630202_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เวทนาดอกเดียวปลิดวิญญาณ ตอนที่ 2
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1FeTGwa5dFHmxUnN-KX8EO8wolf76YllxtX5bJ7WgTUQ/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1dNzSesh53KMxJbXK7COUPXH9kkE6kU9p
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันตัวเลขดี วันที่ 2 เดือน 2 ปี 2020 งานพุทธาฯปีนี้ เราเริ่มต้นด้วยวันความรักของพระพุทธเจ้า วันมาฆบูชา เป็นความรักต่อมวลมนุษยชาติ ส่วนวันสุดท้ายของงานเป็นวันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นวันแห่งความรักของนักบุญ เป็นภาวะ 2 ให้ศึกษาความลึกซึ้ง หากมีอย่างเดียวก็ไม่ได้เรียนรู้ความลึกซึ้ง ต้องมีการเปรียบเทียบ
พ่อครูว่า…ต่อนิดหนึ่ง อาตมาทำงานมาเกือบ 50 ปีแล้ว 6 พ.ย.นี้ก็จะเต็ม 50 ปี ก็รู้สึกชีวิตเราได้ทำประโยชน์คุณค่า เราเป็นคนที่มีชีวิตทางโลกถือว่าเป็นคนไม่มีในสิ่งที่ชาวโลกเขามีกัน อย่างน้อยวุฒิปริญญาตรี หรือว่าฐานะดีร่ำรวยอะไรต่างๆนานา มีเกียรติยศ มีศักดิ์ฐานะ จน สร้างบ้านด้วยตัวเอง เกลือเม็ดเดียวก็ซื้อเข้าบ้าน ทุกอย่างซื้อเข้าบ้าน หม้อไหจานชามก็ซื้อจากการประมูล เขาเลหลังขายของที่หลวงรักษา ที่บางลำพู ก็ทำไปจนกระทั่งมีฐานะพอสมควร ขี่รถแอร์คนแรกในประเทศไทยเลยนะ อาตมาซื้อฟอร์ดคอร์แซร์ เป็นรถเขา Demonstration เริ่มมีแอร์ เขาไม่ได้ติดมาในรถนะ ยังไม่เรียบร้อย เอามาดัดแปลงใส่เข้าไป เสร็จแล้ว Dynamo ชาร์จไฟไม่ค่อยเก่ง มันพาไปตาย ก็ต้องไปเข็นกันต่อหน้าธารกำนัล ที่พูดนี้เรื่องจริง ต่อมารถยนต์ก็ติดแอร์มาในตัวเสร็จ หากรถไม่มีแอร์ก็แปลก นี่รถเก๋งก่อนนะที่ติดแอร์
จนมาทุกวันนี้เห็นว่าเราเองมีชีวิตที่มีค่าที่ได้ออกมาจากโลกบ้าบอแย่งชิงอวดอ้างลาภยศสรรเสริญ ก็รู้สึกละอาย แต่ก่อนนี้เท่ โก้ มีหน้ามีตา แต่พอรู้ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องน่าอาย อะไรวะ นั่นคือความไม่รู้ของเราแต่ก่อน โง่เง่าทางโลกีย์ชัดๆ ลาภยศ เสนอหน้าอวดอ้าง ทีนี้โง่เง่าอีกทางหนึ่ง โง่เง่าทางเป็นเดียรถีย์ออกไปผิดทางมิจฉาทิฏฐิ ไปเข้าใจสุดโต่งหนัก ทุกวันนี้อาการเขายังหนักยังหลงยึด ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คุหัฏฐกสุตตนิทเทส เรื่องไกลจากวิเวก
กายวิเวกเขาก็เอาร่างกายออกไปจากสังคมไปอยู่ป่าเขาถ้ำ อยู่เดี่ยวก็ไกลจากสัมผัส ก็ยิ่งเหมือนวัวถูกลอกหนัง ไม่มีหนัง พระพุทธเจ้าท่านตรัสเป็นอุทาหรณ์ ไม่มีสัมผัส แต่ยิ่งสัมผัสด้วยความทุกข์ด้วยความแสบเผ็ดร้อน คุณก็ยิ่งจมอยู่ในความทุกข์แสบเผ็ดร้อนของโลก ทีนี้คิดดูว่าต้องถูกอะไรมาสัมผัส กับอากาศกับอะไรต่างๆ มันจะแสบขนาดไหน อุทธาหรณ์ของพระพุทธเจ้าอีกสุดยอด นั่นก็คือพ่อแม่ลูกเดินไปในทางไกลกันดาร ฆ่าลูกกินแต่ก็บอกว่าลูกฉันไปไหนลูกที่น่ารักไปไหน ฟังแล้วแต่ก่อนอาตมาก็ยังไม่ได้รู้ซาบซึ้ง แต่เดี๋ยวนี้โอ้โห แค่ปุตตมังสสสูตร 4 ข้อนี้
กามฉันทะ คือข้อแรกที่กินเนื้อบุตร
ข้อที่ 2 เวทนา ไม่รู้จักเวทนาไม่รู้จักผัสสะก็ไม่ได้อ่านอาการอารมณ์ความรู้สึก
ข้อที่ 3 ไม่รู้จักเจตนา เมื่อมันไม่มีผัสสะคุณก็ไม่มีทางค้นหา ก็ไม่รู้จักเจตนา ก็เหมือนคนดื้อด้าน วิ่งลงนรกอเวจี คนก็ช่วยกันดึงขึ้นมา เขาก็วิ่งลงๆอยู่นั่นแหละ มันสุดยอดอุทธาหรณ์
