที่เป็นเรื่องใหม่ที่ยังต้องศึกษาทำความเข้าใจต่อไป_แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึกอึดอัดอยากถามพ่อครูเกี่ยวกับ “การปฏิเสธการทำสมาธิและวิปัสสนาแบบหลับตา” ซึ่งก่อนที่ข้าพเจ้าได้มาฟังธรรมะของพ่อครูข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรมแบบนั่งสมาธิหลับตาที่ท่านอาจารย์ผู้สอนสอนให้ผู้ปฏิบัติสังเกตลมหายใจ(การทำอานาปานสติ)และข้าพเจ้าเข้าใจว่าเป็นการกรองอารมณ์ให้เหลือเพียงอารมณ์เดียว คือไม่ฟุ้งซ่านถึงอดีตและอนาคตเป็นการกำหนดจิตให้อยู่กับปัจจุบัน และเมื่อจิตมันฟุ้งซ่านก็ให้เราวางอุเบกขาไม่ต้องรู้สึกเสียใจเมื่อจิตเราไม่เป็นดั่งใจหมาย และฝึกฝนปฏิบัติต่อไป ซึ่งจากการปฏิบัติสมาธิดังกล่าวทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง อาการเกรี้ยวกราดลดลงอย่างเห็นได้ชัดนั้นเพราะในขณะที่ข้าพเจ้ามีอาการเกรี้ยวกราด มันเหมือนมีสติหรือตัวรู้โผล่ขึ้นมาให้ข้าพเจ้ารู้สึกชั่วดีในการอาการนั้น ข้าพเจ้าจึงเข้าใจว่าสภาวะดังกล่าวเป็นสภาวะของการมีสติ (เหมือนที่คนเขาพูดกันว่าสติมาปัญญาเกิด)
นอกจากนี้เมื่อทำอานาปานสติแล้วก็ให้ผู้ปฏิบัติรับรู้เวทนาที่เกิดขึ้นกับร่างกายตัวเองทั้งขณะที่ทำสมาธิแบบหลับตาและเปิดตาไม่ว่าจะเดิน นั่ง นอน กิน หรือให้รับรู้เวทนาตลอดเวลาให้ได้คือให้ฝึกปฏิบัติไปเรื่อยๆค่ะไม่ว่าจะปิดหรือเปิดตา_ จะเป็นไปได้ไม๊ค่ะพ่อครูว่าการนั่งหลับตาเป็นเสมือนการที่เราเข้าเรียนชั้นอนุบาลหรือประถม แล้วต่อด้วยการศึกษาและฟังธรรมะก็เสมือนการเข้าเรียนชั้นมัธยมและมหาวิทยาลัย จนกระทั่งเข้าสู่วัยทำงานก็เสมือนการทำสมาธิแบบลืมตาที่ต้องมีผัสสะกับอายตนะทั้งหก_หรือจะเปรียบเทียบว่าการทำสมาธิแบบหลับตาเสมือนการฝึกฝนตนเองเพื่อให้พร้อมที่จะลงสู่สนามรบ และเมื่อลงสู่สนามรบก็เป็นการใช้สมาธิแบบลืมตาค่ะ
อย่างไรก็ตามประโยชน์ของการทำสมาธิตามที่ข้าพเจ้าได้สืบค้นมาคือ 1)ทำให้หลับสบาย คลายกังวล 2) กำจัดโรคภัยไข้เจ็บ 3) ทำให้สมองปัญญาดี 4)ทำให้มีความรอบคอบ 5) ทำให้ระงับความกังวล 6) บรรเทาความเครียด 7) มีความสุขพิเศษ ? ทำให้จิตใจอ่อนโยน 9) กลับใจได้ 10) เวลาสิ้นลมพบทางดี 11) เจริญวาสนาบารมี 12) เป็นกุศล
_สรุปจากประโยชน์ของสมาธิที่กล่าวมาเป็นไปได้มั้ยค่ะพ่อครูที่การทำสมาธิแบบหลับตาจะเป็นการปฏิบัติธรรมด้วยตนเองในเบื้องต้น และเพื่อความเจริญทางธรรมในการปฏิบัติ อปริหานิยธรรม7 สาราณียธรรม6 ฯลฯ ในท่ามกลางและเบื้องปลายในที่สุดค่ะ
สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้ามีความศรัทธาในคำสอนของพ่อครูเป็นอันมากค่ะแต่ก็มาเกิดความสงสัยในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จึงขอความเมตตาพ่อครูไขความให้กระจ่างด้วยค่ะ_อนุโมทนาสาธุค่ะ
พ่อครูว่า..คุณจะหาประโยชน์จากอะไรก็ได้จะตอบอีกเป็น 50 ข้อก็ได้ และคำว่าสมาธิที่คุณหมาย แต่สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่เป็นเหมือนที่คุณหมายถึงเลย สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ใช่สมถะ สมาธิของพระพุทธเจ้าคือวิปัสสนา สมาธิของพระพุทธเจ้าเกิดความสงบที่เรียกว่าปัสสัทธิ ไม่ใช่สมถะ
ปัสสัทธิกับสมาธิต่างกันอย่างไร
ทำสมถะคือความสงบนิ่ง ไปนั่งนิ่งๆทื่อๆ เป็นของเดียรถีย์นอกศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาก็ไปเจอกับพวกเหล่านี้ จะหัก จะไปตีทิ้งก็จะไม่มีใครมาให้สอน ท่านจึงต้องอนุโลมปฏิโลมค่อยๆดึงขึ้นมา ให้มารู้จักสมาธิของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่จิตตั้งมั่นแบบไม่มีกิเลส ไม่ใช่นิ่งแข็งทื่อ จิตตั้งมั่นของพระพุทธเจ้านั้น เร็วไว คล่องตัว เป็นกายปาคุญญตา หรือจิตปาคุญญตา คือมีเวทนาสัญญาสังขาร หมวดเจตสิกพวกนี้ไวคล่องเลย แล้วลืมตารู้จักโลกเข้าใจหมดเลย นั่นคือสมาธิที่ตั้งมั่น เกิดได้ด้วยจรณะ 15 วิชชา 8 คือสมาธิของพระพุทธเจ้า
ซึ่งจะต้องเริ่มต้นด้วยศีลเป็นหลัก ศีลข้อที่ 1 เป็นต้น แล้วปฏิบัติให้ถูกอย่าไปปฏิบัติผิด โดยปฏิบัติอย่างมี สังวรอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ด้วยศีลเป็นหลัก
ศีลข้อที่ 1 สัมผัสกับสัตว์ก็ต้องพิจารณา จะกินจะใช้เป็นโภชเนมัตตัญญุตา
เป็นการปฏิบัติอย่างตื่นลืมตาไม่ใช่หนีเลยเป็นชาคริยา
สู่แดนธรรมว่า..เขาว่าใช้การหลับตาสมาธิเป็นเบื้องต้นได้ไหม?
พ่อครูว่า..ซึ่งไม่ใช่ทั้งเบื้องกลางเบื้องปลายเบื้องต้น ของพระพุทธเจ้าไม่ต้องไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ของพระพุทธเจ้าปฏิบัติศีลแล้วเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นวิมุติ ปฏิบัติ อธิศีลให้เกิดอธิจิตให้เกิดอธิปัญญา อธิวิมุติ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ไม่มีแม้แต่เบื้องต้น
เบื้องต้นก็คือศีลข้อที่ 1 แล้วทำให้เกิด อธิจิต เป็น เป็นอธิปัญญา อธิวิมุติ อธิจิตจะตกผลึกตั้งมั่นลงเป็นสมาธิ
อาตมาไม่ได้พาคุณมานั่งหลับตาเลย พวกคุณมีสมาธิไหม? นี่แหละสมาธิของพระพุทธเจ้า ทำผิดมาไกลแสนไกลไกลจากวิเวก จนไม่รู้จะทำอย่างไร จนกระทั่งเป็นคนที่เอาไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่ม ในตอนเช้า ในตอนกลางวัน ในตอนเย็น พวกคุณก็ไม่ตาย จมอยู่ในถ้ำจมอยู่ในที่ติด ไม่สะดุ้งสะเทือน ไม่ตาย ทำอย่างไรก็ไม่รู้สึกรู้สาไม่ได้มีเวทนาไม่ได้มีวิญญาณไม่ได้มีความรู้เหมือนกับคุณค่าก้อนดินก้อนหิน ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มฆ่าด้วยก้อนดิน ไม่รู้จักรูปนามไม่รู้จักวิญญาณ ไหนอาหารข้อที่ 4 ไม่รู้จักรูปนามเหมือนก้อนดินก้อนหิน
ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่ม เช้ากลางวันเย็นก็เหมือนกับฆ่าก้อนหินมันไม่ตาย อย่างนั้นจริงๆเพราะคุณไม่รู้จักความเป็นวิญญาณไม่รู้จักรูปนามเลย ยิ่งพูดรูป 28 นาม 5 ก็ไม่รู้เรื่องจบเห่เลย
ปฏิบัติไม่รู้รูป 28 นาม 5 จับเวทนาได้ ในเวทนา 108 เป็นกระบวนธรรมของศาสนาพุทธแล้วเลิกสุข ทุกข์ เป็นอุเบกขาได้ เป็นฐานนิพพาน
_เมื่อหลายสิบปีก่อนได้ไปที่สันติอโศกและคิดจะสมัครเรียนสัมมาสิกขาที่ปฐมอโศกเพราะตอนนั้นมีการประชุมตกลงกันว่าจะเปิดการศึกษาแบบสัมมาสิกขาปฐมอโศก
ช่วงนั้นเรียนอยู่มัธยมปลายสายสามัญได้ยินผู้ใหญ่คุยกันในรูปแบบการศึกษาที่จะทำให้กับ สส.ฐ. ในตอนนั้น รู้สึกว่าน่าสนใจมาก (การศึกษาต้องเป็นแบบนี้ที่ท่านคิดจะทำกันตอนนั้น) แต่ก็ไม่กล้าตัดสินใจเพราะพ่อแม่พี่น้องไม่เห็นด้วยอย่างมากๆเลยจึงไม่ได้เรียน แต่รู้สึกศรัทธาในความพยายามที่ทุกฝ่าย ทั้งชาวชุมชนนักบวชและบุคลากรที่เสียสละมาเอาภาระเรื่องการศึกษาของเด็กๆในทุกระดับชั้นอนุบาล ประถม มัธยมต้นปลายจนถึงทุกวันนี้มีสัมมาอาชีวะด้วย
แม้ว่าไม่ได้เรียนสัมมาสิกขาแต่ก็ได้รับรู้ได้เห็นได้ใกล้ชิดกับสัมมาสิกขาของชาวอโศกมาตลอด วันนี้ขอกราบขอบคุณหลวงปู่ท่านสมณะ สิกขมาตุและชาวอโศกทุกท่านที่เมตตาให้ความเกื้อกูลกันตลอดมาจนปัจจุบันก็มีศิษย์เก่าที่เป็นรุ่นพี่เข้ามาช่วยกันเกื้อกูลน้องๆอาจจะเป็นรุ่นลูกรุ่นหลานแล้วในแต่ละช่วงเวลาหรือเข้ามาเป็นหลักให้ในหลายๆรูปแบบ เป็นคุรุบ้าง เป็นชมรมผู้ปกครองบ้าง เป็นรุ่นพี่นำพากิจกรรมบ้าง หรืออยู่ร่วมทุกข์สุขกับน้องๆตลอดในวิถีชีวิตการเป็นสัมมาสิกขากันเลยก็มี
ภาพสะท้อนในงานชาวอโศกทุกวันนี้มีเด็กๆสัมมาสิกขาของชาวอโศกเป็นหลักช่วยค้ำยันช่วยสนับสนุนกิจการงานน้อยใหญ่ได้อย่างน่าชื่นใจ
สส.ฐ.ช่วยประจำร้านอาหาร สส.สอ.ช่วยขายต้นไม้ สส.ธ.ช่วยเสริมจุดหลักของงานบริการในฐานะเจ้าของบ้าน สส.ษ.และสัมมาสิกขาทุกเขตร่วมแรงร่วมใจกันเข้าไปประสานเชื่อมร้อยกัน โดยมีรุ่นพี่ศิษย์เก่าเข้ามามากขึ้นมากขึ้นในทุกกิจกรรมในงานเพื่อฟ้าดินที่ผ่านมา
รูปรอยนี้เทียบกับสังคมข้างนอกที่ห้อมล้อมเราอยู่เต็มไปด้วยภัยในหลายรูปแบบจนไม่น่าอยู่เลย มีแต่อันตรายมากทั้งปล้นจี้ฆ่าหลอกลวงเอาเปรียบสารพัดร้าย ซึ่งเหล่านี้สัมมาสิกขาในปัจจุบันยังไม่รู้สึกว่ามันเป็นโทษภัย
วันเด็กปีนี้กับวิถีชีวิตเด็กสัมมาสิกขาผู้โชคดีได้ทำสัมมากัมมันตะฝึกตนอยู่ในศีลแวดวงคนดีได้สัมผัสธรรมชาติที่ไร้พิษภัย จะรู้ตัวบ้างไหมหนอว่าตัวเองโชคดีขนาดไหน ขอหลวงปู่ช่วยบอกเด็กๆด้วยค่ะ พรุ่งนี้เป็นวันเด็กปี 2563 แล้วค่ะ
พ่อครูว่า…ที่คุณพูดมานี่ก็ครบเนื้อหาที่พยายามเรียบเรียงมานี่ พูดจริงๆ อาตมาก็พอใจตัวเองนะ ที่ได้ทำการศึกษาศีลเด่นเป็นงานชาญวิชาขึ้นมาจะเข้า 30 ปีมาแล้วเป็นการศึกษาโรงเรียน ช่วยรัฐบาลสังคมประเทศ ทำโรงเรียนเหมือนโรงเรียนเอกชน ไม่ใช่ของรัฐบาล แล้วเราไม่เคยเก็บเงินเก็บทองหาเงินหาทองกับการเรียนเลย เราจับจ่ายใช้สอยเลี้ยงดูด้วย เด็กมาเรียนอยู่เป็นโรงเรียนประจำกินอยู่หลับนอนด้วยเสร็จ เลี้ยงดูเหมือนลูกเหมือนหลาน เรียนฟรีแล้วก็เลี้ยงดูเหมือนลูกเหมือนหลาน ทำมาอย่างนี้ยี่สิบกว่าปี เกือบ30 ปีแล้ว ทำมาตั้งแต่ปี 2533 ก็ประมาณ 30 ปีแล้ว
