630117_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ชาวโลกุตระฟังธรรมเพื่อทำลายตน
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1HdhhT_3cTmvifVRnSlOurUTiP5tOcDPI6YyyfEPu48s/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1TTGtGroX918prThN1MvgK9NOD0TCV6GU
สมณะฟ้าไทว่า..วันนี้วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก พ่อครูงดเทศน์ไปหลายวันเนื่องจากอาการไอ ตอนนี้ก็ใกล้หายแล้วก็มาเทศน์ได้ ก็มีข่าวประชาสัมพันธ์
ขอเชิญเข้าค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า
ค่าย “แสงอรุณแห่งปัญญา”
ครั้งที่ 42 ณ บวร ราชธานีอโศก
ศุกร์ที่ 17 – อาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2563
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)
สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ
โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865
##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP หรือสื่อธรรมะพ่อครู
พบกับกิจกรรมตามมรรคมีองค์ 8 พบกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมส่ิงแวดล้อมดีที่จะพาคุณสู่ “ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น”(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) อันจะพาไปสู่ความบริสุทธิ์จนถึงสัมมาวิมุติ
และวันอาทิตย์ก็จะมีกิจกรรมร่มโพธิ์ร่มไทร ที่ลานไทร หน้าน้ำตก มีกิจกรรมต่างๆสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ในช่วงบ่าย มีกินอาหารฟรี กิจกรรมฟรี ฟังธรรมก็ฟรี
พ่อครูว่า…
SMS วันที่ 10 ม.ค. 2563 (พุทธศาสนาตามภูมิ : พ่อครู)
_จักรพล พุทธพัฒนา : การฟังธรรมะเป็นอาชีพอย่างหนึ่งของชาวโลกุตระอเทวนิยมครับ.
พ่อครูว่า…อาชีพนี้เลี้ยงตน แต่ฟังธรรมนี้ทำลายตน ยิ่งใหญ่กว่ากันเยอะ อาชีพใช้เลี้ยงตนไปตามกาละ แต่ฟังธรรมฟังแล้วเข้าใจสามารถทำลายตนเลย ไม่ใช่เลี้ยงตน แต่ทำลาย ฟังธรรมแล้วสามารถทำจิตในจิต ทำใจในใจของเรา ให้เป็นไฟฌาน เผาผลาญไฟราคะโทสะโมหะได้ เกิดบุญ การมีพลังงานจิตที่ทำลายกิเลสทำลายราคะโทสะโมหะได้ เราเรียกว่าทำบุญเป็นทำบุญได้ นี่คือนิยาม
_จักยาน สีสวย : สาธุอาแป้งช่วยถามทำให้กระจ่างครับ
_antanamalee Katchamas : กราบสาธุค่ะ
อยากร่วมทำบุญค่ะ ต้องทำไงบ้าง เคยไปสารีอโศก ๑ ครั้งแต่ฟังคลิปพ่อท่านตลอดประจำทุกวัน ตั้งใจจะไปให้ตลอดค่ะ/ปลาหวาน
พ่อครูว่า…การทำบุญคือทำใจในใจให้เกิดพลังงานลดละกิเลส แต่ถ้าหมายถึงทำทาน ถ้าคุณมีสิทธิ์จะทำทาน หากเอาพืชพันธุ์ธัญญาหารเอามาทำทานก็ตามสบาย แต่ถ้าเอาเงินเอาธนบัตรมาทำทาน คุณจะต้องรู้จักชาวอโศก มีโอกาสเข้ามาที่วัดนี้ 7 ครั้งขึ้นไป ถ้าไม่ได้มาที่นี่อย่างน้อย 7 ครั้งไม่มีสิทธิ์เอาเงินมาทำทาน หรืออ่านหนังสือธรรมะของชาวอโศกอย่างน้อย 7 เล่ม มีคนบอกว่าดูโทรทัศน์ประจำเลย ดูเกิน 70 ครั้งแล้ว ก็เอาล่ะ พอจะทำทานได้บริจาคเงินได้
_Dao Phanh : กราบนมัสการท่านพระครูเจ้าค่ะ ปีใหม่นี้ขอให้พ่อครูแข็งแรง สุขภาพแข็งแรงนะคะอายุยืนเป็นขวัญของลูกหลานของชุมชนสันติอโศกนะคะดาวจากฝรั่งเศสเจ้าค่ะ
_พ.จ.อ.สัญฏวันภ์ ตาคํา : Nan งงๆๆๆ
_Poonya Tamma : ตายแล้วไม่สูญนะ
ร่างกายมันสูญ แต่ใจที่มาสั่งให้ร่างกายทำอะไรนี้ไม่สูญ เราไม่ได้เป็นร่างกายเราเป็นผู้สั่ง เราเป็นนายร่างกายเป็นบ่าว เราคือใจ
คือผู้รู้ผู้คิดนี่แหละ เวลาร่างกาย ตายไป ผู้รู้ผู้คิดไม่ได้ตายไปกับร่างกาย ผู้รู้ผู้คิดมีความอยากก็จะกลับมาเกิดใหม่-พระอาจารย์สุชาติ
ฝากคำถาม ผู้รู้ ผู้คิด มีความอยาก ก็จะกลับไปเกิดใหม่ ใช่หรือไม่อย่างไร
