630122_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิบัตินั่งหลับตาได้แต่อวิชชาที่ฆ่าไม่ตาย
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1qTt50CNRKTp564VTayRkJ23_-T0LY8T8HYbyKVoG5iI/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1UKzqYiWBQxe53busQhCeES6PI6u6xwL2
สมณะฟ้าไทว่า..วันนี้วันพุธที่ 22 มกราคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ข่าวที่ดังคือข่าวสส.เสียบบัตรแทนกันและข่าวโจรปล้นทองที่ราชบุรี คนร้ายปล้นร้านทองลพบุรีฆ่า 3 ศพ รวมเด็กน้อย 2 ขวบ ไม่ธรรมดา เป็นถึงขั้นผู้อำนวยการโรงเรียน จบตั้งปริญญาโท อายุ 38 ปี ประชาชนก็แทบจะไม่เชื่อว่าคนนี้จะเป็นโจรคนนี้ ข่าวเขาว่ารับสารภาพแล้ว
เพราะคนไม่ได้ศึกษาธรรมะจนไม่รู้รูปนามจึงเหมือนโจรที่ถูกพระราชาให้ไปประหารด้วยหอก 100 เล่มเช้ากลางวันเย็นก็ยังไม่ตาย ถูกหอกวันละ 300 เล่มก็ยังไม่ตาย
พ่อครูว่า…อาตมาเอาปุตตมังสสูตร ถึงอาหารตัวที่ 4 วิญญาณาหาร มากล่าว
คนเปรียบเทียบกับสิ่งที่ไม่ตาย คือความโง่ ความโง่มันไม่ตาย อวิชชานี่มันไม่ตาย เทียบกับพระราชาอยากจะให้อวิชชานี้มันตาย ก็ให้เจ้าพนักงานเอาอวิชชาไปฆ่า เจ้าพนักงานเอาไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่ม ก็ไม่ตาย ฆ่าตอนกลางวัน ตอนเย็นอีกก็ไม่ตาย แสดงว่าอวิชชานี่ยังไงก็ฆ่าไม่ตาย สุดยอดเลย มันโง่เง่า ทำอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลงความโง่เง่า ไม่สูญสลายความโง่เง่าไม่ระเหิดไม่ระเหยความโง่เง่า นอกจากไม่ระเหยแล้วยังอวิชชาหนาขึ้นอีก
เราพยายามใช้ภาษาพยัญชนะเพื่อสื่อให้รู้สภาวะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้พ้นอวิชชา
ถ้าปฏิบัติ ก็จะต้องมีเครื่องอาศัยให้ปฏิบัติตั้งแต่การลดละ กามฉันทะ
จะมีกามให้ลดละต้องมีผัสสะทางตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วก็จะมีเวทนา แล้วก็ให้เรียนรู้เจตนา ในเวทนา
เจตนามีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ตัวนี้แหละเป็นเป้าหมายสำคัญของศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ให้ล้างตัณหาจนหมดตัวตน กามภพ รูปภพ อรูปภพ หมดภพ จะเรียนรู้ได้ต้องรู้นามรูป ในวิญญาณ
วิญญาณคือองค์รวมธาตุรู้ทั้งหมด คนเสพรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเหมือนกับกินเนื้อบุตรตัวเองหน้าตาเฉย แล้วก็ยังจะไปดีไปสู่ที่สูงที่สุด ไปหานิพพานเลย แต่ก็วนอยู่ในทางไกลกันดาร วนเวียนไม่เคยรู้หนทางที่แท้จริงเลย หลงในกาม กินเนื้อลูกแล้วหลงทาง
ไม่รู้จักว่าเริ่มต้นตัวเองต้องรู้จัก กาม ดับกามก่อนต้องมีผัสสะ จะมีเวทนาแล้วเจาะตัณหาในเวทนา โดยต้องมีความรู้ในนามรูป
สิ่งที่ถูกรู้คือรูป ประธานคือจิตที่เป็นนามจะไปรู้รูปได้ แต่เขาไม่ได้ศึกษาแบบนี้ จึงไม่มีความรู้ ในอาหารอีกสูตรคืออวิชชาสูตรก็บอกว่าไม่รู้จักเครื่องที่จะทำให้รู้
