630131_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เวทนาดอกเดียวปลิดวิญญาณ ตอน 1
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1l5Urjj8U5ERiOI6qh9fbBRbIx5SviCT2rRzpQbRnIdw/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1hbkrQiZkAfuFafO6IjI9t7cIutRpZlN2
สมณะฟ้าไทว่า.. วันนี้วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันพรุ่งนี้ก็จะมีค่ายเตรียมงานพุทธาฯของเด็กม.1จากชาวอโศกทั่วประเทศ เป็นการให้เด็กได้มาร่วมซึมซับบรรยากาศของงานปฏิบัติธรรม
พ่อครูว่า…SMS วันที่29ม.ค.2563(วิถีอาริยธรรม พ่อครู : บ้านราช)
_เจิน วดี : ฟังธรรมะของพ่อครูสุดยอดเลยค่ะ เพิ่มความฉลาดขึ้นค่ะ
_วันชัย สหมโนธรรม: ชีวิตนี้ได้ฟังธรรม ได้ลดละกิเลส คบมิตรดี ชีวิตนี้ไม่มีวันเสื่อม
พ่อครูว่า…อย่าเผินนะมาศึกษาให้ดีๆว่ามิตรดีเป็นอย่างไร แต่คนทั่วไปอ่านไม่ออกว่ามิตรดีคืออย่างไร มิตรดีคือคนมีคุณธรรม จะคบมิตรดีจะรู้ว่ามิตรดีจริงๆนั้นยาก ยกตัวอย่างอาตมาว่าอาตมาเป็นมิตรดีกับเธอนี่ก็ยาก
สมณะฟ้าไทว่า…ทั่วไปเขาบอกว่ามิตรดีคือคนที่ตามใจเขา แต่พระพุทธเจ้าบอกว่ามิตรดีคือคนที่ขัดเกลาเขา
_แน่งน้อย อินทสระ: แพทย์วิถีธรรมกับอโศกปฏิบัติไปทางเดียวกันค่ะ หมอเขียวบอกแพทย์วิถีธรรมกับอโศกมีพ่อคนเดียวกันคือพ่อท่านโพธิรักษ์ แพทย์วิถีธรรมเคารพพ่อท่านทุกคนค่ะ อโศกทำอย่างไรแพทย์วิถีธรรมทำอย่างนั้น
พ่อครูว่า…ไม่ได้แยกแต่แบ่งกันทำบ้าง อย่างพวกเรา นี่ท่านเพาะพุทธท่านก็ทำของท่านมีสำนักของท่าน นานๆทีเข้ามาที่นี่ หมอเขียวก็ดูเหมือนจะเข้ามาบ่อยกว่าด้วย เพราะฉะนั้นก็ดูดีๆอย่าไปตั้งจิตไม่ดีมันจะเสีย
_จักรพล พุทธพัฒนา: แพทย์วิถีธรรมเกิดทีหลังอโศกและเป็นเนื้อเชื้อไขของอโศกนั่นเอง(ไม่แยกกันครับ.)
_โมก หิรัญเขว้า : ผอ.และรองผอ.บ้านราชก็เป็นศิษย์เก่าสัมมาสิกขานี่แหละขอรับ
_อรุณวรรณ มาลัย :วันนี้ได้นำคำสอนที่ฟังจากคลิปต่างๆของพ่อครูมาทบทวนจิตใจที่หม่นหมองจากจิตที่ได้กระทำความผิด เมื่อก่อนทำผิดเล็กๆน้อยๆจะผ่านเลยถือว่าธรรมดามากใครๆก็ทำกัน แต่ครั้งนี้ต่างไปจิตรับรู้ถึงความผิดนั้นจนต้อง
_จิตรา อัศวัน : กราบ_/\_นมสก พ่อครู ที่เคารพยิ่ง ธรรมะที่พ่อครูกำลังสาธยาย ณ ปัจจุสมัยนี้เป็นธรรมชั้นสูง ‘อภิธรรม’ ผู้ฟังจึงต้องมีภูมิธรรมสูงตาม..จึงจะรับฟัง เข้าใจได้ ดุจความถี่คลื่นผู้ส่งกับผู้รับต้องจูนเข้ากันได้ / ธรรมรสที่พ่อครูแสดง..ไม่ว่าสาธยายแต่ในอดีต(ธรรมะ5ดาว)
หรือ ในปัจจุบัน ล้วนเป็นยอดเยี่ยม..น่าฟังในทุกกาล..เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…อาตมาแสดงธรรมไม่ได้เอาแต่ภาษาของอภิธรรมมา อย่างพวกจิต 89 พวกนี้ เขาบรรยายกันแต่ไม่เข้าถึงสภาวะ หากเข้าถึงสภาวะก็น่าจะบรรลุอรหันต์กันไปนานแล้ว
_ภาวิณี ทาอ่อน : น้อมกราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งครับ มีพระที่แยกตัวออกมาอยู่องค์เดียว แล้วญาติโยมก็สร้างกุฏิให้อยู่บริจาคที่ให้ อยากรู้ว่า พระองค์นี้ทำผิดวินัยของพระพุทธเจ้าหรือไม่ และญาติโยมที่ไป ทำทานด้วย จะได้กุศลหรือไม่