ข้อที่ 4 อันสุดท้าย เป็นไอ้โจรใหญ่ ร้ายกาจ พระราชาบอกให้เอาไปประหาร เอาไปฆ่าเช้าด้วยหอกร้อยเล่มก็ไม่ตาย เอาไปฆ่าอีกกลางวันด้วยหอกร้อยเล่มอีก เย็นพระราชาเจอพนักงานก็ถามอีกว่าตายเรียบร้อยแล้วหรือ? ก็ยังอีก ก็เอาไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มอีก พรุ่งนี้เช้ากลางวันเย็นก็ถามอีก ก็ฆ่าด้วยหอกอีก 600 เล่ม 900 เล่ม 1200 เล่มก็ยังอยู่เลย ทำไม ยึดมั่นถือมั่นอยู่อย่างนั้น มิน่าถึงชื่อ อ.มั่น ยึดมั่นถือมั่นขนาดหนักกันจริง ลูกศิษย์ลูกหาก็ยึดมั่นถือมั่น ไม่ต้องพูดถึงธัมมชโย ตาบอดตาใส หลอกโลกเขาอีกว่าตัวเองตาดี ซ้อนไปอีกไปใหญ่เลย นี่คือสัจธรรมที่เมื่อเข้าใจได้รู้ได้เห็นแล้วจึงเห็นว่า พระพุทธเจ้านี้สุดยอดจริงๆ
เราเกิดมาเป็นคนก็ได้ศึกษาความรู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พากเพียรไปให้สูงสุด ปางนี้เป็นโพธิสัตว์ปาง 7 ไม่ผิดทางยังไงๆก็สู้ตาย ไม่บรรลุ ก็ทะลุกันไปเลย เพราะว่ามันสุดยอดจริงๆ มันยิ่งเห็นยิ่งลึกซึ้งสุดยอด ในความรู้ของความเป็นมนุษย์ รู้โลกรู้อัตตา รู้ความเป็นธรรมมะ สุดยอด
_SMS วันที่ 31 ม.ค. 2563 (พุทธศาสนาคามภูมิ พ่อครู : บ้านราช)
_พันธุ์ พอเพียง : แม่บ้านบอกว่า ถ้าผมมางานพุทธา แบบมาคนเดียวจะให้นั่งรถทัวร์มา และอยู่ได้ ตลอดงาน แต่ถ้ามาเป็นทีม จะให้ช่วยขับรถ และมาได้แค่ 4 วัน ให้เลือกเอา ผมเลือกแบบมาเป็นทีมครับ เพื่อให้ญาติธรรมใหม่ๆได้มาสัมผัสชาวอโศกหนะครับกราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า…อย่างนี้แหละน่าอนุโมทนาสาธุ
_จิตรา อัศวิน : กราบ_/\_นมสก พ่อครู ที่เคารพยิ่ง ขอโอกาสโปรดสาธยายเรื่อง อวินิโภครูป(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) เกี่ยวเนื่องอย่างไรกับรูป๒๘ เจ้าคะ กราบขอบพระคุณยิ่งเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…อาตมาต้องอาศัยสื่อที่มี จำไม่ได้ เอาต้นทางมาที่มีพยัญชนะ พอสัมผัสพยัญชนะก็จะรู้ได้ เพราะการแปลสภาวะเป็นพยัญชนะต่อพยัญชนะ ทุกวันนี้เขาแปลกันผิดเพี้ยนไปจากสภาวะไปเรื่อยๆ อาตมาก็ใช้ตำราเดียวกันมาช่วย ก็จากบันทึก
( ลองค้นดูนะครับ …จาก เว็บไซท์ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี )
อวินิพโภครูป อ (น นิบาต ไม่) วิส (แยก แบ่ง ส่วนๆ) +นิพโภค (เป็นไป) +รูป หมายถึงรูปที่แยกกันไม่ได้ ในทางพระพุทธศาสนา ถือว่า รูปธาตุในโลกนี้จะต้องมี อวินิพโภครูปเป็นส่วนประกอบ รูปธาตุที่ใหญ่กว่าหรือมีองค์ประกอบร่วมกันของอวินิพโภครูป จะเรียกว่า วินิพโภครูป แปลว่ารูปที่แบ่งแยกได้ รูปทั้ง 8 จะต้องอยู่ร่วมกัน ต่างรูป ต่างอยู่เป็นไม่มีเลย หรือ มีอีกชื่อว่า สุทธัฏฐกลาป
องค์ประกอบ
-
ปฐวี (ดิน)
-
อาโป (น้ำ)
-
วาโย (ลม)
-
เตโช (ไฟ)
-
วัณณะ (สี)
-
คันธะ (กลิ่น)
-
รสะ (รส)
-
โอชา (อาหารรูป)
อวินิพโภครูป เป็น 8 ในรูป 28 แบ่งเป็นสภาวะรูป18 เป็นรูปที่ลักษณะเฉพาะ คือ อวินิพโภครูป8 ปสาทรูป 5 ภาวรูป 2 หทยรูป 1 ชิวิตินทริยรูป 1 สัททรูป 1 อสภาวรูป เป็นรูปที่ไม่มีลักษณะเฉพาะ 10 คือ วิการรูป 3 วิญญัติรูป 2 ปริจเฉทรูป 1 ลักขณรูป 4
พ่อครูว่า…ผู้ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็นรูป 28 แล้วสามารถมีปัญญามีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์
ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ คือ ธาตุรู้ของตัวเอง ที่มันมีประสิทธิภาพอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ธรรมวิจัย ที่เป็นโพชฌงค์เป็นองค์แห่งความตรัสรู้ สามารถที่จะ รู้แยกรู้เลยว่าความเป็นภาวะ 28 เป็นอย่างไรแล้วปฏิบัติ
ในรูป 28 คือลักษณะของจิตวิญญาณ ในมิติต่างๆ แง่เชิงต่างๆ ความเป็นจิตมันมีวิจิตรพิสดารต่างๆมากมาย จะสามารถแยกรู้สิ่งเหล่านี้ในวิญญาณ วิญญาณคือภาษารวมของธาตุรู้ทั้งหมด แล้วแยกแยะได้เป็น 28
นาม เป็นประธานของจิตเราที่จะแยกรู้รูป 28 ได้
เสร็จแล้วก็จัดการทำได้ แยกได้ก็จะแยกละเอียดว่า ตัวไหนเป็นโทษตัวไหนเป็นคุณ ตัวไหนเป็นกิเลส ตัวไหนไม่ใช่กิเลส
ก็ดับเฉพาะกิเลส ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วดับจิตไปทั้งยวง ไม่ให้รู้อะไรเลยก็เลยเป็นวิธีทำลายจิต ให้มันโง่หนักเข้าไปอีก ให้ไม่มีธาตุรู้ ให้ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีมุทุภูตธาตุเร็วไว ดับไปหมด ตรงกันข้ามกับของพระพุทธเจ้าเลยที่นั่งหลับตาสะกดจิตกันเนี่ย ก็เลยไปกันใหญ่ ก็เลยไปคิดฟุ้งซ่านปรุงแต่งเรื่องในภพชาติเอง เหมือนอย่างอาจารย์มั่น มีเรื่องราวสนุกสนาน เป็นนิยาย ถ่ายเป็นหนังสนุกสนานมากเลย แล้ววิญญาณอาจารย์มั่นนี้ยิ่งใหญ่นะ พูดกันพวกพนักงานยมทูตเสร็จแล้วพญายมราชยังมากราบพระอาจารย์มั่นเลย โอ้โห เข้าใจช่างนิยายยกฐานะของอาจารย์มั่น ก็วิจัยวิจารณ์ให้ฟังนะ
สิ่งเหล่านั้นเป็นการเพ้อพก แม้แต่คุณอุปาทานว่ายังมีนรกสวรรค์ มีจริงๆอย่างที่อาจารย์มั่นมีเพราะเป็นคนอวิชชามีเต็มไปหมด สิ่งที่มีนั้นมีสำหรับคนที่อวิชชา สำหรับคนที่หมดอวิชชาแล้วสิ่งทั้งๆหลายนั้นไม่มี จึงเลิกความมีได้
กายสเภทา ตายกายแตกก็เลิกจิตวิญญาณเป็นอุตุธาตุ เป็นดินน้ำไฟลมได้ นี่คือปรินิพพานเป็นปริโยสานของพระพุทธเจ้า
การศึกษาจึงไม่ต้องหลับตาต้องมีสิ่งที่ให้ศึกษา ไปหลับตาไม่มีรูปนามให้ศึกษา
เหมือนคนถูกหอก 300 เล่มจะสะกิดผิวเขาหรือไม่นะ เข้าใจอุทธาหรณ์ของพระพุทธเจ้าไหม มันลึกซึ้งสุดยอดเลย
คนหลงอยู่นี่ แม้แต่ปฏิบัติแค่กายวิเวกก็ไปกันใหญ่ หากไปหนีเข้าป่า มีสูตรนี้บอกไว้
ดูกรภิกษุ อัญญเดียรถีย์จะบัญญัติความสงัดไว้ 3อย่าง
-
สงัดจากกิเลสเพราะจีวร 2. สงัดจากกิเลสเพราะบิณฑบาต 3. สงัดจากกิเลสเพราะเสนาสนะ
สงัด คือ จิตของท่านไม่มีกิเลส ทั้งๆที่ในขณะนั้นยังอยู่กับจีวร มีการบิณฑบาตเลี้ยงชีพ ฉันอาหาร อยู่ในพื้นที่สถานที่ต่างๆ ทั้ง 3 อย่างเลยยังมีอยู่พร้อม แต่จิตเท่านั้น ไม่ใช่สงัดเพราะเอาจีวรเก่าๆขาดๆมาใส่ หากไม่ใส่ก็เป็นโป๊ไป
ในบิณฑบาต อาหาร ก็อย่าไปติดในอาหาร กินอาหารอย่างที่เรียกว่าทำให้สุขภาพร่างกายเสีย เป็นอาหารไม่เป็นอาหารดี ดีไม่ดีกินเศษอาหารเขาทิ้ง สำหรับเดียรถีย์ ที่อยู่อาศัยก็ไม่เอาก็เตล็ดเตร่ไปต่างๆนานา ไม่มีที่พักอาศัย ส่วนศาสนาพุทธไปออกจากเรือนบวช ก็ไปอยู่กับหมู่สงฆ์ ไม่ใช่ว่าไม่มีมิตรดีสหายดี ไม่มีเสนาสนะทีพออาศัย ของพระพุทธเจ้าก็มีวัดวาเยอะแยะคนเขาก็ช่างให้ ก็มีที่พักเป็นธรรมชาติแต่เราไม่ติดที่ แต่ก็อยู่ได้ ดีไม่ดีไปเตร็ดเตร่มากไป ไปเหยียบข้าวเขาที่ทำไร่ ถึงเวลาเข้าพรรษาเขาทำนาก็ให้อยู่ในที่จำพรรษา เป็นความสลับซับซ้อนลึกซึ้งมากเลยสำหรับคำสอนพระพุทธเจ้า
จับเป้าถึงตัวจิตเจตสิกต่างๆ โดยที่ต้องรู้ต้องล้างกิเลสตัวผีร้ายเอากิเลสออกให้ได้ เขาก็ไม่ค่อยชัดเจนกัน