พ่อครูว่า…ตายแล้วถ้าจะไปเกิดเป็นพืชเป็นดินน้ำลมไฟ อันนี้นี่แหละสำคัญ ศาสนาพุทธสามารถทำให้จิตวิญญาณตัวเอง สุดท้ายตายแล้วไปเกิดเป็นดินน้ำไฟลมได้ ไม่ต้องหมุนเวียนมาเกิดเป็นจิตนิยามอีกได้ นี่แหละคือสุดยอดของศาสนาพุทธ โดยธรรมนิยาม 5 อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม
ธรรมะคือสิ่งทรงไว้ยังไม่สูญสลายไป กรรมคือการกระทำ กระทำทางกายเป็นกายกรรม ก็หมายถึงการเคลื่อนไหวทั้งหมด ของสรีระทั้งใจด้วย หากเฉพาะวจีกรรมก็คือการกระทำเคลื่อนไหวของวจี เคลื่อนปาก มีคนเคลื่อนไหวริมฝีปากน้อยๆก็ส่งเสียงได้ก็มี มโนกรรมมีแต่การเคลื่อนของมโนก็ได้
กรรมนี่แหละ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรียนรู้ ให้เราสามารถควบคุมกรรม กายและวจีโดยเฉพาะมโนกรรม จิตวิญญาณหรือมโนเป็นตัวประธานให้เกิด ต้องเรียนรู้ถึงจิตวิญญาณจึงจะสามารถควบคุมจิตใจตัวเองได้ มีวสวัตตี มีอำนาจทางจิตที่จะสามารถทำใจในใจมนสิการให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ ศาสนาพุทธมีความสามารถถึงขนาดนั้นและที่สุดแห่งที่สุดคือสามารถทำให้จิตวิญญาณเรานี้ เมื่อเวลาตายสุดท้าย ให้สลายไปเลยทำให้ใจในใจของเราสลายเป็นดินน้ำไฟลมได้เลย เรียกว่าปรินิพพานเป็นปริโยสาน
หากยังไม่มีความรู้ที่จะทำให้จิตใจเป็นอุตุได้ก็ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ตายไปแล้วก็ยังจะต้องเวียนวนกลับมาเกิดเป็นจิตนิยามเป็นสัตว์หรือเป็นมนุษย์
เทวนิยมไม่สามารถสลายจิตวิญญาณได้เขาก็รู้ตัวเขาเหมือนกันว่าเขาสลายไม่ได้ เขาจึงเชื่อว่าจิตวิญญาณนิรันดรไม่มีสูญสลาย พระเจ้าเป็นเจ้าของวิญญาณนิรันดร ตายแล้วสูงสุดก็ไปอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าเป็นเจ้าของจิตวิญญาณ ซึ่งพระพุทธเจ้านั้น สามารถพิสูจน์เลยได้ว่าพระเจ้านี้ไม่ได้มาเป็นเจ้าของจิตวิญญาณเรา เพราะเราสามารถสลายจิตเป็นปริโยสานให้ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้แยกธาตุเป็นศูนย์ได้ในความเป็นจิตนิยาม เรียกว่ามีปรินิพพาน นี่คือนัยสำคัญที่ต่างกันระหว่างเทวนิยมกับอเทวนิยาม
สุดท้ายศึกษาแล้วจะรู้ว่าจะสูญสลายก็ได้จะต่ออีกก็ได้เวียนเกิดอีกได้ แต่เถรวาทเขาก็ไม่เข้าใจเขาก็ยึดแต่ว่าตายแล้วสูญไม่เวียนกลับมาเกิดอย่างเดียวเท่านั้น แต่อาตมามีความรู้จากความจริงว่า เป็นพระโพธิสัตว์เป็นพระอรหันต์แล้วกลับมาเกิดอีกได้ เป็นขั้นๆ
โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าเถรวาทหรือชาวพุทธในเมืองไทยไม่เชื่ออย่างนี้
หากเชื่อว่าตายแล้วสูญอย่างเดียวเป็นพระอรหันต์ แล้วตายแล้วต้องสูญสลายอย่างเดียวไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว อันนี้ถือว่าเป็นทิฏฐิที่เป็นอุจเฉททิฏฐิ ถือเป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนึ่งที่เป็นอุจเฉททิฏฐิ ส่วนสัสตทิฏฐิคือตายแล้วไม่มีสูญคือนิรันดรอยู่กับพระเจ้า นี่คือความคิดของพวกเทวนิยม พระพุทธเจ้าแยกความเห็นต่างๆที่เป็นมิจฉาทิฐิคืออดีต 18 อนาคต 44 ความเห็น
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่ใช่เป็นสุขนิยม ศาสนาที่เป็นเทวนิยมเป็นศาสนาสุขนิยมมีความสุขนิรันดร ปรารถนาความสุขเอาแต่ความสุข ไม่คิดจะเรียนรู้ทุกข์ เพราะไม่รู้ว่าความสุขกับความทุกข์มันเป็นอย่างไร
ความสุขกับความทุกข์มันเป็นคู่แฝดคู่หูแยกกันไม่ได้ เหมือนกระดาษแผ่นหนึ่งเหมือนเหรียญสองหน้า เมื่อแยกกันไม่ได้พระพุทธเจ้าก็จะทำอย่างไรก็ต้องฆ่าทั้งความสุขและความทุกข์ทิ้งไปเลย หมดความสุขหมดความทุกข์ ตั้งแต่ตอนเป็นๆ เป็นพระอรหันต์คือผู้ที่รู้จักความสุขความทุกข์และเป็นผู้ที่ไม่มีความสุขความทุกข์แล้วจิตว่างจากความทุกข์ความสุขเลย โดยศัพท์เรียกว่าอุเบกขาเป็นจิตบริสุทธิ์ สบายไม่มีทุกข์ไม่มีสุข …เป็นได้ไหม?