คือนิวรณ์ 5 ขยายไปเป็น กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา
หมดวิจกิจฉาคือ ไม่สงสัย รู้แจ้งจบครบบริบูรณ์ รู้แล้วก็ทำได้จนสิ้น อะไรคือตัวตนอะไรคือสิ่งที่เกิดเป็นตัวเรา แล้วเราจะอยู่เป็นมนุษย์ที่ดีได้อย่างไร มีอะไรเป็นประธาน ก็มีจิตเป็นประธาน แล้วจิตที่โง่อวิชชาเป็นเจ้าเรือนไม่ดีก็แก้ไข อย่าให้กิเลสเป็นเจ้าเรือน แก้ไขให้เป็นจิตที่สะอาดรู้จริง
ต้องศึกษาอวิชชา เพราะไม่รู้สังขาร ไม่รู้วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา ภพ ชาติ ชรา มรณะ โศก ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ
ไม่มีเวทนาเพราะไปเรียนรู้แบบหลับตา ไม่รู้อาการความสุขความทุกข์ เป็นเจ้าเรือนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือเจ้าแห่งสุขนิยม แล้วก็ไม่รู้ความจริงว่าสุขนิยมคืออะไร ความสุขคืออะไรอยู่กับความสุขนั่นแหละ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าแท้จริงความสุขก็คือมายา แล้วมันคือคู่ของความทุกข์แยกกันไม่ออกอีก เป็นเทวะ เสร็จแล้วไม่รู้ก็ยกให้เทวะยิ่งใหญ่ พระเจ้าสร้างความสุขเป็นแดนสุขาวดีเป็นแดนสวรรค์ ไม่อยากจะลงนรกแต่ไม่รู้จักนรกแยกนรกไม่ได้ เพราะไม่ได้เรียนรู้ซาตาน แต่เขาก็มีซาตานอยู่ในศาสนา แต่เขาไม่รู้จักซาตาน ไม่ได้ศึกษาซาตานเลย แต่ไม่รู้จักซาตานเลย นี่คือศาสนาเทวนิยม รู้ว่ามีนะ รู้ว่าเป็นคู่อาฆาตของพระเจ้าเลย แต่ไม่ศึกษา การศึกษาก็ละเอียดไปทางศึกษาแต่ความสุข
ศาสนาพุทธศึกษาเรื่องทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ แล้วก็ดับเหตุแห่งทุกข์ ทุกอย่างก็จบได้เลย ทุกอย่างมาแต่เหตุ ดับเหตุแล้วสมบูรณ์ ศาสนาพุทธรู้จักทุกข์ จนรู้ว่าสุขทุกข์มันเป็นอนัตตา ธาตุจิตก็สว่างอัตตาก็สว่างสูงสุดเลย เยี่ยมยอดที่สุด
การศึกษาถึงอาหาร 4 ทำให้รู้ ชีวิตจะเจริญจะดีหรือยังอัตภาพให้ดีจนประเสริฐสุดสูงสุดคือพระพุทธเจ้า ทางเทวนิยมผู้ที่สูงสุดก็คือพระเจ้า แต่ทางอเทวนิยมก็คือพระพุทธเจ้า จะอยู่ต่อเป็นคนที่ดีที่สุดต่อไปก็ได้ แต่จะจบปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ นี่คือสูงสุดจะมีก็มีได้สูงสุด จะไม่มีก็ไม่มีได้เด็ดขาดได้เลย สูงสุดเลยในความเป็นสัตว์
สัตว์ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวจนเป็นมนุษย์ไม่รู้กี่ล้านเซลล์ แต่ก็ไม่มีความรู้ที่จะทำให้จิตวิญญาณเป็นอย่างไรตามที่ต้องการ ก็ถูกทำให้จิตวิญญาณพาเป็นไป ไม่มีความรู้เลยว่าจะหยุดซาตาน ธาตุรู้ที่คิดชั่วทำชั่ว หยุดบาปไม่ให้ทำบาปใดๆเลย เพราะชั่วดีเป็นสมมุติแต่บาปบุญเป็นปรมัตถ์ สัพพปาปัสสอกรณัง กรรมกิริยาที่เหลืออยู่ก็มีแต่กุศลถ่ายเดียว กุสลสูปปสัมปทา เพราะได้ทำจิตให้สะอาดหมดจดจากเหตุปัจจัยตัวร้าย สจิตตปริโยทปนัง ถาวรยั่งยืนเลย นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) สุดยอด
