630124_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สภาวะของธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1dYpCJ5tzMi3B4hIxj6HUbYe6AgkJuZflpv53Vgb1moQ/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1tz9fEO50xWRyrN-vOFxgvUaFlyR6YvaH
สมณะฟ้าไทว่า.. วันนี้วันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันที่เขาไหว้เจ้ากันส่วนเราก็ไหว้พระ วันนี้พ่อครูได้ไปให้โอวาทแก่สมณะในการลงปาติโมกข์ ตอนหนึ่งว่า สังคมเรานั้นทำได้ยาก คนเห็นได้ยาก หากคนไม่ลึกพอก็จะไม่เข้าใจได้ พ่อครูว่าอีกสัก 14 ปีจะอายุถึง100 ปี ก็ดูว่ายังกระฉับกระเฉงอยู่ และท่านไม่ไปหาเรื่องตาย อาหารการกินที่อยู่อาศัยการพักผ่อนการออกกำลังกายก็ตามสั่ง เหมือนหุ่นยนต์
พ่อครูว่า…คนจะอยู่ก็ควรอยู่อย่างเป็นประโยชน์ไม่เป็นโทษ แล้วคนที่มีแต่โทษไม่เป็นประโยชน์คืออย่างไร คือ คนที่มีกิเลสมาก ราคะมาก โทสะมากหรือโลภะมาก โทสะมาก พยาบาทมาก โมหะมาก คนอย่างนี้มีแต่โทษ อยู่ในโลกอย่างไรก็มีแต่โทษ พากันสร้างโทษภัยให้แก่สังคมแก่มนุษยชาติ
แต่ถ้าคนใดที่ได้พบสิ่งที่ประเสริฐของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าอาริยสัจ สิ่งที่เป็นความจริงอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า ศึกษาและจะรู้จักจุดสำคัญของชีวิตว่าเรามี อวิชชา ไม่รู้จักว่าเราถูกเจ้าราคะโทสะโมหะ มันเป็นเจ้าเรือนเป็นเจ้านายใหญ่บังคับให้ชีวิตเราเป็นไปตามคำสั่งของมัน ตกเป็นทาสมันอยู่
พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นต้องจัดการด้วยวิธีที่ท่านค้นพบ วิธีที่จะศึกษาเรียนรู้โลกีย์ที่เห็นได้อ่านกิเลสให้ออกให้เรียกว่า สักกายะของตน อ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทสของตน
อุเทสคือคำบรรยายอย่างอาตมาพูดนี้ ให้รู้ให้เข้าใจด้วยบัญญัติพยัญชนะภาษา แล้วเราก็ไปอ่านอาการ ลิงค นิมิต ของใจเราว่า อาการอย่างนี้เป็นอย่างไร เป็นรูป แล้วมีนามไปอ่านรู้ แยกแยะกิเลสออก จุดสำคัญมันอยู่ที่ใดอย่างไร ข้อสำคัญคือหาตัวกิเลสให้เจอที่กิเลสจะอยู่ได้คือ เวทนา
เวทนานี่ มันเป็นเวทนาที่มีตัวที่เมื่อมันเกิดเวทนาแล้ว มันก็จะมีสัญญากำหนดรู้แล้วก็จะรู้เข้าไปถึงเจตนาในเวทนา ตัวเจตนาเป็นตัวมุ่งหมายต้องการ มุ่งหมายต้องการมีสามอย่าง
1.มุ่งหมายต้องการเป็นกาม เป็นสามัญของมนุษย์ ต้องให้รู้เหตุที่ชื่อว่ากาม แล้วเรียนรู้จนกำจัดมันได้สลายมันได้ อ่านในจิตเรา เป็นสิ่งที่เข้ามาปลอมแปลงเป็นตัวตนในเราเป็นอัตตาในเรา ซึ่งมันไม่ได้อยู่กับตัวเราตลอดเวลา มันไม่เที่ยง มันแปรปรวนไปมา เดี๋ยวมันไปเดี๋ยวมันมา บางทีตัวนั้นก็มีตัวนี้ก็มาเฉยๆ จะใช้แล้วไม่มีปัญญาก็มี เด๋อเฉยๆถ้าเรียนรู้จริงๆแล้วจะเรียนร่วม เฉยๆที่อุเบกขานี้ อุเบกขาแบบเคหสิตะ กับอุเบกขาที่เป็นเนกขัมมสิตะ จะต่างกัน
เฉยๆแบบเคหสิตะ เป็นแบบอัตโนมัติยถากรรม มีกันไปเป็นตามธรรมชาติ คนเรามีบางเวลาอยู่เฉยๆไม่สุขไม่ทุกข์ด้วย มันไม่รู้หรอกไม่รู้ตัว ก็มีบ้าง แต่ส่วนมากเราต้องดิ้นแสวงหาเป็นสัมภเวสี เป็นภพ ได้ตามภพก็สุข พอแสวงหาอยากได้อยากมีอยากเป็นก็เป็นทุกข์ ได้มาก็เป็นตัวมายาที่เรียกว่าสวรรค์ เรียกว่าเทวดา เทวดา 6 ชั้น แสวงหาอย่างโหด สี่ประตูเรียกว่าจาตุมหาราชิกา แสวงหาได้มาเสพ ก็สุขเด๊ เป็นดาวดึงส์สวรรค์เป็นอาการที่ 33 เป็นอาการเก๊อาการปลอม
ธรรมดาอาการของมนุษย์มีแค่ 32 ทวัตติงสาการ แล้วก็โง่ไปสร้างอาการใหม่ขึ้นมาอีกอันหนึ่งเรียกว่าดาวดึงส์ ชอบใจ อยู่กับสวรรค์ดาวดึงส์ หลอกทั้งนั้น
แล้วอยากได้ให้อยู่นานๆก็เป็น ยามะ ให้อยู่นานๆ หากมันหายไปก็ทำให้ได้อีก ยามา ให้อยู่นานๆ