_SMS วันที่ 15 ม.ค. 2563
_จักรพล พุทธพัฒนา : กว้าง..สูงหมายถึงคุณธรรม..กว้างหมายถึงจิตใจ ไทคือความอิสระแห่งจิตที่ไม่มีกิเลส…รวมความฟ้าไทคืออะไร..แปลเอาเองครับ.
_เบิกฟ้า หาพุทธแท้ : นมัสการท่านสมณะ และสิกขมาตุด้วยความเคารพยิ่งครับ….สัณญานภาพเสียงที่สุพรรณชัดเจนมากครับ ขอบคุณทีมสื่อฝีมือไม่ธรรมดาเลย…
_7230ฟังธรรมพ่อคูรแล้วเลิกทอดกฐิณผ้าป่าแล้วกระผมเห็นด้วยกฐิณบาปผ้าป่าบาปทำแล้วไม่เป็นบุญเลย หาเงินมาทอดกฐิณผ้าป่าเข้าใจว่าจะได้บญมากโดนพระหลอก พ่อครูแสดงธรรมกฐิณบาปผ้าป่าบาปบ่อยๆนะครับ
พ่อครูว่า…สาธุที่เลิกจารีตประเพณีที่ทำลายศาสนา เป็นเรื่องผิดก็ธรรมวินัยไปไกลๆเลย ทั้งในความหมายตื้นและลึก ทั้งผ้าป่าและกฐิน ไปหมายเอาเงิน โดยเฉพาะพระภิกษุ ถ้าหากมีทอดผ้าป่าทอดกฐินก็จะได้เงินทอง นอกนั้นพฤติกรรมทางธรรมได้อกุศลได้บาปทำลายศาสนา ถ้าเลิกผ้าป่ากฐินไปเสียทุกวันนี้ศาสนาพุทธจะดีขึ้นอีกเยอะ กฐินทำได้แค่ครั้งเดียวต่อปี ส่วนผ้าป่าทอดได้ตลอดปี การหาเงินจากกฐินผ้าป่าคือบาป พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้พระไปวุ่นวายเกี่ยวกับการหาเงิน ขนาดตอนแรกเริ่มเราทำกับพวกเราเองยังกลายเป็นเทวนิยมได้ เป็นเรื่องเลอะเทอะก็เลยเลิกทำ มาจนถึงบัดนี้ แต่สมัยก่อนทำเพื่อหาผ้ามาทำจีวรเท่านั้นเอง เพราะว่าผ้ามันหายาก
_Chittra Aswin : กราบ_/\_นมสก พ่อครู สมณ สขม ที่เคารพยิ่ง ขอกราบขอบพระคุณคณะปัจฉาที่ดูแลพ่อครูเป็นอย่างดีและเล่าสู่ฟังให้ลูกๆคลายกังวลเจ้าค่ะ..ขอให้พ่อครูมีสุขภาพแข็งแรงโดยไว_/\_เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…สาธุ ขอบคุณ
_ใบฟ้า…ในวาระ สู่แดนทองฉลอง50 ปีโพธิกิจ ขอนิมนต์เทศน์เรื่องธรรมะเป็นอยู่ผาสุก5 ประการแก่ลูกๆและมวลมนุษยชาติตามสมควรด้วยเจ๊า
พ่อครูว่า…
-
อานันทสูตร ล.22
[106] พ. พึงมี อานนท์ แล้วตรัสต่อไปว่า ดูกรอานนท์ ภิกษุเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลด้วยตนเอง ไม่ติเตียนผู้อื่นในเพราะอธิศีล เป็นผู้ใส่ใจตนเอง ไม่ใส่ใจผู้อื่น เป็นผู้ไม่มีชื่อเสียงย่อมไม่สะดุ้งเพราะความไม่มีชื่อเสียงนั้น เป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน 4 อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่สบายในปัจจุบัน และย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล ภิกษุสงฆ์พึงอยู่เป็นผาสุก ดูกรอานนท์ อนึ่งเราย่อมกล่าวได้ว่า ธรรมเครื่องอยู่เป็นผาสุกอย่างอื่น ที่ดีกว่าหรือประณีตกว่าธรรมเครื่องอยู่เป็นผาสุกเช่นนี้ ย่อมไม่มี ฯ
ธรรมะที่ทำให้เป็นอยู่ผาสุก 5 ประการ
๑. ถึงพร้อมด้วยศีล ไม่ติเตียนผู้อื่นเพราะอธิศีล
๒. เพ่งดูกรรมของตนเอง ไม่เพ่งโทษผู้อื่น
๓. ไม่มีชื่อเสียง ย่อมไม่สะดุ้งเพราะไม่มีชื่อเสียงนั้น
๔. ได้โดยไม่ยาก โดยไม่ลำบาก ซึ่งฌานทั้ง ๔
๕. กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ (พตปฎ. เล่ม ๒๒ ข้อ ๑๐๖) *ไม่สะดุ้ง = โน ปริตสฺสติ
ทั้ง 5 ข้อคือ ศีล สมาธิ ปัญญา คือไตรสิกขา ขยายเป็นจรณะ 15 วิชชา 8
วิชชา 8 มีเจโตปริยญาณ 16
คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง)
รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.