ผู้ที่ได้เกิดมาเป็นคนแล้วสนใจ คนที่ไปหลงแต่ความสุขก็มี แต่ถ้าคนสำนึกได้ก็มาเรียนรู้ธรรมะเถิด แต่หากไม่รู้ก็วนเวียนไม่รู้จบ จะรู้จบก็ต้องมาศึกษาธรรมะของศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้า ก็สามารถเลือกได้จะอยู่ต่อหรือจะสลายอัตภาพเป็นอุตุนิยาม เป็นดินน้ำไฟลมไม่เหลือแม้แต่ชีวะเลยก็ได้ สุดยอดแห่งความรู้สุดยอดวิทยาศาสตร์ใดๆในมหาจักรวาล
นิมนต์จิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…ในมูลสูตรมีเวทนาเป็นที่เหตุให้ปฏิบัติธรรมได้
พ่อครูว่า…วันนี้อาตมาจะทวนเรื่องอาหาร
อาหาร 3 จาก 3 เล่ม ปุตตมังสสูตร อวิชชาสูตร อาหารสูตร
ล.16 ข้อ 240 ปุตตมังสสูตร
ล.24 อวิชชาสูตร
ล.19 อาหารสูตร
หากเข้าใจอาหาร 4 สมบูรณ์แล้ว เข้าใจการปฏิบัติดีก็บรรลุวิชชา วิมุติทั้งนั้น
อวิชชาสูตร หรืออาหารสูตรก็ตาม
อาหารสูตรทานตรัสถึงสิ่งที่เป็นปัจยการกัน แบบ ปฏิจจสมุปบาท ส่วนอวิชชาสูตรก็เป็นจากพฤติกรรมที่จะต้องเรียนรู้ จะเกิดเหตุปัจจัยบรรลุธรรมต้องเริ่มจากคบสัตบุรุษ หากพบพระศาสดาเองเลยก็สุดยอด เกิดในยุค แต่ท่านปรินิพพานไปแล้วก็เหลือแต่สัตบุรุษ์ที่สืบทอดกันมา เพราะฉะนั้น
หากได้ฟังจากอสัตบุรุษก็ได้ฟังอสัทธรรมก็เชื่ออสัทธรรม ทีนี้ไปเชื่อสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่เป็นสัทธรรมบริบูรณ์คือมีมิจฉาทิฏฐิปนเปก็เลยทำใจในใจไม่ถูก หากไม่มีการทำใจในใจก็ไม่มีการเจริญหรือเปลี่ยนแปลงใจได้
ในมูลสูตร จะให้เกิดให้เป็นได้สัมภวะต้องทำใจในใจให้ถึงที่เกิด ตรงที่เกิดสัมภวะคือแดนเกิด ต้องตรงนี้ ถ้าไม่ได้รู้อย่างนี้ก็ไม่ได้ปฏิบัติ ปฏิบัติไม่ถูกจุด ไม่เข้าเป้าสักที ก็ไม่ได้ผล
จะมนสิการได้ต้องมีผัสสะเป็นเหตุเกิด หากไม่มีผัสสะก็ไม่มีที่ปฏิบัติ ที่ปฏิบัติคือเวทนา เป็นรูปนามทำงานเกิดสังขาร ก็เกิดเวทนา ต้องแก้ไขเวทนาเปลี่ยนแปลงเวทนา
ไปนั่งหลับตาก็ไม่มีผัสสะไม่มีเวทนาก็เลยโมฆะไปหมด ไม่มีฐานะแห่งการปฏิบัติที่จะจัดการอะไรได้ โมฆะไปทั้งยวง ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรกับพวกนั่งหลับตาที่เหมือนกับโจรถูกพระราชาเอาไปฆ่าด้วยหอก ร้อยเล่ม เช้ากลางวันเย็น
โจรปล้นศาสนาก็คือผู้ที่พาให้ศาสนาผิด พานั่งหลับตา ทำอย่างไรให้โจรพวกนี้รู้ตัวแล้วหยุดเลิกกระทำผิดนั้นเสียทำอย่างไรจะเข้าใจนะ
ก็น่าเห็นใจเพราะในยุคพระพุทธเจ้าเขาก็ปฏิบัติเพียงเปลือก บอกว่าพระเจ้าพานั่งหลับตาออกป่า แท้จริงแล้วไม่ใช่ การออกป่าปฏิบัตินั้นเป็นการหลงทาง ตอนออกบวช ท่านเจอพระเทวทูตทั้ง 4 แก่ เจ็บ ตาย สมณะ
ท่านก็บอกว่าอ๋อ จะมีทางออกต้องมาปฏิบัติธรรมเป็นสมณะ ตอนนั้นเขาก็ต้องออกป่าเป็นลิงลมข้าวพองตามสังคมพอกไว้ก็ไปออกป่า พระพุทธเจ้าก็มาสารภาพที่หลังว่าเป็นทางที่ผิด ที่พาออกป่า 6 ปี ท่านก็ตรัสแก้ไข ท่านก็บอกว่าเป็นทางผิดท่านหลงไป มันเป็นวิบากของท่าน ท่านก็เล่าวิบากท่านให้ฟัง คนไม่เข้าใจพระไตรปิฎกและอ่านพระไตรปิฎกไม่แตกฉาน อาตมาก็เลยต้องเอามาอธิบาย