อาตมาพอใจตัวเองที่ได้ช่วยรัฐบาลช่วยประเทศชาติทำการศึกษาให้แก่เยาวชน สอนเหมือนกับหลักสูตรของรัฐบาลก็มีครบครัน เท่าเทียมเทียบเคียงก็เหมือนกัน ตอนแรกๆมีคนบอกว่า สอนในนี้จะไปสอบแข่งกับข้างนอกได้หรือ แต่เดี๋ยวนี้เขาก็ไปเป็นดอกเตอร์ปริญญาโทอะไรกัน ก็ไม่เห็นเป็นอะไร ดีไม่ดีออกจะเด่นด้วย ไม่ได้ด้อยเลย เด่นดีด้วย เพราะมันปราศจากสิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเปลืองเปล่า เหมือนระบบการศึกษาที่ล้มเหลวภายนอก ที่นี่มาเน้น ลดละสิ่งที่เป็นอบายมุข และบอกให้เข้าใจด้วยว่าอย่าไปฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยแบบเขา จนเดี๋ยวนี้เป็นจารีตประเพณีการศึกษาแบบชาวอโศกแล้ว ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จะเอาลูกหลานมาเรียนที่นี่ก็เข้าใจแล้ว ก็เลยเป็นการศึกษาอีกแบบหนึ่งในโลก ไม่ใช่แต่ในประเทศไทยเท่านั้น
ซึ่งเป็นการศึกษาอย่างศาสนาคริสต์ศาสนาอิสลามเขาเอาธรรมะเข้าไปเป็นแกนนำเป็นตัวสำคัญในการศึกษา แต่ในชาวพุทธไม่มี แต่ก่อนก็การศึกษาอยู่ในวัดก็ยังเข้าท่า ตอนนี้เอาออกมาจากวัดก็เลยเละเทะเหมือนขี้แพะท้องเสีย ขออภัยที่วิจารณ์แรงหนัก เพราะไปเอาแบบอย่างของตะวันตกเขามา ของตะวันตกเขาก็มีกรอบมีระเบียบแต่ของเราเอามาแล้วก็เอามาปนกันเละไม่มีกรอบไม่มีระเบียบ แต่ก่อนอยู่ในวัดวาก็ยังคุ้มภัยได้ ตอนนี้ออกมานอกวัดแล้วเอาเอง ตั้งเองเลย แล้วหัวไอ้เรือง จบดอกเตอร์ทางการศึกษา ก็ว่ากันเละเทะ
อาตมาภูมิใจที่ได้เอาการศึกษามาให้ โดยเฉพาะในเมืองไทย เอามาสอนให้คนมีคุณธรรม ศีลเด่น แล้วทำให้รู้จักการศึกษา ที่อาตมาว่า การศึกษาทางโลกแม้แต่การศึกษาแบบเมืองนอก การศึกษาของเขาเป็นการศึกษาแบบจับเด็กมาเข้ากล่อง เด็กไม่รู้จักสังคมที่ตนเองอยู่ด้วย เด็กไม่รู้จักชีวิตจริง เช้าหอบกระเป๋าเข้าโรงเรียน เย็นก็กลับบ้านมาทำการบ้าน เช้าก็หอบกระเป๋าไป พ่อแม่ก็ส่งให้เรียน จบมัธยม จบปริญญา ก็เหมือนกัน ให้เรียนแต่ในกล่องเรียนแต่ในตัวหนังสือ ไม่รู้จักสังคมที่ตนอยู่แท้ๆ ดีไม่ดีส่งไปเรียนเมืองนอกต้องรู้จักสังคมเมืองนอกก็กลับมาเอาเศษกากของเมืองนอกมาเผยแพร่ในเมืองไทยอีก เละเป็นขี้แพะท้องเสียจริงๆ ขออภัยวิจารณ์แรง มันเป็นอย่างนั้น มันก็เลยเสียหายหมดเลย
พูดอีก อาตมาก็เลยภูมิใจที่ดึงกลับมา เอาการศึกษามาให้แก่ประเทศไทยเป็นการศึกษาผู้ที่จบจากที่นี่ไป ที่นี่มีถึงวิทยาลัย แต่ก่อนมีแค่ถึงมัธยม เดี๋ยวนี้ก็มีอาชีวะ ทำมหาวิทยาลัยมันยากเราไม่มีเงินไม่มีทอง มันจะหนักได้แค่นี้ก็เอาล่ะ พิสูจน์มา 20 ,30 ปี อาตมาได้ทำโรงเรียนที่ช่วยสังคมประเทศ ช่วยการศึกษาให้เยาวชน เยาวชนก็จบไปจาก(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า…ทุกวันนี้ในชุมชนต่างๆของเราก็มีศิษย์เก่ามาช่วยหลายคน
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน
สมณะแสนดิน
พ่อครูว่า…เราทำการศึกษามา 20 – 30 ปีแล้วมันไม่เสียหาย พูดไปแล้วเหมือนจะยกย่องตัวเองเกินไป มันจะกลายเป็นยกย่องตัวเองเลอเลิศก็ไม่ขอพูดต่อ ก็ยกฐานะการศึกษาให้มีคุณค่ามีประโยชน์ โดยเฉพาะทางจิตวิญญาณ การศึกษาทุกวันนี้ ทางโลกๆทั่วไปเค้าไม่คำนึงถึงเรื่องจิตวิญญาณเลย พูดได้อย่างนั้นเลย จิตวิญญาณจึงเสื่อมลงเรื่อยๆ ในกาละเวลา แม้จะเป็นในวงการของศาสนา เช่นศาสนาคริสต์ อิสลามก็ตาม เขาเอาใจใส่ในเรื่องของศาสนา
อิสลาม เขาเอาธรรมะไปผนวกกับการศึกษาเลย ขนาดนั้นก็ไม่ใช่ง่ายที่จะรักษาธรรมะให้มันดีสงบเนียน มีเนื้อหาเมตตากรุณากันจริงๆ มันไม่ทีเดียว
ศาสนาคริสต์ อาตมาว่าการศึกษาของศาสนาคริสต์ยังดีกว่าการศึกษาของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธละเลยในการศึกษา การศึกษากับเรื่องธรรมะไปคนละทาง ดีไม่ดี การศึกษาในวงการพระ ในวงการมหาวิทยาลัยสงฆ์ ก็นำเอาเรื่องของฆราวาสไปปนเลอะเทอะเข้าไปอีก
ทุกวันนี้ใครอยากได้ด็อกเตอร์ ก็ไปเข้ามหาวิทยาลัยสงฆ์ก็ได้ด็อกเตอร์ ได้เร็วง่าย เอา ก็วิจารณ์หนัก ก็พอสมควร
_คุณหายโง่…กราบขอบพระคุณที่อธิบายอุปาทายรูป 24 โดยพิสดาร ทำให้ดิฉันได้อานิสงส์ในการฟังธรรม 5 ตามพระไตรปิฎกเล่มที่ 22 ข้อ 202 ครบพร้อม เกิดแรงบันดาลใจอันยิ่งที่จะปฏิบัติศีล 5 ให้เป็น อธิ เพื่อความเจริญก้าวหน้าทางจิตวิญญาณซึ่งเป็นประโยชน์มหาศาลในการดำเนินชีวิตปัจจุบัน ตั้งในหน่วยครอบครัวชุมชนและสังคมประเทศชาติ
อนึ่ง ในเรื่องวิเวก 3 นั้นหากพ่อครูกรุณาอธิบายอุปธิวิเวก ก็จะครบพร้อมในการอธิบายโดยรบกวนเวลาแสดงธรรมหรือช่วงอื่นๆให้น้อยที่สุดกราบขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วย
อุปธิวิเวก ไม่ยากจะเข้าใจ แต่ยากที่สุด
อุปธิวิเวกเป็นไฉน? กิเลสก็ดี ขันธ์ก็ดี อภิสังขารก็ดี เรียกว่าอุปธิ. อมตะ นิพพานเรียกว่าอุปธิวิเวก ได้แก่ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สำรอก เป็นที่ดับ เป็นที่ออกไปจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด นี้ชื่อว่าอุปธิวิเวก.
ก็กายวิเวก ย่อมมีแก่บุคคลผู้มีกายหลีกออกแล้ว ยินดียิ่งในเนกขัมมะ จิตตวิเวกย่อมมีแก่บุคคลผู้มีจิตบริสุทธิ์ ถึงซึ่งความเป็นผู้มีจิตผ่องแผ้วอย่างยิ่ง อุปธิวิเวก ย่อมมีแก่บุคคลผู้หมดอุปธิถึงซึ่งนิพพานอันเป็นวิสังขาร.
คำว่า อุปธิ เฉยๆนี่นะ ท่านก็ว่าไว้ชัด กิเลส ขันธ์ 5 อภิสังขาร
คุณจะต้องรู้ 3 อย่างนี้ คืออุปธิ แล้วทำให้มันวิเวก เป็นอุปธิวิเวก คือต้องทำให้เกิดนิพพานตามลำดับเป็นอมตะ ท่านตรัสไว้แค่นี้
อุปธิวิเวกถึงขั้นนิพพาน ถึงขั้นอมตะ
นิพพานหรือวิมุติเป็นไวยพจน์ในมูลสูตร 10
- มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .
- มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) . . . .
- มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) . . .
- มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .
- มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) . . .
- มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .
- มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด
- มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
- มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน.
- มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 58)
อมตะคือผู้อยู่เหนือความเกิดความตายแล้วจะเกิดก็ได้จะตายก็ได้ คือจะไม่ตายก็ได้นิรันดร อย่างพระอวโลกิเตศวร ป่านนี้ยังไม่ตายจะรื้อขนสัตว์จนหมดตัวสุดท้ายปรินิพพานก่อนตัวเองถึงปรินิพพานเป็นปริโยสาน ถือว่าอมตะนิรันดรก็ได้ แล้วบอกว่าจะรื้อขนสัตว์ต่อไป มันเป็นอุดมการณ์อย่างหนึ่งของทางศาสนา
ไม่ได้นิรันดรเหมือนเทวนิยมที่จิตวิญญาณนิรันดร แต่ของพุทธสูญได้แต่จะไม่สูญก็ได้นิรันดรก็ได้ แต่เป็นผู้ที่มีนิพพานแล้วเป็นอมตะบุคคลแล้ว
คำว่าอมตะ คำว่านิพพานที่อุปธิวิเวก คุณจะต้องศึกษาอุปธิแล้วทำอุปธิให้สูญสมบูรณ์แบบเป็นวิมุติอมตะ เป็นนิพพานให้ได้
กิเลส ขันธ์ 5 อภิสังขาร
อภิสังขารคือตัวสำคัญ คนที่เกิดมามีอวิชชาไม่รู้จักสังขาร สังขารมี 3 อย่าง
กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร
คนไม่รู้จักสังขาร เมื่อศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าก็จะรู้จักสังขาร กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร จิตสังขารก็ชัดเจน
สังขารทั้งหลายก็มีวิญญาณมีนามรูปปรุงแต่ง มีวิญญาณ นามรูป
จะศึกษาวิญญาณได้ต้องมีนามรูป หากผู้ใดไม่รู้นามรูปก็ศึกษาวิญญาณไม่ได้ มีวิญญาณจึงแยกกาย แยก มโนได้ แล้วต้องมีผัสสะจึงมีอายตนะ หากไม่มีก็ไม่มีสะพานให้ศึกษา
รูปนามที่ปรุงกันเป็นสังขาร ในสังขารทั้งหลายคือเวทนา
กายสังขารก็มีเวทนา วจีสังขารก็มีเวทนา จิตสังขารก็มีเวทนา
เวทนาจึงเป็นฐานเรียนรู้ เป็นฐานปฏิบัติ จึงเรียกเวทนาเป็นกรรมฐาน พระพุทธเจ้าจึงได้เอาเวทนามาเป็นฐานแห่งกรรมหรือเรียกว่ากรรมฐาน ถ้าไม่มีเวทนาแล้วไม่มีฐานะแห่งกรรมที่จะปฏิบัติได้ ก็มีแต่กิเลสเท่านั้นดิ้นรนไป เป็นตัวแส่หา อะไรต่ออะไรไปตลอด
ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พรหมชาลสูตร จากข้อที่ 51 ไปเรื่อยๆ
[51] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใด
มีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรนของคนมีตัณหาเท่านั้น.
[52] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการแม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็นเป็นความแส่หาเป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน
ไม่มีผัสสะไม่รู้เวทนาก็มีแต่ตัณหาแส่หาดิ้นรนไปตลอดกาล
[64] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ ข้อนั้นเพราะผัสสะเป็นปัจจัย
[65] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ ๔ ประการแม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย
[66] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด และหาที่สุดมิได้มิได้ บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการ แม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย
พ่อครูว่า… ถ้ามีผัสสะก็จะมีเวทนามีรูปนามให้เรียนรู้ ศึกษารูป 28 นาม 5 จะได้ความรู้ไปตามลำดับ จะรู้จักกิเลส รู้จักธรรมะที่จะทำให้เหตุคือกิเลสดับไปตามขั้นตอนของศีล ตั้งแต่ศีลข้อ 1สัมผัสกับสัตว์ ศีลข้อ 2 สัมผัสกับพืช กับของ ศีลข้อ 3 สัมผัสรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็จะได้เรียนได้ศึกษาเมื่อมีผัสสะจึงเกิดเวทนา
เวทนา จึงเกิดตัณหา 3
เวทนาเกิดแล้วมีปัจจัยให้เกิดคือตัณหา 3 ตัณหามันอยู่ในมโนสัญเจตนา ในนาม 5 มีเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
ในนาม 5 หากปฏิบัติธรรมไม่มีผัสสะก็มนสิการไม่ได้ ทำใจในใจไม่ได้ ไม่มีผัสสะก็ไม่มีเวทนาไม่มีสัญญา หากมีผัสสะก็มีเวทนาก็ทำใจในใจได้
เวทนาเป็นฐาน สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ แล้วหาตัวมโนสัญเจตนาในเวทนาให้ได้
ก็จะมีมโนสัญเจตนาคือ 1. กามตัณหา 2. ภวตัณหา 3. วิภวตัณหา
ตัณหา 3 นี้ เรียนรู้ไปตามลำดับตั้งแต่กามตัณหา เป็นต้น แต่เมื่อเรียนผิดไปนั่งหลับตาปฏิบัติแล้ว กามตัณหาไม่ได้เริ่มต้นเลย ไม่หลับตาปฏิบัติแล้ว รีบลัดไปหาจิตสงบ ดับ ออกนอกรีตพระพุทธเจ้าไปเลย ไม่มีการศึกษา 3 ไม่มีจรณะ 15
ไม่มีสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ไม่มีโภชเนมัตตัญญุตา ไม่มีชาคริยานุโยคะ ซึ่งผิดไปจากธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้าปฏิบัติไม่ผิดก็ต้องมี 3 อันนี้ แต่ถ้าไม่มี 3 อันนี้ คือปฏิบัติผิด ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ไม่มีการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6
ต้องมีการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 จึงจะเป็นการปฏิบัติที่ไม่ผิด ต้องมีโภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคต้องตื่นไม่ใช่ไปหาที่หลับ ตื่นมีสติทั้งภายนอกและภายใน ไม่เคยให้มีสติแต่ภายในเท่านั้นไม่มี
คุณจะมีสติแข็งแรงตั้งแต่ภายนอกไปแล้วก็ล้างกิเลสกามได้ กิเลสของคุณหมด จิตคุณจะแข็งแรงยิ่งขึ้นเป็นสมาธิ แล้วก็เรียนรู้มีทั้งปัญญาทั้งเจโต ศึกษา รูปราคะ อรูปราคะต่อ ลึกซึ้งเป็นมานะ อุทธัจจะ ล้างละเอียด หมดอวิชชา หมดสังโยชน์เบื้องสูงเลย มีลำดับ อันน่าอัศจรรย์
แต่นี่เบื้องต้นก็ทิ้งไปหมดแล้ว ในจิตวิเวก เริ่มต้นปฏิบัติผิด เป็นผู้ไกลจากวิเวก
เข้าใจกายวิเวกก็ตื้นๆเอาร่างออกป่า บิณฑบาตแต่เพียงผู้เดียวกินผู้เดียวอยู่แต่เพียงผู้เดียว มิหนำซ้ำก็ไปนั่งหลับตาเข้าไปอีกแล้วหลงเป็น รูปฌาน อรูปฌาน โดยไม่มีภายนอก แต่จิตวิเวกนี้ต้องมีภายนอก
พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้มันซับซ้อน ถ้ามีภายนอก หากคุณเอาร่างออกป่า สองนั่งหลับตาปฏิบัติก็ไม่มีภายนอก ก็ไกลแสนไกลจากวิเวก คุณหมดสิทธิ์ที่จะรู้จักกิเลสหมดสิทธิ์ที่จะรู้จักขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อทิ้งรูปไปแล้วไม่มีกายภายนอก ไม่ต้องพูดถึงอภิสังขาร
อภิสังขารมี ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร
เข้าใจบุญว่าเป็นกุศลก็ผิดไปหมดเลย บุญเป็นตัวทำลายบาป อกุศล แล้วมีหน้าที่นี้เท่านั้นแล้วไม่เคยมีอยู่ที่ไหนเลย บุญสะสมไม่ได้ บุญเกิดแต่ในปัจจุบันเท่านั้น ทิฏฐธรรมนิพพาน เกิดในผู้ทำฌานได้ เป็นไฟเผาไฟราคะโทสะโมหะ มันเป็นพลังงานอุณหธาตุ แต่พลังงานฌานเป็นอุตระเหนือกว่าไฟราคะโทสะโมหะ ต้องลืมตาปฏิบัติฌาน
ไปหลับตาปฏิบัติไม่มีทางเกิดฌานของศาสนาพุทธ ฌานของพุทธเกิดจากจรณะ 11 กับวิชชา 8
ในจรณะ 11 คือ ศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค (พ่อครูจาม ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า…พ่อครูอธิบายวิเวก 3
พ่อครูว่า…หากกายวิเวก ก็ออกป่า จิตวิเวกนั่งหลับตาสมาธิอีก ไม่มีทางจะรู้จัก อุปธิวิเวก
ไม่รู้จักอภิสังขาร 3 จะต้องรู้จักคำว่าบุญ ที่เป็นเหมือนกิโยตินตัดคอกิเลส ฌาน มีอาวุธเริ่มต้นฟาดฟันกิเลส เมื่อตัดคอด้วยกิโยตินคือบุญก็กิเลสขาดตายสนิท เป็นบุญคือปุญญาภิสังขาร
ต้องรู้จักกิเลสสักกายะอย่างพ้นวิจิกิจฉา มีศีลพรตที่ฆ่ากิเลสตายด้วย คือสังโยชน์ 3 ของพระโสดาบัน
ผู้ที่สามารถใช้บุญเป็น หรือทำฌานของพระพุทธเจ้าที่เกิดจากจรณะ 11 และวิชชา 8 ต้องมีปัญญาจึงมีฌาน มีอธิจิตก็เกิดฌาน 4 จะเกิดฌาน 4 ได้ต้องทำจรณะ 11
สังวรศีล ต้องมี สังวรณ์อินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค กับศีลข้อที่ 1 คือเกี่ยวกับสัตว์ เกิด หิริโอตตัปปะ ในสัทธรรม 7 แต่ก่อนเราสัมผัสกับสัตว์ คุณก็ปฏิบัติกับสัตว์ด้วยความทุจริต สัมผัสกับสัตว์ปฏิบัติกับสัตว์ด้วยความไม่มีเมตตา ไม่รู้จักว่าสัตว์ก็คือเพื่อนแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ควรจะต้องหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ไม่ควรจะไปทำร้ายไปฆ่ากันเลย สัตว์ทั้งปวงเขาก็อยู่ของเขาไปตามวิบาก เราไม่มีหน้าที่จะไปทำร้ายสัตว์ใดเลยที่เกี่ยวข้อง เขาก็เกิดมาเป็นชีวะของเขา อาตมาอธิบายถึงขั้นแม้แต่สัตว์เซลล์เดียว เซลล์นี้อาจจะกลายเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต อย่าไปละลาบละล้วงชีวิตเขา มันเกิดมาเป็นสัตว์เป็นจิตนิยามแล้วแม้แต่เสี้ยวเดียวเราก็อย่าไปทำให้เกิดวิบาก ต้องช่วยไม่ใช่ไปทำร้ายเบียดเบียน คุณปฏิบัติศีลข้อนี้ให้ดี แต่ก่อนไม่ได้มีความคิดเช่นนี้ ดีไม่ดีก็จะไปทำให้เกิดการฆ่าเอามันมาเล่น เราก็ละอาย เมื่อก่อนทำไมไม่มีความคิดเช่นนี้ เมื่อมีความคิดเช่นนี้เข้าใจขึ้นมามีอัญญธาตุ มีปัญญา ว่าเราแต่ก่อนไม่เคยปฏิบัติกับสัตว์อย่างนี้เลยก็จะเกิดความ ละอาย หิริ มีสำนึกตัวเอง ไม่ใช่พูดเล่น เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งสิ้น หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ช่วยเหลือกันอะไรที่ช่วยได้ก็ช่วยอะไรช่วย ไม่ได้ก็ปล่อยไปวางพรหมทัณฑ์ปล่อยไปตามวิบากกรรม สัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ ยิ่งคนนี่อย่าไปทำร้ายใครเลย ช่วยกันอย่าให้ตกต่ำ ช่วยกันให้เจริญช่วยไม่ได้ก็ปล่อยกันไป
ในความหมายของธรรมะพระพุทธเจ้าจึงลึกซึ้ง ผู้ที่สามารถมีหิริโอตตัปปะ เกี่ยวกับสัตว์ คุณก็จะพลิกพฤติกรรมของคนกับสัตว์ทั้งหลาย เห็นสัตว์เล็กสัตว์น้อยเห็นแมลงตกโถส้วมก็ช่วยขึ้นมา มันจะมีน้ำใจอย่างนั้นจริงๆ เกิดอาการอย่างนั้นจริงๆ ปฏิบัติแล้วจะเกิดจากนั้นจริงๆเลยนี่คือคุณวิเศษของธรรมะพระพุทธเจ้า
ปฏิบัติไปก็จะเกิดพหูสูตเป็นผู้รู้ความจริงมากขึ้นมีความจริงมากขึ้นเป็นพหูสูต ก็เลยมีวิริยะสติปัญญา ให้เกิดอิทธิบาท หรือเกิดอินทรีย์พละ 5 มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา
ไม่มีคำว่าสมาธิคำเดียว สมาธิคือตัวที่จะเกิดผลจากจรณะ 15 วิชชา 8 นี่คือสมาธิของพระพุทธเจ้า ไม่มีใครอธิบายสมาธิของพระพุทธเจ้าว่าเกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 คือจิตสะสมตกผลึก เป็นจิตสะอาด ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
สั่งสมความบริสุทธิ์สะอาดไม่หวั่นไหวต่อโลกทั้งปวง โลกจะหยาบจะหนักจะเป็นนรกลึกและหยาบมากเท่าไหร่ ก็ไม่มีปัญหา
อาวุธของสัตว์นรก อาตมาเกิดมาในชาตินี้มีเยอะที่จะมาทำร้ายอาตมา มาจากกลุ่มศาสนาพุทธนี่แหละ ทุกวันนี้อาวุธนรกทำอะไรอาตมาไม่ได้ อาตมาเป็นคนที่ไม่ใช่ว่า เอาไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่ม เช้า เที่ยงเย็นแล้วไม่ตายไม่ใช่ อาตมาเป็นคนที่ตายแล้วเพราะรู้จักนามรูปรู้จักวิญญาณ ทำให้เกิดการตายของจิตวิญญาณได้แล้ว ไม่ใช่คนที่ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มก็ไม่ตายตอนเช้ากลางวันเย็น ไม่ใช่อมตะแบบฆ่าไม่ตายแบบนั้น เป็นสิริมหามายา อมตะโลกุตระกับอมตะโลกียะ นี่คือความละเอียดลึกซึ้งในธรรมะของพระพุทธเจ้า
คำว่า วิเวก 3 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน คุหัฏฐกสุตตนิทเทส กายวิเวกไม่ใช่เอาร่างกายออกป่าเขาถ้ำบิณฑบาตอยู่แต่ผู้เดียว อยู่แต่ผู้เดียวไม่มีภายนอกไม่ใช่ จิตวิเวกก็ไม่ใช่ปฏิบัติโดยไม่มีภายนอก หากเอาตัวเองออกป่า กายวิเวกก็โมฆะแล้ว จิตวิเวกก็โมฆะอีกไปนั่งหลับตาปฏิบัติ อุปธิวิเวกก็โมฆะ ยกกำลังเลย ไกลแสนไกลจากวิเวก
อาตมาเกิดมาในชาตินี้อธิบายธรรมะแล้วเปิดเผยตัวตนอย่างหมดจด อธิบายศีลสมาธิปัญญา อธิบายไปแล้วคนรู้เรื่องไหมรับได้ไหม เอาไปปฏิบัติได้ไหม อาตมาว่าได้นะ มีการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ด้วยในหมู่พวกเรา พวกที่เขาบอกว่าเป็นอรหันต์เป็นอรหันต์เก๊ ที่เขาเคารพกันทั่วบ้านทั่วเมืองก็เป็นอรหันต์เก๊ พูดไปเป็นสิ่งที่ถูกต้องอยากให้สะดุ้ง ว่าคุณเคารพอรหันต์เก๊ก็บรรลัยสิศาสนาพุทธ เอาของเก๊มายกเป็นของจริง
ว่านี่ทองคำแท้ แต่คือทองเก๊ อาตมาก็แจกแจงว่าเก๊อย่างไร สมาธิก็ไม่ใช่ ศีลก็ไม่ใช่ปัญญาก็ไปไกลไม่ใช่ทางโลกุตระเลยไม่ใช่ด้วยวิชชา 8
อุปธิวิเวกมี 3 หากคุณไม่สัมมาทิฏฐิที่จะรู้จักกิเลส อุปธิ มี กิเลส ขันธ์ 5 อภิสังขาร หากไม่รู้จักการทำใจให้เกิดอธิ ทำฌาน ตามจรณะ 15 ฌานต้องปฏิบัติจรณะ 11 กับวิชชา 8 จึงเกิดฌาน 1 2 3 4 ฌานศีลนั่งหลับตาไม่มีศีลไม่มีสำรวมอินทรีย์โภชเนมัตตัญญุตาไม่มีชาคริยานุโยคะ เป็นฌานไม่ตื่น เป็นชานหมาก ไม่ใช่ฌานที่เป็นพลังงานไฟหรือพลังงานอุณหธาตุเผากิเลส
สรุปอีกทีนั่งหลับตาเลิกได้แล้ว ไม่มีคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ไปนั่งหลับตา
สร้างฌานสร้างวิมุติต้องลืมตา (มีคนร้องไห้ เป็นคนไม่สบายทางจิต)
สร้างฌานตอนลืมตาตื่นๆ สร้างด้วยการมีผัสสะ พยายามศึกษาให้เข้าใจให้ดีๆ ตั้งใจฟังอาตมามารื้อ รื้อทำลายเรื่องที่ผิดเพี้ยนไปจากของพระพุทธเจ้า เรื่องไปหลับตาปฏิบัติ นี่คือจรณะวิชชาเป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้า ฌานก็ไปนั่งหลับตาแบบเดียรถีย์
ฌานต้องลืมตาปฏิบัติตามจรณะ 15 วิชชา 8 จึงเกิดอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติของพระพุทธเจ้า
หากปฏิบัติผิดก็วิปลาส คือมีกิริยาที่ถือโดยอาการวิปริตผิดจากความเป็นจริง, ความเห็นหรือความเข้าใจคลาดเคลื่อนจากสภาพที่เป็นจริง มีดังนี้ :
ก. วิปลาสด้วยอำนาจจิต และเจตสิก 3 ประการ คือ
- วิปลาสด้วยอำนาจสำคัญผิด เรียกว่า สัญญาวิปลาส
- วิปลาสด้วยอำนาจคิดผิด เรียกว่า จิตตวิปลาส
- วิปลาสด้วยอำนาจเห็นผิด เรียกว่า ทิฏฐิวิปลาส
ข. วิปลาสด้วยยึดเอาวัตถุเป็นที่ตั้ง 4 ประการ คือ
- วิปลาสในของที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง
- วิปลาสในของที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข
- วิปลาสในของที่ไม่ใช่ตน ว่าเป็นตน
- วิปลาสในของที่ไม่งาม ว่างาม (เขียนว่า พิปลาส ก็มี)
พ่อครูว่า…หากว่าไม่มีการคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ก็
- การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ.. การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง
- การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของ.. ความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ)
- ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของ.. การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น)
- การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ
อาตมาเองบอกว่าอาตมาเป็นสยังอภิญญาเป็นสัตบุรุษ อาตมาพูดอย่างสยังอภิญญาใครกล้าพูดอย่างอาตมาบ้าง
สมณะฟ้าไท…สรุปจบ
สมณะฟ้าไทว่า..วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก
_ขอเชิญเข้าค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า
ค่าย “แสงอรุณแห่งปัญญา” ครั้งที่ 42 ณ บวร ราชธานีอโศก
ศุกร์ที่ 17 – อาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2563
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)
สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ
โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865
##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP หรือสื่อธรรมะพ่อครู
พ่อครูว่า…มาดู 630110 sms
_สำนักพิมพ์กลั่นแก่นขออนุญาตพ่อครู
เรียนท่านสมาชิกท่านใดที่ยังไม่ได้รับหนังสือว่า เนื่องจากหนังสือเราคิดอะไรฉบับ 351 ฉบับสุดท้ายพร้อมหนังสือฉบับแถมรวมคนฯเล่ม 3 ถูกตีกลับประมาณ 20 กว่าเล่ม ทางไปรษณีย์แจ้งเหตุผลในการตีกลับว่า ย้ายที่อยู่ใหม่ ที่อยู่ไม่ชัดเจน ไม่มีตรอกซอย
ซึ่งเป็นสาเหตุให้สมาชิกไม่ได้รับหนังสือ
จึงขอให้ช่วยติดต่อกลับมาที่เบอร์ 086-755-9486 (เบอร์นี้แอดไลน์ได้) เพื่อจะได้จัดส่งไปให้ท่าน..
กราบนมัสการขอบพระคุณยิ่ง
สำนักพิมพ์กลั่นแก่น
_SMS วันที่ 8-9 ม.ค. 2563
_7230พระโพธิสัตว์มาสร้างบารมีจะทำงานได้สำเร็จจะมีคนมาช่วย / สมาธิประกอบด้วยเหตุสามประการกินน้อย นอนน้อย งานน้อยซึ่งชาวอโศกไม่มี / พ่อครูสอนวกวนบยากจะเข้าใจได้ / กระผมแสดงความคิดเห็นได้แค่พระโสดาบันบุคคลเท่านั้น
พ่อครูว่า…การแสดงความคิดเห็นมา พยายามทำความเข้าใจก็แล้วกัน จริงอาตมาจะเป็นคนแสดงธรรมะวกวนเยอะ แต่ผู้ที่ตั้งใจฟังให้ดีก็จะเข้าใจได้ ไม่ตั้งใจฟังให้ดีหรือไม่มีภูมิปัญญาพอก็จะเข้าใจได้ยาก อาตมาแสดงธรรมะไม่ใช่แค่พระโสดาบัน แต่แสดงไปถึงพระอรหันต์พระโพธิสัตว์ ไม่ได้บรรยายธรรมะเรื่องโลกียะเท่าไหร่ ไม่ได้แสดงธรรมะที่เกี่ยวกับโลกียะเท่าไหร่ หรือเรื่องทุจริตสุจริต คนเขาอธิบายกันเยอะอยู่แล้วอาตมาเลยไม่ได้ค่อยอธิบายเท่าไหร่ในเรื่องโลกียะ อาตมาก็แสดงธรรมโลกุตระเป็นส่วนใหญ่
_จักรพล พุทธพัฒนา : ธรรมะโลกุตระอเทวนิยม..ทวนกระแสโลก ทวนกระแสใจที่มีกิเลสและทวนกระแสลมและไฟฟ้าด้วยครับ.
_Manoon Manakhon(มนูญ มานะคอน) : กราบนมัสการพ่อครู, สมณะและสิกขมาตุทุกท่าน เจริญธรรมชาวอโศกทุกคน ผมคนนอกบวรรับชมรายการพุทธศาสนาตามภูมิที่สันกำแพง เชียงใหม่ สัญญาณภาพแจ่ม เสียงชัดครับ
_ปองแสงพุทธ ทองสุขนอก พ่อครูเจ้าขา : ลูกกลุ้มใจมะม่วงเขียวเสวยแก่เต็มต้นเลย หวานอร่อยมาก ลูกไม่มัปัญญาเอาไปถวายพ่อครูถวายแม่เณร และพี่น้องชาวอโศก ลูกจะทำงัยดีเจ้าคะ อยากให้ทุกคนได้กินจังเจ้าคะ ถนอมสุขภาพนะเจ้าคะ น้อมกราบนมัสการเจ้าคะ
_สมประสงค์ วรรณเพียร : กราบนมัสการพ่อครูครับ โดยสภาวะแล้วถ้าจะเทียบว่า ตรรกะคืออุตุ และวิตรรกะไปจนถึงวจีสังขารคือพีชะ ถูกต้องหรือไม่ครับ?