-
สราคจิต (จิตมีราคะ)
-
วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ)
-
สโทสจิต (จิตมีโทสะ)
-
วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ)
-
สโมหจิต (จิตมีโมหะ)
-
วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)
-
สังขิตฺตํจิตตํ (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่)
-
วิกขิตฺตํจิตตํ (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)
-
มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)
-
อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)
-
สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)
-
อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า)
-
สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)
-
อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)
-
วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . .
-
อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง)
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)
อาตมามีสภาวะทั้งหมดแล้วจึงเอามาพูดได้ เอาอุตริมนุสธรรมอวดไป แล้วเขาก็บอกว่าอาบัติ แต่เป็นอรหันต์แล้วไม่มีอาบัติหรอก แม้บอกกับอนุปสัมบันก็ไม่มีอาบัติ สงฆ์ประกาศยกสติวินัยให้อาตมาแล้วด้วย มาพูดนี้ไม่ได้ผิดวินัยอะไรสักอย่าง ยกไว้แล้ว
อาตมาแม้พูดแรง ด่า แต่ไม่ได้ไปมีจิตไปเบียดเบียนใคร ไม่ได้รังแกใคร เช่นตำหนิมหาบัว ตำหนิธัมมชโยก็บอกด้วยความเมตตาด้วยความจริง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลไม่ได้ติเตียนผู้อื่นด้วยอธิศีล ที่พูดไปนี้เป็นอธิศีล จริงๆ ใครจะติเตียนเขาต้องมีความเหนือเขา แต่ถ้าตัวเองไม่เหนือเขาแล้วไปติเตียนเขาก็จะไปไม่รอด เตี้ยอุ้มค่อม
คนที่ไปติเตียนเขาโดยที่ตัวเองไม่มีอธิศีลนั้นแล้วก็ไม่เป็นอยู่ผาสุก ตั้งตนในคุณอันสมควรก่อน พร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง
การเพ่งดูตน ต้องรู้ตน อ่านตน ขจัดกิเลสในตนอย่าไปเพ่งผู้อื่น ผู้ไม่ไปเพ่งผู้อื่น คำว่าเพ่ง คือเพ่งโทษ เพ่งโทษกับเพ่งคุณต่างกันนะ
อาตมามีแต่เพ่งคุณไม่เพ่งโทษ บอกโทษของเขา เพื่อให้เขาแก้ไขปรับปรุงจะได้เป็นคุณ บอกธัมมชโยหรือมหาบัวเป็นต้น เอามาเป็นตัวอย่าง อาตมาพูดเหมือนไม่เคารพ มหาบัว แต่อาตมาเคารพเพราะบวชก่อน แต่คุณธรรมเคารพไม่ได้ เพราะหลอกผู้อื่นทางธรรม หลอกอุตริมนุสสธรรม ตัวเองไม่ได้บรรลุพระอรหันต์แต่ก็ไปบอกว่าตัวเองบรรลุซึ่งเป็นเรื่องที่ผิด แม้ไม่รู้ตัวก็เถอะ ถ้าไม่พูดก็ไม่มีใครรู้ อาตมาพูดเพื่อให้รู้ ไม่ใช่พูดเพื่อให้ได้ลาภยศสรรเสริญให้คนมายอมรับนับถือ อาตมาพูดแต่สัจธรรมอย่างเดียวไม่เกี่ยวกับ โลกียธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อาตมาพูดเป็นโลกุตระ พูดสัจธรรมอย่างเดียว
อาตมาเองเมื่อหมดตัวตนก็จบไม่ต้องเพ่งดูตนก็ได้ แล้วจิตไม่เพ่งดูตนตัวเองไหม ก็ต้องรู้ตัวเองเพราะว่าจิตของผู้ที่หลุดพ้นแล้วมี มุทุภูตธาตุ พูดเลยแสดงอะไรออกไปต้องมีสติรู้ว่าตัวเองแสดงอะไรออกไป สิ่งไม่ควรก็ไม่ทำ สิ่งที่ควรก็ทำ
คุณต้องพยายามดูตัวเองตัวเองไม่พ้นแล้วไปติผู้อื่นก็ไม่สมควรแล้ว เตี้ยเท่านี้แล้วไปติผู้สูงไม่ควร ควรต้องดูที่ตนอย่าไปเที่ยวว่าคนนั้นคนนี้ไม่มีสิทธิ์