พ่อครูว่า…มีวินัย ผู้จะแยกตัวอยู่คนเดียวได้ ก็ต้องเป็นผู้ที่บริบูรณ์ด้วยการสังวร ด้วยอาหาร ด้วยเครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ที่ว่ากันตามวินัย ผู้ที่จะไปแต่ผู้เดียวได้ แต่ถ้าจะไปผู้เดียวอยู่ผู้เดียวไม่มีหมู่ไม่มีมิตร ผู้ที่ยังมีความสำรวมสำนึกสังวรในปัจจัย 4 ผู้ปฏิบัติอาหารแล้วปฏิบัติได้จริงจึงบรรลุอรหันต์
อาหารคำข้าวจะมีกาม และในการปฏิบัติอาหารเครื่องอาศัยนี้ก็ต้องมีผัสสะแล้วจะรู้เวทนา แล้วก็จะรู้เจตนา แล้วก็จะรู้ตัณหา 3 ล้างตัณหาไปตามลำดับจนหมดก็มีแต่วิภวตัณหา ส่วนอันที่ 4 รู้องค์รวมวิญญาณรู้นามรูป
คนไม่รู้นามรูป เหมือนกับโจรปล้นศาสนาที่ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่ม เช้า กลางวัน เย็นก็ยังไม่ตาย เป็นโจรถาวรนิรันดร เพราะไม่รู้วิญญาณ นามรูป เขาก็ศึกษากันแต่เขาไม่รู้จริง หากรู้วิญญาณ นามรูปแล้วศึกษาที่เวทนา
กรรมฐานของพุทธอยู่ที่เวทนา ปฏิบัติเวทนา 108 จะครบเป็นอรหันต์
มีพวกเราฟังธรรมแล้วรวบรวมเรียบเรียงมา
คนที่เขาเขียนมาบอกนี้ก็เขาไม่รู้ตัว ไปสะสมสิ่งไม่ควร ไม่มีที่พึ่งเป็นมิตรสหายดี อย่างแสงอรุณ 7 นี้ หากเขาไม่มีความยินดีใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีมิตรดีสหายดี ศีลของเขาก็จะไม่บริสุทธิ์เพราะเป็นไปตามกิเลสไม่มีอะไรป้องกัน ไม่ได้ปลงอาบัติ ไม่มีมิตรดีสหายดีก็ไม่ได้ปฏิบัติศีล อัตตาก็โต ทิฏฐิผิดเพี้ยนไป เข้าใจตามความเห็นของตนเอง ความประมาทก็มีเยอะ การทำใจในใจโยนิโสมนสิการก็ผิดเพี้ยนไปไกลเลยครบบริบูรณ์ ก็เป็นไป อย่างพวกชาวอโศกก็มีเช่นนี้ ทั้งที่แยกตัวแบบหนึ่งเดียวไม่มาสัมผัสสัมพันธ์ ทั้งที่แยกไปก็ทำทีมาสัมผัสสัมพันธ์ก็มี แต่แยกเดี่ยวด้วยความเห็นคะนอง ผยอง แล้วจะเป็นสงฆ์ของศาสนาพุทธตรงไหน มันตกขอบไปไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย
อีกอันว่าจะบริจาคทำบุญกับเขาได้ประโยชน์หรือเปล่าก็ได้ทำทาน แต่ทำทานกับผู้เป็นโจรทางศาสนา มอบอาวุธเรี่ยวแรงแก่โจรทำลายศาสนา แล้วจะได้กุศลหรือไม่
_กิ่งฟ้า ขันหล้า : ถ้าให้เลือกระหว่างแพทย์วิธีธรรมกับอโศกก็เลือกอโศกจ้า เพราะเกิดจากอโศกจ้า
– เด็กวัด ทำเพื่อละ สละเพื่อทำ :บางทีเรามีเหตุผล ต่างๆ นาๆ ที่ดี มีประโยชน์ เป็นคุณค่า มาอ้าง เพื่อให้ได้สมใจกิเลสที่ซ่อนแฝง ได้สิ่งนั้นมาเพื่อตน โดยไม่รู้ตัว ไม่รู้เจตนาลึกๆ ของตน และไม่รู้เท่าทันเสียงสองของตัวเอง ด้วยอำนาจเหตุผล จนคนอื่นต้องจำยอม
กราบเรียนถามพ่อครูว่า ลักษณะนี้เป็นการเบียดเบียนคนอื่นไหมครับ ? และจะมีวิธีปฏิบัติ จัดการกับกิเลสตัวนี้ของตนเองได้อย่างไร ? กราบขอบพระคุณพ่อครู ที่เมตตาตอบคำถาม กราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า…เด็กวัด ทำเพื่อละ สละเพื่อทำ น่าจะเป็นเพื่อธรรม..