เสร็จแล้วก็เมื่อย ก็ต้องพัก ดุสิตา แดนดุสิต มันมีมันเต็มก็ต้องพักก็ไม่พักก็ดิ้นรน นั่นแหละเรียกว่าโง่ สงบก็ไม่สงบ ให้พักก็ไม่พัก เขาให้พักก็ไม่พัก
แล้วก็ดิ้นเป็นนิมมานรดี มันไม่มีเหตุปัจจัยก็ปั้นขึ้นไปเอง เป็นนิรมาณกาย เขาหลงเป็นกายทิพย์ แต่เป็นของเก๊ อรหันต์ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก ผู้ที่ยังมีสวรรค์มีนรกก็คือยังมีภพ ยังติดยึดเสพ แสวงหาภพเป็นสัมภเวสี พระอรหันต์หมดความเป็นสัมภเวสีไม่ดิ้นรนหาภพชาติ
แต่นี่พักก็ไม่พักดันไปสร้างใหม่ สร้างขึ้นจนสำเร็จด้วยตัวเองยินดีในตัวเอง มีวิมาน เป็นนิมมานรดี คือมันไม่มีจริงปั้นเอา ก็สร้างจิตขึ้นมาเป็นของตน
จนเก่งยิ่งใหญ่ก็หาพรรคพวกเห็นดีด้วย สร้างร่วมกัน หนักเข้าเป็นเจ้าใหญ่นายโต ให้คนอื่นมาสร้างให้ด้วยเป็นปรนิมมิตวสวัตตี มีอำนาจควบคุมคนอื่นให้สร้าง กลายเป็นสวรรค์เพ้อพก สวรรค์ลวง สวรรค์มายาเลอะเทอะ
สวรรค์ 6 ชั้นคือของคนโง่ คนอวิชชาอยู่ในสวรรค์ สวรรค์ก็คือนรก นรกก็คือสวรรค์เป็นอันเดียวกัน เป็นเทวะเป็นของคู่ เสพสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา เทวะ ที่เสพสมสุขสม สมสู่ในตัวเองคือเรียกว่าพวกไส้เดือน ไม่หมดพันธุ์ไม่หมดเชื้อเป็นพวกที่ฆ่าไม่ตาย เอาไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวันเย็นก็ไม่ตาย
สู่แดนธรรมว่า..เพราะกิเลสบังเอาไว้ในถ้ำ
พ่อครูว่า…เป็นภาษาในพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้
ยุคพระพุทธเจ้ามีอริยะบุคคลที่มีบารมี ฟังธรรมะพระพุทธเจ้าก็เข้าใจ ล้างกิเลสได้ง่าย ยุคนี้ ห่างจากนั้นมา2500 กว่าปี ครึ่งกัปของศาสนาพระพุทธเจ้าคนได้เสื่อมลงรับโลกุตระไม่ได้ ก็รู้ได้ยาก จะยากอย่างไรก็ต้องเอามาประกาศ เอามาแสดงสาธยาย มาปลูกฝังให้คนได้ฟังได้รับรู้ได้เข้าใจได้เอาไปปฏิบัติได้มีเชื้อมีสาระสัจจะของพระพุทธเจ้า ศาสนาของพุทธเจ้าให้คงอยู่ต่อไปให้ได้ เอามาในยุคนี้ซึ่งแทบจะหมดหวังแล้ว
ขนาดพระพุทธเจ้าเมื่อท่านอุบัติขึ้นมาในโลก ก็ตรวจดูว่า คนจะมีภูมิธรรมรับได้ไหม แสดงธรรมะออกไปคนจะรับฟังไม่ได้จะเสียของหรือไม่ เมื่อตรวจดู ก็ดูเหมือนว่าไม่คุ้ม แว้บหนึ่งเวลาเท่าคู้แขนเข้าออก ก็ปริวิตกว่าไม่คุ้ม พอปริวิตก พระพรหมก็สะเทือนบัลลังก์ ว่าท่านไม่ต่อเชื่อมศาสนาก็บรรลัยจักร ก็เลยรวมตัวกันมา มากันหมดเรียกว่าสหัมบดีพรหมให้เปิดเผยธรรมะ ท่านก็ตรวจดูว่ายังมีปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 รับได้อยู่
ก็ไปเทศนากัณฑ์แรก ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ตอนนั้นศาสนาพุทธยังไม่เกิดเลย มีแต่ศาสนาพราหมณ์ฮินดู เดียรถีย์ ยังไม่มีพุทธ พระพุทธเจ้าเทศนาทฤษฎีบทที่ 1 คือธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เทศน์จบกัณฑ์ ปัญจวัคคีย์ พราหมณ์ 5 คนก็มีผู้ที่รู้ได้ 1 คน มีพราหมณ์แก่ 4 คน พราหมณ์หนุ่มคนหนึ่งคือ โกณฑัญญะก็รู้ได้ทันที ก็เลยบอกว่าอัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ เกิดธาตุรู้ที่ใหม่มากเรียกว่าอัญญธาตุ ธาตุรู้ที่เป็นโลกุตรธรรม
โลกุตรธรรมคือ ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร เป็นพระสูตรที่เป็นโลกุตรธรรมบทแรกของศาสนาพุทธที่เกิดขึ้น บทแรกนี้คืออะไร?
SMS วันที่ 22 ม.ค. 2563 (พุทธศาสนาตามภูมิ : พ่อครู)
_กิ่งฟ้า ขันหล้า : นั่งฟังก็ขำดี..ที่ท่านฟ้าไทแซวพ่อท่านเปิดพระไตรปิฎกทุกเล่มเลย…เห็นถึงความเมตตาพ่อท่านที่พยายามอธิบาย..เตรียมการสอนอย่างดี..สื่อการสอนพร้อม…ทั้งที่ช่วงนี้
พ่อท่านมีเวลาน้อย..ต้องพัก..สอนเพียงหนึ่งชั่วโมง..แต่พร้อมตลอดจ้า…ต่อให้พ่อท่านลืมตำรา พ่อท่านก็สอนได้สบายๆอยู่แล้วจ้า..สาธุ..สาธุค่ะ
_จักรพล พุทธพัฒนา : เขาว่านั่งสมาธิแล้วศีลจะบริสุทธิ์เองเพราะไม่ได้ไปผิดศีลอะไรและจะเกิดปัญญาเองเหมือนกันครับ.
พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าสอนไม่ตรงไหนหนอ นี่ขี้ตู่คำสอนพระพุทธเจ้า เขาไปนั่งนิ่งปิดหูปิดตาไม่คิดนึกอะไรแล้วจะผิดศีลได้อย่างไร แต่ศีลต้องมีเหตุปัจจัย
ศีลข้อที่ 1 เหตุปัจจัยเกี่ยวกับสัตว์
ศีลข้อที่ 2 เหตุปัจจัยเกี่ยวกับข้าวของอย่าไปทุจริต
ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส
ศีลข้อที่ 4 เกี่ยวกับวาจา
ศีลข้อที่ 5 เกี่ยวกับจิตใจ ที่ไปเมาติดยึด หยาบ กลาง ละเอียด
แต่นี่ไม่มีเหตุปัจจัยอะไรมากระทบแล้วจะบอกว่าศีลนั้นมีเอง ก็เป็นการสอนที่ออกนอกรีตของศาสนาพุทธ ขี้ตู่เอา
บอกว่า ปัญญาจะเกิดเองได้ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนไว้ตรงไหนเลย ต้องดูในปัญญา 8
ข้อ1.ปัญญาจะเกิดต้องได้ยินได้ฟังจากสัตบุรุษที่อยู่ในฐานะครู แต่นี่ก็พูดเอาเองว่า นั่งสมาธิแล้วจะเกิดปัญญาเอง ศีลก็เหมือนกัน พวกนี้บาปกินหัว ขึ้ตู่คำสอนของพระพุทธเจ้า สอนผิดๆแล้วบอกว่าตัวเองเป็นครูบาอาจารย์ อาตมาก็ต้องมาเปิดเผยความผิดตำหนิหนักเลย เมื่อยนะ ทำงานยุคนี้ เพราะคนพาผิดเพี้ยนไปไกล ไปหลงเชื่อเขาหมดกลายเป็นโง่เง่า เรามาพูดความจริงก็หาว่าพูดผิดไม่เอาอีก
SMSวันที่ 23ม.ค.2563(พุทธศาสนาตามภูมิ สมณะ สิกขมาตุ :บ้านราช)
_วันชัย สหมโนธรรม : กราบนมัสการ ท่านสมณะทุกท่านด้วยความเคารพอย่างสูงครับปัจจุบันนี้ชีวิตของผมจะเปลี่ยนไป ขอเป็น”มังสวิรัติ”ตลอดชีวิตก็พอครับจิตหลุดพ้นจากเนื้อสัตว์แล้ว โดยไม่ต้องกดข่ม
พ่อครูว่า…
คำว่าหลุดพ้น คืออะไร
หลุดพ้นคือจิตใจไม่สุขไม่ทุกข์กับสิ่งนั้นแล้ว นอกจากไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว ไม่อยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็น หรือไม่ ไม่อยาก อยากก็ไม่ได้ก็ไม่มี ไม่อยากก็ไม่มี อะไรคืออะไรที่ควรเกี่ยวข้องควรรับมา จะปรุงแต่งหรือเอามาเป็นเครื่องอาศัยเป็นอาหาร เป็นสิ่งที่ต้องใช้ในการสังขารร่วมกันก็ทำตามควร โดยไม่มีจิตใจความสุขความทุกข์โดยไม่มีตัณหา ไม่มีความอยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็นก็ไม่มี มีแต่รู้ว่าควรหรือไม่ควร นี่คืออาการหลุดพ้น
เพราะฉะนั้นคนนี้บอกว่าได้หลุดพ้นจากเนื้อสัตว์แล้ว ก็ต้องมีอาการอย่างที่อาตมาสาธยาย เข้าใจความหมายของคำว่าหลุดพ้นให้ได้อาการของจิตเป็นอย่างนี้
ปฏิบัติหลุดพ้นจากเรื่องของสัตว์ การกินเนื้อสัตว์ การปฏิบัติก็ต้องเกี่ยวข้องกับคนหรือสัตว์ แน่นอน คนเกี่ยวกับคน เกี่ยวกับอะไรต่อจากนี้ ไม่กิน ในกวฬิงการาหาร
อันที่สองเกี่ยวกับผัสสะ อันที่สามเกี่ยวกับมโนสัญเจตนา สี่เกี่ยวกับวิญญาณาหาร ต้องเรียนรู้รูปนาม
ผู้ที่รู้แล้วอาศัยสิ่งเหล่านี้ ใช้บัญญัติภาษาสื่อให้รู้ แม้แต่อาหาร 4 หรือศีลข้อ 1 2 3 ข้อ 4 วาจา 5 คือจิต หากเข้าใจสาระเนื้อแท้ที่อาตมาอธิบาย อาตมาใช้พยัญชนะสื่อเนื้อหาสาระอย่างนี้คู่ไปตลอดเวลา ไม่ใช่อธิบายแต่ภาษาพูด ไปจำเอามาจากครูบาอาจารย์ที่เขาสอนกันมา ภาษาสู่ภาษาไม่ใช่ แต่อาตมาอธิบายภาษาสู่ภาษา แล้วยังมีเนื้อหาสภาวธรรมประกอบไปเป็นคู่ๆๆเสมอๆ
ฟังธรรมดีๆ ฟังแล้วจะได้ครบ แต่ทุกวันนี้ฟังกันเอาแต่ภาษา แม้จะเป็นสภาวะก็เป็นเรื่องที่เป็นเรื่องไม่รู้เรื่องเป็นเรื่องลึกลับเป็นโลกแห่งวิมาน อากาศ ปั้นเป็นสภาพโลกทิพย์กายทิพย์รูปทิพย์ เป็นนามธรรม เป็นสิ่งที่คนพูดก็ไม่รู้เรื่องไม่มี กาย ไม่มีภายนอก ไม่มีภายใน ไม่มีรูปนาม สื่อกันก็ไม่รู้เรื่อง
หากจิตใจไม่มีอคติกับอาตมาตั้งใจฟังให้ดี จะได้ธรรมะพระพุทธเจ้าจริงๆ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…พ่อครูพูดถึงเทวดา ลูกเทวดาเสียผู้เสียคน สวรรค์ 6 ชั้นเป็นภพของคนโง่ ที่หลงว่าเป็นสวรรค์ พวกเสพในตัวเองเป็นพวกไส้เดือน
สภาวะของธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร
_จักรพล พุทธพัฒนา : สุขทุกข์อยู่ที่ความคิดนี่เอง!!ผมเป็นพระอริยะแล้วก็ยังชอบฟังธรรมเลยครับ
พ่อครูว่า…จริง พระอาริยะก็ชอบฟังธรรม คนที่ยังไม่เป็นพระอาริยะเป็นปุถุชน ก็ไกลหลายๆโยชน์ไม่ชอบฟังธรรม ยิ่งเป็นพระอรหันต์ไปยิ่งใส่ใจสนใจฟังธรรม แม้แต่ฟังธรรมะคนที่เขาสอนผิดๆ อาตมายังอ่านหรือฟังบ้าง ฟังผู้ที่เขาสอนเขาบรรยายธรรมะคนเทศน์ธรรมะ ก็ฟังบ้างฟังดู ก็ชอบฟังอยู่ จะได้เห็นว่าเขาหลงทิศทางไปไกลอย่างไรแค่ไหน ครูบาอาจารย์ของศาสนาพุทธในยุคนี้ พาไกลดำดิ่งไกลจากวิเวก ตั้งอยู่ก็จมลงในที่หลง
ภาษาดูง่ายๆ แต่ยากลึกนะ แม้ที่ไปหลงทิศหลงทางก็จมในความหลง เพราะกิเลสที่ไม่ได้อยู่ใกล้วิเวก แต่ไกลห่างจากวิเวก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เป็นยุคนี้จริงๆ เป็นยุคที่อาตมาว่าเป็นอาหารข้อที่ 4 ไม่รู้จักวิญญาณ ไม่รู้จักนามรูปคือโจรปล้นศาสนา ที่ถูกพระราชาจะเอาไปฆ่า โจรที่ปล้นจี้ยิ่งกว่า ผอ.กอล์ฟ ไม่รู้กี่เท่า ตอนนี้ก็เป็นข่าวกัน คนอะไรทำได้ขนาดนี้
แต่นี่ยิ่งกว่าอีก อาตมาพยายามแก้ไขไม่ให้เป็นโจรก็เป็นโจรที่ฆ่าไม่ตาย ไม่กระดุกกระดิก จมอยู่อย่างนั้นไม่ฟังด้วย กระทุ้งอย่างไรก็หนังเหนียว ไม่ถูกตัวด้วยนะ ยาก
คุณจักรพลว่า อยู่ที่ความคิดก็ใช่ เป็นลมเป็นแล้งเป็นวิมานก็ใช่ เป็นสิ่งที่ อุปาทานแท้ๆ เป็นของไม่มีเลยความสุขความทุกข์ คนที่มีอยู่ก็เพราะว่าศึกษาธรรมะยังไม่จบยังไม่ถ่องแท้ยังไม่รู้จริง ก็เลยต้องเป็นภพชาติ สุข ทุกข์ แล้วต้องการแต่สุขด้วย แต่สุขกับทุกข์มันคู่กัน เหมือนกระดาษแผ่นนี้ คุณจะทำให้ความสุขความทุกข์มันแยกกันได้ไหม ก็ไม่ได้
พอมีสุขก็มีทุกข์ปนมา คนไหนตื่นรู้ว่าความสุขนี้มันคือความทุกข์มันตัวเดียวกันหรือ เพราะฉะนั้นก็ดับแห่งความสุขก็คือดับเหตุแห่งความทุกข์ไปด้วย พระพุทธเจ้าท่านฉลาด จะบอกว่าดับเหตุแห่งความสุขคนก็ไม่ฟัง ก็เลยบอกว่าดับเหตุแห่งทุกข์ คนก็จะเห็นว่าดีนะ แท้จริงความสุขนั่นแหละคือความทุกข์แท้ๆ เป็นสิริมหามายา เป็นมายาสุดยอด
เพราะฉะนั้นคนจะสามารถรู้ว่าอาการความสุขและเขาบอกว่าเป็นความสุขอย่างยิ่ง ปรมังสุขังเขาแปลว่า สุขอย่างยิ่ง ก็เลยยิ่งชื่นชอบ เสพสุขอยู่ในความสุขไปกันใหญ่เลย ซึ่งมันไม่มี ที่จริงเขายืมภาษามาว่าเป็นความสุขเท่านั้น ขอยืมภาษามาใช้ ปรมังสุขัง แปลว่า ยิ่งกว่าสุข ถ้าตายยังหลอกอีกก็แปลว่าสุขอย่างยิ่ง แต่ถ้าไปอย่างโลกุตระก็คือยิ่งกว่าสุข คือมันมีความว่าง สุ แปลว่า ดี ข แปลว่า ว่าง มีความสุขความทุกข์อยู่มันไม่ดี ว่างๆนี่แหละดีกว่าเป็นจิตว่างกลางๆเป็นจิตอุเบกขาไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีกามไม่มี อัตตา เข้าไปหาธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
การแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตร เพราะว่ามันเป็นตัวเนื้อใหญ่ กามคืออยากภายนอก อัตตาคืออยากภายใน ก็คือสุข ทุกข์
กาม ก็เรียกว่าสุขขัลลิกะ อัตตาก็เรียกว่า กิลมถะ ทุกข์ คือชื่นใจกับไม่ชื่นใจ
ชื่นใจก็สุขขัลลิกะ ไม่ชื่นใจก็กิลมถะ
เราสามารถรู้เนื้อแท้ในภาษาพยัญชนะต่างๆ จนละเอียดไปถึงขนาดอาการไม่มีกาม คืออาการว่าง อุเบกขา อัตตาก็ไม่มี ว่างจากอัตตา ไม่มีทั้งกามและอัตตา เป็นอุเบกขาก็ไม่มีทั้งความสุขความสุข อทุกขมสุข หรือไวพจน์ชัดเจนหรืออุเบกขา คือสภาวะเดียวกัน
