ก.พ.122020ศาสนา630212_เทศน์ทวช.งานพุทธาภิเษก#44 บ้านราชฯ กายนี้คือวิญญาณ ตอน3 อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1_esHWBIQTtSdpjmKSoAV7bCy-6OBGMn4Km2ZjqqqNKg/edit?usp=sharing ดาวโหลดเสียงที่… https://drive.google.com/open?id=1joyulOA_zwCdjOFA4p3IYXv2ZQKByrTE พ่อครูว่า…วันนี้วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก เป็นวันที่ 5 ของงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 44 โอ้โหอุ่นหนาฝาคั่งจริงๆข้างหน้าเต็มข้างหลังเต็ม ถ้ามีคนฟังธรรมะอย่างนี้เต็มๆทุกวันทุกวันอาตมาถึง 151 ปีแน่ๆ ใครอยากให้อาตมาถึง 151 ปีต้องมากันอย่างนี้ให้ได้เป็นประจำๆ ถ้าร่อยหรอลงๆ เหลือ 10 คน 5 คน สุดท้ายไม่มีใครฟังเลยแล้วจะไปเทศน์ทำไม อาตมาทุกวันนี้ไม่มีงานอื่นเลย ทุกวันนี้อาตมาวางงานต่างๆ มีแต่งานเทศน์ เขียน เอาธรรมะออกมา จากที่เราเองมีออกมาๆ เพราะฉะนั้นอยู่ที่ไหนใครมาพบใครมาหามาพบอ้าปาก มีแต่ธรรมะออกมาอย่างเดียว เรื่องงานบางทีบางครั้งเขาก็มาถามงานนั้นงานนี้ อาตมาก็แทบจะไม่ค่อยรู้เรื่องเลย มาถามก็ตอบไปตามปฏิภาณที่พอรู้ อายุ 90 นี้มันคงจะยังไงขนาดนี้ 86 ก็วางงานขนาดนี้ ถ้าอายุ 90 ก็คงจะวางมากกว่านี้ เหลือแต่งงานธรรมะอย่างเดียว ยิ่งธรรมะนี้ อาตมาก็ตรวจสอบ ทุกวันนี้พระไตรปิฎกเต็มโต๊ะ เปิดเล่มนั้นเล่มนี้เล่มนี้เล่มนั้นสุดยอดดี ธรรมะของพระพุทธเจ้าสุดยอด เล่มไหนก็น่าเอามาอธิบาย อาตมาก็เลยเยอะ ไม่รู้จะอธิบายอะไรดี มันน่าอธิบายทั้งนั้น งานพุทธาภิเษกฯ อาตมาก็พยายามตั้งหัวข้อ หากไม่ตั้งหัวข้อก็จะออกไปโดยอัตโนมัติไปเพราะมันเป็นธรรมะได้หมดทุกเรื่อง เจออะไรก็ว่าไป เจอบักพิหล่า…(ทับทิม) จากสวนภูเขาว่าของคุณไม้ร่ม สีมันจัดดี มีคนเป็นนักกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ สมานสังวาสอยู่กับนานาสังวาสกันได้ พวกเราเป็นนานาสังวาสแต่ก็สมานสังวาสกันได้ สังวาส แปลว่าการอยู่ร่วม โดยเฉพาะเรื่องวงการศาสนาพุทธธรรมก็หมายถึงการอยู่ร่วมกับคนที่มีแนวคิด ที่มันกำลังจะแยก แยกออกไป แตกต่างออกไปจนต่างกันเป็นนิกาย ต่างกันถึงขั้นนิกายนี้หมายถึง ไม่ใช่กาย ไม่ใช่กายเดียวกันแล้ว เพราะฉะนั้นคำว่ากายนี้จึงมีความหมายที่มากที่สุดเลย เพราะฉะนั้นใครที่ทำนิกาย ทำให้เกิดนิกายขึ้นมา โดยเฉพาะพระภิกษุ เป็นฆราวาสก็เป็นบาปเป็นกรรมเหมือนกัน ทำให้เกิดนิกายทำให้เกิดกาย กายของพระพุทธเจ้าคือธรรมกาย มีคุณธรรมทุกอย่างหมายถึงอย่างนี้ คนนี้ทำให้แตกต่าง ต่างไปจนกระทั่งแยกคนละเรื่องตรงกันข้ามกันเลย ดีไม่ดีเป็นปฏิปักษ์ต่อกันเลย แตกต่างกันจนเป็นปฏิปักษ์ต่อกันเลย อันนี้คนนี้ฝ่ายนี้เห็นอย่างนี้ว่าถูก ฝ่ายนี้เห็นอย่างเดียวกันนี้แต่บอกว่าไม่ถูก ขัดแย้งกันเลยอย่างนี้เป็นต้น ถึงเรียกว่ากาย มันแยกกันแล้วมันไม่เป็นกายเดียวกัน ไม่ใช่เป็นพุทธกายหรือธรรมกาย พระพุทธเจ้าบอกว่าท่านเป็นธรรมกายหรือพรหมกาย เพราะฉะนั้นใครทำการแตกอันนี้เป็นอนันตริยกรรม เป็นบาปตกนรกหมกไหม้นานมากเลย อนันตริยกรรม คือบาปมันมาก เพราะเป็นความผิดที่แรงร้าย กับมนุษยชาติกับสังคม ก็มีธรรมะเป็นเครื่องผูกรวมกันไว้อยู่ร่วมกันไว้ มีความเห็นที่เป็นสามัญญตา แน่นอนมันต้องแตกต่างกันบ้าง แต่มันก็เป็นสามัญญตา หมายความว่ามันอยู่กันอย่างเสมอสมานกัน โสดาบันเสมอโสดาบัน อนาคามีเสมออนาคามี อรหันต์เสมออรหันต์ ฐานพระโสดาบันแม้จะต่างกันก็เสมอสมานกันไม่แตกแยกเป็นนิกาย อาจจะมีที่มันห้ามไม่ได้ก็คือมันต่างกันเรียกว่านานา มันแตกต่างกัน แต่ไม่ได้แตกต่างกันมันก็ยังอยู่ร่วมกันได้เรียกว่ามีสิ่งที่ต่อเชื่อมสมานอยู่ได้ มันแตกต่างกันเรียกว่านานาสังวาสอยู่ร่วมกันแท้ๆ สังวาสเดียวกันก็คือสมานสังวาส นานาสังวาสก็แตกต่างกัน สุดท้ายที่เลวร้ายที่สุดก็คืออสังวาส อยู่ร่วมกันไม่ได้เลย นิกายนี้ทำนิกาย 2 อย่างให้แตกต่างกัน อันนั้นก็อยู่กับอันโน้นอันนี้ก็อยู่กับอันนี้ แต่อสังวาสนี้ ไม่ถือว่าเป็นคนที่อยู่ร่วมในโลก ตายจากศาสนาพุทธไป 1 ชาติ อสังวาสคือ ปาราชิก อ่านบทกวี สมานสังวาสอยู่กับนานาสังวาสกันได้ แม้แต่คนชั่วเราก็ช่วยรับใช้เขาด้วยการด่า ตำหนิแรงๆก็ด่า นัยของภาษาเป็นอย่างนั้นไม่ได้ไปทำเรื่องเลวร้ายอะไร ดุแรงๆด่าแรงๆ โดนทุจริตโดนความชั่วอกุศลของใคร ถ้าสังคมมันมีคนชั่วคนผิดเป็นคนทุจริตอกุศลมาก พูดความจริงออกไปกระทบ มันพูดเบาๆก็แรง เพราะมันเยอะมันกระแทก ทีนี้พูดแรงก็กระทบแรงกระแทกให้หลุดได้ง่ายขึ้น ทุกวันนี้ทำไมอาตมาพูดแรง ตอบได้ไหม?