ก็ต้องเรียนรู้ตัวเองต้องสำนึก อย่าคะนองด้วยอัตตาตัวเอง อย่าเอาแต่ใจตัวเองเอาแต่ความเชื่อตัวเอง สรุปแล้ว จึงจะอยู่ในหมู่อย่างสำราญ ต้องเป็นคนชนิดนี้ มีวิบากกรรมสิ่งที่มากวนตัวเอง ก็ต้องพยายามศึกษาตัวเองแล้วนึกดูให้ดี
ก็อ่านดูของพวกเราศึกษามา ฟังธรรมอาตมาแล้วเรียบเรียงมา ก็ช่วยให้อาตมาเบาลงบ้าง
เวทนาดอกเดียว ปลิดวิญญาณ
ในโยธาชีวสูตร เล่ม 21 ข้อ 181 บอกว่า นักรบอาชีพผู้ประกอบด้วยองค์ 4
1.อยู่ในสมรภูมิที่ดี(เป็นผู้สมาทานศีล)
2.ยิงลูกศรได้ไกล(เห็นรูปที่เป็นอดีตปัจจุบันและอนาคตทั้งภายนอกและภายใน หยาบ ละเอียด ใกล้หรือไกล)
3.ยิงไม่พลาด(เห็นแจ้งอาริยสัจ 4 นี้ ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรค)
4.ทำลายข้าศึกได้มาก(กองอวิชชาทั้งหลายพินาศไป)
นี่คือนักรบของพระพุทธเจ้า
จากฟังคำสอนของพ่อครูแล้วฝึกปฏิบัติธรรมให้ชัดเจนว่า เวทนาเป็นกรรมฐานของพุทธ (ที่เป็นกสิณ 40 นั้นไม่ใช่กรรมฐานของพุทธ) อรรถกถาจารย์ที่เป็นหลงกสิณ 40 เอามาปฏิบัติอยู่จึงยังมีความเป็นเทวนิยม ยังมีเชื้อของเดียรถีย์ ยังไม่ใช่ผู้ที่สมบูรณ์แบบ
กสิณ 40 อยู่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคของพุทธโฆษาจารย์ ที่สังคมชาวพุทธกระแสหลักใช้เรียนกันเป็นหลัก เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงกลายเป็นเดียรถีย์ออกนอกทางไปหมด เป็นกสิณที่เป็นสมถะ จึงขอเอาคำสอนของพ่อครู ที่อธิบายเป็นสภาวะเทียบเคียงจากพระไตรปิฎกมาทบทวนอีกครั้ง
มหานิทานสูตร ล.10 ข้อ 57
ท่านได้แจงเหตุปัจจัยปฏิจจสมุปบาทตลอดสาย ข้อ 58 ไล่เหตุปัจจัยของชรามรณะคือ ภพ ชาติ ชรา มรณะ หยุดไว้ที่เวทนา แล้วสรุปไว้ว่า เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย แห่งตัณหา คือ เวทนานั่นเอง
เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย ในความรู้สมัยใหม่เรียกว่า System analysis
มี Input process output outcome กับ impact
เหตุคือ input นิทานคือ process ออกมาเป็น output สมุทัย เป็น outcome คือสมุทัยปัจจัย แล้วมีผลคือ impact ความรู้ของพระพุทธเจ้ามีมาก่อนกว่า 2500 ปีมาแล้ว
ในอันนี้ก็หมายเหตุว่า เพราะเวทนาดับไป ตัณหาจะพึงปรากฏได้ไหม? ก็ชี้ให้เห็นว่าจะดับตัณหาต้องดับที่เวทนา คนที่ไม่มีผัสสะ ไม่มีเวทนาปฏิบัติ จะมีตัณหาที่ไหนมาให้ปฏิบัติ มีแต่ตัณหาปลอมๆ นั่งหลับตาแล้วเป็นตัณหาในความจำ ไม่ใช่ตัณหาจริง เป็นการเพ้อฝันเอาอดีตมาคิดเอาอนาคตมาคิด ก็ปั้นได้ อุปาทานได้ในภพจะคิดเอายังไงก็ได้ จะปั้นเป็นนางงาม จะเป็นผู้ร้าย จะเป็นพระเอกก็อยู่ในความคิด ไปทำทำไมเสียเวลา คนไม่รู้ก็เสียเวลาไป
ข้อ 59 เพราะอาศัยเวทนาจึงเกิดตัณหา จึงเกิดการแสวงหา ไปถึงเกิดเรื่องในการป้องกันแล้วสรุปว่า เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งการแสวงหาคือ ตัณหา ต้องมาจับตัวโจรได้คือตัณหานั่นเอง ข้อนี้แสดงความเกิดของ ตัณหา (กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา)