พ่อครูว่า…ที่คุณพูดมานี่ มันเอาอะไรมาปนอะไรกันเยอะไปหน่อย ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขาร เป็นกระบวนการของสังกัปปะ 7 คุณก็ไปบอกว่าตักกะนี่คืออุตุ ก็เป็นเรื่องของคุณไปว่า ตักกะคือความคิดความคิดที่เป็นอุตุดินน้ำไฟลมก็เป็นแค่นั้น คุณจับไปชนกันอย่างไรกับ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขาร กระบวนการสังกัปปะ 7 เอาอะไรมาชน มันยากนะ ก็ตั้งใจฟังใหม่ฟังดีๆ
_รักธรรม สรหงษ์ : ดูทางทีวีตอนพ่อท่านเทศน์ เห็นมีหนุ่มๆ หน้าใหม่ๆ มานั่งฟังธรรมอยู่หลายคน เห็นแค่นี้ก็ปลื้มแล้วค่ะ น้อยนักที่คนวัยรุ่นจะมาฟังธรรม
_Onwipa Griffiths(อรวิภา กริฟฟิทส์) · สาธุค่ะ รู้สึกว่าตัวเองมีบุญที่ได้ฟังธรรมมะที่เป็นโลกุตระ ไม่เคยได้ยินฟังที่ไหนมาก่อน ลูกขอพากเพียรลดกิเลสของตน ถ้ามีโอกาสลูกจะไปกราบพ่อครูค่ะ
_Dd Gfs (ดีจี จีเอฟเอส) • 23 ชั่วโมงที่ผ่านมา
มนัสการพระคุณเจ้าทุกรูปครับและการจากไปหากได้ประพฤติตนดำรงธรรมครบก่อนสังขารแตกสลายก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายตามโอกาสพิเศษที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ของภพ ภพที่สามารถเข้าสู่นิพานได้จากอาศัยอาการ 32 ประการเป็นปัจจัยสำคัญในการบำเพ็ญเพียร
ก็มีเสียดายเมื่อได้ยินคำว่า หมดกรรม ของ ผู้จากไป ซึ่ง ผมก็ไม่ทราบครับ พระคุณเจ้าว่า หากเขาไม่บรรลุธรรมก่อนจากไป ก็ น่าเสียดายโอกาสพิเศษของภพมนุษย์นี้ ก็ขอแสดงความยินดีกับญาติธรรมที่ได้ดำรงตนบนความไม่ประมาทกับพระคุณเจ้าครับทุกๆท่าน
นิพพาน ไม่ได้ หมายความว่า สูญ แต่ เป็น สภาวะของความว่างของจิต จาก โลภ โมหะ โกรธ ดัง พระคุณเจ้ากล่าว เพราะ จิต เรา ดำรงสถานะของความว่าง คือ สถานะของ นิพพาน และ ขอน้อมกราบขอบพระคุณพระคุณเจ้าที่ได้โปรดเมตตากับภิกษุณีให้ได้มีโอกาสกับการได้ใช้อาการ 32 ประการเพื่อบรรลุนิพพานครับ
พ่อครูว่า…อาตมาไม่ค่อยกำหนดหมายในรูปแบบ ใครก็ตามให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมเถิด อย่าให้กลายเป็นทำลายประเพณีจารีต บัญญัติของพระพุทธเจ้า
_บุญเติม แสนทวีสุข • 1 วันที่ผ่านมา
ชาติหน้า มีจริงๆๆๆ ถ้ายังมีการ”ผสมพันธ์”กัน ชาติหน้า ไม่มี ไม่มี ไม่มีไม่มี ล้านๆๆๆ% แน่นอน ถ้าจับสัตว์ตัวผู้-จับผู้ชาย ทำหมัน คุมกำเหนิด แล้ว จับสัตว์ตัวเมีย-จับผู้หญิงทำหมันคุมกำเหนิด เพื่อไม่ให้ผสมพันธ์ กันอีก น่าจะไม่มีชาติหน้า อีกต่อไป น่าจะสูญพันธ์ จากโลกใบนี้
พ่อครูว่า..อย่าเพ้อเจ้อมากไป คิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยในโลก คนที่โง่ดักดานคือคนที่คิดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยเอามาเสนอ เป็นคนที่โง่ดักดานที่สุด อย่าทำ ขอเตือน พูดไปไม่โก้หรอก คนฟังก็จะรู้ว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเปล่า มันไม่ดี
การทอดผ้าป่า ทอดกฐิน กับการรับบริจาค
_Boonlert Soomprasert (บุญเลิศ สุ่มประเสริฐ)• 1 วันที่ผ่านมา
การทอดผ้าป่า…การทอดกฐิน…การรับบริจาค…มันต่างกันตรงไหน…เป้าหมายก็คือหาเงิน…เพียงแต่แตกต่างกันที่ใช้คำและวิธีการ…นี่มันการสร้างภาพและสร้างอาณาจักรคุ้มครองตัวเองชัดๆ …
_ไสว อังคุระศรี • 2 วันที่ผ่านมา
ทอดผ้าป่า กฐินไม่ผิดครับ เพราะหาเงินร่วมสร้างบูรณะปฎิสังขรณ์สิ่งต่างๆครับเพื่อให้เป็นที่ศูนย์รวมกิจของสงฆ์ และที่ประกอบพิธีกรรมต่างๆๆตามความเชื่อที่บรรพบุรุษอบรม ถ่ายทอดไว้ครับ เป็นการสืบสานประเพณีครับ ส่วนใครจะทำบาป บุญแล้วแต่คนครับ
พ่อครูว่า..การทอดผ้าป่านั้นทุกวันนี้ได้บาป เพราะว่าผ้าป่า คือผ้าที่ไม่มีเจ้าของ เป็นผ้าบังสุกุล เขาทิ้งแล้วไม่มีราคา เดี๋ยวนี้ผ้าป่าก็เอาผ้าใหม่มา มีเจ้าของผ้านั้นด้วย ทำลายพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า
การทอดกฐิน สมัยโบราณ สมัยพระพุทธเจ้าหาผ้าได้ยาก ก็เลยต้องทำสะดึงที่มีขนาดใหญ่ เอาผ้ามาต่อกัน เพราะเป็นผ้าบังสกุล เป็นผ้าที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เป็นผ้าที่เขาทิ้งแล้ว ได้เป็นเศษเล็กเศษน้อยก็เอามาต่อกัน หรือผืนใหญ่ก็เอามาต่อกัน แต่เมื่อนางวิสาขาเข้าไปเห็นเข้าก็เลยสงสารภิกษุ ก็เลยขออนุญาตพระพุทธเจ้า ว่าให้ผู้ที่มีฐานะหาซื้อผ้าที่ดีเป็นไตรจีวรเอามาถวาย เอามาทอดให้แก่ภิกษุสงฆ์ แล้วสงฆ์ก็ไปกรานกฐินเอง จุดมุ่งหมายคือการหาผ้ามาให้พระนุ่งเพราะว่าผ้ามันไม่พอ แต่ยุคนี้ถ้ามันเหลือเฟือการทอดกฐินก็บาปไปอีกเพราะเป็นการผิดเพี้ยนวินัยของพระพุทธเจ้า ไปเป็นวิธีการหาเงิน แล้วพระที่หาเงินด้วยการทอดผ้าป่าหรือทอดกฐินได้บาปด้วยกันทั้งสิ้น วินัยพระพุทธเจ้าเละ
อาตมาตั้งแต่ทำงานศาสนามาตอนแรกก็พยายามจะทำตามให้ถูกประเพณีถูกพระธรรมวินัยแต่มันเป็นไปไม่ได้เลย ก็เลยเลิกประเพณีนั้น เพราะว่าผ้าเดี๋ยวนี้มันเหลือเฟือกองทิ้งเละเทะ ถึงไม่มีความจำเป็นในจุดนี้ ในยุคพระพุทธเจ้านั้นไม่มีอุตสาหกรรมทอผ้า ผ้าจึงมีน้อยไม่พอกินพอใช้จึงลำบาก แต่ในยุคนี้มันหมดสมัย เป็นกาละนี้ที่ไม่ใช่ยุคพระพุทธเจ้าแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เลิกได้ไม่เสียหาย แต่ไม่เลิก เอาไปแปลงทำลายพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า
การรับบริจาค เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องของจิตที่เป็นฐานของมนุษยชาติ การบริจาคมีการบริจาคข้าวของ ปัจจัย 4 อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย 4 อย่าง แต่เดี๋ยวนี้เพี้ยนเรียกเงินว่า ปัจจัย แท้จริงเงินคือวัตถุอนามาส ไม่ควรยุ่งเกี่ยว ชาวอโศก สมณะ สามเณรไม่ได้สะสมเงินทองได้แล้ว แต่เป็นความอ่อนแอของสงฆ์ทั่วไปที่ต้องใช้เงิน อ้างว่าเพื่อสร้างวัดวา ชาวอโศกไม่รับเงินจากคนนอกอโศก รับแต่เงินคนภายในอโศก แม้แต่ของที่จะรับบริจาค ผู้ที่ไม่ได้คบคุ้นเข้าเกณฑ์ เช่น อ่านหนังสือ 7 เล่ม เป็นต้น ก็ไม่มีสิทธิ์บริจาค เป็นการป้องกัน
ชาวอโศกจะเข้าใจการบริจาคและบริจาคกันอย่างพอเหมาะพอควร ชาวอโศกดำเนินมาเกือบ 50 ปีแล้วไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทอง พอเป็นพอไปเลย แล้วเกิดสังคมบวร สังคมศาสนาพุทธเจ้าอย่างมีประสิทธิภาพด้วย จนกระทั่งถึงขั้นสาธารณโภคีเลย แล้วคนที่อยู่ในชุมชนชาวอโศกทำงานแล้วเสียภาษีให้กองกลาง 100% ด้วย เพราะเข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้า มาปฏิบัติธรรมให้จิตวิญญาณชาวอโศกเข้าใจธรรมะพุทธเจ้าได้ จึงบริจาค 100 เปอร์เซ็นต์
พิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าในสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7
อาตมาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า อ้างอิงหลักฐานเป๊ะ แต่ที่ผิดพระวินัยทั้งรับบริจาค กฐิน ผ้าป่า พากันสร้างบาปสร้างเวรให้แก่ตัวเอง เป็นการทำร้ายตัวเองและศาสนา
_คุณดวงใจ….กราบนมัสการ พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ค่ะ
ข้าพเจ้าได้ฟังธรรมะของพ่อครูมาสักระยะหนึ่งแล้วค่ะ มีทั้งเนื้อหาทางธรรมที่ฟังแล้วข้าพเจ้าเข้าใจได้ทันที และส่วนที่เป็นเรื่องใหม่ที่ยังต้องศึกษาทำความเข้าใจต่อไป_แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึกอึดอัดอยากถามพ่อครูเกี่ยวกับ “การปฏิเสธการทำสมาธิและวิปัสสนาแบบหลับตา” ซึ่งก่อนที่ข้าพเจ้าได้มาฟังธรรมะของพ่อครูข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรมแบบนั่งสมาธิหลับตาที่ท่านอาจารย์ผู้สอนสอนให้ผู้ปฏิบัติสังเกตลมหายใจ(การทำอานาปานสติ)และข้าพเจ้าเข้าใจว่าเป็นการกรองอารมณ์ให้เหลือเพียงอารมณ์เดียว คือไม่ฟุ้งซ่านถึงอดีตและอนาคตเป็นการกำหนดจิตให้อยู่กับปัจจุบัน และเมื่อจิตมันฟุ้งซ่านก็ให้เราวางอุเบกขาไม่ต้องรู้สึกเสียใจเมื่อจิตเราไม่เป็นดั่งใจหมาย และฝึกฝนปฏิบัติต่อไป ซึ่งจากการปฏิบัติสมาธิดังกล่าวทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง อาการเกรี้ยวกราดลดลงอย่างเห็นได้ชัดนั้นเพราะในขณะที่ข้าพเจ้ามีอาการเกรี้ยวกราด มันเหมือนมีสติหรือตัวรู้โผล่ขึ้นมาให้ข้าพเจ้ารู้สึกชั่วดีในการอาการนั้น ข้าพเจ้าจึงเข้าใจว่าสภาวะดังกล่าวเป็นสภาวะของการมีสติ (เหมือนที่คนเขาพูดกันว่าสติมาปัญญาเกิด)
นอกจากนี้เมื่อทำอานาปานสติแล้วก็ให้ผู้ปฏิบัติรับรู้เวทนาที่เกิดขึ้นกับร่างกายตัวเองทั้งขณะที่ทำสมาธิแบบหลับตาและเปิดตาไม่ว่าจะเดิน นั่ง นอน กิน หรือให้รับรู้เวทนาตลอดเวลาให้ได้คือให้ฝึกปฏิบัติไปเรื่อยๆค่ะไม่ว่าจะปิดหรือเปิดตา_ จะเป็นไปได้ไม๊ค่ะพ่อครูว่าการนั่งหลับตาเป็นเสมือนการที่เราเข้าเรียนชั้นอนุบาลหรือประถม แล้วต่อด้วยการศึกษาและฟังธรรมะก็เสมือนการเข้าเรียนชั้นมัธยมและมหาวิทยาลัย จนกระทั่งเข้าสู่วัยทำงานก็เสมือนการทำสมาธิแบบลืมตาที่ต้องมีผัสสะกับอายตนะทั้งหก_หรือจะเปรียบเทียบว่าการทำสมาธิแบบหลับตาเสมือนการฝึกฝนตนเองเพื่อให้พร้อมที่จะลงสู่สนามรบ และเมื่อลงสู่สนามรบก็เป็นการใช้สมาธิแบบลืมตาค่ะ
อย่างไรก็ตามประโยชน์ของการทำสมาธิตามที่ข้าพเจ้าได้สืบค้นมาคือ 1)ทำให้หลับสบาย คลายกังวล 2) กำจัดโรคภัยไข้เจ็บ 3) ทำให้สมองปัญญาดี 4)ทำให้มีความรอบคอบ 5) ทำให้ระงับความกังวล 6) บรรเทาความเครียด 7) มีความสุขพิเศษ ? ทำให้จิตใจอ่อนโยน 9) กลับใจได้ 10) เวลาสิ้นลมพบทางดี 11) เจริญวาสนาบารมี 12) เป็นกุศล
_สรุปจากประโยชน์ของสมาธิที่กล่าวมาเป็นไปได้มั้ยค่ะพ่อครูที่การทำสมาธิแบบหลับตาจะเป็นการปฏิบัติธรรมด้วยตนเองในเบื้องต้น และเพื่อความเจริญทางธรรมในการปฏิบัติ อปริหานิยธรรม7 สาราณียธรรม6 ฯลฯ ในท่ามกลางและเบื้องปลายในที่สุดค่ะ
สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้ามีความศรัทธาในคำสอนของพ่อครูเป็นอันมากค่ะแต่ก็มาเกิดความสงสัยในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จึงขอความเมตตาพ่อครูไขความให้กระจ่างด้วยค่ะ_อนุโมทนาสาธุค่ะ
พ่อครูว่า..คุณจะหาประโยชน์จากอะไรก็ได้จะตอบอีกเป็น 50 ข้อก็ได้ และคำว่าสมาธิที่คุณหมาย แต่สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่เป็นเหมือนที่คุณหมายถึงเลย สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ใช่สมถะ สมาธิของพระพุทธเจ้าคือวิปัสสนา สมาธิของพระพุทธเจ้าเกิดความสงบที่เรียกว่าปัสสัทธิ ไม่ใช่สมถะ
ปัสสัทธิกับสมาธิต่างกันอย่างไร
ทำสมถะคือความสงบนิ่ง ไปนั่งนิ่งๆทื่อๆ เป็นของเดียรถีย์นอกศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาก็ไปเจอกับพวกเหล่านี้ จะหัก จะไปตีทิ้งก็จะไม่มีใครมาให้สอน ท่านจึงต้องอนุโลมปฏิโลมค่อยๆดึงขึ้นมา ให้มารู้จักสมาธิของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่จิตตั้งมั่นแบบไม่มีกิเลส ไม่ใช่นิ่งแข็งทื่อ จิตตั้งมั่นของพระพุทธเจ้านั้น เร็วไว คล่องตัว เป็นกายปาคุญญตา หรือจิตปาคุญญตา คือมีเวทนาสัญญาสังขาร หมวดเจตสิกพวกนี้ไวคล่องเลย แล้วลืมตารู้จักโลกเข้าใจหมดเลย นั่นคือสมาธิที่ตั้งมั่น เกิดได้ด้วยจรณะ 15 วิชชา 8 คือสมาธิของพระพุทธเจ้า
ซึ่งจะต้องเริ่มต้นด้วยศีลเป็นหลัก ศีลข้อที่ 1 เป็นต้น แล้วปฏิบัติให้ถูกอย่าไปปฏิบัติผิด โดยปฏิบัติอย่างมี สังวรอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ด้วยศีลเป็นหลัก
ศีลข้อที่ 1 สัมผัสกับสัตว์ก็ต้องพิจารณา จะกินจะใช้เป็นโภชเนมัตตัญญุตา
เป็นการปฏิบัติอย่างตื่นลืมตาไม่ใช่หนีเลยเป็นชาคริยา
สู่แดนธรรมว่า..เขาว่าใช้การหลับตาสมาธิเป็นเบื้องต้นได้ไหม?
