630214_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมะ 2 ของบุคคล 7 อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/16GpSEPETYncY_DnSob3A5I3ew0cH5FgsLDG12qUqPU4/edit?usp=sharing ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1Hpuo4E0YTAi4p7SNe6sWmJVHwWgA7PEQ พ่อครูว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เราก็คงจะได้เห็นหิน หรือ ศิลา ของแข็ง ศีลา ของแข็ง ก็ขนมาเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งจริงๆแล้วมีคนถามเหมือนกันว่าขนมาทำไม ขนมาให้มันมีหิน ก็ที่นี่มีน้ำกับดินกับโคลนกับทรายเท่านั้น พวกเราชาวอโศกไม่ค่อยจะเน้นธาตุลม เราจะไปเน้นธาตุดินน้ำลมไฟ เราไม่ไปเฟ้อหลงธาตุโลหะ เพชร แก้ว เราจะเน้นธาตุแกนหลักมหาภูตรูป หินคือธาตุดิน น้ำก็แน่นอนเราทำน้ำตกน้ำโตนแม่น้ำ เราใหญ่แค่แม่น้ำมูลก็พอใจแล้ว ไม่ใหญ่เท่าแม่น้ำโขงแม่น้ำฮวงโหแม่น้ำมิสซิสซิปปี เราไม่อยากเท่านั้น เราใหญ่ประมาณแค่แม่น้ำมูล แค่แม่น้ำโขงเราก็สู้ไม่ได้หรอกก็เอาแค่นี้แหละ แม่น้ำมูล บุ่งไหม เราก็ทำคลองที่เล็กกว่าบุ่งไหมอีก คลองถอยหลังเข้า เราก็ทำขึ้นมาด้วยมือของเราเอง ต้นไม้เราก็พยายามปลูก อีกสัก 10 ปี 20 ปี ราชธานีจะเขียวกว่านี้ เรามาอยู่ใหม่ๆนี่หัวแดงนะ ใครมาอยู่ใหม่ๆยกมือขึ้นซิ ราชธานีอโศก มีแต่พุ่มไม้ ไม้ล้มลุก ไม่มีต้นไม้ใหญ่ มีแต่พุ่มไม้น้ำ ที่นี่เขาเรียกป่าบุ่งป่าทาม ขนาดนั้นปีที่แล้วน้ำท่วมก็ทำให้ต้นไม้ตายไปเยอะ ต้นไม้ที่ไม่มีแก่น อ่อนแอ เช่นต้นมะละกอเสร็จหมด เตียนเลย เหลือต้นไม้ที่แข็งแรงบ้าง ก็เหมือนกับการคัดพันธุ์ ต้องแข็งแรงจะอยู่ที่นี่ เหมือนกับคนที่จะมาอยู่ที่นี่ต้องคัดพันธุ์ที่แข็งแรง แข็งแรงทางโลกุตระด้วย ไม่ใช่แข็งแรงทางโลกีย์ ทางโลกีย์เราสู้ไม่ได้หรอกเรายอมแพ้เรายอมให้คุณชนะไปเลย แข่งสุข แข่งยิ่งใหญ่มีอำนาจบาตรใหญ่ให้เข็ด เราหยุดแข่งแล้ว ถ้าจะว่าแข่งเราแข่งทางโลกุตระ การแข่งทางโลกุตระไม่มีตัวตนที่จะดีจะเด่นอะไรแต่แข่งความก้าวหน้า ไม่ใช่ข่มเบ่งกันเอาเปรียบเอารัดกัน แข่งกันแต่ละคนให้ก้าวหน้าแต่ละคนเจริญขึ้นเจริญขึ้น จริงๆแล้วก็คือแข่งตัวเอง วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ ทำขึ้นไปมันก็ไม่เป็นพิษเป็นภัย ไม่เบียดเบียนใคร นี่เราพูดจริงนะ ส่วนจะได้มากได้น้อยเท่าไหร่ ก็เอาล่ะ ตามอินทรีย์พละบารมีของแต่ละคน ลองอ่านของผู้ที่ตาบอดแล้วเขียนโคลงกลอนมา