ดับตัณหาได้การแสวงหาก็ไม่เกิด การถือมีดถือไม้ทะเลาะกันก็ไม่มี ต้องดับเวทนาในส่วนที่เป็นตัณหา(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…พ่อครูได้อธิบายถึงปฏิจจสมุปบาท
ข้อ 60 ข้อนี้คือหัวใจของศาสนาพุทธ
ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
หมายความว่าเวทนามี 2 ทำให้รวมกันเป็นหนึ่ง โดยความรู้มีปัญญาว่ามันมี 2 เสมอ มีเวทนา 2 คือ 1 เวทนาแท้ กับ 2 เวทนาเก๊ ก็ดับเวทนาเก๊ ก็เหลือแต่เวทนาแท้ แล้วเราก็เรียนรู้แยกเวทนาแท้ คือเทวะนี่แหละ แยกจนกระทั่งรู้ว่าเทวะคือ มายาชนิดหนึ่ง คือความสุขความทุกข์ที่คนหลงผิด แล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ยึดติดในความสุขความทุกข์ จิตก็ไม่สุขไม่ทุกข์ คุณไปทำจิตในจิต มนสิกโรติ ให้ได้อย่างที่อาตมาว่า สัมผัสอะไรแล้วกระทบสัมผัสมันมีเวทนา เวทนาเก๊แทรกแซงในเวทนาแท้
สัมผัสทางตาเห็นมะเขือเทศ สีแดง ปรุงแต่งเป็นอร่อยน่ากินน่ากิน กิเลสขึ้นไป แต่ถ้าดูตามจริงมันก็เป็นมะเขือเทศสีแดงดูดี เห็นความจริงตามความเป็นจริงหนึ่งเดียว ก็จบ แต่ทีนี้คุณก็ยังไม่ได้ปรินิพพาน เป็นปริโยสาน ถ้าคุณทำใจถาวรเลยสัมผัสอะไรก็ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่มีเวทนาเก๊ เวทนา1 ที่เกิดอยู่ก็รู้ว่าเท่านั้นตามความเป็นจริง คุณก็อยู่กับมันไป จนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้วจะตายสูญ เพราะแยกธาตุเป็นอุตุธาตุ ไม่เป็นแม้แต่ พีชธาตุ จิตไม่ต้องพูดถึง ศาสนาพุทธแยกจิตนิยามได้ เราหักเรือนยอด ที่จริงมันเป็นตัวมารพระพุทธเจ้ารู้ทันว่ามารมันแปลงมาเป็น เทวปุตมาร เป็นเทวดาหลอกที่แท้มันคือมารใหญ่เลย เราหักเรือนยอดของท่านแล้ว หมดไม่มีอะไรเหลือ อย่างนี้เป็นต้น
เขาเขียนต่อว่า…
1.เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเป็นเวทนา หากดับผัสสะได้เวทนาก็ไม่เกิดมันซ้อนหากคนพาซื่อจะไปดับผัสสะ ดับเวทนาคือดับความรู้สึกไปหมดเลย แต่ความจริงไม่ใช่ ผัสสะมี แต่คุณดับส่วนที่ผัสสะแล้วเกิดเวทนา มันเกิดคู่กัน ผัสสะก็เกิดกิเลส เวทนาก็เกิดกิเลส คุณต้องทำให้มันดับไม่ปรากฎ เพราะนามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ นี่แหละตัวสำคัญ
เพราะผู้นี้ เข้าใจว่าปฏิบัติธรรมต้องมีนามรูป ทำไมท่านไม่เรียกรูปนาม ทำไมเรียกนามรูป เพราะเมื่อมีผัสสะมีเวทนา นามมันก็จะเกิด แล้วเราก็จะมีสัญญากำหนดตามรู้รูปภายใน
จิต เจตสิก รูป แล้วก็เรียนรู้รูปตัวนี้ กิเลสตัวนี้ จัดการกิเลสก็เป็นนิพพาน
อภิธรรมทำไมเอารูปมาไว้ภายใน จิต เจตสิก รูป นิพพาน ก็จะไม่สับสนจะเข้าใจทำไมต้องเรียงพยัญชนะอย่างนี้ ก็เพราะเหตุนี้