ถ้าคนเดี๋ยวนี้ถูกครอบงำให้เป็นลิงลมข้าวพองออกป่าออกปฏิบัติในป่า ศาสนาพุทธอายุยืนมาถึง 2500 กว่าปี ตอนนี้ก็เลยหลงผิดไปยังเก่าเหมือนตอนที่พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ประกาศศาสนาอีก อาตมาต้องมาเกิดมารับผิดชอบ ที่จะต่ออายุศาสนาไปให้ถึง 5000 ปี
อาตมาสืบทอดจิตวิญญาณเป็นพระโพธิสัตว์ ต่อภูมิธรรมไปเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าต่อไปในอนาคตก็รู้ความจริงลึกๆมาตั้งแต่พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ก็มีความเป็นโพธิสัตว์
1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เถรวาทเข้าใจว่า อรหันต์ตายแล้วสูญ ซึ่งหากเข้าใจเช่นนี้ศาสนาพุทธก็ไม่มีใครมาสืบทอดสิ ศาสนาอายุไม่กี่ร้อยปีก็หายไปหมดแล้ว ด้วนหมดแล้ว นี่คือพวกอุจเฉททิฏฐิ คือพวกที่ทำลายศาสนาพุทธ เป็นมิจฉาทิฏฐิแบบอุจเฉททิฏฐิ
ล. ๙ ข. [๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ ๕ ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
เมื่อไม่มีผัสสะก็ไม่มีเวทนา ไม่มีเวทนาก็ไม่มีฐานแห่งการปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า ยิ่งไปนั่งหลับตาปฏิบัติในป่าอีกก็เป็นผู้ที่ไกลแสนไกลจากวิเวก เป็นผู้ติดข้องอยู่ในถ้ำ ยังไม่มีวันที่จะออกจากถ้ำเลย แม้แต่ศาสนาพุทธในประเทศไทยที่ทั่วโลกเขายกให้เป็นที่หนึ่ง ก็ได้หลงผิดอย่างนี้ แล้วจะเป็นที่พึ่งของโลกเขาได้อย่างไร เพราะมันผิดอย่างนี้ มันน่าสมเพชเวทนาหรือไม่ พูดแล้วเหมือนยกตนหลงตนว่าคนอื่นผิดหมด ตัวถูกอย่างเดียว ก็จริงแบบนั้นอีก
อาตมาเป็น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) ขอยืนยันว่าอาตมาเป็นผู้นี้จริงๆ
ความรู้เริ่มจาก ปัจจัตตัง รู้ได้ด้วยตน สะสมมาเป็นปัจเจก ไปเรื่อยๆ จนมากพอขั้นกลางคือสยังอภิญญา จากนั้นบำเพ็ญต่อไปเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ เพื่อเข้าไปหาการเป็นประพุทธเจ้าจึงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คำว่าสยังอภิญญา น่าเห็นใจที่เขารู้ได้ยาก เพราะว่าเขาไปเข้าใจว่าผู้รู้องต้องเป็นฆพระพุทธเจ้าเท่านั้น แท้จริงแล้วพูดให้รู้เองนั้นมีหลายระดับตั้งแต่ สยังอภิญญา ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ขอยืนยันว่าอาตมาพูดเป็นสัจธรรมเอาสัจธรรมมาอธิบายขยายความ นึกไม่ออกว่ามีใครอธิบายแบบนี้หรือไม่ อรรถกถาจารย์ต่างๆ ผู้เกี่ยวข้องกับทางศาสนาต่างๆ เขาเจอกันมั้ย
อาตมาประกาศตนเป็นสยังอภิญญาไม่ได้ประกาศเพราะอยากอวด แต่เป็นการยืนยันความจริงเปิดเผยความจริง แล้วแสดงตัวความจริงออกไป ทั้งตัวเอง พฤติกรรม คำสอน สิ่งอ้างอิง เกิดมรรคผล เกิดหมู่กลุ่ม เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาตรวจสอบอีก แม้ยุคนี้มีน้อยคนจะมารับธรรมะได้ก็ยังมี ทำได้ถึงขั้นเป็นสังคมสาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา
นี่คือสภาวะธรรมที่ยืนยันความจริงว่าทำได้นะซึ่งไม่ง่าย จุดไหนของโลกที่ทำได้ขนาดนี้ ลาภธัมมิกา กินใช้ร่วมกันเป็นสาธารณโภคี มีที่นี่ในประเทศไทย
อาตมาแสดงธรรม คนก็มาฟังธรรม
-
การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ . .
-
การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
-
ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์
-
การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . . สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
-
สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ . . ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
-
ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต
-
สุจริต3 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์
-
สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .
-
โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์
(อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 61)
มีสภาวธรรมแล้วจำชื่อพยัญชนะก็จำได้ง่าย เนื้อยาไม่ผิดหรอกสำหรับอาตมา เคยสับสนตั้งแต่ใหม่ๆคะนอง ใส่พยัญชนะผิดๆถูกๆ ผู้รู้ก็เล่นงานเอาก็ต้องขออภัย สี่ขายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลัง
สม.กล้าข้ามฝัน…
พ่อครูว่า…ตอนนี้อยู่ UNESCO กำลังรับรองอาจารย์มั่น ก็คือคนมีความรู้แบบเทวนิยมก็จะรองรับกัน แต่เขารองรับได้กันว่าเป็นผู้ที่ช่วยทางสันติภาพ อาตมาก็ว่าเริ่มคืบคลานมาทางพุทธ แม้จะเห็นที่เป็นสะเก็ดก็เริ่มดีแล้วล่ะยอมรับได้แต่สูงกว่านั้น ไม่ใช่แค่นั่งหลับตา นั่งหลับตายังไม่ใช่เนื้อแท้ศาสนาพุทธเลยไม่ถึงแม้แต่สะเก็ด นั่งหลับตายังไม่ได้เดินศีลสมาธิปัญญาเลย ก็ต้องเอาสะเก็ดก่อนแล้วเอากระพี้
ศีลเป็นสะเก็ด สมาธิ เป็นเปลือก ปัญญาเป็น กระพี้ วิมุติเป็นแก่น ดอกใบผลเป็นลาภสักการะสรรเสริญ
นี่เขาไม่ได้แม้สะเก็ด แต่ได้แต่ดอกใบผลเป็นลาภสักการะสรรเสริญ
อาจารย์มั่นไม่ได้หลงในดอกใบผล ลาภสักการะสรรเสริญ ท่านเป็นพระป่านั่งหลับตา ก็ต้องขอขมาทาน ที่คนทั่วโลกยกย่องกัน ท่านเป็นภันเต บวชก่อนอาตมาก็ต้องยกให้ท่าน
เมื่อสิ่งที่ไม่ถูกต้องสิ่งผิดก็ต้องตำหนิ ตำหนิแล้วตำหนิอีก ผู้กล้าตำหนิคือผู้เข้าใจปรารถนาดี อยากให้ถูกต้องก็ต้องตำหนิว่าสิ่งที่ผิดคืออะไรสิ่งที่ถูกคืออะไร ไปนั่งหลับตานั้นผิดหมด ขอยืนยัน
นั่งหลับตาใช้ประโยชน์ในศาสนาพุทธเพียงแค่เตวิชโช คือการตรวจสอบ
เตวิชโช
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (การย้อนระลึกถึงการเกิดกิเลสเก่าก่อน มารู้อริยสัจจะจนหายโง่จากอวิชชา)
จุตูปปาตญาณ (รู้เห็นการเกิด-การดับของจิตที่ดับเชื้อกิเลส แล้วเกิดเป็นสัตว์เทวดา หรืออาริยะสัตว์) .