…อาตมากำลังดี กายนี้คือวิญญาณ ทำไมอาตมาต้องตั้งชื่อชื่อนี้ เพราะทุกวันนี้ศาสนาพุทธเขาไม่รู้เรื่องแล้วว่า กาย คือวิญญาณ ทุกวันนี้ส่วนใหญ่เลยแม้แต่จะเป็นปุโรหิตทางศาสนาอยู่ก็ตาม เขาก็ยังไม่สำคัญมั่นหมายว่ากายนี้คือวิญญาณ พระพุทธเจ้าถึงมาเน้นว่า กายนี้เราเรียกว่าจิต มโน วิญญาณ ต้องกลับไปอย่างนั้นเตือนให้คนเข้าใจให้ชัดเจน เพราะถ้าไม่เข้าใจว่ากายนี้คือวิญญาณ มันก็จะออกนอกเรื่อง เริ่มต้นความรู้บทแรกสังโยชน์ข้อที่ 1 สักกายทิฐิ เริ่มต้นความรู้จะเป็นฆราวาสหรือนักบวชโดยเฉพาะก็ตาม ต้องเริ่มต้นด้วยจุดนี้ จุด กาย แล้วกายไม่ต้องไปวุ่นวายของคนอื่น วุ่นที่สักกะ สักกะ แปลว่าตัวเรา ต้องวุ่นที่กายของเรา ต้องแยกกายแยกจิตให้ออก เพราะกายนี้มุ่งหมายเอาวิญญาณ แต่กายนี้ก็ต้องมีภายนอก นี่มันสลับซับซ้อนอยู่ในความหมายของคำว่า กายนี้ ยิ่งใหญ่มาก ต้องเรียนรู้ เมื่อเริ่มมาตั้งใจศึกษาศาสนาพุทธ มาสมัครเป็นภิกษุ มาขอเป็นผู้ตั้งใจจะไปนิพพาน จะมาบวช มาบวชนี่ไปนิพพานทั้งนั้น แต่ทุกวันนี้มาบวชสร้างอาชีพ มาหลบทำอาชีพหากิน พวกบาปกินหัว พูดให้สั้นให้ชัด อาตมาไม่พูดยาว ด่าสั้นๆ แต่สั้นๆมากสั้น สั้นแต่เยอะมาก ด่าต่อเนื่อง ยิ่งกว่าวินาทีต่อวินาที แต่สั้นนะ ลัดคัดสั้น เพราะฉะนั้นกายนี้คือวิญญาณ ถ้าเราแยกกายแยกจิตไม่ออก รู้ความเป็นกายไม่ชัด จบ โมฆะในศาสนาพุทธ คุณจะปฏิบัติอย่างไรก็ไม่มีผลอะไร คุณก็ปฏิบัติธรรม เหมือนกับชาวโลก ศาสนาไหนเขาก็สอนให้บรรลุความดี ให้เราเจริญให้มีพฤติกรรมดีขึ้นมา อย่าชั่ว ตามกำหนดสมมติของสังคมกลุ่มนี้ประเทศนี้จะถือว่าอย่างนี้ดี สังคมกลุ่มนี้ถือว่าอย่างนี้ดี แตกต่างกันคนละขั้วเลยก็ได้ เช่นสังคมกลุ่มอโศกถือว่า มาจน ดี ไปรวยไม่ดี ถืออย่างนี้เห็นอย่างนี้จริงๆ เอาแต่แค่จนกับรวยเป็นเรื่อง 2 เรื่อง กายก็คือ 2 แยกเป็นรูปกับนาม กาย เป็นภาษาที่ขยายความจาก เทวะ เทวะ แปลว่า 2 แล้ว เขาก็เข้าใจด้วยปริยายโดยอัตโนมัติโดยสัญชาตญาณ ว่าเทวะ2ว่าหมายถึงตัวดี ตัวดีหมายถึงตัวเทวดา เทวะ คือตัวที่สุขสบาย ตัวที่ไม่ทุกข์ ตัวที่สูงที่เจริญ เทวะใหญ่ที่สุดรู้ที่สุดประเสริฐที่สุดคือยอดของเทวดาเรียกว่าพระเจ้า เป็นเจ้าของความรู้ความเจริญทั้งหมดสุดยอดของจิตวิญญาณแล้ว คือ เทวะ ภาษาอังกฤษเรียกว่า GOD คือสุดยอดของเทวะ ก็ศึกษาตัวนี้ ใน 2 นี่แหละ เทวนิยม เขาแยก 2 ไม่ออก ตายเด๊ะอยู่ที่นั่น จิตวิญญาณอยู่ที่ไหนอยู่ที่เทวะ เทวะคืออะไร มีผู้รู้เกิดขึ้นมาในศาสนาเทวนิยม แล้วก็เอามาประกาศความรู้ขึ้นมา แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้จักตัวเอง ประกาศความรู้ออกมาแล้วบอกว่านี่คือของพระเจ้าเป็นความรู้ของพระเจ้า ที่แท้ก็คือความรู้สึกของคนคนนั้นเอง ของศาสดาของศาสนาแต่ละศาสนา คือความเป็นหนึ่งของความรู้ ความรู้สุดยอดเขารวบยอดของผู้นั้นที่เอามาประกาศ แต่ผู้ประกาศนั้นไม่มีความรู้ในอัตตาไม่มีความรู้ในตัวเองไม่แน่ใจว่าเราจะรู้ขนาดนี้เชียวหรือ แค่นี้มันบอกเลยว่าคนไม่มีความรู้แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีความรู้อันนั้น ไม่มั่นใจว่าเป็นความรู้ของตัวเอง ก็เอาไปฝากไว้ที่สุดยอดแห่งความรู้ คือพระเจ้า เป็นผู้ประทานให้มาประกาศ เป็นประกาศก เป็นผู้ประกาศความรู้สุดยอดนี้ให้แก่มนุษยชาตินี่คือความไม่แน่ใจ ความไม่รู้สุด ความไม่รู้จบความไม่รู้ยอดในความเป็นมนุษย์ ความรู้สูงสุดที่มนุษย์จะรู้ได้คืออันนี้ แต่ไม่แน่ใจก็เลยฝากไว้ที่พระเจ้า ผิดถูกอยู่ที่พระเจ้านะอย่ามาโทษฉัน บอกว่าพระเจ้าสอนอย่างนี้ แล้วบอกว่าอย่าไปแย้งกับพระเจ้านะ แล้วใครล่ะเป็นคนชี้ถูกชี้ผิด ก็ฉัน พระศาสดา นี่มันซ้อนๆๆในนี้ แต่ของพระพุทธเจ้าไม่โทษใคร โทษเรา ผิดถูกอยู่ที่เรา แต่ท่านก็ยืนยันว่าท่านถูกที่สุดรู้ที่สุด ใครก็ไม่รู้เกินท่าน เกิดมาเป็นคนถ้าถึงขั้นได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นอย่างอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ ระดับไหนก็พอรู้ตัวบอกไปแล้วระดับ 7 อาตมาก็มีความรู้เท่านี้ แล้วพยายามจะทำความรู้นั้นให้เท่ากับพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งจบสูงสุดอาตมาก็จะไปรู้ขนาดนั้นให้ได้ พากเพียรไปไม่ได้หลงตัว แล้วก็รู้ที่จบ! จบอยู่ที่พระพุทธเจ้าแต่ตอนนี้ยังไม่จบ แต่ขนาดที่ยังไม่จบนี้ก็ช่วยคนได้ มีความรู้ความหมายที่เป็นสัทธรรมที่เอามาให้คนศึกษาปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วได้ผล ศาสนาพุทธแน่นอนสอนเรื่องความดีความชั่ว ตามสมมุติสัจจะ ดีชั่วเป็นสมมติสัจจะ แต่ดีกว่านั้นคือสอนเรื่องความสุขความทุกข์ สุขทุกข์นี้แหละเป็นนิพพาน ผู้ยังติดสุขอยู่คือพวกเทวนิยม สุขนิยม ไม่รู้จักทุกข์ไม่เรียนรู้ทุกข์ ไม่เรียนรู้ซาตานไม่รู้เหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ แล้วรู้ให้ชัด ทุกข์คืออะไร ทุกข์คือ ความไม่สบาย ความทนไม่ได้ สิ่งที่ทนได้ยาก ต้องเรียนรู้ให้ได้ว่ามันคืออะไรกัน ทำไมคนรังเกียจมัน รังเกียจจนไม่ยุ่งกับมันเลย เทวนิยมไม่ยุ่งกับมันเลย แต่ความทุกข์ไม่หนีจากคุณ แต่คุณไม่รู้จัดการมันจนรู้ให้ชัดเลย แล้วจัดการได้ให้หมดความทุกข์ หมดทุกข์สุขก็หมดไป นี่คือสุดยอดปรมัตถ์สัจจะของศาสนาพุทธหมดความทุกข์หมดความสุข อทุกขมสุข สูงกว่าอทุกขมสุข คือ อุเบกขา อุเบกขาคือความจบของศาสนาพุทธ หมดสุขหมดทุกข์หมดเทวะหมดความเป็นคู่ชัดเจนในความเป็นกายเป็นภาวะ 2 ทำไมจะต้องเหลือ 2 ยังไงจะต้องเหลือ 2 ทำไมต้องเป็นเช่นนั้น เพราะคนจมอยู่ใน ชีวะของคนที่มาเกิดเป็นสัตว์เรียกว่าคนก็ตามสัตว์ก็ตาม ที่อยู่ในตระกูลจิตนิยาม มีจิตครองมีวิญญาณครองเป็น 2 เรียกว่ากาย กายนี้คือวิญญาณ จิตที่มีจิตครองวิญญาณครอง ทำกรรมแล้วเป็นอันทำ ทำกรรมแล้วเป็นวิบากสั่งสม พืชยังไม่มีจิตวิญญาณครอง ทำกรรม มันทำเป็นตัวมัน มันไม่เกี่ยวกับอันอื่นไม่มีเจตนาไม่เป็นกรรม เจตนาของพืชมันไม่มีเจตนาไปเกี่ยวกับใคร มันไม่มีความรู้อะไรออกนอกตัวหรือออกไป จะไปแขวะคนอื่นทำร้ายคนอื่นมันไม่มี มันจึงไม่มีกรรมวิบาก จะเรียกมันว่ามันมีความรู้สึกก็ไม่ได้ มันไม่ใช่เวทนา มันก็รู้ในตัวของมัน บักพิหล่ารู้ในตัวของมันเอง บักเหล่น ก็รู้ในตัวของมันเอง บักโม บักกล้วยก็รู้ในตัวของมันเอง ในประดาที่ตกแต่งเวทีตกแต่งโต๊ะ ของเรานี่การตกแต่ง บนโต๊ะที่ออกมา ของที่อื่นก็เอาดอกไม้ใส่พาน ใส่แจกันเอามากองเป็นรูปร่างนั้นนี้ ของเรา อวดว่ามีมากอย่างเดียวเอาอะไรมากอง เรียงเข้าไป จัดมุมเหลี่ยมไม่ให้มันตกโต๊ะก็เอาแล้ว ใช้ได้ ไม่ซ้ำกันสักวันเลย แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์จริงๆ บนโต๊ะนี่เป็นการโชว์เล็ก ๆน้อยๆนะ ข้างล่างมีเยอะกว่า กล้วยทั้งเครือบวบงูยาวเป็นวา หอม กระเทียม ตะไคร้ ข่า มีสารพัดเป็นของที่เรากินเราใช้สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญของชีวิต อาหารเป็นที่หนึ่งในโลก นิมนต์จิบน้ำ งานนี้เป็นงานพุทธาภิเษกครั้งที่ ฉี่ฉิบฉี่ อาตมาทำไมทำเสียงแสลง ครั้งที่ ฉี่ฉิบฉี่ เพราะว่าประเทศไทยมีมาตรา 44 เป็นดาบอาญาสิทธิ์ที่รัฐบาลต้องใช้ เรียกในภาษาเวลาจะเผาศพ มีไม้ชนิดหนึ่งอีสานเรียกว่าไม้กุมเหง ตอนเผาบนกองฟอนจะมีไม้ยาวมีน้ำหนักพอสมควรเอามาพาดศพไว้ เพื่อกันไม่ให้ศพกระเด็นหล่นจากกองฟอน ธรรมดาจะเป็นไม้สดเสมอมันจะได้ไม่ไหม้ขาดไว แล้วมันจะมีน้ำหนัก กดศพไว้ เขาเรียกไม้กุมเหง ภาคกลางไม่รู้มีหรือไม่ (โยมว่าเรียกไม้กุมเหงเหมือนกัน) คำว่า กายคำนี้ อาตมาได้พยายามขยายความ สำคัญของกาย นัยแรก หากเข้าใจการแยกกายแยกจิตไม่ได้มาบวชให้ตายอย่างไรก็ไม่ได้อรหันต์ มาบวชแล้วไม่แยกกายแยกจิตยังไม่สัมมาทิฏฐิไม่มีสิทธิ์เป็นพระอรหันต์ ไม่มีเลย แล้วทุกวันนี้อธิบายกันก็ไม่ค่อยออก แยกไม่ค่อยถูก แยกไม่ค่อยได้ คำว่า กาย คำนี้ที่อาตมาอธิบายสู่ฟัง คิดว่าอธิบายในทุกมุมของมิติกาย แต่มันก็มีรายละเอียดลึกซึ้งซับซ้อนไม่รู้กี่ชั้นแต่ละชั้น เป็นความสำคัญ เพราะฉะนั้นจุดแรก สังโยชน์ข้อแรกต้องรู้จักการต้องรู้เรื่องมุมของกายของตนคือสักกายะ ต้องศึกษาความรู้ความเห็นทฤษฎีหรือทิฏฐิ เรียนกายให้ได้ อ่านกายตัวเองให้ได้ แยกกายตัวเองให้ออก ความเข้าใจผิดแล้วก็เอามาสอนกันผิดๆ แยกกายแยกจิตทางพระที่เขาว่าเป็นพระปฏิบัตินั่งหลับตาปฏิบัติอธิบายการแยกกายแยกจิตคือไปนั่งหลับตา แล้วก็แยกให้ออก กายคือร่าง จิตคือนามธรรมคือวิญญาณ แยกกายแยกจิตคือถอดวิญญาณออกจากร่าง จิต ไม่รู้ว่าอันไหนเป็นอันไหน จิตจะอยู่กับที่ แต่กายจะออกไป จิตจะอยู่กับร่างกายเรียกว่ากายทิพย์ ถอดออกไปแล้วเขาก็จะเห็นตัวเองนั่งอยู่ เห็นตัวเองนั่งสมาธิอยู่ แล้วเขาก็เห็นว่านี่คือการแยกกายแยกจิตออกได้สำเร็จ เป็นสุดยอดปาฏิหาริย์ พระที่เก่งที่สุดพระกรรมฐานพระป่า พระที่ปฏิบัติพระที่นับถือยกย่องกันนี่แหละคือพระที่แยกกายแยกจิตได้ เข้าใจอย่างนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิไปเลย เห็นไหม ใครเคยได้ยินอย่างที่อาตมาว่าบ้าง อย่างนี้จริงๆ ไม่ได้ไปหาความหาเรื่องเขา เขาสอนกันอย่างนี้จริงๆก็บอกว่าเก่งยอดเยี่ยมถูก ยิ่งเข้าใจว่ามันถูกยิ่งเข้าใจว่ามันเก่งก็ยิ่งฉิบหายเลยศาสนาพุทธเพราะมันผิดไปไกลๆเลย ไกลแสนไกลจากวิเวก ติดข้องอยู่ในถ้ำ ไม่มีวันหลุดออกมาเลย มีแต่จมสู่ความหลงสู่ความหลงหนักหน้าไปเรื่อยๆ อย่างที่เขาเป็นอย่างที่อาตมาว่า เอาคำพระพุทธเจ้าที่เขาแปลเป็นไทยจากพระไตรปิฎกมาว่าเขาเลย เขาจะสะดุ้งสะเทือนบ้างไหม เขาจะรู้จัก เขาจะวาบๆไหม ว่านี่ด่ากูด่าถูกเหลือเกิน เขาก็คงไม่รู้ไม่ฟัง หาว่าเราเป็นพวกปากหอยปากปู จริงๆแล้วอาตมาไม่ได้ด่าแต่ตำหนิเตือนให้รู้ตัว เขาจะไม่เข้าใจว่าอาตมานั้นสอนเขาบอกเขา เขาก็จะเข้าใจว่าด่าแต่กู ลึกๆเขารู้นะ เพราะเราไปพูดไปนี้ถูกทุกอย่าง เขาเป็นอย่างที่อาตมาพูด แต่อัตตามันโง่ก็ถูกด่าแล้วไม่ตรวจความจริง ไปยึดความไม่ถูกต้องว่าเป็นความจริงไปยึดความไม่ถูกว่าถูก หากว่าลองพิจารณาสิ่งที่อาตมาพูด ก็จะรู้ว่าตัวเองงมงายนั่งหลับตาออกป่าเขาถ้ำอยู่นั่นแหละ ในคุหัฏฐกสุตตนิทเทส เริ่มต้นคำว่ากายวิเวกก็เอาร่างกายทั้งร่างออกไปสู่ป่า กายวิเวกเขาเอาตัวตนทั้งร่างออกเคลื่อนย้ายไปจากความวุ่นวายของสังคม มันก็มีความหมายที่เข้าใจได้เหมือนกัน ก็จับร่างกายออกไป ห่างสังคมที่วุ่นวายไปอยู่กับเสือสิงห์กระทิงแรดงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ก็ถือว่านี่ทำกายสงัดแล้ว? ไม่ใช่ กายสงัด คุณจะต้องสำคัญคำว่ากายนี้ ข้างนอก กายนี้สัมผัส สัมผัสแล้วคุณจะเกิดอาการที่เรียกว่า กาม กิเลสทางภายนอก เรียกว่าภพภายนอก เรียกว่า กามภพ กามภพคือ ตา หู จมูก ลิ้น กายภายนอก ที่มันสัมผัสกับภายนอกแล้วก็เกิดกิเลส กิเลสตัวนั้นเรียกว่า กามกิเลส หรือจะเรียกว่ากามตัณหาก็ได้ ต้องรู้สภาวะกาม มันใคร่อยาก ใคร่อยากได้อยากมีอยากเป็นต่างๆนานา สัตว์โลกมันไม่ค่อยหลงใหลเหมือนมนุษย์ แต่เป็นคนนี่ ทุกวันนี้ยุคนี้สำคัญมั่นหมายกันเหลือเกินกับธนบัตร แล้วก็มีเพชรทองตะกั่ว กระดาษชำระ แค่กระดาษชำระ ถ้าชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย สำคัญมั่นหมายมากเลย ที่แท้ก็คือกระดาษชำระ คนไทยนี่เก่งตั้งภาษากระดาษชำระ เป็นความหมายที่หมายเหมือนได้ถูกดี เรียกไฟฟ้า เป็นต้น เป็นไฟที่ฟ้าประทานมา มันไม่เห็นตัวตนแต่เอามาใช้แรง คนก็เก่งใช้ไฟฟ้า กำหนดได้ด้วยว่าใช้กี่โวลท์คนนี่เก่งนะ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องซ้อนอยู่ในปุตตมังสสูตร อาหารข้อแรก เรียกว่าเนื้อบุตรเอามาเป็นชื่อสูตร เรียนรู้แค่ 4 อาหารปฏิบัติธรรมคุณบรรลุอรหันต์ได้เข้าใจอาหาร 4 ให้ดีๆ โดยรู้กายของอาหารการกิน โภชนะหรือกวฬิงการาหาร คือ อาหารที่เรากินเรา