เพราะนามรูป เป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ หากไม่มี อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ผัสสะก็ปรากฏไม่ได้ ถ้าไม่มีอาการ เพศ นิมิต อุเทส เมื่อไม่มีผัสสะ อาการก็ไม่มี เพศหรือลิงคก็ไม่ปรากฎ
เพศคือความแตกต่างกัน เพศ ก็มีเพศชาย เพศหญิง อิตถีลิงค์ ปุงลิงค์เป็นต้น แต่ไม่มีผัสสะก็เรียนรู้ไม่ได้
เมื่อมีวิญญาณจึงเกิดนามรูป วิญญาณมีเจตสิก 3 คือ เวทนา สัญญา สังขาร
สังขารจะต้องมี 2 ขึ้นไป ซึ่งไม่ใช่มีแค่ 2 เท่านั้น แต่จริงๆแล้วมันก็จะปรุงแต่งเร็วมากกว่า 2 ก็ได้ แต่คุณรู้ไม่ทัน ไม่ใช่คุณรู้ไม่ทัน แต่มันจับได้ทีละ 2 อย่าง มากกว่านั้นก็รู้ไม่ทันไม่ได้ต้องรู้ทีละ 2 ไม่เช่นนั้นมันมากกว่า 2 เป็น 4 เป็น 6 จะไปจัดการอย่างไร ต้องดูทีละ 2
สังขารจะต้อง 2 คือ มีเวทนา มีผัสสะ หากวิญญาณไม่หยั่งลงไม่มีเวทนา นามรูปจะขาดความสืบต่อลงทันที
อันนี้เป็นสิ่งที่เขาเข้าใจได้ยาก
วิญญาณไม่หยั่งลง แม้จะเป็นวิญญาณในนามธรรม ท่านใช้คำว่าวิญญาณจะหยั่งลงสู่ครรภ์
ครรภ์คือ ห้อง คือห้องมดลูกที่ท้อง หรือที่จะทำให้ชีวิตเกิด มีสัตว์ที่อาศัยมดลูกหรืออาศัยไข่ หรืออาศ้ยการแตกตัว หรือที่สุดสัตว์โอปปาติกะ
สัตว์โอปปาติกะคือ วิญญาณที่หยั่งลงสู่ครรภ์
วิญญาณหยั่งลงของสัตว์โอปปาติกะคือธาตุรู้ คือนามธรรมของจิตเจตสิก อันนี้เข้าใจไม่ง่ายเลย มักจะนึกไปถึงตัวคนตัวสัตว์ จะมีวิญญาณเข้าไปจุติเป็นลูกของใครก็แล้วแต่ มันก็ไม่ผิด แต่ศึกษาแบบนั้นก็ธรรมดา ไปแก้ไขอะไรไม่ได้ เมื่อมีเชื้อกับไข่ไม่ผสมกันไม่สมสู่กันมันก็ไม่เกิดแล้ว แต่วิญญาณหรือธาตุรู้ อันนี้แหละต้องแยกอย่าให้สังขารอย่าให้ปรุงแต่ง ซึ่งเป็นความสามารถอันลึกซึ้งยิ่งใหญ่
เวลาคุณสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย โดยสัญชาตญาณของผู้ที่ไม่ศึกษาก็ปรุงแต่งปุ๊บ ผสมพันธุ์กันเสร็จเป็นสังขารที่มีวิญญาณของผี วิญญาณของกิเลสผสมพันธุ์กันอยู่ในนั้นเสร็จเลย ทุกคนที่ไม่ได้ศึกษาทุกคนไม่ได้ฝึก มีอวิชชา ไม่มีทางที่จะไปห้ามมันได้ คนที่ไม่รู้ธรรมะพระพุทธเจ้าจึงไม่มีทางที่จะปฏิบัติได้ หรือว่าเรียนอย่างผิดอย่างมิจฉาทิฏฐิไม่เข้าใจการจับอาการจิตตัวนี้ จับหทยรูปได้ อย่าให้มันเป็นชีวะในรูป 28
หากคุณปฏิบัติแล้วต้องสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีโคจรรูป วิสยรูปตัดแล้วเกิดเป็น ภาวรูป2 คืออิตถีภาวะ ปุริสภาวะ หากจับได้ก็รู้จักหทยรูป รู้จักชีวิต มันมีอินทรีย์ มันมีพลัง มันมีแรงของการเกิด
การเกิดของมาร การเกิดของกิเลส ของตัวผีร้าย คุณก็ต้องเห็นและแยกรูปนี้ให้ได้ สิ่งไหนที่จะมีอะไรเป็นเหตุปัจจัยคืออาหาร อาหารรูป ตั้งแต่กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร
โดยเฉพาะ อาหารการกินคือคำข้าวกวฬิงการาหาร อาหารการกินเลี้ยงชีวิต คนทุกคนต้องกิน แม้จะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้วก็ต้องกิน เรื่องนี้เป็นเหตุปัจจัยให้ปฏิบัติอย่างไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย คุณต้องกินอาหารอยู่แล้ว จะรู้ได้จากอาหารรูปนี้
อาหารรูปเสร็จคุณรู้แล้วคุณก็จะรู้จัก ปริเฉทรูป คือจัดกรอบของการปฏิบัติ ปริเฉทรูปต้องกำหนดกรอบในการปฏิบัติ หากไปคว้าอะไรมาทำหมดก็ไม่ได้
หากจะรู้ไปหมดหลายอย่าง รูปต้องรู้อันนี้เสียงก็จะรู้กลิ่นก็จะรู้ก็รู้ไม่ไหว ต้องจะตอบให้มันชัดคม จึงจะพิจารณากระบวนการ ตากระทบรูปเกิดกิเลสอย่างไรก็จัดการปริเฉทรูป เมื่อจัดการได้ก็จะควบคุมได้
ปริเฉทรูป จะมีวิการรูป ซึ่งจะมี 5 มีวิญญัติรูป 2
แต่ว่าตัวสำคัญคือจัดการวิการรูป ส่วนวิญญัติ 2 คือ กายวิญญัติ กับ วจีวิญญัติ วิญญัติคือการเคลื่อนไหว มันต้องมีการเคลื่อนไหว หากไม่มีการเคลื่อนมันก็จะไม่สามารถศึกษามันได้มันจะไม่สามารถรู้ได้ คุณต้องมีสิ่งเหล่านี้ แล้วจะเกิดอาการทางเวทนาให้ศึกษา
การไปนั่งปฏิบัติหลับตาอยู่ในภพ ยิ่งพูดยิ่งชัด มันโมฆะจากศาสนาพุทธอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ พันเปอร์เซ็นต์ ล้านเปอร์เซ็นต์ เป็นพวกที่ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวันเย็นก็ไม่ตาย
แต่เราเข้าใจสัจธรรมแล้วก็จะรู้ ก็มันน่ากลัว พระพุทธเจ้าสั่งให้ฆ่า ฟังแล้วน่ากลัวนะ คนที่พระพุทธเจ้าสั่งให้ฆ่ามันจะเป็นยังไง
วิการรูป มี 5 ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา กายวิญญัติ วจีวิญญัติ
ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา คือการจัดการรูปได้อย่างดี อะไรที่ วิ คือ ไม่ กับ อย่างยิ่ง
วิการ คืออย่างหนึ่งคือฆ่าผีร้ายเลย พอฆ่าตายแล้วเกิดเป็นเทพบุตรสุดยอด
จิตที่สะอาดจึงมี ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา
ลหุตา คือ เบา มุทุ คือ จิตไว หัวอ่อน ไม่กระด้าง จะปรับ ทางเจโตก็ปรับได้ไว ปัญญาปฏิภาณรู้ทันรู้เร็ว แล้วจิตที่ดีสามารถกำหนดทำให้เบาขนาดนี้ จิตเราเร็วไว้ทำงานได้ขนาดนี้จึงเป็นคุณสมบัติของกัมมัญญตา การงานที่คุมด้วยอัญญะ ควบคุมด้วยจิต อัญญธาตุ ปัญญาที่วิเศษ เป็นกัมมัญญตา เป็นสภาวะที่เหมาะควรแก่การงาน ทำการงานได้ดีที่สุด เพราะว่าจัดการได้ดีแล้ว จะทำการงานได้ดี เพราะว่าสามารถควบคุมจิตของเรา จะทำให้แรงให้เบาเท่าไหร่ก็ได้ แล้วแต่เจตนาจะทำให้เบา อย่าให้มันแรง จนกระทั่งเบียดเบียนจนกระทั่งไปทำร้ายทำลายไปทำความเสียให้มันเกิด จะต้องให้มันได้คุณค่าประโยชน์ แรงก็ต้องให้แรงอย่างได้ขนาดมีคุณค่าประโยชน์ จึงใช้คำว่า ลหุตา เป็นตัวกำหนด ส่วน มุทุตาคือ ปรับได้อย่างดี
สุดท้าย จิตลักขณรูป 4 เป็นตัวจบของจิต ผู้ที่เป็นอรหันต์นี้จะรู้จักลักษณะทั้ง 4 นี้
คือ 1.อุปจยะ 2.สันตติ 3.ชรตา 4.อนิจจตา
อุปจยะ คือ จิตเกิด พระอรหันต์จะรู้จักอย่างดี ท่านจะทำให้เกิดอย่างควบคุมได้ ไม่ให้เกิด ไม่ให้ต่อความเกิดสันตติ