อาสวักขยญาณ (ญาณที่รู้การหมดสิ้นอาสวะของตน)
การนั่งหลับตาปฏิบัติมีประโยชน์ 4 อย่าง
-
ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก
-
ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์
-
เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .
-
สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน)
พ่อครูว่า…หลับตามีแต่อดีต 18 และอนาคต 44 พระสูตรแรกของพระไตรปิฎกพรหมชาลสูตรว่าไว้ คนไม่รู้ก็งงจมอยู่ในชาละ แปลว่าข่าย คือแหที่พันตัวยุ่งอยู่อย่างนั้น อาตมาก็ให้มาชาคริยาตื่นรู้
พูดไปแล้วก็เหมือนโจรฆ่าไม่ตาย ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่ม เช้ากลางวันเย็นก็ยังไม่ตาย ไปเอาอดีตกับอนาคตไปปฏิบัติเท่านั้น คนฟังแล้วน่าจะสะดุ้งว่าผิดทาง หากเข้าใจแล้วก็จะยิ่งกว่า อัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ ปัญญาจะเกิดทันทีเลย นี่จมในเฉกะเฉโก อาตมาขยายความไป มีสิ่งใหม่ที่ไม่เคยได้ฟังมีเยอะ แต่คนที่ฟังใหม่อาจจะบอกว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังจากอาจารย์ไหนเลย ก็ไม่ได้เอามาจากอาจารย์ไหน อาจารย์โพธิรักษ์พูดเอง
โลกุตรธรรมคือธรรมะที่ทวนกระแสโลกโลกีย์
โลกีย์คือหลงลาภยศสรรเสริญสุข เสร็จแล้วเขาก็ต้องการปฏิบัติจึงเข้าใจผิวเผินว่าต้องทิ้งลาภยศสรรเสริญ
ทิ้งลาภ ทรัพย์สินเงินทอง ออกป่า มักน้อยสันโดษ ไม่เอายศ
สรรเสริญ อันนี้ยาก ทิ้งไม่ได้ง่ายๆมันหลงสรรเสริญที่อาตมาบอกว่ามหาบัวหลงสรรเสริญแต่ไม่รู้ตัวเองว่าหลงสรรเสริญหลงว่าตัวเองเก่งมีบารมี เอาเงินเข้าประเทศเยอะ เป็นผู้ที่คนยกย่องสรรเสริญเชิดชูแม้แต่สถาบันก็ยกย่อง ก็เลยหลง แม้แต่กินเนื้อบุตรยังไม่รู้เลย ในกามฉันทะ ติดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสสิ่งเสพติดคือหมาก
คนที่มีปฏิภาณสามัญก็จะรู้ว่าหมากพลูเป็นสิ่งเสพติด ทุกวันนี้โลกเจริญขึ้นเยอะเลย อย่างเมืองไทยเลิกหมากพลูกันเยอะ แต่เดี๋ยวนี้พระป่าก็กินหมากกันเยอะแยะไม่รู้ว่านี่คือของเสพติด คิดดูสิแล้วจะเอาภูมิปัญญาและรู้จักสิ่งเสพติดอันเป็นเบื้องต้น คือสุรา เขาเข้าใจว่า สุราคือน้ำเหล้า แต่แท้จริงน้ำหมักน้ำดองนี้มีสภาวะที่ทำให้คนติดจัด อะไรที่พาให้เสพติดแรงจัด เช่น เฮโรอีน หมากพลู นี่
หากกินหมากพลูแล้วกินประจำ คุณกินเหล้าดื่มเหล้าเหมือนกินหมากพลูก็อายุสั้นแน่ๆ หากินหนักขนาดนั้น อาตมาไม่ได้เพ่งโทษใครแต่เพ่งคุณ แต่ตำหนิโทษบอกความเป็นโทษให้รู้ให้เข้าใจ หากรู้ตัวก็ดีไป ไม่รู้ตัวก็จมอย่างนั้นอาตมาทำให้ชาคริยา