โภชนะ กว้างกว่ากวฬิงการาหาร คือคำข้าวกินข้าวไปเลี้ยงขันธ์ แต่โภชนะ หมายถึงของกินของใช้ทุกอย่าง แต่คนเรียนกันแค่ของกินเท่านั้น ก็ไปไหนมาไหนไม่รอด โภชนะเน้นแค่ของกิน ไม่ไปหาของใช้เสียที ซึ่งอยู่ในหลัก จรณะ 15 ของโภชเนมัตตัญญุตาเป็นข้อสำคัญของหลักปฏิบัติที่ไม่ผิด 3 อย่าง ศาสนาพุทธ ข้อที่ปฏิบัติไม่ผิดมาในจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งเป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องมีพุทธคุณของพระพุทธเจ้า ต้องมีพุทธคุณ 9 ข้อ 1 ในพุทธคุณคือ จรณะ 15 วิชชา 8 ถ้าหากคุณไม่รู้หรือรู้ผิดโดยเฉพาะตีไปที่ว่าคุณสำรวมอินทรีย์หรือเปล่า หากคุณไม่ได้สำรวมอินทรีย์ก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธ แล้วสำรวมอินทรีย์คืออย่างไร คือการสำรวมตาหูจมูกลิ้นกายใจ ต้องมีใจเป็นตัวกลางแล้วรู้ทางทวารทั้ง 5 ตลอดเวลาในการปฏิบัติมีผัสสะเป็นปัจจัย แล้วก็จะเกิดเจตนาคุณก็จะต้องแยกแยะได้ว่าในเจตนานั้นหรือวิญญาณนั้นเจตนามันเป็นเจตนาอย่างไร เจตนาก็มีสาม กามตัณหา ก็ล้างกามตัณหา หมดแล้วก็เหลือ ภวตัณหาคือรูป ก็ล้างรูป หมดรูปก็ล้างอรูปจนหมดก็หมดภพ 3 คือกาม รูป อรูป ก็เหลือวิภวตัณหา ก็ยังเหลือความอยากความต้องการความประสงค์แต่เป็นความประสงค์ที่ไม่มีภพชาติแล้ว เป็นความรู้ที่สุดยอด อย่างอาตมาปรารถนา อาตมาเอาสภาวะมาอธิบาย คนที่ไม่มีสภาวะได้แต่ภาษาก็แปลกลับไปกลับมาว่าวิภวตัณหาคือตัณหาที่ไม่มีกามไม่มีภพ แล้วคืออะไรก็ไม่รู้ ก็ต้องมาเรียนรู้ กาม คือ ภพแรกภพกาม หากคุณฉันทะในกาม ก็คือผู้ที่กินเนื้อบุตร ยกตัวอย่างเหมือนมหาบัว ไม่ได้เรียนรู้เรื่องอาหารเลย หลงกินเนื้อบุตร เคี้ยวหมากกินเนื้อบุตรปากเปียกปากแฉะ นั่นคือกามฉันทะของมหาบัว ติดไม่ขาดปากเลย แล้วก็ไปหลงผิดกันว่าเป็นพระอรหันต์ ขออภัยท่านผู้ที่ไปนับถือมหาบัวเป็นครูอาจารย์ แล้วไปหลงผิดว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ขอจริงๆ ขออภัย อาตมาไม่ได้ละลาบละล้วงไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไร อาตมาสงสารมหาบัวเพราะหลงตัวเองว่าตายชาตินี้จะไม่เกิดอีกแล้วซึ่งไม่ใช่ มหาบัวจากตายจากชาตินี้แล้วจะไปจมอยู่ในนรกจนมหาบัวไม่รู้ตัว แล้วต้องมาเกิดอีก อีกนานมากเพราะว่าจมดิ่งเข้าไปในความหลงสนิท ตัวเองมาสร้างนรก มาหลอกคนมาทำลายศาสนาพุทธให้พุทธศาสนิกชนเข้าใจผิดไปไกลแสนไกลจากวิเวก แล้วทำให้คนหลงเชื่อ เชื่อว่ามหาบัวเป็นผู้สอนนั้นถูก แล้วมันซวยไหม ขนาดนี้ซวยขนาดที่แก้ไม่ตกด้วย อาตมาพูดสภาวะที่สุดลึกซึ้งไม่ได้ไปด่าเขาไม่ได้ไปว่าเขา แต่อธิบายสัจธรรมให้เห็น มันผิดปานนี้ อาตมาพูดไม่เต็มด้วยซ้ำไปจริงๆมันต้องยิ่งกว่า มหาบัว ไม่รู้แม้ กามภพ รูปภพ อรูปภพ หลงอรูปภพ ข้าเก่งข้าหาเงินเข้าคงคลังประเทศมากที่สุดในโลกมากที่สุดกว่าใครๆหลงตัวตนยึดในมานะอัตตา จนประมาท อุปกิเลส 16 มีอยู่เต็มตัวเลย ขออภัยที่เอาวิชาการพระพุทธเจ้ามาใส่ ไม่รู้มายา สาเฐยยะ เป็นเรื่องอวดตัว สาเฐยจิต มักขะปลาสะ ตีตนข่มท่านเสมอ ท่าน อิสสา มัจฉริยะ นึกว่าตัวเก่ง อิจฉา แปลว่าความต้องการกลางๆ แต่อิสสา แปลว่าความริษยาคือความไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้ดี ขออภัยไม่ใช่ขี้ตู่ มหาบัวมีครบ ไปจนสุดท้ายปมาทะ เป็นผู้ประมาทที่สุด ไม่ประมาทได้อย่างไร ก็ยืนยันว่าตัวเองเป็นอะไร ตายแล้วจะไม่เกิดอีก พูดอย่างนี้เลยว่าตัวเองเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้วชัดเจนหมดเลย ไปนั่งหลับตาแล้วบรรลุในวันที่นั้นเดือนนั้นเวลานั้น จำในสิ่งที่ผิดผนึกเข้าไปในอนุสัย นึกว่าตัวเองสำคัญมั่นหมายว่าทุกอย่างที่ทำนี้ดีแล้ว กลายเป็นปักใจปักมั่นในสิ่งที่ผิดแล้วยึดไว้ สำคัญมั่นหมายผิดใส่อนุสัยตัวเองไป อีกนาน แล้วจะลงผิดไปอีกนานไม่รู้กี่ชาติออกกี่ชาตินับชาติไม่ถ้วนเลย ที่บอกว่าจะไม่เกิดอีกนั้น มหาบัว จะต้องเกิดในนรกเยอะกว่าสวรรค์ ชาตินี้ก็มาหลอกมนุษย์เป็นอนันตริยกรรมเป็นบาปเยอะมาก ขออภัยที่เอาสภาวะมาพูด