อย่างอาจารย์สุจินต์ บริหารวรรณเขต ใครมาถามก็จะถามกลับว่าเป็นธรรมะหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ธรรมะไม่ตอบ เคร่งครัดเลยนะ ทุกวันนี้แก่กว่าอาตมา แต่ก็ทาปากสวย เป็นอาจารย์ทางพระอภิธรรม อายุแก่กว่าอาตมา สอนที่บ้านธรรมะ มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ พิมพ์หนังสือเยอะ โทรทัศน์ก็ออกของทางรัฐบาล หรือทางรัฐสภา เป็นคนเรียบร้อยมาก ไม่เหมือนพวกเรา
อ่านวิวิตตสูตร ล.20 ข้อ
[533] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกบัญญัติความสงัดจากกิเลสไว้ 3 อย่างนี้ 3 อย่างเป็นไฉน คือ ความสงัดจากกิเลสเพราะจีวร 1 ความสงัดจากกิเลสเพราะบิณฑบาต 1 ความสงัดจากกิเลสเพราะเสนาสนะ 1
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในความสงัดจากกิเลส 3 อย่างนั้น ในความสงัดจากกิเลสเพราะจีวร พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกปฏิบัติไว้ดั่งนี้ คือ ทรงผ้าป่านบ้าง ผ้าแกมกันบ้าง ผ้าห่อศพบ้าง ผ้าบังสุกุลบ้าง ผ้าเปลือกไม้บ้าง หนังเสือบ้าง หนังเสือทั้งเล็บบ้าง ผ้าคากรองบ้าง ผ้าเปลือกปอกรองบ้าง ผ้าผลไม้กรองบ้าง ผ้ากัมพลทำด้วยผมคนบ้าง ผ้ากัมพลทำด้วยขนสัตว์บ้าง ผ้าทำด้วยปีกนกเค้าบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แล พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกบัญญัติไว้ในความสงัดจากกิเลสเพราะจีวร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในความสงัดจากกิเลส 3 อย่างนั้น ในความสงัดจากกิเลสเพราะบิณฑบาต พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกบัญญัติไว้ดังนี้ คือเป็นผู้มีผักดองเป็นภักษาบ้าง มีข้าวฟ่างเป็นภักษาบ้าง มีลูกเดือยเป็นภักษาบ้าง มีกากข้าวเป็นภักษาบ้าง มียางเป็นภักษาบ้าง มีสาหร่ายเป็นภักษาบ้าง มีรำเป็นภักษาบ้าง มีข้าวตังเป็นภักษาบ้าง มีกำยานเป็นภักษาบ้าง มีหญ้าเป็นภักษาบ้าง มีโคมัยเป็นภักษาบ้าง มีเหง้าและผลไม้ในป่าเป็นอาหาร บริโภคผลไม้หล่นเยียวยาอัตภาพ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แล พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกบัญญัติไว้ในความสงัดจากกิเลสเพราะบิณฑบาต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในความสงัดจากกิเลส 3 อย่างนั้น ในความสงัดจากกิเลสเพราะเสนาสนะ พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกบัญญัติไว้ดังนี้ คือป่า โคนไม้ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง โรงลาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แล พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกบัญญัติไว้ในความสงัดจากกิเลสเพราะเสนาสนะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกบัญญัติความสงัดจากกิเลส 3 อย่างนี้แลไว้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนความสงัดจากกิเลสของภิกษุในธรรมวินัยนี้ 3 อย่าง 3 อย่างเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
-
เป็นผู้มีศีลละความเป็นผู้ทุศีล และเป็นผู้สงัดจากกิเลส เพราะศีลนั้นด้วย
-
เป็นผู้มีความเห็นชอบ ละความเห็นผิด และเป็นผู้สงัดจากกิเลสเพราะความเห็นชอบนั้นด้วย
-