สรุป ทั้งอุเบกขา และอทุกขมสุข คือจิตของคนที่รู้ศึกษาแล้วทำให้จิตปราศจากกิเลสทั้งกามและอัตตา สะอาด บริสุทธิ์
ปริสุทธา คือสะอาด ปริโยทาตา บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นคือแม้จะอยู่ในโลก กระทบสัมผัสด้วยเหตุแห่งตัวเร้า ตัวเร้าทั้งกามและอัตตาทำให้จิตไม่บริสุทธิ์ มันก็ยังบริสุทธิ์อยู่อย่างนั้น นี่เรียกว่าสภาวะธรรมของ ปริโยทาตา
อาตมาอธิบายด้วยสภาวะ ไม่ได้แปล ปริโยทาตาด้วยพยัญชนะเท่านั้น ไม่ได้เอาคำของเกจิอาจารย์อรรถกถาจารย์โบราณอาจารย์คนไหนมาพูด อาตมาแปลด้วยสภาวะธรรมของอาตมาขอยืนยันว่าแปลถูกไม่ได้แปลผิดในสภาวะธรรม ถ้าใครไม่มีอคติจะฟังเข้าใจ อาตมาแปลด้วยภาษาไทยให้คนเข้าใจในสภาวะรอบถ้วน พระพุทธเจ้าท่านให้ใช้ภาษาถิ่น ภาษาที่คนฟังรู้เรื่อง
ไม่มีกามไม่มีอัตตาเป็นภาวะบริสุทธิ์ปริสุทธา ปริโยทาตา แม้จะมีสิ่งเร้ากระทบกระแทกสัมผัสกิเลสก็ไม่เกิดอีก บริสุทธิ์ขาวรอบ ปริโยทาตา แปลเป็นไทยว่าผุดผ่อง ที่จริงก็ขาวรอบแข็งแรงตั้งมั่นคงเดิม
มุทุ เป็นคุณสมบัติลำดับที่ 3 ของจิต ถ้าอุเบกขา 5 คือฐานนิพพาน คือจิตว่างของพระพุทธเจ้ามีคุณสมบัติ 5 อย่างนี้
มุทุ เป็นคุณสมบัติพิเศษของจิตเร็วไว นิ่ง ทั้งเจโตทั้งปัญญา แล้วเขาแปลว่า อ่อน เอาพยัญชนะแปลว่าอ่อน คือ ประสิทธิภาพของจิตใจทั้งเร็วทั้งไว ทั้งนิ่ง อาตมาแปลตามสภาวะ ไม่มีอรรถกถาคนไหนแปลอย่างนี้ อาตมายืนยันว่าแปลอย่างถูกต้องไม่ได้แปลผิด
มุทุ คือ ประสิทธิภาพของจิต มันจะยิ่งดีขึ้นเก่งขึ้น เพราะจิตเป็นมุทุภูตธาตุ เป็นจิตที่เป็นจิตหัวอ่อน ไวทั้งปฏิภาณปัญญา เจโตก็ไว ปรับได้ง่าย ตามที่มีปัญญา วสวัตตี ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้เร็วปรับปรุงได้เร็ว จะปรุงแต่งกับโลกเขา สัมผัสเกี่ยวข้องกับพวกเขา เหมือนอย่างกับมีกิเลส อย่างอาตมาเหมือนอยากอวดแสดงตัว เหมือนยกตัวตน อาตมาพูดไปเป็นสิริมหามายา โลกเขามองว่ามีกิเลสอยากแสดง อยากอวดตัว ว่าคนนั้นคนนี้ เขาก็ตำหนิได้ จะว่าอาตมามุมไหนก็ได้ แต่อาตมาไม่มีอย่างที่เขาติ เขาเข้าใจไม่ได้ก็ว่าไป ทำไปไม่มีอกุศลอย่างที่เขาใส่อาตมา
เมื่อมีจิตตัวนี้ แล้วจิตก็ขาวผ่อง แม้จะกระทบอยู่กับโลกอย่างไรจิตใจก็แข็งแรงยืนยันบริสุทธิ์สะอาดขาวรอบอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจิตนี้จึงเป็นจิตที่เอามาทำงาน
กัมมัญญา จิตนี้เป็นจิตของพระอาริยะพระอรหันต์หรือพระโพธิสัตว์ อาตมามีจิตตัวนี้จริงจึงอธิบายได้ถูกต้อง อธิบายได้ดี จึงสามารถที่จะทำกรรมเรียกว่า กัมมัญญา
กรรมที่ควบคุมด้วยอัญญา อัญญาแปลว่าความรู้ยิ่งเป็นธาตุรู้ใหม่จากโลกีย์ พระพุทธเจ้าท่าน ใช้การทักอัญญาโกณฑัญญะ เป็นธาตุ ความฉลาดแบบใหม่ ไม่ใช่ความฉลาดแต่เฉโก หรือเฉกะ ไม่ใช่ความรู้ความฉลาดแบบโลกียะ แต่เป็นความรู้ที่เป็นโลกุตระเป็นปัญญา อัญญา เต็มสภาพเรียกว่า ปัญญา
เพราะฉะนั้นคำว่าปัญญา จึงเป็นความรู้ เดียวกันกับ อัญญา ไม่ใช่ความรู้ เฉกาหรือเฉกตา เฉโก ที่พยัญชนะกำกับไว้ ของชาวโลกีย์เทวนิยมที่ไม่ออกจากโลกวงวนโลกีย์ เขาจะไม่ออกจากกรอบเดิม แต่นี่ออกมาจากกรอบเดิม เป็นของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระธรรม
พวกเรามีปัญญาออกจากกรอบของโลกียะ เข้าใจอย่างมีปัญญา อัญญธาตุนี้ เข้าใจตรงนี้ได้ นั่นแหละ จึงจะเจริญทางโลกุตรธรรม
ผู้ใดไม่เกิดสัมมาทิฏฐิออกมาโดยเข้าใจว่าโลกุตรธรรมเป็นอย่างไร โลกุตรธรรมจะต้องรู้สภาวะ 2 สภาพ 2 รู้รูปนาม รู้โลกียะ โลกุตระ หรือสภาพ 2 หรือเทวะ
หรือ อีกคำหนึ่งสองก็คือ กาย กายคือรูปกับนาม แยกเทวะได้