มหาบัวจึงกลายเป็นตัวอย่างเป็น specimenให้อาตมายืนยัน ต้องขออภัยและขอบคุณ ให้เอามาสาธยายให้รู้ว่าผิด ผิดตรงไหนผิดแบบไหนจะได้เข้าใจลึกซึ้ง กาย ที่ พระพุทธเจ้าสอนในสังโยชน์ข้อแรก ก็ต้องอ่านตัวเราแล้วแยกกายแยกจิตตัวเรา เรียนรู้ความเป็นกายเป็นจิตของตัวเรา ถ้าคุณเข้าใจแยกกายแยกจิตให้ออกว่า กายนี้ อาการอย่างไร ความรู้เป็นตัวจริงคือเวทนา ตัวอาการรู้สึก ก็ต้องมีสภาพนั้นเรียกว่า รูป คือ สิ่งที่ถูกรู้ เรียกว่ารูป รู้ตัวแรกคือเวทนา เป็นตัวฐานที่สำคัญ แล้วเจตสิกที่จะใช้กำหนดรู้คือสัญญา สัญญากำหนดรู้เวทนา แล้วก็เรียนรู้เวทนาแยกเวทนาออก จาก 2 เป็น 3 เป็น 4 เป็น 5 เป็น 6 ไปจนกระทั่งแยกได้ละเอียดพระพุทธเจ้า แจกไว้ถึง 108 ประเด็นสำคัญที่สุดที่จะต้องแยกให้ได้คือ เคหสิตะ เรียกว่ามโนปวิจาร หรือพฤติหรืออาการของจิต อย่างนี้เรียกเคหสิตะ แล้วก็ต้องเข้าใจ เรียนรู้เนกขัมมะ คือ ผู้ที่จะมาเรียนออกจากความเป็นเคหสิตะ เรียกว่าเนกขัมมะ ออกจากโลกเก่าโลกโลกีย์ที่คนเขาติดยึด หลุดออกมาเรียกว่าเนกขัมมะ ออกมา จาก เคหสิตะ 18 ความหมาย ตั้งแต่แยกกายแยกจิต แยก กายยิกเวทนากับเจตสิกเวทนา แยกเป็น 2 คือ เกี่ยวกับภายนอก เจตสิก เกี่ยวกับภายใน แล้วก็มาเรียนรู้ความสุขความทุกข์ แล้วก็มีความไม่สุขไม่ทุกข์ที่มันแทรกอยู่ จึงเป็น 3 ไม่สุข ไม่ทุกข์มันเป็นธรรมชาติ เป็นฆราวาสไม่เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ก็ยังมีเวลาที่ไม่สุขไม่ทุกข์ไม่ได้เสวยอารมณ์สุขไม่ได้เสวยอารมณ์ทุกข์อยู่เฉยๆ แบบบื้อๆแบบธรรมชาติแบบสัญชาตญาณมันก็มี ก็ต้องเรียนรู้ให้ได้ว่าไม่สุขไม่ทุกข์แบบทั่วไปที่คนธรรมดาเขาเป็นกัน อยู่วนเวียนกับความรู้สึกเวทนา 3 สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ คุณก็จะต้องเรียนรู้แล้วก็ต้องเลิก แม้ที่สุดคุณไม่สุขไม่ทุกข์แล้วอทุกขมสุขแล้วคุณก็ต้องเลิกอีก เลิกจากอทุกขมสุขให้เป็นอุเบกขา คำว่าอุเบกขานี้เป็นพยัญชนะที่สูงกว่าไม่สุขไม่ทุกข์ แต่เขาใช้เป็นคำไวพจน์เป็น synonym ใช้คำแทนกันได้ ก็มันใกล้เคียงกันแต่มันมีนัยยะสำคัญที่ลึกซึ้งกว่ากัน ท่านแตก สุข ทุกข์ อุเบกขา แล้วแตกสภาวะอุเบกขาเป็น 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นฐานนิพพานนะ เคหสิตะอุเบกขา ก็เป็นความว่างที่ธรรมดาธรรมชาติ เขามีการเจตนาทำให้เกิดอุเบกขาเป็นเคหะสิตะอุเบกขาได้ โดยการกดข่มโดยการนั่งสมาธิ ด้วยการรู้นิ่งเฉย เป็นสมถะแบบลืมตา รู้นิ่งเฉย อย่าปรุงแต่งกับอะไรให้เฉยๆ ก็ไม่ประสีประสาอะไรไม่รู้ว่ามันยึดถืออะไร เขาให้ปฏิบัติสภาวะให้ตามภาษานี้ได้ก็ถือว่าบรรลุ ส่วนอีกพวกนั่งสมาธิเฉยๆยิ้มไป ก็เป็นความรู้สามารถตื้นๆ อย่างอาฬารที่ดาบส อุทกดาบสเรียนรู้อย่างนี้กันมา เป็นพื้นฐานความรู้ของมนุษยชาติในโลก ไม่ได้แยก กาย แยกจิตอย่างปรมัตถ์โลกุตระ การแยกกายแยกจิตของโลกุตระของปรมัตถ์ โลกุตระพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อนที่สุดหมุนรอบเชิงซ้อนที่สุด แล้วแยกออกได้จนกระทั่งทำให้จิต กาย แยกออกเป็นรูปนาม วิญญาณธาตุรู้ของเราในขันธ์ 5 เป็นธาตุรู้ที่มีทั้งรูปเวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณก็คือภาษาเรียกธาตุรู้ที่เป็นที่สุดรวม Concept ของใครความรู้องค์รวมของใครก็จะมารวมกันอยู่ที่วิญญาณ แล้ววิญญาณนี้ เราจะรู้ได้ไง ด้วยการสัมผัส ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ถ้าไปเข้าใจว่าวิญญาณคือธาตุรู้รวมแล้วก็เป็นสัมภเวสี เป็นวิญญาณล่องลอยไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไอ้อย่างนั้น ถ้าไปเรียนรู้อย่างนั้นก็ออกนอกศาสนาพุทธ วิญญาณล่องลอยสัมภเวสีอย่าไปยุ่งกับมัน มันก็ล่องลอยไปตามวิบากของใครของมัน ของเขาไม่ใช่ของคุณ หรือคุณยังอยู่ในนี้ ก็ให้วิญญาณล่องลอยไปที่อื่น ไม่ได้กำหนดหมายที่วิญญาณของตัวเอง ถ้าคุณสามารถกำหนดวิญญาณของตัวเอง ทำให้วิญญาณมันนิ่งก็ยิ่งไม่รู้เรื่องมันก็ยิ่งจมๆๆกดแน่ๆๆ ดักดานเข้าไปๆ วิธีนี้เป็นวิธีของเดียรถีย์คู่โลก