คนที่ไม่มีอคติคนที่แสวงหามีปฏิภาณปัญญาจะรู้ว่าอาตมาเป็นคนจริง พูดแต่ความจริง เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาสาธยายด้วยภูมิปัญญา
อาตมาพูดถึงอาหาร อาหาร 4 กามฉันทะ แล้วก็เวทนา แล้วก็เจตนา แล้วก็นามรูป นี่คืออาหาร 4 (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท…พ่อครูได้พูดถึงพระนั่งหลับตา หลงอดีต 18 อนาคต 44
พ่อครูว่า…ผมเคยปฏิบัตินั่งกับตามาก่อนบวชตอนเล่นไสยศาสตร์ ทำอยู่ 8 ปี จนมาบวช ตอนต้นๆก็มานั่งหลับตาอยู่บ้าง เป็นลิงลมอมข้าวพอง คุณก็ปล่อยได้มาบ้างกระมังมันยังไม่หมด ราศี กัมมันตภาพรังสี ทุกวันนี้ไม่ต้องเรียน สมถะหรอก ให้เรียนปัสสัทธิเลย
ปัสสัทธิ เป็นความสงบยังมีสติสัมปชัญญะปัญญา ตื่น ชาคริยา ถ้าเข้าใจแล้วไม่ต้องทำการสมัครก็ได้ทำการปัสสัทธิ
วิกขัมภนปหานก็ทำสมถะช่วยบ้าง ตทังคปหานก็ทำได้วิปัสสนาแล้ว ทำได้ดีเป็นสมุจเฉทปหาน ทำได้แล้วก็ทวนแล้วทวนเล่าปฏิปัสสัทธิ จนสูงสุดเป็นนิสรณปหาน คือไม่ต้องทำอีกแล้วสมบูรณ์แล้วจบแล้วทำได้เป็นปกติธรรมดา นิสรณะไม่ต้องรบอีก
อาตมาแปลตามสภาวะ ไม่ได้แปลแต่ตามพยัญชนะ
อานิสงส์ 5 ของการฟังธรรม . .
(การฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา สุตสูสัง ลภเต ปัญญัง)
-
ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง (อัสสุตัง สุณาติ)
-
ย่อมเข้าใจชัดในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว (สุตัง ปริโยทเปติ)
-
ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ (กังขัง วิหนติ)
-
ย่อมทำความเห็นให้ถูกตรง (ทิฏฐิง อุชุง กโรติ) .
-
จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส (จิตตมัสสะ ปสีทติ)
(พตปฎ. เล่ม 22 ข้อ 202)
ศาสนาพุทธหมดวิจิกิจฉากระจ่างหมด ศาสนาเทวนิยมแม้แต่พระเจ้าก็ยังมีวิจิกิจฉา คนก็สงสัยว่าพระเจ้าเป็นอย่างไร เป็นตัวตนอย่างไรไม่เคยเห็นเลย แม้แต่พระบุตรที่เอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาประกาศก็ยังสงสัยว่าเป็นอย่างไร คือตัววิจิกิจฉาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดละเอียดที่สุดด้วยสำหรับพระเจ้า
โทษของวิจิกิจฉา
-
ทำให้ทุกข์
-
ระกำช้ำระบม
-
ไร้พลัง จิตไม่แล่น
-
เนิ่นช้า บรรลุช้า
-
เหยาะแหยะ ไม่เด็ดขาด