เป็นพระขีณาสพ ละอาสวะทั้งหลาย และเป็นผู้สงัดจากอาสวะทั้งหลายเหล่านั้นด้วย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น ภิกษุนี้จึงเรียกว่า เป็นผู้บรรลุส่วนอันเลิศ บรรลุส่วนที่เป็นแก่นสาร เป็นผู้บริสุทธิ์ ตั้งอยู่ในธรรมที่เป็นสาระ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนคฤหบดีชาวนา พึงใช้คนให้รีบเร่งเก็บเกี่ยวข้าวสาลีในนาของเขาซึ่งถึงพร้อมแล้ว ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งรวบรวมเข้าไว้ ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งขนเอาไปเข้าลาน ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งลอมไว้ ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งนวดเสีย ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รุเอาฟางออกเสีย ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รวมข้าวเปลือกเป็นกองเข้าไว้ ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งฝัดข้าว ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งขนเอาไป ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งซ้อม ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งเอาแกลบออกเสีย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าวเปลือกเหล่านั้นของคฤหบดีชาวนานั้น พึงเป็นของถึงส่วนอันเลิศ ถึงส่วนเป็นแก่นสารสะอาดหมดจด ตั้งอยู่ในความเป็นของมีแก่นสาร ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุเป็นผู้มีศีล ละความเป็นผู้ทุศีล และสงัดจากกิเลสแล้วเพราะศีลนั้นด้วยเป็นผู้มีความเห็นชอบ ละความเห็นผิด และสงัดจากกิเลสแล้วเพราะความเห็นชอบนั้นด้วย เป็นพระขีณาสพ ละอาสวะทั้งหลาย และสงัดจากอาสวะทั้งหลายนั้นด้วย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเช่นนี้เรียกว่า เป็นผู้บรรลุส่วนอันเลิศบรรลุส่วนที่เป็นแก่นสาร เป็นผู้หมดจด ตั้งอยู่ในธรรมที่เป็นแก่นสาร ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ
พ่อครูว่า…ความสงัดนั้นเข้าใจต่างกัน…อันนั้นตื้นเขินมาก
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดินว่า…ปฏิบัติอย่างเดียรถีย์กำหนดแต่รูปแบบ แต่ของพระพุทธเจ้าตรัสกำกับเรื่องศีล เรื่องกิเลส
พ่อครูว่า…ผู้ที่ไม่ใช่สายปัญญา เข้าใจไม่ได้ง่ายๆ เป็นสายศรัทธาเจโต ที่จริงสายเจโตหรือสายศรัทธาว่าไปแล้ว ถ้าเผื่อว่าไม่ยึดถือยึดมั่นเกินไป เปิดจิตฟังผู้อื่นบ้าง จะรู้ได้ง่ายกว่าสายปัญญา สายปัญญานั้นรู้มากยากนาน เราพูดอะไรเขาก็จะย้อนแย้งได้หมด จะไม่ลงตัวง่ายๆ จนกว่าเขาจะจำนนอย่างมากมาย ต้องยาวนาน จะว่าจริงๆแล้ว พวกสายฟุ้งซ่านหลงความรู้ เรียกว่า วิปัสสนูปกิเลส จะช้ากว่าสายเจโตศรัทธา เพราะว่าตัวเองยึดมั่นถือมั่นในความรู้
ยืดยาวอุปาทานมากยึดถือ แม้ที่สุดไปวนอยู่กับความมีกับความไม่มี ซึ่งยากมากเลยที่จะเข้าใจความมีกับความไม่มีได้
เพราะว่าคนที่ตรัสรู้ถึงความไม่มี คนนั้นตายหรือยัง …ยังไม่ตาย ผู้ที่ตรัสรู้อยู่ยังไม่ตายก็ต้องมีธาตุรู้ไปรู้ ความไม่มีของเขาคือการดับความรับรู้ เขาสอนกันง่ายๆ สิ่งที่ดับนั้น ต้องให้กิเลสดับ แต่แยกแยะกิเลสไม่ออกสอนไม่เป็น อ.ก็แยกไม่ได้ แยกจากอะไร แยกจากกาย
กาย นี่คือ ความเป็น 2 รูป นาม อย่างน้อยกายต้องมีภายนอกและภายใน กายเป็นรูปเป็นนามก็ 2 แล้วก็ต้องรู้ทีละ 2 ๆ การรู้ทีละ 2 อาตมาก็มาอธิบาย
นี่ก็อ่านต่อจากที่ มีคนเขียนมาคือคุณอัมพร เรื่อง เวทนาดอกเดียวปลิดวิญญาณ ก็อ่านมาถึงตอนที่ว่า..
ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
มีสามชุด คือ ผัสสะ นามรูป วิญญาณ
ผัสสะ คือ การกระทบของนามรูป
นามรูป ก็คือสิ่งที่รู้กับสิ่งที่ถูกรู้
วิญญาณ คือ เวทนากับผัสสะ
ในสายปฏิจจสมุปบาท ธรรมทั้ง 2 เหล่านี้ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา
อายตนะนี่จะไม่มีการเกิดเลยในที่ใดๆ ถ้าไม่มีผัสสะของนามรูป
นามรูป ผัสสะกันเมื่อไหร่ก็ถึงจะเกิดอายตนะ เกิดแล้วไม่ตั้งอยู่ที่ไหนๆ ผัสสะแล้วเกิดเวทนา
เวทนานี่แหละคือฐานปฏิบัติของศาสนาพุทธ เพราะเวทนาคือความรู้สึก จะสุข ทุกข์ ก็อยู่ที่เวทนา
หากไม่มีผัสสะไม่มีเวทนาแล้ว ไม่มีฐานที่ตั้งให้ปฏิบัติเลย ในพรหมชาลสูตร หากอ่านพระไตรปิฎกแตกฉานเข้าใจก็จะเลิกนั่งหลับตา
กามฉันทะเป็นกิเลสเบื้องต้น เวลาเขาไปปฏิบัติธรรมไปนั่งหลับตาเขาก็มีกามฉันทะทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็นั่งหลับตาไปจนเขาว่าดับจนบรรลุอรหันต์ ปึ๊งปั๊งไป ไม่รู้การกระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายภายนอก ก็บอกว่าเป็นอรหันต์แต่กินหมากอยู่อย่างนั้น ขออภัยที่เอามาพูด เพราะว่าเขาเชื่ออรหันต์เก๊อย่างนี้ เพราะว่าแม้แต่กามคุณ 5 ภายนอก เป็นสิ่งเสพติดก็ติดจนตาย เกิดมาชาติหน้าคุณว่ามหาบัวจะเกิดอีกไหม ….เกิด
ก็ขออภัย ขอบคุณมหาบัว
สายปฏิจจสมุปบาท ผัสสะ นามรูป วิญญาณ เป็นเหตุปัจจัยต่อเนื่องกันจากด้านบนลงมาที่เวทนา มีวิญญาณ แล้วก็นามรูป ผัสสะ เวทนา
จึงถูกจัดการทั้งหมด ในสายที่เป็นเหตุปัจจัยกัน สรุปรวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา
พยัญชนะก็บอก ยังมีส่วนสองสภาพแต่รวมเป็น 1 แต่ก็มีสองคือ อันหนึ่งคือตัวรู้ อันหนึ่งคือสิ่งที่ถูกรู้
หากเรารู้ว่า 2 คือ เวทนาแท้กับเวทนาเก๊ เราดับเวทนาเก๊ได้จะรู้ว่า 1ในส่วน 2 แล้วเราศึกษาต่อว่าเวทนา 1 ก็ตาม มันก็ไม่ใช่สวรรค์มันเป็นอุเบกขาเวทนาบริสุทธิ์ ไม่ใช่ตัวตนของเรายึดมั่นถือมั่นในความบริสุทธิ์นี้ก็ไม่ได้ จึงต้องวางเป็น 0 หากไม่รู้ชัดเจนจริงก็จะไม่วาง เป็น 0 ก็จะไปติดที่เวทนาอุเบกขานั้น ซึ่งจะไม่รู้ได้ง่ายๆ
เราอาศัยเวทนานั้น ตราบที่เรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เพราะเราวางได้วิญญาณต้องอาศัยนามรูป นามรูปก็ไม่มีอาการ ความแตกต่างอันเป็น 2 เป็นเพศ นิมิตต่างๆก็เป็นเครื่องหมายรู้ได้อาการเฉพาะ เป็นสุญญตนิมิต อปนิหิตตนิสิต อนิมิตตะ
วิญญาณไม่ได้อาศัยนามรูป นามรูปเป็น 2 ให้เรารู้ความแตกต่างกัน
ผัสสะไม่ปรากฏคือ ไม่ผัสสะกับอะไรคือ 1 หรือ เป็น 0 ก็ไม่มีผัสสะ
เวทนาเก๊ไม่มีแล้ว แต่เวทนาก็ยังต้องมี ธาตุรู้ที่เป็นเวทนาก็ต้องอาศัย เพราะอาศัยตัวเอง คือตัวธาตุรู้ความรู้สึกของเรา เป็นธาตุที่ไม่มีอะไรที่เป็นกิเลสปราศจากกิเลสแล้ว เรียกว่าไม่มีคือ 0