สันตติ คือ การสืบต่อ ให้มันเกิด ถ้าไม่เป็นพระอรหันต์ การสืบต่อที่จะไม่เจริญ เป็นอกุศลสืบต่อ คุณต้องตัดตัวนี้ก่อน แต่ลักขณรูปที่สมบูรณ์แล้ว จะให้เกิดก็ได้ จะให้ต่อหรือถ้าไม่ต่อก็ได้ พระอรหันต์ จะทำให้เกิดแต่จิตที่ดี หรือจิตที่ไม่มีบาป แต่ถ้ายังมีบาปอยู่คุณก็ต้องกำจัดทำบุญคือกำจัดกิเลส ก็ต้องเอาพลังงานมาทำ ฌาน ทำสำเร็จเรียกว่าได้เป็นพลังงานบุญของเรา
บุญ เป็นอาวุธกำจัดกิเลส แต่ทางโน้นเขาไม่ได้สอนกับแบบนี้เขาก็จะยาก ถึงบอกว่าน่าสงสารที่สวนกัน เขาไม่เข้าใจ ไม่มีเครื่องมือประหารกิเลส คุณก็เข้าใจบุญเป็นกุศลทั้งหมดเลย เครื่องประหารกิเลสคุณหายไปหมดเลย ศาสนาพุทธทุกวันนี้ แล้วคุณจะไปฆ่ากิเลสได้อย่างไร หากไปเข้าใจบุญที่เป็นเครื่องมือประหารกิเลสกลายเป็นกุศลอีก ก็เท่ากับคุณไปจับโจร แล้วคุณก็เอาปืนเอามีดไปให้โจร คุณเอาอาวุธที่จะประหารโจรไปให้โจรอีก ก็เจ๊งสิ
ศาสนาพุทธที่มันผิดแล้วน่าสงสารจริงๆ สุดท้ายก็เหลือ ชรตา อนิจจตา ที่เป็นธรรมชาติ ถ้าสมมุติว่าเราไม่ต่อ ธาตุที่เหลือมันก็จะค่อยๆหายไปเองถ้ายังมีเชื้อที่เหลือ ถ้ายังไม่มีธาตุเชื้อที่เหลือเป็นพระอรหันต์ที่เด็ดขาดได้ก็จะจบเลย ไม่มี ชรตา อนิจจตา ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เที่ยงเลยจบตัด ไม่ชรา ไม่ชะลอเลยตัดจบ แต่ผู้ยังเป็นเชื้ออนาคามีอยู่ตายแล้วก็ยังต้องมีเชื้อต่อ ชรตา เสื่อมไปอีก ระวังนะอย่าให้มันฟื้น อนิจจตา หากเป็นพระอนาคามี เป็นพระอนาคามีเต็มตัวแน่นอนก็จะไม่ต่อแล้ว ตายตรงนั้นก็จะไปอยู่ที่สุทธาวาส 5
นิมนต์พ่อครูพักสักครู่
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…
พ่อครูว่า…หากวิญญาณไม่หยั่งลง ไม่มีผัสสะไม่มีเวทนา นามรูปก็จะขาดความสืบต่อลงทันที
แต่ละคำนี้หากไม่ศึกษาไม่รู้จักสภาวะธรรมเลยมันก็จะไม่สนุก มันก็จะ เลื่อนเปื้อนไปจะเมาเอา แต่ผู้ที่ศึกษาให้ดี จะเข้าใจเลย
อาตมาอธิบายไปไม่เสียผล ผู้ฟังเข้าใจ แต่หากอธิบายแล้วผู้ฟังไม่เข้าใจเลย มันเหมือนเทศน์ให้ต้นเสาฟังก็ไม่เข้าท่า นี่ยังดีมีคนฟังรู้เรื่อง คนที่ฟังไม่รู้เรื่องก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
นามรูป จะสลับไปสลับมา รูปที่เราจัดการ มีตั้งแต่ดินน้ำไฟลมภายนอก เป็นเหตุปัจจัยเข้ามาปรุงแต่งกันอยู่ภายใน แล้วเราก็มาหาภายในก็คือตัวนาม สิ่งที่ถูกรู้ภายในเรียกมันว่า รูป สิ่งที่ถูกรู้คือรูป นามที่ไปรู้ซ้อนคือนามที่ลึกเข้าไปอีก เป็นภูมิธรรมปัญญาธาตุรู้ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ก็สลับไปสลับมา ก็ไปเป็นตัวใหม่ ตัวที่ถูกรู้แล้วก็เจริญพัฒนาขึ้นมาเราก็ไปเป็นตัวรู้ขึ้นมาใหม่อีก นามจะไปรู้ตัวใหม่อีก ตัวใหม่ที่ถูกรู้มันก็จะเป็นรูปอีก ไปเรื่อยๆสลับไปสลับมา ลักษณะพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะรู้กันได้ง่ายๆไม่เข้าใจกันได้ง่ายๆ