พ่อครูว่า..ซึ่งไม่ใช่ทั้งเบื้องกลางเบื้องปลายเบื้องต้น ของพระพุทธเจ้าไม่ต้องไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ของพระพุทธเจ้าปฏิบัติศีลแล้วเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นวิมุติ ปฏิบัติ อธิศีลให้เกิดอธิจิตให้เกิดอธิปัญญา อธิวิมุติ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ไม่มีแม้แต่เบื้องต้น
เบื้องต้นก็คือศีลข้อที่ 1 แล้วทำให้เกิด อธิจิต เป็น เป็นอธิปัญญา อธิวิมุติ อธิจิตจะตกผลึกตั้งมั่นลงเป็นสมาธิ
อาตมาไม่ได้พาคุณมานั่งหลับตาเลย พวกคุณมีสมาธิไหม? นี่แหละสมาธิของพระพุทธเจ้า ทำผิดมาไกลแสนไกลไกลจากวิเวก จนไม่รู้จะทำอย่างไร จนกระทั่งเป็นคนที่เอาไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่ม ในตอนเช้า ในตอนกลางวัน ในตอนเย็น พวกคุณก็ไม่ตาย จมอยู่ในถ้ำจมอยู่ในที่ติด ไม่สะดุ้งสะเทือน ไม่ตาย ทำอย่างไรก็ไม่รู้สึกรู้สาไม่ได้มีเวทนาไม่ได้มีวิญญาณไม่ได้มีความรู้เหมือนกับคุณค่าก้อนดินก้อนหิน ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มฆ่าด้วยก้อนดิน ไม่รู้จักรูปนามไม่รู้จักวิญญาณ ไหนอาหารข้อที่ 4 ไม่รู้จักรูปนามเหมือนก้อนดินก้อนหิน
ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่ม เช้ากลางวันเย็นก็เหมือนกับฆ่าก้อนหินมันไม่ตาย อย่างนั้นจริงๆเพราะคุณไม่รู้จักความเป็นวิญญาณไม่รู้จักรูปนามเลย ยิ่งพูดรูป 28 นาม 5 ก็ไม่รู้เรื่องจบเห่เลย
ปฏิบัติไม่รู้รูป 28 นาม 5 จับเวทนาได้ ในเวทนา 108 เป็นกระบวนธรรมของศาสนาพุทธแล้วเลิกสุข ทุกข์ เป็นอุเบกขาได้ เป็นฐานนิพพาน
_เมื่อหลายสิบปีก่อนได้ไปที่สันติอโศกและคิดจะสมัครเรียนสัมมาสิกขาที่ปฐมอโศกเพราะตอนนั้นมีการประชุมตกลงกันว่าจะเปิดการศึกษาแบบสัมมาสิกขาปฐมอโศก
ช่วงนั้นเรียนอยู่มัธยมปลายสายสามัญได้ยินผู้ใหญ่คุยกันในรูปแบบการศึกษาที่จะทำให้กับ สส.ฐ. ในตอนนั้น รู้สึกว่าน่าสนใจมาก (การศึกษาต้องเป็นแบบนี้ที่ท่านคิดจะทำกันตอนนั้น) แต่ก็ไม่กล้าตัดสินใจเพราะพ่อแม่พี่น้องไม่เห็นด้วยอย่างมากๆเลยจึงไม่ได้เรียน แต่รู้สึกศรัทธาในความพยายามที่ทุกฝ่าย ทั้งชาวชุมชนนักบวชและบุคลากรที่เสียสละมาเอาภาระเรื่องการศึกษาของเด็กๆในทุกระดับชั้นอนุบาล ประถม มัธยมต้นปลายจนถึงทุกวันนี้มีสัมมาอาชีวะด้วย
แม้ว่าไม่ได้เรียนสัมมาสิกขาแต่ก็ได้รับรู้ได้เห็นได้ใกล้ชิดกับสัมมาสิกขาของชาวอโศกมาตลอด วันนี้ขอกราบขอบคุณหลวงปู่ท่านสมณะ สิกขมาตุและชาวอโศกทุกท่านที่เมตตาให้ความเกื้อกูลกันตลอดมาจนปัจจุบันก็มีศิษย์เก่าที่เป็นรุ่นพี่เข้ามาช่วยกันเกื้อกูลน้องๆอาจจะเป็นรุ่นลูกรุ่นหลานแล้วในแต่ละช่วงเวลาหรือเข้ามาเป็นหลักให้ในหลายๆรูปแบบ เป็นคุรุบ้าง เป็นชมรมผู้ปกครองบ้าง เป็นรุ่นพี่นำพากิจกรรมบ้าง หรืออยู่ร่วมทุกข์สุขกับน้องๆตลอดในวิถีชีวิตการเป็นสัมมาสิกขากันเลยก็มี
ภาพสะท้อนในงานชาวอโศกทุกวันนี้มีเด็กๆสัมมาสิกขาของชาวอโศกเป็นหลักช่วยค้ำยันช่วยสนับสนุนกิจการงานน้อยใหญ่ได้อย่างน่าชื่นใจ
สส.ฐ.ช่วยประจำร้านอาหาร สส.สอ.ช่วยขายต้นไม้ สส.ธ.ช่วยเสริมจุดหลักของงานบริการในฐานะเจ้าของบ้าน สส.ษ.และสัมมาสิกขาทุกเขตร่วมแรงร่วมใจกันเข้าไปประสานเชื่อมร้อยกัน โดยมีรุ่นพี่ศิษย์เก่าเข้ามามากขึ้นมากขึ้นในทุกกิจกรรมในงานเพื่อฟ้าดินที่ผ่านมา
รูปรอยนี้เทียบกับสังคมข้างนอกที่ห้อมล้อมเราอยู่เต็มไปด้วยภัยในหลายรูปแบบจนไม่น่าอยู่เลย มีแต่อันตรายมากทั้งปล้นจี้ฆ่าหลอกลวงเอาเปรียบสารพัดร้าย ซึ่งเหล่านี้สัมมาสิกขาในปัจจุบันยังไม่รู้สึกว่ามันเป็นโทษภัย
วันเด็กปีนี้กับวิถีชีวิตเด็กสัมมาสิกขาผู้โชคดีได้ทำสัมมากัมมันตะฝึกตนอยู่ในศีลแวดวงคนดีได้สัมผัสธรรมชาติที่ไร้พิษภัย จะรู้ตัวบ้างไหมหนอว่าตัวเองโชคดีขนาดไหน ขอหลวงปู่ช่วยบอกเด็กๆด้วยค่ะ พรุ่งนี้เป็นวันเด็กปี 2563 แล้วค่ะ
พ่อครูว่า…ที่คุณพูดมานี่ก็ครบเนื้อหาที่พยายามเรียบเรียงมานี่ พูดจริงๆ อาตมาก็พอใจตัวเองนะ ที่ได้ทำการศึกษาศีลเด่นเป็นงานชาญวิชาขึ้นมาจะเข้า 30 ปีมาแล้วเป็นการศึกษาโรงเรียน ช่วยรัฐบาลสังคมประเทศ ทำโรงเรียนเหมือนโรงเรียนเอกชน ไม่ใช่ของรัฐบาล แล้วเราไม่เคยเก็บเงินเก็บทองหาเงินหาทองกับการเรียนเลย เราจับจ่ายใช้สอยเลี้ยงดูด้วย เด็กมาเรียนอยู่เป็นโรงเรียนประจำกินอยู่หลับนอนด้วยเสร็จ เลี้ยงดูเหมือนลูกเหมือนหลาน เรียนฟรีแล้วก็เลี้ยงดูเหมือนลูกเหมือนหลาน ทำมาอย่างนี้ยี่สิบกว่าปี เกือบ30 ปีแล้ว ทำมาตั้งแต่ปี 2533 ก็ประมาณ 30 ปีแล้ว
อาตมาพอใจตัวเองที่ได้ช่วยรัฐบาลช่วยประเทศชาติทำการศึกษาให้แก่เยาวชน สอนเหมือนกับหลักสูตรของรัฐบาลก็มีครบครัน เท่าเทียมเทียบเคียงก็เหมือนกัน ตอนแรกๆมีคนบอกว่า สอนในนี้จะไปสอบแข่งกับข้างนอกได้หรือ แต่เดี๋ยวนี้เขาก็ไปเป็นดอกเตอร์ปริญญาโทอะไรกัน ก็ไม่เห็นเป็นอะไร ดีไม่ดีออกจะเด่นด้วย ไม่ได้ด้อยเลย เด่นดีด้วย เพราะมันปราศจากสิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเปลืองเปล่า เหมือนระบบการศึกษาที่ล้มเหลวภายนอก ที่นี่มาเน้น ลดละสิ่งที่เป็นอบายมุข และบอกให้เข้าใจด้วยว่าอย่าไปฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยแบบเขา จนเดี๋ยวนี้เป็นจารีตประเพณีการศึกษาแบบชาวอโศกแล้ว ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จะเอาลูกหลานมาเรียนที่นี่ก็เข้าใจแล้ว ก็เลยเป็นการศึกษาอีกแบบหนึ่งในโลก ไม่ใช่แต่ในประเทศไทยเท่านั้น
ซึ่งเป็นการศึกษาอย่างศาสนาคริสต์ศาสนาอิสลามเขาเอาธรรมะเข้าไปเป็นแกนนำเป็นตัวสำคัญในการศึกษา แต่ในชาวพุทธไม่มี แต่ก่อนก็การศึกษาอยู่ในวัดก็ยังเข้าท่า ตอนนี้เอาออกมาจากวัดก็เลยเละเทะเหมือนขี้แพะท้องเสีย ขออภัยที่วิจารณ์แรงหนัก เพราะไปเอาแบบอย่างของตะวันตกเขามา ของตะวันตกเขาก็มีกรอบมีระเบียบแต่ของเราเอามาแล้วก็เอามาปนกันเละไม่มีกรอบไม่มีระเบียบ แต่ก่อนอยู่ในวัดวาก็ยังคุ้มภัยได้ ตอนนี้ออกมานอกวัดแล้วเอาเอง ตั้งเองเลย แล้วหัวไอ้เรือง จบดอกเตอร์ทางการศึกษา ก็ว่ากันเละเทะ
อาตมาภูมิใจที่ได้เอาการศึกษามาให้ โดยเฉพาะในเมืองไทย เอามาสอนให้คนมีคุณธรรม ศีลเด่น แล้วทำให้รู้จักการศึกษา ที่อาตมาว่า การศึกษาทางโลกแม้แต่การศึกษาแบบเมืองนอก การศึกษาของเขาเป็นการศึกษาแบบจับเด็กมาเข้ากล่อง เด็กไม่รู้จักสังคมที่ตนเองอยู่ด้วย เด็กไม่รู้จักชีวิตจริง เช้าหอบกระเป๋าเข้าโรงเรียน เย็นก็กลับบ้านมาทำการบ้าน เช้าก็หอบกระเป๋าไป พ่อแม่ก็ส่งให้เรียน จบมัธยม จบปริญญา ก็เหมือนกัน ให้เรียนแต่ในกล่องเรียนแต่ในตัวหนังสือ ไม่รู้จักสังคมที่ตนอยู่แท้ๆ ดีไม่ดีส่งไปเรียนเมืองนอกต้องรู้จักสังคมเมืองนอกก็กลับมาเอาเศษกากของเมืองนอกมาเผยแพร่ในเมืองไทยอีก เละเป็นขี้แพะท้องเสียจริงๆ ขออภัยวิจารณ์แรง มันเป็นอย่างนั้น มันก็เลยเสียหายหมดเลย
พูดอีก อาตมาก็เลยภูมิใจที่ดึงกลับมา เอาการศึกษามาให้แก่ประเทศไทยเป็นการศึกษาผู้ที่จบจากที่นี่ไป ที่นี่มีถึงวิทยาลัย แต่ก่อนมีแค่ถึงมัธยม เดี๋ยวนี้ก็มีอาชีวะ ทำมหาวิทยาลัยมันยากเราไม่มีเงินไม่มีทอง มันจะหนักได้แค่นี้ก็เอาล่ะ พิสูจน์มา 20 ,30 ปี อาตมาได้ทำโรงเรียนที่ช่วยสังคมประเทศ ช่วยการศึกษาให้เยาวชน เยาวชนก็จบไปจาก(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า…ทุกวันนี้ในชุมชนต่างๆของเราก็มีศิษย์เก่ามาช่วยหลายคน
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน
สมณะแสนดิน
พ่อครูว่า…เราทำการศึกษามา 20 – 30 ปีแล้วมันไม่เสียหาย พูดไปแล้วเหมือนจะยกย่องตัวเองเกินไป มันจะกลายเป็นยกย่องตัวเองเลอเลิศก็ไม่ขอพูดต่อ ก็ยกฐานะการศึกษาให้มีคุณค่ามีประโยชน์ โดยเฉพาะทางจิตวิญญาณ การศึกษาทุกวันนี้ ทางโลกๆทั่วไปเค้าไม่คำนึงถึงเรื่องจิตวิญญาณเลย พูดได้อย่างนั้นเลย จิตวิญญาณจึงเสื่อมลงเรื่อยๆ ในกาละเวลา แม้จะเป็นในวงการของศาสนา เช่นศาสนาคริสต์ อิสลามก็ตาม เขาเอาใจใส่ในเรื่องของศาสนา
อิสลาม เขาเอาธรรมะไปผนวกกับการศึกษาเลย ขนาดนั้นก็ไม่ใช่ง่ายที่จะรักษาธรรมะให้มันดีสงบเนียน มีเนื้อหาเมตตากรุณากันจริงๆ มันไม่ทีเดียว
ศาสนาคริสต์ อาตมาว่าการศึกษาของศาสนาคริสต์ยังดีกว่าการศึกษาของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธละเลยในการศึกษา การศึกษากับเรื่องธรรมะไปคนละทาง ดีไม่ดี การศึกษาในวงการพระ ในวงการมหาวิทยาลัยสงฆ์ ก็นำเอาเรื่องของฆราวาสไปปนเลอะเทอะเข้าไปอีก