0 ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรเลย แต่มี มีสิ่งที่มี และมีสิ่งที่ไม่มี
มีสิ่งที่มี คือ ธาตุรู้เวทนาที่เป็นสะอาด สะอาดหมดจดไม่มีเวทนาปลอมเลย
มีองค์ธรรม 5 อุเบกขา เวทนากลาง สะอาด ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ ยิ่งปฏิบัติก็เป็นจิตที่ยิ่งคล่องแคล่ว ฌาน หรือสมาธิ จิตที่บรรลุของพระพุทธเจ้านั้นคล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว มุทุภูตธาตุ ซึ่งทำการงานต่างๆ เป็น กายปาคุญญตา แคล่วคล่องว่องไวปราดเปรียว ถึงที่ทำงานได้ถูกต้องเหมาะสมดีลงตัว กัมมัญญุตา จิตก็ปภัสสรตลอดเวลา
อาตมาอธิบายซ้ำซากอยู่อย่างนี้ แม้องค์ธรรม 5 ของอุเบกขาเนี่ย น่าเบื่อไหม? หักมุมนั้นมุมนี้มาให้ดู จนไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเหลี่ยมมุมแล้ว
ความรู้สึกจริงๆตามจริงของเวทนา เป็นเวทนาที่ไม่ปรากฏตัณหา รู้สึกความจริงอย่างเป็นธรรมดาเป็นปกติ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนาที่เป็นส่วน 2
คือมีธาตุรู้ เรารู้อะไร?รู้ 0 ก็ได้ รู้ 1 ก็ได้ แต่ธาตุรู้ก็เป็น 1 ก็รู้ว่าตัวเองมี 2 คือ มีธาตุรู้กับ 0 หรือ 1 จะอนุโลมให้เป็น 1 ก็ได้ ที่จริงลึกๆลงไปกว่านั้นก็คืออัตตา
เวทนาของเราไม่เป็นอัตตาเลย จะว่าอัตตาเราไม่เสวยเวทนาก็ไม่ใช่ มันมีเวทนาอยู่ แต่มันไม่เป็นอัตตาของเราเลย แต่จะว่าอัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ ต้องมีธาตุรู้อยู่ รับรู้อยู่ เพราะฉะนั้นอัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา
เมื่อเวทนาที่เป็นตัวตนนั้นดับตัณหาที่แทรกอยู่เป็นเวทนาเก๊ เวทนาที่เป็นตัณหาดับไปเวทนาที่เป็นปกติ เป็นความสะอาดบริสุทธิ์ก็ยังอยู่ เพราะชีวิตยังมีตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบสัมผัสอยู่เป็นธรรมดาๆ
ใครฟังแล้วได้อานิสงส์ 5 ประการของการฟังธรรม
ในพระไตรปิฎกเล่ม 18 สังคัยหสูตรที่ 2 ข้อ 132 133
รูป ก็สักแต่ว่าเห็น ไม่ใช่เห็นอย่างเบลอๆ แต่เห็นว่าไม่มีกิเลสแฝงในความจริงนั้น เป็นคู่กระทบของอายตนะ นี่แหละเป็นที่สุดแห่งทุกข์
ไม่ว่าจะเป็น ตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบแล้วก็เห็นความจริงตามความเป็นจริง
ข้อ 138 คนนั้นรู้ธรรมารมณ์แล้วมีสติไม่มีจิตคลายกำหนัด เสวยอารมณ์นั้น ทั้งไม่มีความติดใจในอารมณ์นั้นตั้งอยู่
บุคคลนั้นมีความรู้ธรรมารมณ์นั้น และเสวยเวทนาอยู่ทุกข์สิ้นไปไม่สั่งสมทุกข์เรากล่าวว่าใกล้นิพพาน
พระสูตรนี้แสดงตัวอย่างการดับเวทนาที่เป็นตัณหาดับผีที่ซ่อนในเวทนาคือตัณหา และยังมีเวทนาที่ดับตัณหาได้แล้วก็ยังเสวยเวทนาอยู่ เพราะอัตตาน้มีเวทนาอยู่ เวทนานี้เองที่ปลิดชีพวิญญาณของซาตาน