ผู้เพ่งตน รู้โทษผู้อื่นแล้วบอกผู้อื่นให้รู้ตัวก็เป็นความเป็นอยู่ผาสุกข้อที่ 2
เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงก็ไม่ปรารถนาตนเองเป็นผู้มีชื่อเสียง อาตมาเป็นผู้ไม่มีชื่อเสียงในเถรสมาคมเขาไม่ได้ยกย่อง อาตมาไม่สะดุ้งเพราะชื่อเสียงที่เขาไม่ยอมรับอาตมาก็ไม่เคยสะดุ้ง
ถ้าอาตมาจะมีชื่อเสียง คนก็ต้องรู้คุณค่าในตัวอาตมา อาตมามีอะไรดีที่จะให้เขาได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่อาตมาแสดงออกคนที่มีปัญญามีความรู้ว่า โอ้อันนี้น่าได้เขาก็จะยอมรับอาตมาเอง สิ่งที่เขายอมรับนี่แหละคือชื่อเสียง เป็น favourite
(นักรบธรรมว่า ผู้รู้ยอมรับว่านี่คือสุดยอดของพุทธ)
พ่อครูว่า..เป็นผู้ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4 อาตมามีฌานในตัวทุกเวลา ผู้ที่ยังไม่บรรลุพระอรหันต์ก็ต้องสร้าง ฌาน ทำใจในใจให้เป็นไฟฌาน กำจัดกิเลส ราคะโทสะโมหะ ต้องทำใจในใจให้ได้ให้เป็น จนกระทั่งได้โดยสบายๆเป็นอัตโนมัติ อาตมาผ่านมาหมดแล้ว ฌานทั้ง 4 มีประจำตัวอัตโนมัติ ฌานนั้นเผากิเลสหมดแล้วด้วย เป็นพลังงานที่เหมือนกับที่เรามี รปภ.ป้องกันตัว พลังงานฌานไม่ให้ศัตรูราคะโทสะโมหะเข้ามาตอแย เป็นพลังงานที่อยู่ในตัวเลย พูดเป็นปุคลาธิษฐานที่จริงเป็นธรรมาธิษฐาน ผู้มีฌานแล้วก็ไม่ต้องเข้าไม่ต้องออก มีอยู่แล้ว แต่ผู้ที่จะต้องไปหลับตาแล้วทำฌานนั้นเป็นสิ่งที่ผิดไปจากพุทธ
พลังงานไฟฌานคือพลังงานสลายราคะโทสะโมหะ ให้ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4
ธรรมะทำให้ผาสุก 5 ประการนี้ เป็นการอธิบายอย่างพิสดาร
กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ อาตมาก็เป็นแล้วมีแล้ว
สรีระร่างกายมีพยาธิทุกข์มาไม่กี่วันนี่ก็หายแล้ว ก็เลยได้มาเทศนา
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน..
พ่อครูว่า…อาตมานำพาศาสนาในยุคนี้ยุคกึ่งศาสนาพุทธของพระสมณโคดม ซึ่งแทบจะไม่เหลือเชื้อของศาสนาพุทธแล้ว ถ้าอาตมาไม่สถาปนาโลกุตรธรรม เนื้อแท้ของศาสนาพุทธ เนื้อแท้ของศาสนาพุทธคือโลกุตรธรรม
โลกียธรรม พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ได้สอนโลกียธรรม แต่มันก็มีโลกียธรรมเป็นพื้นฐาน ท่านสอนโลกุตระ ท่านสอนเรื่องความทุกข์เรื่องเหตุแห่งทุกข์ เรื่องความดับทุกข์เรื่องทางปฏิบัติเพื่อไปสู่ความดับทุกข์ ท่านสอนอริยสัจเป็นเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ
ที่บอกว่าพระพุทธเจ้าสอนโลกียะด้วยนั้นเป็นพื้นฐานของคนต้องรู้กุศลโลกีย์ ต้องให้คนรู้บ้าง พูดเป็นฐาน ผู้ใดที่แม้แต่กุศลโลกีย์ ก็ไม่ทำ แค่กุศลโลกีย์เขายังไม่พากเพียรทำก็ไม่ต้องมาศึกษาศาสนาพุทธ เพราะศาสนาพุทธเนื้อความดีความชั่วเหนือกว่ากุศลและอกุศล
เพราะศาสนาพุทธเหนือกว่าที่พูดถึงสุขถึงทุกข์ กุศลอกุศลเป็นโลกียธรรม ความสุขความทุกข์เป็นเรื่องของโลกุตรธรรม ศาสนาเทวนิยมไม่รู้จักความสุขความทุกข์ไม่รู้จักการดับความสุขความทุกข์ เป็นศาสนาที่ติดในความสุขนิรันดร ไม่มีการรู้จักขั้นตอนของความสุขความทุกข์ ไม่มีสมณะ 4 เหล่า ไม่มีพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์เลย ไม่ได้เรียนรู้ อาริยสัจ 4