ทุกวันนี้ใครอยากได้ด็อกเตอร์ ก็ไปเข้ามหาวิทยาลัยสงฆ์ก็ได้ด็อกเตอร์ ได้เร็วง่าย เอา ก็วิจารณ์หนัก ก็พอสมควร
_คุณหายโง่…กราบขอบพระคุณที่อธิบายอุปาทายรูป 24 โดยพิสดาร ทำให้ดิฉันได้อานิสงส์ในการฟังธรรม 5 ตามพระไตรปิฎกเล่มที่ 22 ข้อ 202 ครบพร้อม เกิดแรงบันดาลใจอันยิ่งที่จะปฏิบัติศีล 5 ให้เป็น อธิ เพื่อความเจริญก้าวหน้าทางจิตวิญญาณซึ่งเป็นประโยชน์มหาศาลในการดำเนินชีวิตปัจจุบัน ตั้งในหน่วยครอบครัวชุมชนและสังคมประเทศชาติ
อนึ่ง ในเรื่องวิเวก 3 นั้นหากพ่อครูกรุณาอธิบายอุปธิวิเวก ก็จะครบพร้อมในการอธิบายโดยรบกวนเวลาแสดงธรรมหรือช่วงอื่นๆให้น้อยที่สุดกราบขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วย
อุปธิวิเวก ไม่ยากจะเข้าใจ แต่ยากที่สุด
อุปธิวิเวกเป็นไฉน? กิเลสก็ดี ขันธ์ก็ดี อภิสังขารก็ดี เรียกว่าอุปธิ. อมตะ นิพพานเรียกว่าอุปธิวิเวก ได้แก่ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สำรอก เป็นที่ดับ เป็นที่ออกไปจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด นี้ชื่อว่าอุปธิวิเวก.
ก็กายวิเวก ย่อมมีแก่บุคคลผู้มีกายหลีกออกแล้ว ยินดียิ่งในเนกขัมมะ จิตตวิเวกย่อมมีแก่บุคคลผู้มีจิตบริสุทธิ์ ถึงซึ่งความเป็นผู้มีจิตผ่องแผ้วอย่างยิ่ง อุปธิวิเวก ย่อมมีแก่บุคคลผู้หมดอุปธิถึงซึ่งนิพพานอันเป็นวิสังขาร.
คำว่า อุปธิ เฉยๆนี่นะ ท่านก็ว่าไว้ชัด กิเลส ขันธ์ 5 อภิสังขาร
คุณจะต้องรู้ 3 อย่างนี้ คืออุปธิ แล้วทำให้มันวิเวก เป็นอุปธิวิเวก คือต้องทำให้เกิดนิพพานตามลำดับเป็นอมตะ ท่านตรัสไว้แค่นี้
อุปธิวิเวกถึงขั้นนิพพาน ถึงขั้นอมตะ
นิพพานหรือวิมุติเป็นไวยพจน์ในมูลสูตร 10
-
มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .
-
มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) . . . .
-
มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) . . .
-
มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .
-
มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) . . .
-
มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .
-
มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด
-
มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
-
มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน.
-
มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 58)
อมตะคือผู้อยู่เหนือความเกิดความตายแล้วจะเกิดก็ได้จะตายก็ได้ คือจะไม่ตายก็ได้นิรันดร อย่างพระอวโลกิเตศวร ป่านนี้ยังไม่ตายจะรื้อขนสัตว์จนหมดตัวสุดท้ายปรินิพพานก่อนตัวเองถึงปรินิพพานเป็นปริโยสาน ถือว่าอมตะนิรันดรก็ได้ แล้วบอกว่าจะรื้อขนสัตว์ต่อไป มันเป็นอุดมการณ์อย่างหนึ่งของทางศาสนา
ไม่ได้นิรันดรเหมือนเทวนิยมที่จิตวิญญาณนิรันดร แต่ของพุทธสูญได้แต่จะไม่สูญก็ได้นิรันดรก็ได้ แต่เป็นผู้ที่มีนิพพานแล้วเป็นอมตะบุคคลแล้ว
คำว่าอมตะ คำว่านิพพานที่อุปธิวิเวก คุณจะต้องศึกษาอุปธิแล้วทำอุปธิให้สูญสมบูรณ์แบบเป็นวิมุติอมตะ เป็นนิพพานให้ได้
กิเลส ขันธ์ 5 อภิสังขาร
อภิสังขารคือตัวสำคัญ คนที่เกิดมามีอวิชชาไม่รู้จักสังขาร สังขารมี 3 อย่าง
กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร
คนไม่รู้จักสังขาร เมื่อศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าก็จะรู้จักสังขาร กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร จิตสังขารก็ชัดเจน
สังขารทั้งหลายก็มีวิญญาณมีนามรูปปรุงแต่ง มีวิญญาณ นามรูป
จะศึกษาวิญญาณได้ต้องมีนามรูป หากผู้ใดไม่รู้นามรูปก็ศึกษาวิญญาณไม่ได้ มีวิญญาณจึงแยกกาย แยก มโนได้ แล้วต้องมีผัสสะจึงมีอายตนะ หากไม่มีก็ไม่มีสะพานให้ศึกษา
รูปนามที่ปรุงกันเป็นสังขาร ในสังขารทั้งหลายคือเวทนา
กายสังขารก็มีเวทนา วจีสังขารก็มีเวทนา จิตสังขารก็มีเวทนา
เวทนาจึงเป็นฐานเรียนรู้ เป็นฐานปฏิบัติ จึงเรียกเวทนาเป็นกรรมฐาน พระพุทธเจ้าจึงได้เอาเวทนามาเป็นฐานแห่งกรรมหรือเรียกว่ากรรมฐาน ถ้าไม่มีเวทนาแล้วไม่มีฐานะแห่งกรรมที่จะปฏิบัติได้ ก็มีแต่กิเลสเท่านั้นดิ้นรนไป เป็นตัวแส่หา อะไรต่ออะไรไปตลอด
ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พรหมชาลสูตร จากข้อที่ 51 ไปเรื่อยๆ
[51] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใด
มีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรนของคนมีตัณหาเท่านั้น.
[52] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการแม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็นเป็นความแส่หาเป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน
ไม่มีผัสสะไม่รู้เวทนาก็มีแต่ตัณหาแส่หาดิ้นรนไปตลอดกาล
[64] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ ข้อนั้นเพราะผัสสะเป็นปัจจัย
[65] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ ๔ ประการแม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย
[66] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด และหาที่สุดมิได้มิได้ บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการ แม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย
พ่อครูว่า… ถ้ามีผัสสะก็จะมีเวทนามีรูปนามให้เรียนรู้ ศึกษารูป 28 นาม 5 จะได้ความรู้ไปตามลำดับ จะรู้จักกิเลส รู้จักธรรมะที่จะทำให้เหตุคือกิเลสดับไปตามขั้นตอนของศีล ตั้งแต่ศีลข้อ 1สัมผัสกับสัตว์ ศีลข้อ 2 สัมผัสกับพืช กับของ ศีลข้อ 3 สัมผัสรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็จะได้เรียนได้ศึกษาเมื่อมีผัสสะจึงเกิดเวทนา
เวทนา จึงเกิดตัณหา 3
เวทนาเกิดแล้วมีปัจจัยให้เกิดคือตัณหา 3 ตัณหามันอยู่ในมโนสัญเจตนา ในนาม 5 มีเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
ในนาม 5 หากปฏิบัติธรรมไม่มีผัสสะก็มนสิการไม่ได้ ทำใจในใจไม่ได้ ไม่มีผัสสะก็ไม่มีเวทนาไม่มีสัญญา หากมีผัสสะก็มีเวทนาก็ทำใจในใจได้
เวทนาเป็นฐาน สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ แล้วหาตัวมโนสัญเจตนาในเวทนาให้ได้
ก็จะมีมโนสัญเจตนาคือ 1. กามตัณหา 2. ภวตัณหา 3. วิภวตัณหา
ตัณหา 3 นี้ เรียนรู้ไปตามลำดับตั้งแต่กามตัณหา เป็นต้น แต่เมื่อเรียนผิดไปนั่งหลับตาปฏิบัติแล้ว กามตัณหาไม่ได้เริ่มต้นเลย ไม่หลับตาปฏิบัติแล้ว รีบลัดไปหาจิตสงบ ดับ ออกนอกรีตพระพุทธเจ้าไปเลย ไม่มีการศึกษา 3 ไม่มีจรณะ 15
ไม่มีสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ไม่มีโภชเนมัตตัญญุตา ไม่มีชาคริยานุโยคะ ซึ่งผิดไปจากธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้าปฏิบัติไม่ผิดก็ต้องมี 3 อันนี้ แต่ถ้าไม่มี 3 อันนี้ คือปฏิบัติผิด ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ไม่มีการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6
ต้องมีการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 จึงจะเป็นการปฏิบัติที่ไม่ผิด ต้องมีโภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคต้องตื่นไม่ใช่ไปหาที่หลับ ตื่นมีสติทั้งภายนอกและภายใน ไม่เคยให้มีสติแต่ภายในเท่านั้นไม่มี
คุณจะมีสติแข็งแรงตั้งแต่ภายนอกไปแล้วก็ล้างกิเลสกามได้ กิเลสของคุณหมด จิตคุณจะแข็งแรงยิ่งขึ้นเป็นสมาธิ แล้วก็เรียนรู้มีทั้งปัญญาทั้งเจโต ศึกษา รูปราคะ อรูปราคะต่อ ลึกซึ้งเป็นมานะ อุทธัจจะ ล้างละเอียด หมดอวิชชา หมดสังโยชน์เบื้องสูงเลย มีลำดับ อันน่าอัศจรรย์
แต่นี่เบื้องต้นก็ทิ้งไปหมดแล้ว ในจิตวิเวก เริ่มต้นปฏิบัติผิด เป็นผู้ไกลจากวิเวก
เข้าใจกายวิเวกก็ตื้นๆเอาร่างออกป่า บิณฑบาตแต่เพียงผู้เดียวกินผู้เดียวอยู่แต่เพียงผู้เดียว มิหนำซ้ำก็ไปนั่งหลับตาเข้าไปอีกแล้วหลงเป็น รูปฌาน อรูปฌาน โดยไม่มีภายนอก แต่จิตวิเวกนี้ต้องมีภายนอก
พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้มันซับซ้อน ถ้ามีภายนอก หากคุณเอาร่างออกป่า สองนั่งหลับตาปฏิบัติก็ไม่มีภายนอก ก็ไกลแสนไกลจากวิเวก คุณหมดสิทธิ์ที่จะรู้จักกิเลสหมดสิทธิ์ที่จะรู้จักขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อทิ้งรูปไปแล้วไม่มีกายภายนอก ไม่ต้องพูดถึงอภิสังขาร