พระพุทธเจ้าออกบวชใหม่ๆเป็นลิงลมข้าวพอง อาจารย์ไหนที่ว่าเก่ง อาฬารดาบส อุทกดาบส ได้ชั้นที่ 7 ชั้นที่ 8 สูงสุด พระพุทธเจ้าไปลองแล้วก็ทำได้หมดแล้วก็เลิก โพธิรักษ์ก็หลงนั่งทำอยู่นานเพราะไม่มีใครบอก นิมนต์จิบน้ำ ชาวอโศก เป็นผู้ที่มาสืบทอดศาสนาพุทธ มาสาธยายขยายความ เอาของพระพุทธเจ้ามาขยาย มาประกาศไว้ ถ้าจะว่าก็คือ เป็นผู้ที่แทนตัวพระพุทธเจ้ามาประกาศ ถ้าจะว่าจริงๆแล้วอาตมาก็คือผู้ที่เป็น ประกาศกของพระพุทธเจ้า ตัวแท้ ยืนยัน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 เป็นสยังอภิญญาผู้นั้นจริงๆ เป็นความรู้ของตัวเองที่เอามาประกาศ ประกาศโดยมั่นใจโดยไม่ได้เก้อเขินไม่ได้อยากอวดโอ่ แต่ยืนยันตัวเองว่าเป็นจริงอย่างนี้ ถ้าอาตมาอธิบาย แม้สัมมาทิฏฐิ 10 มันเป็นมิจฉาอย่างไรมันเป็นสัมมาอย่างไรแยกความแตกต่างแยกความหมายของมัน ทินนังยิฏฐังที่ถูกเป็นอย่างไร หุตัง ..ถ้าอาตมาอธิบายอย่างนี้ไม่ถูกอธิบายไม่ได้เอาไปปฏิบัติไม่ได้ ก็เป็นสยังอภิญญาเก๊ แต่อาตมามั่นใจว่าไม่เก๊ เป็นแต่เพียงอึดอัดใจอย่างเดียวที่อธิบายไม่เก่ง อธิบายไม่ละเอียดไม่ครบพอแต่ก็พอรู้ได้ใช่ไหม อยากให้มีสยังอภิญญาตัวพี่มาช่วยอธิบายหน่อย อยู่ไหน? แต่อาตมามีน้องชายที่เขาว่า เขาเป็นพระพุทธเจ้า แล้วบอกว่าอาตมาเป็นพระสารีบุตร เขาก็ว่าให้อาตมาทำงาน ตอนนี้เขาก็อยู่ที่เมืองกาญจน์ อายุอ่อนกว่าอาตมาปีหนึ่ง ปุตตมังสสูตร ข้อสุดท้ายจะรู้จักวิญญาณ เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้วก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เมื่ออริยสาวกมากำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ ให้เรียนรู้รูปนาม เรียนรู้วิญญาณผี ในข้อที่ 1 หากตีไม่แตกแยกไม่ออกก็เหมือนกินเนื้อบุตรตัวเอง เหมือนกับคนทุกวันนี้ไม่กินเนื้อบุตรหรอก แต่กินเนื้อสัตว์อยู่ ยังไม่รู้เรื่องว่ากินเนื้ออยู่ คำว่ากินเนื้อ มังสะ ยังเป็นคนที่ไม่มีวิชชา มนุษย์เป็นสัตว์กินพืชไม่ใช่กินเนื้อ กินเนื้อแล้วก็ยังไม่พอ ดันไปกินเนื้อคน เป็นไง? กินเนื้อบุตรตัวเอง ทำไมไม่กินเนื้อตัวเอง…บุตรเป็นหัวใจของตน กินแล้วก็ไม่รู้เรื่อง แล้วบอกว่าบุตรที่น่ารักของฉันหายไปไหน?….ไอ้โง่ คนนี้จมกับบาปมาก ไปกินเนื้อแล้วก็กินเนื้อบุตรตัวเองด้วย ไม่มีคนที่บาปกว่าคนคนนี้อีกแล้ว เพราะเขาไม่รู้เลยว่าเขาอยู่กับสิ่งเหล่านี้อยู่กับอะไร อยู่กับมหาอเวจีนรก ทำกรรมมหาอเวจีนรก เขากำลังเดินไปหานิพพานแต่ทำมหาอเวจีนรกแก่ตัวเอง ไม่มีอะไรที่จะงี่เง่าเท่านี้อีกแล้ว ทางปฏิบัติออกนอกศาสนาพุทธ ตัวเองทำบาปทำเวรสุดยอดหัวใจตัวเองกินแล้วก็ไม่รู้ตัว ไปกินเนื้อ เนื้อนั้นไม่ใช่เนื้อใครแต่เป็นเนื้อบุตร แล้วกินแล้วไม่รู้ว่าตัวเองฆ่ากิน แล้วบอกอีกว่าบุตรฉันไปไหน อาตมาว่า สุดยอดอุทาหรณ์ของพระพุทธเจ้า ตัวเองทำกับมือ เจตนาฆ่าบุตรตัวเองทำเองหมด เกิดจากวิญญาณณตัวเองธาตุรู้ตัวเอง แล้วก็เจตนาฆ่าบุตรตัวเอง จมอยู่ในตัวเองมืดมิดสนิท ไม่มีธาตุที่จะมีเศษเสี้ยวละอองธุลีที่จะมาดูอะไรได้เลย วิญญาณสุดโง่อาศัยวิญญาณสุดโง่ ไม่รู้จักเจตนา ไม่รู้จักเวทนา ไม่รู้จักกาม เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เรียนรู้ กาม เป็นเบื้องต้นยังไปยินดี กาม คือ กามฉันทะ ยินดีในกามแล้ว คุณก็แสวงหากาม เสพกามอยู่เต็มปาก เที่ยวอยู่ตลอดเวลาเ สพรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ไม่รู้ คุณยิ่งกว่าผัวเมียคู่นี้ฆ่าลูกกิน นี่มหาบัวไม่รู้เรื่องไม่รู้กามฉันทะ ซึ่งเป็นเบื้องต้นแห่งความสงัด ต้องสงัดจากกาม ปิดตาหูจมูกลิ้นกายไปนั่งหลับตาอีก บอกว่าต้องมาเปิดตามาสัมผัสต่างๆหูจมูกลิ้นกาย ก็ว่ามีด้วยหรือ? เขาว่าไม่มีหรอก มีแต่ถ้ำ มุดถ้ำ จมอยู่ในถ้ำจมอยู่ในความหลงแห่งถ้ำ เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธ นั่งหลับตาคือคนบ้าของศาสนาพุทธ มันเป็นความงมงายของศาสนา คนที่ปลุกไม่ตื่นของศาสนาพุทธ เจ้าประคุณ เอาหอกแทงเช้าร้อยเล่ม ไม่เข้า ไม่ตาย ไม่รู้ตัว ไม่รู้สึก หนายิ่งกว่า คำว่าไม่เกิดของมหาบัวก็เหมือน อาฬารดาบส อุทกดาบส ไม่รู้ว่าจะเกิดหรือยัง จมหายไปไม่มีระหว่างเลย สองอันแน่นสนิทเนียนแยกระหว่างไม่ได้เลย คือนิรันดร นิรันดรคือการแยกสภาพคู่ที่มีอยู่ไม่ออกเลย เอาสภาวะมาอธิบายแปล นิรันดรว่า อย่างนี้ คือ สอง เทวะ แยกไม่ออกจมอยู่อย่างนี้นิรันดร แม้แต่ศาสนาพุทธก็เป็นเทวนิยมจมกับการนั่งหลับตาไม่เรียนรู้ไม่แยกแยะสภาวะ 2 แยกรูปนามไม่เป็น สู่แดนธรรมว่า..