ความหมายแค่นี้ที่จะรู้ได้ว่าอะไรเป็นศาสนาพุทธอะไรไม่เป็นศาสนาพุทธ ไม่รู้จักอริยสัจ 4 คือไม่รู้จักศาสนาพุทธ ไม่ได้ตั้งใจเรียนรู้อริยสัจ 4 นั่นคือยังไม่ใช่พุทธ ก็วนเวียนในโลกียธรรมธรรมดา จะเอาคำสอนศาสนาไหนก็วนเวียนในโลกียธรรม ทำดีละชั่ว
ละชั่ว ประพฤติดี ทำจิตให้ผ่องใส แค่นี้ไม่ใช่ของศาสนาพุทธ
สัพพปาปัสสอกรณัง คือไม่ทำบาปอีกแล้ว เพราะบุญได้ทำลายบาปไปหมดแล้ว ไม่ทำบาปทั้งปวง ไม่ทำบุญอีกแล้วด้วย กรรมทุกกรรมจึงมีแต่กุศล กุสสลสูปสัมปทา กุศลเป็นโลกียะ เป็นสิ่งอาศัย กุศลไม่มีสูญ อกุศลก็ไม่สูญ แต่บาป บุญนั้นสูญ ปุญญปาปปริกขีโณ คือพระอรหันต์ขึ้นไป คือสูญสิ้นบาปสูญสิ้นบุญ อรหันต์ทุกองค์ไม่ทำบาปไม่ทำบุญ ทำแต่กุศลที่ดี เพราะฉะนั้น สามข้อนี้เกิดจากการสจิตตปริโยทปนัง ทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
การละชั่วประพฤติดี ไม่ใช่โอวาทปาติโมกข์ แปลแค่โลกียะธรรมดา
ก็ขยายความตามประสาอาตมา
คำที่ใกล้ที่สุด
ศาสนาพุทธจะต้องรู้เรื่อง กาย วาจา ใจ ต้องรู้ความเป็น นามรูป
นามรูปคือสองสภาพ คือ กาย หรือเทวะ ถ้าไม่มีความรู้ในนามรูป แยกกายแยกจิต แยกไม่ออก ไม่เข้าใจในความเป็นกายความเป็นจิต เมื่อมาบวชแล้วต้องการนิพพาน แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่กันแล้ว พูดไปก็อย่างนั้น ผู้สนใจตั้งใจแสวงหาศึกษาให้ดีจึงฟังอาตมาพูด
หากแยกกายแยกจิตไม่เป็นไม่มีทางบรรลุธรรมโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าเลย ผู้มาบวช อุปัชฌาย์ต้องให้กรรมฐาน 5 พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
ผมก็ยาวหน่อย ทั้ง 5 อย่างเป็นภายนอก ในอาการ 32 ส่วนอื่นๆเป็นอาการภายใน เอามาแยกกายแยกจิตไม่ได้ ส่วนข้างนอกเอามาแยกกายแยกจิต ให้แยกให้เข้าใจว่า เมื่อใดมันมีความเป็นกาย เมื่อไหร่มันไม่ใช่กาย แต่มันเป็นพีชะ เมื่อไหร่มันเป็นจิต ต้องแยกออก เรียกว่าแยกกายแยกจิตออก หากแยกไม่ออก คุณเรียนศาสนาพุทธให้ตายก็ไม่มีสิทธิ์บรรลุเป็นอรหันต์
อุปัชฌาย์เดี๋ยวนี้ไม่มีความรู้เหล่านี้ กลายเป็นอุปัชฌาย์เป็ดอุปัชฌาย์เต่า ไม่มีภูมิ แยกไม่ได้ก็ไม่มีทางเป็นโลกุตระ เป็นนิพพาน บวชทุกวันนี้เพียงเลี้ยงตัวไม่ใช่เพื่อนิพพาน บวชแล้วได้เปรียญ ได้ดร. เอาไปใช้หากินเลี้ยงตน หรือไม่หากินโดยสึกออกไปก็อยู่ในฐานะของภิกษุ ใช้วุฒิของตัวเอง เลื่อนชั้นฐานะ เป็นโลกียะ มีพระที่พยายามปฏิบัติโดยไม่ไปเกี่ยวข้องกับตำแหน่งของเขา ตั้งใจเป็นพระปฏิบัติ เสร็จแล้วน่าสงสารที่อาจารย์สอนการปฏิบัติเหล่านี้กลายเป็นเดียรถีย์หมดแล้ว ตั้งแต่พาออกป่า เอากายไปทำกายวิเวก นำร่างกายออกป่า เพราะไม่รู้จักกาย เข้าใจว่ากายคือร่างคือสรีระ ไม่ได้เข้าใจว่ากายเป็นสิ่งที่เป็นจิตหรือไม่เป็นจิต
กายที่ไม่ใช่จิตกับที่ไม่เป็นกายเลย
เอาเล็บมาอธิบาย เล็บของคนเป็นเล็บชนิดสัตว์กินพืช คือ nail ไม่ใช่เล็บ claw ที่เป็นเล็บของสัตว์กินเนื้อ นี่ก็เป็นสิ่งยืนยันให้เห็นว่าเป็นส่วนของการบอกลักษณะว่าคนเป็นสัตว์กินพืชไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ บางคนก็บอกว่าคนกินทั้งสัตว์ทั้งพืช