อภิสังขารมี ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร
เข้าใจบุญว่าเป็นกุศลก็ผิดไปหมดเลย บุญเป็นตัวทำลายบาป อกุศล แล้วมีหน้าที่นี้เท่านั้นแล้วไม่เคยมีอยู่ที่ไหนเลย บุญสะสมไม่ได้ บุญเกิดแต่ในปัจจุบันเท่านั้น ทิฏฐธรรมนิพพาน เกิดในผู้ทำฌานได้ เป็นไฟเผาไฟราคะโทสะโมหะ มันเป็นพลังงานอุณหธาตุ แต่พลังงานฌานเป็นอุตระเหนือกว่าไฟราคะโทสะโมหะ ต้องลืมตาปฏิบัติฌาน
ไปหลับตาปฏิบัติไม่มีทางเกิดฌานของศาสนาพุทธ ฌานของพุทธเกิดจากจรณะ 11 กับวิชชา 8
ในจรณะ 11 คือ ศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค (พ่อครูจาม ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า…พ่อครูอธิบายวิเวก 3
พ่อครูว่า…หากกายวิเวก ก็ออกป่า จิตวิเวกนั่งหลับตาสมาธิอีก ไม่มีทางจะรู้จัก อุปธิวิเวก
ไม่รู้จักอภิสังขาร 3 จะต้องรู้จักคำว่าบุญ ที่เป็นเหมือนกิโยตินตัดคอกิเลส ฌาน มีอาวุธเริ่มต้นฟาดฟันกิเลส เมื่อตัดคอด้วยกิโยตินคือบุญก็กิเลสขาดตายสนิท เป็นบุญคือปุญญาภิสังขาร
ต้องรู้จักกิเลสสักกายะอย่างพ้นวิจิกิจฉา มีศีลพรตที่ฆ่ากิเลสตายด้วย คือสังโยชน์ 3 ของพระโสดาบัน
ผู้ที่สามารถใช้บุญเป็น หรือทำฌานของพระพุทธเจ้าที่เกิดจากจรณะ 11 และวิชชา 8 ต้องมีปัญญาจึงมีฌาน มีอธิจิตก็เกิดฌาน 4 จะเกิดฌาน 4 ได้ต้องทำจรณะ 11
สังวรศีล ต้องมี สังวรณ์อินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค กับศีลข้อที่ 1 คือเกี่ยวกับสัตว์ เกิด หิริโอตตัปปะ ในสัทธรรม 7 แต่ก่อนเราสัมผัสกับสัตว์ คุณก็ปฏิบัติกับสัตว์ด้วยความทุจริต สัมผัสกับสัตว์ปฏิบัติกับสัตว์ด้วยความไม่มีเมตตา ไม่รู้จักว่าสัตว์ก็คือเพื่อนแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ควรจะต้องหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ไม่ควรจะไปทำร้ายไปฆ่ากันเลย สัตว์ทั้งปวงเขาก็อยู่ของเขาไปตามวิบาก เราไม่มีหน้าที่จะไปทำร้ายสัตว์ใดเลยที่เกี่ยวข้อง เขาก็เกิดมาเป็นชีวะของเขา อาตมาอธิบายถึงขั้นแม้แต่สัตว์เซลล์เดียว เซลล์นี้อาจจะกลายเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต อย่าไปละลาบละล้วงชีวิตเขา มันเกิดมาเป็นสัตว์เป็นจิตนิยามแล้วแม้แต่เสี้ยวเดียวเราก็อย่าไปทำให้เกิดวิบาก ต้องช่วยไม่ใช่ไปทำร้ายเบียดเบียน คุณปฏิบัติศีลข้อนี้ให้ดี แต่ก่อนไม่ได้มีความคิดเช่นนี้ ดีไม่ดีก็จะไปทำให้เกิดการฆ่าเอามันมาเล่น เราก็ละอาย เมื่อก่อนทำไมไม่มีความคิดเช่นนี้ เมื่อมีความคิดเช่นนี้เข้าใจขึ้นมามีอัญญธาตุ มีปัญญา ว่าเราแต่ก่อนไม่เคยปฏิบัติกับสัตว์อย่างนี้เลยก็จะเกิดความ ละอาย หิริ มีสำนึกตัวเอง ไม่ใช่พูดเล่น เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งสิ้น หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ช่วยเหลือกันอะไรที่ช่วยได้ก็ช่วยอะไรช่วย ไม่ได้ก็ปล่อยไปวางพรหมทัณฑ์ปล่อยไปตามวิบากกรรม สัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ ยิ่งคนนี่อย่าไปทำร้ายใครเลย ช่วยกันอย่าให้ตกต่ำ ช่วยกันให้เจริญช่วยไม่ได้ก็ปล่อยกันไป
ในความหมายของธรรมะพระพุทธเจ้าจึงลึกซึ้ง ผู้ที่สามารถมีหิริโอตตัปปะ เกี่ยวกับสัตว์ คุณก็จะพลิกพฤติกรรมของคนกับสัตว์ทั้งหลาย เห็นสัตว์เล็กสัตว์น้อยเห็นแมลงตกโถส้วมก็ช่วยขึ้นมา มันจะมีน้ำใจอย่างนั้นจริงๆ เกิดอาการอย่างนั้นจริงๆ ปฏิบัติแล้วจะเกิดจากนั้นจริงๆเลยนี่คือคุณวิเศษของธรรมะพระพุทธเจ้า
ปฏิบัติไปก็จะเกิดพหูสูตเป็นผู้รู้ความจริงมากขึ้นมีความจริงมากขึ้นเป็นพหูสูต ก็เลยมีวิริยะสติปัญญา ให้เกิดอิทธิบาท หรือเกิดอินทรีย์พละ 5 มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา
ไม่มีคำว่าสมาธิคำเดียว สมาธิคือตัวที่จะเกิดผลจากจรณะ 15 วิชชา 8 นี่คือสมาธิของพระพุทธเจ้า ไม่มีใครอธิบายสมาธิของพระพุทธเจ้าว่าเกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 คือจิตสะสมตกผลึก เป็นจิตสะอาด ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
สั่งสมความบริสุทธิ์สะอาดไม่หวั่นไหวต่อโลกทั้งปวง โลกจะหยาบจะหนักจะเป็นนรกลึกและหยาบมากเท่าไหร่ ก็ไม่มีปัญหา
อาวุธของสัตว์นรก อาตมาเกิดมาในชาตินี้มีเยอะที่จะมาทำร้ายอาตมา มาจากกลุ่มศาสนาพุทธนี่แหละ ทุกวันนี้อาวุธนรกทำอะไรอาตมาไม่ได้ อาตมาเป็นคนที่ไม่ใช่ว่า เอาไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่ม เช้า เที่ยงเย็นแล้วไม่ตายไม่ใช่ อาตมาเป็นคนที่ตายแล้วเพราะรู้จักนามรูปรู้จักวิญญาณ ทำให้เกิดการตายของจิตวิญญาณได้แล้ว ไม่ใช่คนที่ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มก็ไม่ตายตอนเช้ากลางวันเย็น ไม่ใช่อมตะแบบฆ่าไม่ตายแบบนั้น เป็นสิริมหามายา อมตะโลกุตระกับอมตะโลกียะ นี่คือความละเอียดลึกซึ้งในธรรมะของพระพุทธเจ้า
คำว่า วิเวก 3 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน คุหัฏฐกสุตตนิทเทส กายวิเวกไม่ใช่เอาร่างกายออกป่าเขาถ้ำบิณฑบาตอยู่แต่ผู้เดียว อยู่แต่ผู้เดียวไม่มีภายนอกไม่ใช่ จิตวิเวกก็ไม่ใช่ปฏิบัติโดยไม่มีภายนอก หากเอาตัวเองออกป่า กายวิเวกก็โมฆะแล้ว จิตวิเวกก็โมฆะอีกไปนั่งหลับตาปฏิบัติ อุปธิวิเวกก็โมฆะ ยกกำลังเลย ไกลแสนไกลจากวิเวก
อาตมาเกิดมาในชาตินี้อธิบายธรรมะแล้วเปิดเผยตัวตนอย่างหมดจด อธิบายศีลสมาธิปัญญา อธิบายไปแล้วคนรู้เรื่องไหมรับได้ไหม เอาไปปฏิบัติได้ไหม อาตมาว่าได้นะ มีการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ด้วยในหมู่พวกเรา พวกที่เขาบอกว่าเป็นอรหันต์เป็นอรหันต์เก๊ ที่เขาเคารพกันทั่วบ้านทั่วเมืองก็เป็นอรหันต์เก๊ พูดไปเป็นสิ่งที่ถูกต้องอยากให้สะดุ้ง ว่าคุณเคารพอรหันต์เก๊ก็บรรลัยสิศาสนาพุทธ เอาของเก๊มายกเป็นของจริง
ว่านี่ทองคำแท้ แต่คือทองเก๊ อาตมาก็แจกแจงว่าเก๊อย่างไร สมาธิก็ไม่ใช่ ศีลก็ไม่ใช่ปัญญาก็ไปไกลไม่ใช่ทางโลกุตระเลยไม่ใช่ด้วยวิชชา 8
อุปธิวิเวกมี 3 หากคุณไม่สัมมาทิฏฐิที่จะรู้จักกิเลส อุปธิ มี กิเลส ขันธ์ 5 อภิสังขาร หากไม่รู้จักการทำใจให้เกิดอธิ ทำฌาน ตามจรณะ 15 ฌานต้องปฏิบัติจรณะ 11 กับวิชชา 8 จึงเกิดฌาน 1 2 3 4 ฌานศีลนั่งหลับตาไม่มีศีลไม่มีสำรวมอินทรีย์โภชเนมัตตัญญุตาไม่มีชาคริยานุโยคะ เป็นฌานไม่ตื่น เป็นชานหมาก ไม่ใช่ฌานที่เป็นพลังงานไฟหรือพลังงานอุณหธาตุเผากิเลส
สรุปอีกทีนั่งหลับตาเลิกได้แล้ว ไม่มีคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ไปนั่งหลับตา
สร้างฌานสร้างวิมุติต้องลืมตา (มีคนร้องไห้ เป็นคนไม่สบายทางจิต)
สร้างฌานตอนลืมตาตื่นๆ สร้างด้วยการมีผัสสะ พยายามศึกษาให้เข้าใจให้ดีๆ ตั้งใจฟังอาตมามารื้อ รื้อทำลายเรื่องที่ผิดเพี้ยนไปจากของพระพุทธเจ้า เรื่องไปหลับตาปฏิบัติ นี่คือจรณะวิชชาเป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้า ฌานก็ไปนั่งหลับตาแบบเดียรถีย์
ฌานต้องลืมตาปฏิบัติตามจรณะ 15 วิชชา 8 จึงเกิดอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติของพระพุทธเจ้า
หากปฏิบัติผิดก็วิปลาส คือมีกิริยาที่ถือโดยอาการวิปริตผิดจากความเป็นจริง, ความเห็นหรือความเข้าใจคลาดเคลื่อนจากสภาพที่เป็นจริง มีดังนี้ :
ก. วิปลาสด้วยอำนาจจิต และเจตสิก 3 ประการ คือ
-
วิปลาสด้วยอำนาจสำคัญผิด เรียกว่า สัญญาวิปลาส
-
วิปลาสด้วยอำนาจคิดผิด เรียกว่า จิตตวิปลาส
-
วิปลาสด้วยอำนาจเห็นผิด เรียกว่า ทิฏฐิวิปลาส
ข. วิปลาสด้วยยึดเอาวัตถุเป็นที่ตั้ง 4 ประการ คือ
-
วิปลาสในของที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง
-
วิปลาสในของที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข
-
วิปลาสในของที่ไม่ใช่ตน ว่าเป็นตน
-
วิปลาสในของที่ไม่งาม ว่างาม (เขียนว่า พิปลาส ก็มี)
พ่อครูว่า…หากว่าไม่มีการคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ก็
-
การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ.. การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง
-
การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของ.. ความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ)
-
ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของ.. การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น)
-
การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