นิรันดรแปลว่าหาที่สุดไม่ได้ด้วยหรือ พ่อครูว่า…ใช่ นิรันดรจมอยู่ในความโง่ไม่สุดสิ้น ศาสนาพุทธก็ทำนิรันดรได้แต่ไม่โง่จมอยู่กับนิรันดรเป็นผู้มีนิรันดร ศาสนาพุทธทำความไม่มีนิรันดร เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุที่จะเป็นอุตุธาตุ พีชธาตุ อยากให้เป็นดินน้ำไฟลมหายไปเลย ศึกษาธรรมะพุทธเจ้าและทำอันนี้ให้ได้ เรียนรู้จิตเจตสิก โดยเฉพาะเวทนา ความสุขความทุกข์เป็นคู่ที่สำคัญมากที่สุด แยกสุขทุกข์แล้วเรียนรู้ว่าความสุขคือมายา คุณหลงความสุขติดในความสุขก็เป็นเทวนิยม เมื่อรู้ว่าสุขก็คือทุกข์ มันมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ท่านจึงเอาความทุกข์มาเป็นตัวอาศัยให้ศึกษาความรู้สึกและเรียนรู้เหตุที่ทำให้มันเกิด เหตุก็คือความโง่ของเราจะยึดถือว่ามันมีทั้งที่ความทุกข์มันไม่มี ผู้ใดทำให้หมดทุกข์หมดสุขได้ พูดไม่เป็นภาษาแต่คุณต้องอ่านอาการ นี่คือความสุข ตั้งแต่ความสุขที่หยาบๆ การสัมผัสแล้วเกิดความสุข ไม่ได้สมใจไม่ได้ตามสมมุติ อุปาทานที่เรายึดไว้ อุปาทานคือ static ตัณหาคือ Dynamic เมื่อได้อยากก็ไปแสวงหามาเสพก็สงบนิ่งอีก แยกไม่ออก จมอยู่อย่างนี้ พอแยกออกแล้ว พระพุทธเจ้าถึงแบ่งเป็นลำดับ เราไปมีความสุขความทุกข์อะไรกับสิ่งที่มี ง่ายหยาบควรเลิกควรหยุดมันต่ำไม่เข้าท่านกับเรื่องอบาย ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องโลกที่ต้องไปวนเวียนเสพความสุขความทุกข์กับมัน อาตมาเคยยกตัวอย่างน้องเขยติดยาสูบบุหรี่ เขาชื่อเล่นว่าโป๊ เขาติดบุหรี่ เมื่อบุหรี่หมด จะออกไปซื้อก็ต้องเดินไปที่ปากซอย จะขับรถออกมาก็ไม่ได้เดี๋ยวเมียได้ยิน ก็เดินออกมาหลบเลี่ยงออกมาไปซื้อ นี่คือความหมดความอยากไม่ได้ ทนความอยากไม่ได้ ต้องต่อสู้กับอุปสรรค ก็ต้องทำ นี่ก็ยกตัวอย่างเบาๆ ใกล้ๆตัวสู่ฟัง ยิ่งคนที่ติดยึดแรงๆต้องเอาให้ได้ อย่างโดนัลด์ทรัมป์ เขาจะต้องเป็นใหญ่ในโลก First American ต้องยิ่งใหญ่มาก่อนอื่นนี่คือความหลงตัวหลงตนของมนุษย์คนหนึ่งที่ขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับ 1 ของประเทศ แล้วก็ประกาศความมีตัวตนความยิ่งใหญ่ ความจะต้องแสดงอำนาจบาตรใหญ่ออกมาโดยพยัญชนะ โดยภาษาซึ่งก็ออกมาจากจิตก้นบึ้งของเขา แล้วคนก็ไปซูฮก คนไหนไปซูฮกคนนั้นก็เป็นทาส จตุมหาราช คือยักษ์มาร ตัวใหญ่ตัวอวดดิบอวดดีที่สุด จตุมหาราชที่มี ปรนิมมิตวสวัตตีครบพร้อม หลงยามา ดุสิต นิมมานนรดี หลงปรนิมมิตวสวัตดี หลงโลกสวรรค์หลอก 6 ชั้น เต็มบ้องเลย นี่คือพยัญชนะที่สอนสภาวะธรรมของศาสนาพุทธเขาไม่รู้เรื่อง แต่เขาอยู่ในสภาวะนี้เต็มบ้อง สวรรค์ต้องเป็นความสุขในโลกีย์ของคนรวยสวรรค์ยิ่งใหญ่ลาภยศสรรเสริญสุข หลงสวรรค์เป็นสุขนิยมเต็มรูปนาม ไม่เข้าใจแล้วเขาก็สร้างทุกข์สร้างอำนาจบาตรใหญ่ อยากจะไปทิ้งระเบิดจะใช้โดรนไปยิงใครตายเขาก็ทำ สารพัดเบ่งขี้แตกเขาก็ไม่รู้จักสัจธรรมโลกถึงน่าสงสารน่าสังเวช ที่คนแสดงอาการที่น่าเกลียดน่าชังอย่างนี้ ก็ยังยอมซูฮกก็ยังยอมนับถือ เขาอยู่ด้วยมายา อย่างอเมริกาอยู่ด้วยมายาที่เขาเองมีสิ่งที่เป็นอำนาจคือกูสร้างอาวุธได้เก่งกว่าเพื่อน แข่งกันอยู่นี่ ถ้าจีนสร้างอาวุธได้เก่งกว่าอเมริกาเมื่อไหร่ อเมริกาเอ๋ย จบ… Category: ศาสนาBy Samanasandin12 กุมภาพันธ์ 2020Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:630210_เทศน์ทวช.งานพุทธาภิเษก#44 บ้านราชฯ กายนี้คือวิญญาณ ตอน2NextNext post:630213_พ่อครูตอบปัญหางานพุทธาภิเษก#44 บ้านราชฯ เรื่องบุคคล 7Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024