หนึ่งเป็นเทวะ หรือเป็นรูปกับนาม หรือภาวะสอง ภาวะหนึ่งเรียกว่าอิตถีภาวะ อีกภาวะเรียกว่าปุริสภาวะ หากคุณไม่สามารถแยกรูปแยกนาม แล้วทำให้มันเป็นไปตามที่เราต้องการ
สอง ที่จริง สองมันมีสอง แล้วทำสองให้เป็นหนึ่ง หรือ 1 กับ 0 มันก็ 2 แต่ทำ 1 ให้เป็น 0 ก็ได้ ผู้ทำ 1 ให้เป็น 0 ได้คือมีสุญญตธรรม 0 คือความว่างจากกิเลส
สูญจากเหตุของโลก เรียกว่าโลกสมุทัย คือไม่มีสมุทัย เรียกว่าโลกนิโรธ ก็คือสภาวะสองอย่างคือมีกับไม่มี
เปยยวัชชะ
ผู้ที่เรียนรู้สภาพธรรม คุณรู้จักโลกสมุทัยกับโลกนิโรธ หากรู้นิโรธแล้ว วนไปอย่างไรมันก็ไม่มี จะอยู่กับโลกปรุงแต่งอยู่กับโลก เขาปรุงแต่งแล้วก็เออออห่อหมกกับเขาได้ ตัวเองไม่ได้เป็นอะไรกับเขาหรอก
ยกตัวอย่างเหมือนกับอาตมาเป็นแม่ครัวเป็นเชฟเบอร์ 1 พ่อครัวหัวป่าก์ เป็นผู้ปรุงอาหารที่เก่ง แล้วอาตมาไม่ได้ติดอาหารที่อร่อยหรือไม่อร่อย แต่ทำอาหาร รู้ว่า คนกินจะกินรสไหน ถ้าไม่ทำอย่างนี้มันก็ไม่กินก็เสียของ ก็ต้องปรุงให้เป็นอย่างนั้นอาศัยรสเป็นกระษัยยา ซึ่งเป็นศิลปินมีศิลปะในการที่จะให้คนกินยา คนจะกินยาต้องเอาน้ำตาลมาเคลือบ เอาสีให้ดูน่ากิน เอาสุนทรียศิลป์มาประกอบกับสาระศิลป์
สุนทรียศิลป์คือสิ่งที่ชวนให้รับเข้าไปได้ แต่อย่าให้ติดส่วนประกอบเหล่านั้น ศิลปะก็อย่าให้ติดในสุนทรีย์ที่เอาไปประกอบ เป็นเพียงแต่เชื้อเชิญให้เราไปลิ้มลอง เมื่อได้สาระไปแล้วก็ไม่ไปติดยึดนำพากับสิ่งที่ฉาบไว้
ศิลปะที่ดีคือเป็นผู้มีฝีมือทำให้คน ลิ้มได้ งานศิลปินคือ งานที่เสนอให้คนสัมผัสแล้ว 1 มีสุนทรียศิลป์ เชิญชวนให้คนมารับ เรียกในบัญญัติภาษาว่า เปยยวัชชะ
เปยยวัชชะยากมากให้มาลิ้มของควรดื่ม เปยยะแปลว่าของควรดื่ม วัชชะ เป็นกิเลสเป็นสิ่งที่โลกติเตียนเป็นสิ่งไม่ดี
ให้เขาดื่มสิ่งที่โลกติเตียน ผู้ฟจะติเตียนโลกได้คือผู้รู้ คนอยู่เหนือโลกได้จึงติเตียนได้ คุณต้องรู้จักโลกจึงติเตียนโลกได้
หากไม่รู้จักโลกแล้วไปติเตียนโลกคือคนเตี้ยอุ้มค่อม คุณต้องไม่เป็นโลกแล้วไม่มีโลกนั้นแล้วอยู่เหนือโลกนั้นได้แล้วจึงติเตียนโลกนั้นได้ ให้เขาดับโลกไม่มีโลกเหมือนคุณได้
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…
_วันชัย สหมโนธรรม : อนุโมทนาสาธุครับ คุณจักรพล “อะกาลิโก”เป็นสิ่งที่สามารถปฏิบัติจนถึงผลได้
พ่อครูว่า…คนที่เป็นพระอาริยเจ้ารู้จักความสุขความทุกข์ของสิ่งที่ตัวเองไม่มีความสุขความทุกข์แล้วตั้งแต่อบายมุข เกี่ยวข้องกับอบายมุขในโลกก็ไม่มีสิ่งที่เป็นความสุขความทุกข์ที่เขาปรุงแต่ง อย่างหยาบเยอะแยะ คนไปเสียเงินเสียทองเสียเวลากับสิ่งเหล่านี้เยอะแยะแต่เราไม่ ไม่ทำแล้วกลางๆเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์กับเขาจริง คนที่อ่านสภาวะนี้ออก รู้ตัวเองว่าเราเองหลุดพ้นมาจากโลก อบายนั้นๆ ก็เริ่มพูดหลุดพ้นเป็นพระโสดาบัน เมื่อขึ้นไปเป็นพระสกิทาคามี ไล่ไป หมดหยาบแล้วละเอียดที่คุณติดอีก ก็รู้ตัวเองว่า มีสุขทุกข์มีตัณหาแสวงหาอีก ก็ทำการหลุดพ้นอีกมาเป็นลำดับๆ
ผู้ที่ตั้งใจ ถ้าโลก มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่และพูดกันรู้เรื่อง โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ อย่างคุณคนที่พูดมานี้ก็ได้ความเป็นพระอาริยะขึ้นมา
คนที่ไม่เชื่อ เป็นพวกงมงายก็มีนะ บอกว่าพระอริยะไม่มีหรอกและเขาบอกว่ามีพระอรหันต์ อรหันต์คือพวกที่ออกป่าเขาถ้ำคือพวกเป็นอรหันต์ อย่างนี้คือไม่รู้เรื่อง เป็นพวกงมงาย แล้วมีหรือไม่มีอันไหนใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่รู้เรื่อง