อ้างอิงจากข้อ 63 ที่ผ่านมา พระไตรปิฎกเล่ม 10 แล้วจึงไปปล่อยไม่มีอัตตาในข้อ 64 เป็นลำดับ ถ้าพ่อครูไม่อธิบายเวทนาโดยส่วนสองอ่านให้ตายก็ไม่เข้าใจ
นี่คือหัวใจของศาสนาพุทธ หากไม่รู้ชัดตรงนี้ไม่เป็นอรหันต์ได้ อาตมาเปิดเผยความลับมาเยอะแล้วนะ ความลับว่าอรหันต์อยู่ตรงไหนก็เปิดเผยนะ แต่ความลับที่น่าเปิดเผย อาตมาถึงต้องพยายามเอามาเปิดเผยเอามาโชว์ ใครไม่อยากฟังก็ยัดเยียด เพราะมันเป็นของดีที่สุด ไม่มีอะไรดีกว่านี้
จะอธิบายบุคคล 7 บุคคลสองสายคือสายศรัทธากับสายปัญญา หากเข้าใจกันได้ จะทำงานร่วมกันเป็นผลอาศัยจนเก่ง ทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ เป็น0 ได้ 0 ก็คือ Infinity
จะเป็น 2 3 4 5 เก่งได้เรื่อยๆ ทำได้เยอะๆเลย อาตมาก็ทำกับผู้ที่เข้าใจกันได้ เกิดประโยชน์ด้วยกันพูดกันรู้เรื่อง ได้ประโยชน์ร่วมกันเข้าไปหากัน ผู้ที่เขายังไม่ได้ก็จะค่อยๆมาเติม จะมีคนค่อยๆเพิ่มขึ้นจะค่อยๆรู้ แต่ก่อนอาตมาถูกแอนตี้ ถูกหาว่าเป็นพวกนอกรีตมาทำลาย จนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครมาว่าเท่าไหร่ แต่ก็มีเศษหลงเหลืออยู่บ้างหรือเขายึดมั่นหมู่ที่ผิด ไม่ได้รู้เรื่องเก่า แต่เป็นคนรุ่นใหม่ อายุ 30 กว่า เขาก็ยังสนใจธรรมะ เขาก็จะฟังทางโน้นไป โดยที่มีครูอาจารย์นำไปทางโน้น มาฟังอาตมาก็ไม่เข้าใจเพราะยึดถืออย่างโน้นแล้ว จะหาว่าอาตมาทำลายศาสนาอีก น่าสงสาร คนจะมาฟังอาตมารู้เรื่องคือ 1 ไม่มีอคติ จะต้องศึกษาสองฝ่ายใจเป็นกลางไม่มีอคติ แล้วจะได้ ไม่เช่นนั้น ไปยึดทางไหนก็ยาก
แล้วสำนักต่างๆมีเยอะ มีช่องโทรทัศน์ของตัวเองหลายช่อง โทรทัศน์ธรรมะเนี่ย นอกจากบุญนิยมทีวีแล้วนอกนั้นไปแนวเดียวกันหมด สายยึดมั่นถือมั่นหลับตาเข้าป่า แม้จะอยู่ในเมืองก็ยอมรับพระป่า ยอมรับว่า การปฏิบัติจะต้องนั่งหลับตาเข้าป่า ออกไปธุดงค์ออกป่าเขาถ้ำ ล่องไพร ซึ่งไม่เคยมีในพระไตรปิฎกเลยว่า พระล่องไพร ไปเจอเสือสิงห์กระทิงแรดผีสางเทวดา ในพระไตรปิฎก 45 เล่มไม่มีเลย ไม่รู้ไปเอามาจากไหน พูดกันเป็นตุเป็นตะ ยิ่งกว่าเรื่องเพชรพระอุมา ของพนมเทียน ซึ่งเป็นนวนิยายที่ยาวที่สุดในโลก เขียนมา 20 – 30 ปี ต่อกัน ไม่รู้จบหรือยัง ไม่ค่อยได้อ่าน เขาเป็นคนมีปฏิภาณปัญญาได้
ทวน บุคคล 7 เริ่มต้นไว้
สัทธานุสารี สัทธาคือผู้ตามหาสาระ อนุสารีคือ ผู้ตามหาความเชื่อ เป็นสายศรัทธา
ธัมมานุสารี ท่านไม่เรียกสายปัญญา เพราะปัญญาเป็นคำใหญ่ ไม่ได้ใช้ปัญญานุสารี แต่ใช้คำว่าธัมมานุสารี เป็นแกนตามหาสาระธรรมะ
อาตมาว่า อ่านพระไตรปิฎกอย่างไรก็สู้อาตมาสรุปให้ไม่ได้
ที่จริงมีครบของพระพุทธเจ้า แต่เข้าใจได้ยาก
-
สัทธานุสารี