อาตมาอธิบายในหนังสือ “คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก” การสลับ รูปเป็นนาม นามเป็นรูป คนตามได้ยาก แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมมันต้องเขียนต้องอธิบาย อธิบายไปถึงตรงนี้ก็แล้วแต่ภูมิ หลายคนหาว่าอาตมาผิด นามก็นามสิ รูปก็รูปสิ นามจะกลายเป็นรูปได้อย่างไร เขาเข้าใจไม่ได้
หากวิญญาณไม่ปรากฏไม่มีนามรูปให้ศึกษา ชาติ ชรา มรณะ ก็ไม่ปรากฏ
วิญญาณแยกเป็น เวทนา สัญญา สังขาร อวิชชาจะไม่รู้จักสังขาร ไม่รู้จักการปรุงแต่ง จริงๆแล้วสังขารที่ปรุงแต่งกันอยู่นั่นแหละคือตัวเวทนา
ตัวสังขารที่ปรุงแต่งกันอยู่ รวมแล้วเป็นผี หรือเป็นเทวดาหลอก
เป็นเวทนาผีหรือเวทนาหลอก นี่หมายถึงสภาวะนะ ปรุงแต่งเป็นเทวดา เป็นเทพปุตมารมาหลอกเรา คุณต้องจับตัวนี้ให้ได้ หากคุณจับไม่ได้มันก็กินไปเรื่อยๆมันก็หลอกคุณว่าเป็นเทวดา แต่ถ้าคุณสามารถจับได้ เอ็ง จริงๆ มันสองตัวหลอกเรา เอาหน้าเทวดามาหลอก แต่เราก็จับสภาพมารในตัวเวทนาได้ เป็นสองในหนึ่ง ฆ่าตัวมารให้ได้ แล้วก็หมดทุกข์
หมดทุกข์เหลือ1 คุณก็จะติดเป็นเทวดา แม้จะเป็นเทวดาที่สะอาดจากกิเลสแล้ว เป็นวิสุทธิเทพก็ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตนไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเทวนิยม เป็นสุขสวรรค์ เป็นพระเจ้า
คนไม่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าก็ไม่รู้ว่าต้องดับทั้งสุขและทุกข์ เขาจะดับแต่ทุกข์ แล้วเขาหลง เขาไม่รู้ว่าสุขทุกข์คือตัวเดียวกัน ศาสนาพุทธจึงแยกกันไม่ได้ ต้องดับทั้ง 2 อย่างคือสุขและทุกข์
สมณะฟ้าไทว่า…ทุกข์คือสิ่งที่เจริญตาเจริญใจในโลกนั่นแหละ แสดงว่ามันคือสุขนั่นแหละ
พ่อครูว่า…ต้องแยกนามแยกรูปให้ได้ แยกทุกข์แยกสุขให้ได้ แล้วทำกันให้ถูก จิตที่ถูกรู้คือกิเลสถูกทำลายไป ก็เหลือติด จิตสะอาดต้องรู้ให้ได้ว่าคือธาตุรู้ที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง
หากคุณกระทบสัมผัสอยู่ก็รู้เท่าที่มันกระทบสัมผัสและคุณก็จะรู้ ยาวไปเป็นชั่วโมงจะบ้าหรือ มันไม่เที่ยงอยู่แล้วมันก็เปลี่ยนไป จะเห็นได้ว่ามันไม่เที่ยงหรอก มันเป็นธาตุรู้เป็นสัญญากำหนดใหม่ให้เรารู้ รู้ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็ให้เรารู้ ว่าในโลกนี้ เรามีสิ่งที่มี แล้วสิ่งที่มีเป็นโลกสมุทัยยังมีกิเลสอยู่ หรือเป็นโลกนิโรธ โลกที่ดับกิเลสหมดแล้ว
พระไตรปิฎกล. 16 ข. [43]
สรุปจะดับตัณหาดับที่เวทนา
จะให้ไม่มีอาการต้องทำให้วิญญาณไม่หยั่งลง ต้องทำให้นามรูปไม่มี วิญญาณไม่หยั่งลงก็ไม่มีอะไรเกิด ในปรมัตถ์ในภาษาจิตของเราก็ว่างจากกิเลส อะไรเกิด ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ
-
จิตวิญญาณที่เป็นปฏิจจสมุปบาท ต้องเรียนนามรูป ต้องมีการกระทบ จึงเกิดผัสสะ เวทนา ในเวทนามีตัณหา อุปาทาน