ทีนี้คุณวันชัย ก็ว่าอนุโมทนาสาธุกับคุณจักรพล ว่าอะกาลิโก
_พันธุ์ พอเพียง : ฟังหลวงปู่ ตอบ หลาน ใสกลางเพ็ญ วันนั้น ชัดเลยครับ ถ้างานมากคิดมากได้ หลายเรื่องได้ แต่ถ้าคิดเลอะเทอะ เขาเรียก อุทธัจจะ สาธุครับ
_จักจั่นทิพย์ สว่างล้ำ :ถึงปานฉะนี้แล้ว ก็ใช่ว่ากิเลสจะกระเทาะออกง่ายๆ ต้องมีองค์ประกอบหลายๆอย่าง อยู่ที่ความหนาบาง ของแต่ละคน ที่สั่งสมมา
พ่อครูว่า…คนที่คัด sms มา นี่คงเลือกมาแล้วล่ะ หากไม่เป็นประเด็นก็คงจะไม่ได้เอามา คนที่เอามานี้เป็นประเด็นก็ได้ต่อไปพอสมควรแล้ว
ก็ขอเอาเรื่องนี้ต่อก็แล้วกัน หลวงปู่มั่น ออกจาริก มีคนที่เอามาให้อ่าน อาตมาวิจารณ์ไม่ต้องขออภัย ซึ่งท่านก็เป็นผู้ที่มีคุณค่าต่อสังคมยูเนสโกรับรองว่าเป็นผู้ที่มีคุณค่าในด้านสันติภาพ เป็นบุคลากรของศาสนาพุทธ ก็เชื่อว่าเขาสนใจวิชาการของศาสนาพุทธมีประสิทธิภาพได้ แม้จะเป็นสันติภาพ ในระดับที่ยังไม่ลึกซึ้งเท่าไหร่หรอก เป็นสันติภาพแบบ เคหสิตอุเบกขา เป็นความสว่างเฉยด้วยการนั่งสะกดจิตเข้าไปให้จิตสงบ ซึ่งทางตะวันตกทางศาสนาอื่นๆเขา เขาก็เก่งนะ เขาก็เก่งนั่งหลับตากันพอได้ แต่นั่งหลับตากันไปแล้ว มันก็ไม่เห็นผลไม่มีองค์ประกอบ ที่แสดงให้เห็นว่ามันมีลักษณะที่มีราศี มีอลังการมีเครื่องประกอบอื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่นั่งสงบ ทื่อๆเฉยๆ
อาตมาก็มองไม่ออกนะ ว่าหน้าอาจารย์มั่นเป็นอย่างไร ไปนั่งหลับตาแล้วมันเกิดราศีอะไร เขาเกิดจับกัมมันตภาพรังสี ของปรมาณูนี้ได้แล้ว ก็เป็นความรู้ ทำให้เรารู้ว่าองค์กรใหญ่อย่าง UNESCO มองเห็นอันนี้ก็เป็นนิมิตที่ดี ไม่เข้าใจยังไม่ชัด เขาจะพอรู้ขึ้นมาบ้าง มีความสนใจมีความยินดี เขาจึงได้ขานรับ เขาถึงเอาไปแต่งตั้งไปเป็นฐานะ ยกฐานะให้ ก็ดูดี อาตมาก็พลอยยินดีด้วย แม้ว่ายังไกลจากสันติภาพ ซึ่งมันเป็นความสงบแบบเบื้องต้นง่ายๆ แต่ที่มาสนใจของพุทธ ทั้งที่ศาสนาอื่นก็มีนั่งหลับตาเยอะแยะ ทางอินเดียก็มีนั่งหลับตาเต็มป่า แต่เขากลับมามองเมืองไทย หรือบุคลากรของพุทธเป็นพระเป็นพุทธมามกะพุทธบริษัท เป็นพระของพุทธด้วย เป็นนิมิตดี แนวโน้มที่ดี ที่องค์กรสำคัญๆของโลก เขามาสนใจใส่ใจให้ค่ากับสิ่งนี้
หลวงปู่มั่นออกจาริก ..มีเรื่องเล่าว่า
หลวงปู่มั่นออกจาริกไปกับพระป่าด้วยกันจำนวนหนึ่ง ออกเยี่ยมเยียนญาติโยม และลูกศิษย์ลูกหาในพื้นที่อีสานตอนเหนือ และได้เลือกที่พำนักอยู่ที่วัดป่าเก่าๆวัดหนึ่ง ซึ่งชาวบ้านนิมนต์ท่านให้พักอยู่บนกุฏิไม้ ส่วนพระลูกศิษย์ก็หาพื้นที่ปักกลดอยู่รอบๆ หลวงปู่ใช้กุฏิไม้หลังนั้นเป็นที่เจริญสติภาวนาหลายคืน
จนคืนหนึ่งจิตของหลวงปู่ได้สัมผัสถึงวิญญาณสัมภเวสีตนหนึ่ง จิตของสัมภเวสีตนนั้น ยังเป็นจิตที่เพิ่งตายใหม่ๆ ท่านเห็นว่ามาวนเวียนแถวๆนี้หลายคืนแล้ว จึงเรียกให้มาคุยด้วย วิญญาณปรากฏกายออกมา
หลวงปู่ถามว่า “มาจากไหน”
วิญญาณตนนั้นกราบท่าน มีหน้าตาเศร้าหมอง น้ำตาไหลอาบแก้ม บอกว่า “ตัวกระผมนี้รู้สึกเลื่อมใสและศรัทธาในตัวหลวงปู่มาก ตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าจะมาขอฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่ให้ได้ เที่ยวออกเสาะแสวงหาหลวงปู่มานานแสนนาน เมื่อทราบข่าวว่าหลวงปู่อยู่ที่นี่ จึงรีบเดินทางเพื่อจะมากราบท่าน แต่เหมือนมีกรรมยังไม่ได้ทำตามปณิธาน ระหว่างเดินทางก็ตายในป่าเสียก่อนด้วยไข้ป่า จึงต้องมาเป็นสัมภเวสีเช่นนี้”
เมื่อหลวงปู่มั่นได้ฟังก็สัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นและศรัทธาอันแรงกล้าของวิญญาณตนนั้น ท่านจึงถามไปว่า ..”ตายมากี่วันแล้ว” ..!