เล็บที่ยาวออกมาเป็นพีชะ ไม่มีความรู้สึกไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ ผู้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าก็รู้ว่ามันไม่มีความรู้สึกสุขความรู้สึกทุกข์ โดยเฉพาะจิตของเราไม่มีความรู้สึกความทุกข์ความสุข ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ วิญญาณดับแล้ว วิญญาณโง่ๆวิญญาณอวิชชาดับ เวทนาก็ดับ เวทนาที่มันรู้สึกสุข ทุกข์แต่เวทนาแท้ รับรู้สึกเมื่อผัสสะ ตากระทบรูปนี้ผัสสะก็เห็นรู้สึกว่าเห็น เสียงกระทบหูก็รู้สึกในเสียงเข้าใจในเสียง ถูกต้องตามความเป็นจริงว่าเป็นอย่างไร กลิ่นกระทบ กายสัมผัสก็รู้ ภายนอก ภายใน ปฏิฆสัมผัสโสภายในก็รู้ภายใน
หากรู้ภายนอกหยาบๆนี้ไป มีญาณปัญญารู้ตั้งแต่หยาบที่สุดคือ รูปทางตา หยาบที่สุดละเอียดที่สุดไกลที่สุดคือตา เสียงที่ไกลระดับหนึ่งไม่ได้ยินแล้วเดินทางมาหาเรา แต่ตานี่ไกล เห็นได้ถึงท้องฟ้าดวงดาว แต่เสียงดังที่ดวงดาวเราไม่ได้ยินหรอก ตานี่เป็นตัวใหญ่ที่สุดในกระบวนการหยาบและละเอียดอยู่ในตัวมันเองก็ได้เรียนรู้เมื่อกระทบสัมผัสมันเกิดเวทนาไหม
หากตาเรากระทบรูปแล้วไม่มีเวทนาเก๊ มีแต่เวทนาแท้ รู้ความจริงตามความเป็นจริงมันเป็นปัญญาด้วย แล้วศึกษาไปรู้เจตนาของจิตอีก เจตนาจะเป็น กาม หรือภวตัณหา หรือเป็นเจตนาไม่มีกามไม่มีภวตัณหา มีแต่วิภวตัณหามีแต่เจตนาสะอาด
เราเรียนนาม 5 รูป 28 ต้องรู้นามรูป พระพุทธเจ้าตรัสในปุตตมังสสูตร อาหารข้อที่ 4 วิญญาณาหาร ก็คือเราจะต้องรู้นามรูป ในวิญญาณ ผู้ไม่รู้นามรูปในวิญญาณคือไม่รู้นาม 5 รูป 28 มาศึกษา ผู้นั้นคือผู้ที่ไม่มีนิโรธไม่มีการดับไม่มีการตายของกิเลส เรียกว่าเป็นโจรปล้นศาสนา พระราชาจึงให้เจ้าหน้าที่จับโจรปล้นศาสนาไปฆ่าให้หมดแล้วดันฆ่าไม่ตาย ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มเช้า เที่ยง เย็น ก็ไม่ตาย นี่คือพวกโจรร้ายของศาสนาที่ไม่รู้จักวิญญาณไม่รู้จักนามรูป
หากศึกษาแล้วไม่รู้จักนาม 5 และมหาภูตรูป 4 อุปาทายรูป 24 แล้วศึกษาตามนี้ ต้องเรียนรู้นาม 5 รูป 28 แล้วทำตามหลักปฏิจจสมุปบาท
นามรูป ปฏิบัติตามหลักธรรม อาตมาอธิบายไม่เก่ง ละเอียดไม่พอ พูดทีไรก็เจาะไปละเอียดเรื่อยๆ
การปฏิบัติขาดนาม 5 รูป 28 ก็คือโจรปล้นศาสนาที่พระราชาฆ่าไม่ตาย
หากเราใส่ใจ นาม 5 รูป 28 ก็ไม่ใช่โจรปล้นศาสนา
วิญญาณคือธาตุรู้ที่รวมเวทนาสัญญาสังขาร
วิญญาณเหมือนรัฐมนตรีควบคุมเจ้ากรม ในหนังสือคนคืออะไรทำไมสำคัญนักที่เขียนตั้งแต่เป็นฆราวาส ไม่มีคนรู้ว่าเราปฏิบัติธรรม จนต่อมาคนรู้แล้ว ก็เลิกทิ้งงานทางโลกมาเลย
ในปุตตมังสสูตร ตั้งแต่กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร เป็นเครื่องอาศัยในการปฏิบัติธรรม หากไม่มีก็ปฏิบัติล้มเหลวหมด
ตั้งแต่อาหารคือคำข้าว ท่านก็ตรัสไว้ในจรณะ 15 ต้องเรียนรู้โภชเนมัตตัญญุตา ประมาณในเครื่องกินเครื่องใช้
ในอาหารกินนี่มีกิเลสครบถ้วนเลย เพราะการกินนี่มีผัสสะทั้งหมดตาหูจมูกลิ้นกายใจ ต้องเรียนรู้กิเลสแล้วฆ่ากิเลส อาศัยการกินอาหารเพื่อเรียนรู้กิเลส
ทีนี้จะพิจารณาอาหารได้ต้องมีผัสสะ อาหารตั้งในครัว แต่ไม่ได้ไปก็ไม่เอามากิน ต้องมีผัสสาหาร มีผัสสะแล้วถึงจะอ่านนามถึงเจตนาที่มี พอเกิดผัสสะ เกิดเวทนาก็จะมีเจตนาในเวทนาหรือมีมโนสัญเจตนาเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน
หากมีเจตนาเป็นกิเลส กามก็ล้างกาม ล้างกามแล้วเหลือรูป อรูป ล้างต่อเป็นอนาคามี ในภวตัณหา โดยไม่ได้หนีจากกามาวจรภูมิ จิตยังดำเนินสัมผัสสัมพันธ์กับความเป็นไปของกามภพ ภายนอก เสร็จแล้วเรียนรู้ดับกิเลสที่เหลือ กิเลสรูป อรูป ก็ไม่มีทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพก็เป็นวิภวภพ ไม่มีภพที่เป็นกิเลสแล้ว แต่มันเป็นความปรารถนาความต้องการ เรียกว่าตัณหา ตัณหาที่ไม่มีรูปภพอรูปภพแล้ว หากไม่มีสภาวะทำชัดเจนจะอธิบายไม่เหมือนอย่างที่อาตมาอธิบาย
ตัณหาเป็นธรรมชาติของจิต แต่ตัณหาที่ไม่มีภพแล้วคือตัณหาที่ไม่มีกิเลส แต่เป็นตัณหาที่เป็นอุดมการณ์ พระพุทธเจ้ามีตัณหาที่จะสร้างศาสนา มารมาอาราธนาให้ตายเสีย บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้วตายเสียสิ พระพุทธเจ้าบอกว่ายัง
…หากภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นสาวกและสาวิกาของเราจักยังไม่เฉียบแหลม ยังไม่ได้รับคำแนะนำ ไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ยังปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรมที่เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว
ยังบอกแสดงบัญญัติแต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายไม่ได้ ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ และข่มขี่ปรัปปวาทะที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อย โดยสหธรรมไม่ได้เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ฯลฯ . (มหาปรินิพพานสูตร พตปฎ.เล่ม 10 ข้อ 102)
(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะแสนดิน
สมณะฟ้าไท…พวกเราอยากให้พ่อครูอยู่นานๆต้องมาฟังธรรมกันให้มากๆ
พ่อครูว่า…ของเราหากแสดงไปไม่มีใครรับก็เสียทิ้งเปล่าๆ แต่เมื่อมีคนรับได้ก็ยินดี
ตัณหา 3 กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
หากไม่มีผัสสะ ไปตัดลัดขั้นตอนไปนั่งหลับตา ก็ผิด แต่การนั่งหลับตาก็เพื่อตรวจสอบเตวิชโช ถ้าไม่ใช้การเตวิชโชก็ไม่ต้อง จำเป็นก็นั่งหลับตา อาจจะหลับตาเพื่อตรวจดูความหมายของธรรมะบ้างก็ได้ ที่ได้ปฏิบัติแล้ว อะไรที่มันดับได้แล้วอะไรที่ยังไม่ได้ดับ หมดอาสวะหรือยัง เป็นต้น ก็ใช้ ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับตาหูจมูกลิ้นกายไป Concentrate ที่จิต แต่ธรรมดาแล้วต้องลืมตาปฏิบัติ อย่างมีวิชชา วิชชาอยู่ใน 5 หมวดคือ
-
วิปัสสนาญาณ (ความรู้แจ้งเห็นจริง – หรือรู้ความจริงในเหตุที่มีความจริงเกิด รู้กิเลสตายจริง อกุศลดับจริง) .
-
มโนมยิทธิญาณ (ความมีฤทธิ์ทางจิต ที่จิตสามารถ เนรมิต “ความเกิด” อย่างใหม่ขึ้นมาได้) .
-
อิทธิวิธญาณ (จิตมีอานุภาพในการบรรลุขจัดทำลายกิเลส ได้หลากหลายวิธี)
-
ทิพโสตญาณ (สามารถแยกแยะ การได้ยินสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง เช่น กิเลสปะปนมากับคำร่ำลือ กับเสียงที่เกินกว่าคนธรรมดาเขาจะรู้นัยยะได้)
-
เจโตปริยญาณ (กำหนดรู้ความแตกต่างในจิตขั้นอื่นๆ ของตนได้รอบถ้วน)
-
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (การย้อนระลึกถึงการเกิดกิเลสเก่าก่อน มารู้อริยสัจจะจนหายโง่จากอวิชชา)
-
จุตูปปาตญาณ (รู้เห็นการเกิด-การดับของจิตที่ดับเชื้อกิเลส แล้วเกิดเป็นสัตว์เทวดา หรืออาริยะสัตว์) .
-
อาสวักขยญาณ (ญาณที่รู้การหมดสิ้นอาสวะของตน)