“๓ วันครับ” วิญญาณตอบ
“งั้นโยมยังเหลือเวลาอีก ๗ วัน ก่อนที่เขาจะมารับตัวไป อาตมาจะสอนการภาวนาให้จงตั้งใจให้มากนะ เพราะเวลาของโยมเหลือน้อยเต็มทีแล้ว จงมาหาอาตมาในเวลานี้ของทุกวัน”
วิญญาณดีใจเป็นอย่างยิ่ง เขาเพียรมาหาหลวงปู่ทุกคืน ซึ่งหลวงปู่ก็สอนหลักธรรมและคำภาวนาให้แก่เขาทุกคืน จนเวลาล่วงเข้าคืนสุดท้าย หลวงปู่มั่นไม่เห็นเขามาหาท่านเหมือนเดิม จึงกำหนดจิตดู ก็เห็นว่าวิญญาณตนนั้นเพิ่งถูกยมทูตจับตัวไป นำตัวไปนรกเสียแล้ว อะไรกันหนอยังไม่ถึงเวลา ทำไมยมทูตขยันเสียจริง
หลวงปู่ท่านจึงบอกลูกศิษย์ว่า วันนี้ท่านจะไม่ออกมาข้างนอก ถ้าเห็นท่านนั่งสมาธิไม่หายใจ ไม่ต้องตกใจเดี๋ยวท่านก็กลับ หลวงปู่ท่านนั่งสมาธิถอดกายทิพย์ออกไปจากกุฏิไปจนถึงทางเข้ายมโลก ท่านเข้าไปลึกขึ้นๆ จึงได้สัมผัสได้ถึงความกลิ่นและเสียงร้องระงม มันเป็นความรู้สึกของความทุกข์เหลือแสนที่ไม่จบสิ้นเป็นเวลานานชั่วกัปชั่วกัลป์จากนรกขุมต่างๆ ที่คนในนั้นกำลังรับโทษอย่างหนัก
จิตของหลวงปู่ล่องลอยไปถึงทางเดินลึกลับแห่งหนึ่ง มันเป็นทางเดินอันยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ก็พบกลุ่มยมทูตที่กำลังนำพาขบวนวิญญาณเดินไปเพื่อชำระความ วิญญาณทั้งหมดถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนหน้าตาเศร้าหมอง
หลวงปู่เห็นชายคนนั้นอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย เมื่อหลวงปู่เข้าไปใกล้ๆ พวกยมทูตก็ยกอาวุธ เข้ามากัน “หยุดก่อนสมณะท่านเข้ามาทำไมมีธุระอะไรเหรอครับ”
หลวงปู่ยกมือชี้ไปทางสัมภเวสีตนนั้น แล้วพูดว่า “อาตมามาที่นี่ก็เพื่อแจ้งเหตุให้ทราบว่า วิญญาณตนนี้ยังเหลือเวลาบนโลกอีก ๑ วัน ท่านอย่าเพิ่งเอาเขาไป ได้หรือไม่”
พวกยมทูตทำหน้าขึงขังจริงจังแล้วตะคอกออกมาว่า “ออกไป มาทางไหนกลับไปทางนั้นเดี๋ยวนี้”
หลวงปู่ตอบกลับไปว่า “อาตมาไม่ไป”
เหล่ายมทูตมีสีหน้าเหี้ยมดุดันมากขึ้น เอาอาวุธออกมาเดินเข้าหาหลวงปู่ ทำท่าจะฟันหลวงปู่
แล้วมีเสียงขึ้นว่า “หยุดก่อน”
ทันใดนั้นแผ่นดินในยมโลกก็สั่นไหวอย่างรุนแรงจนเสียงวิญญาณที่กรีดร้องดังระงมเงียบกริบ เกิดประกายลำแสงเหมือนฟ้าผ่าเป็นสิบๆ ครั้ง ปรากฏเป็นพญายมราช ตาดุดัน หน้ากลัว ภายในดวงตามีอำนาจ เขาเดินมาหาหลวงปู่มั่นพร้อมกราบที่เท้า แล้วถามว่า “มีเหตุอันใดถึงกับต้องมาถึงยมโลกครับ”
หลวงปู่มั่นตอบว่า
“อาตมาต้องการมาตามท่านผู้นี้ซึ่งเขายังตั้งจิตภาวนาอยู่ และยังเหลือเวลาอยู่บนโลกอีก ๑ วัน ท่านจับเขามาก่อน ให้เขาได้ภาวนาได้ครบกำหนดก่อนได้ไหมท่านพญายมราช
พญายมราช
“แต่..วันเดียวเองนะครับ”
หลวงปู่มั่น
“ก็วันเดียวนั่นแหละ จะแค่วันเดียว ปีเดียว หรืออึดใจเดียวก็ยังอยู่ในช่วงภาวนา ท่านคงลืมไปแล้วล่ะซิว่า เวลาแค่ ๑ วันในยมโลกก็แทบจะเป็นเวลานานชั่วกัปชั่วกัลล์ของโลกมนุษย์แล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่าพระพุทธองค์ ท่านบำเพ็ญบารมีมาหลาย ๑๐ ปี แต่ในชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นที่จิตของพระองค์วิ่งไปสู่การหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ ฉะนั้นแล้ว อย่าได้ดูถูกอำนาจของเวลาได้ จะให้เวลาเหลือน้อยแค่ไหนก็ตาม ถ้ายังมีเวลาอยู่ก็ควรจะให้เขาไม่ใช่หรือ ท่านเป็นผู้ใหญ่ในนี้มีจิตที่เป็นธรรม จงลองตรองดูนะ”
เมื่อท่านพญายมราชได้ฟังจึงยกมือไหว้หลวงปู่
ตอนเข้าไปถามความท่านพญายมราช ได้ใจความว่า
“วิญญาณนี้ถูกจับมัดรวมมากับกลุ่มผีป่าเร่ร่อน บังเอิญว่าเป็นทางผ่านของป่าเขาพอดี จึงโดนจับมาด้วย”
หลวงปู่ท่านพิจารณาว่า “วิญญาณนี้มีกรรมก็จริง แต่ยังมีจิตใจดีอยู่มาก ไม่นานก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์อีก”
เมื่อกลับมาโลกมนุษย์ก็ให้ภาวนาทันทีเป็นเวลา ๑ วัน แล้วก็สอนวิญญาณนั้นทั้งหมดเต็มความรู้ของท่าน ท่านกำชับว่า
“จงเร่งความเพียรใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าที่สุด ถึงไม่ทันการณ์ได้บรรลุผลในชาตินี้ แต่ผลการปฏิบัติ จะติดตามตัวเขาไปทุกภพทุกชาติ ไม่สำเร็จชาตินี้ก็อาจสำเร็จชาติหน้า”
วิญญาณนั้นจดจำทุกถ้อยคำที่หลวงปู่สอนด้วยความตั้งใจ
ยมทูตได้มารับตัววิญญาณนั้นไป วิญญาณนั้นก้มลงกราบ แล้วปวารณาตัวขอรับใช้หลวงปู่มั่นไปทุกภพทุกชาติ และวิญญาณนั้นก็สลายหายไป
น่าเสียดายอย่างยิ่งที่วิญญาณที่มีจิตแน่วแน่นี้ ช่างมีเวลาน้อยเหลือเกิน เขาเที่ยวเพียรตามหาหลวงปู่เป็นเวลาหลายปีกว่าจะได้เจอกลับมีกรรมต้องตายเสียก่อน จึงได้เจอหลวงปู่เพียง ๗ วันเท่านั้น แต่เป็น ๗ วันที่มีค่า ทำให้หลวงปู่ต้องไปตามมาจากยมโลกแม้จะเหลือแค่วันเดียว จึงเป็นอุทาหรณ์ที่ดียิ่ง อยากทำอะไรไม่ยอมทำ เมื่อหมดเวลาแล้วต้องเสียใจที่ใช้ชีวิตอย่างไม่คุ้มค่า ชีวิตนี้น้อยนัก อีกไม่นานพวกท่านก็ต้องตาย จงใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าที่สุดเถิด
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน
พ่อครูว่า..ไว้อ่านต่อคราวหน้า…
สมณะฟ้าไท…สรุปจบ