ขนศิลาพาไปนิพพาน เห็นปลวกตัวเล็กน้อยแข็งขยัน ไม่นับแม้คืนวันล่วงไซร้ กองทัพปลวกสร้างสรรค์จอมปลวกใหญ่เฮย ยกอุปมาเทียบไว้มนุษย์นี้ คำนึง ก้อนศิลา ก้อนศิลาใหญ่พ้นบ่าแบบ มนุษย์ร่างน้อยตีแตกแยกร่าง อดีตมือเปล่าย่อมแปลกข้ามขนหินมาไฉน ความบากบั่นนี้ไซร้สร้างมหานาคร สุภาษิตขึ้นสู่แดนสรวง ไม่ใช่แดนสวรรค์ลวงแน่เด้อ ครอบครัวมนุษย์ทั้งปวงพ้นจากทุกข์เฮย มิใช่พุทธฝันเพ้อหลอกให้คนหลง บรรพชนรุ่นแรกนั้น ก่อนา ยังบ่มีศิลาเช่นนี้ อนุชนร่วมอาสาสร้างสิ่งมหัศจรรย์ พุทธชาติย่อมช่วยชี้เพาะเชื้อพุทธชน พ่อครูว่า…เหตุปัจจัยในความเป็นมนุษย์ก็ดีความเป็นสัตว์โลกก็ดี มันก็เป็นเหตุปัจจัยที่จะสื่อแสดงให้เห็นถึงความพากเพียรถึงคุณค่าประโยชน์ต่างๆ ของแต่ละสัตว์แต่ละคน แต่ละฐานะ เพื่อให้เห็นว่าเขาสร้างกันทั้งวัตถุและจิตวิญญาณ โดยเฉพาะมนุษย์ สัตว์มันไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ บีเวอร์ก็ดีปลวกก็ดี มันก็ทำได้เท่าที่มันทำ ส่วนคนนี้ก็สร้าง คนที่เป็นโลกียะก็หลงสร้างกันไป ที่เห็นๆกันตามประสา มนุษย์ที่เป็นอาริยะ เป็นโพธิสัตว์ก็จะสร้าง บางโพธิสัตว์สร้างใหญ่ คำว่าศาสนาคือเพื่อเทิดทูนศาสนา เพื่อเทิดทูนพระพุทธเจ้า หรือพระเจ้าของเขา ก็ทำวัตถุขึ้นไป ทั้งๆที่ซ้อนๆในศาสนาเทวนิยม บางศาสนา ท่านบอกว่าไม่ติดวัตถุ อย่าเอารูปแทนสมมุติ แต่เขาต้องทำวัตถุก็ไปสร้างอันโน้นอันนี้ สร้างอาคาร วัตถุอื่น โดยเขาไม่ค่อยมีปฏิภาณว่าอย่าเอา รูปมาปนนาม เพราะว่าพระเจ้าเป็นนามธรรม ศาสนาพุทธนั้นแยกรูปแยกนามไปตามลำดับ แม้แต่นามก็ไม่ใช่พระเจ้า นามคือนาม เพราะฉะนั้นจะทำนามธรรมด้วยจิตวิญญาณธาตุรู้ให้เจริญ เจริญอย่างไร โลกุตระมีกี่ชั้น โลกุตระสูงสุดมี 9 ชั้น 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีสัมมาสัมโพธิญาณเท่ากัน แต่ไม่เท่าพระพุทธเจ้าสมบูรณ์นั้น แต่บอกว่าไม่เท่าก็เท่า ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าบางองค์ ท่านมีสัมมาสัมโพธิญาณเท่ากัน แต่เผยแพร่ศาสนาก็ทำงานศาสนาพุทธมาทั้งนั้นจนชาติสุดท้ายที่ท่านจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเอง ทั้งทีท่านมีสยัมภูเท่ากับพระพุทธเจ้าทุกองค์ แต่ท่านไม่ได้ประกาศศาสนา ไม่ได้ประกาศกับโลกว่า นี่คือศาสนา นี่คือธรรมะของพุทธะแล้วให้คนมารับพุทธะนี้ไป ท่านไม่ได้ทำ แต่ท่านก็ทำมาตลอดที่เป็นโพธิสัตว์ปางสุดท้ายเท่านั้น ที่ท่านไม่ประกาศ ท่านเลยไม่มีชื่อให้คนรู้ว่า ท่านเป็นพระพุทธเจ้า แล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่ต้องการแม้แต่ชื่อติดในทำเนียบโลกว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง สุดยอดแห่งความไม่มีตัวตนยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งด้วย สู่แดนธรรมว่า…ทำไมพุทธประวัติไม่มีพระนามของพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย พ่อครูว่า…เป็นพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้ามีภูมิเท่าพระพุทธเจ้า แต่ประเด็นที่มันต่างกันตรงนี้เท่านั้น ทำการสอนมาทำงานมาตลอด เป็นแต่เพียงชาติสุดท้ายเท่านั้น ชาติสุดท้ายชาติเดียว ที่ท่านไม่ประกาศศาสนาพุทธ พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นั้นจึงยิ่งไม่มีตัวตนยิ่งกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเหนือกว่าคือ 0 ยิ่งกว่า สิริมหามายา เข้าใจกันใหม่ สูญกว่าเพราะคนรู้จักน้อยกว่า ท่านไม่ได้ประกาศให้คนรู้จักในชาติสุดท้าย แต่ท่านปรินิพพานเป็นปริโยสานก่อน เห็นความซับซ้อนสลับไปมาไหม ตกลงพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไม่ประกาศศาสนาใครสูงกว่าใคร …ไม่มีตัวตนยิ่งกว่า วันนี้ขยายความพุทธภูมิถึงขนาดนี้ เข้าสู่ประเด็นที่เราจะซ้ำซาก บุคคล 7 สัทธานุสารี ธัมมานุสารีเป็นคู่ แต่เราก็ทำให้เห็นตามแพทเทิร์น สัทธานุสารี ก็ต่ำกว่าธัมมานุสารี ธัมมานุสารีเป็นสายปัญญาโดยแก่นจริต เรียกว่าพุทธิจริต ไม่ได้เรียกปัญญาจริต ธัมมานุสารีคือ ผู้ที่มีปัญญาเป็นแกนหลัก สืบทอดสายตรงของพระพุทธเจ้าเลย สายศรัทธาโดยตรงจะช้านาน ใครยิ่งไปวนเวียนหลงติดวงวนโลกียะ คุณจะวิมุติโลกียะ เคหสิตอุเบกขา นั่งหลับตาสะกดจิต เหมือนอาฬารดาบส อุทกดาบส ไม่เอาอ่าวกับภายนอกไม่ใส่ใจเรื่องภายนอกทวาร 5 ภายนอก มุ่งแต่อยู่กับภายในแล้วก็ดับ แล้วบอกว่านี่คือวิมุตินี้คือนิโรธ ก็จมสู่ความหลงไกลจากวิเวก ไกลแสนไกล ไม่ใกล้เลย ไปใหญ่ ด้วยความไม่รู้ไม่มีพุทธิปัญญา หลงไป วนไป แล้วก็ฟื้นมาใหม่ ก็ไม่เข็ดอีก แต่ละชาติก็ทนได้ต่อทุกข์ ทนได้มากกว่าก็หลงสุขได้มากกว่าอีก ก็ตกนรกอเวจีหนักขึ้นไปอีก เมื่อหมดวาระแห่งฤทธิ์อำนาจ ใช้เวรเสร็จก็หลงสุขอีก ไม่รู้จักทุกข์ หลงสุข เป็นสุขนิยมไม่รู้จักทุกข์ เพราะฉะนั้นสายศรัทธาไม่ต้องพูดถึงว่าความวนเวียนจะนานแสนนาน จนกว่าสายศรัทธา จะมามีความรู้ทางปัญญา เริ่มรู้ทางปัญญาก็จะเริ่มมาเป็น ธัมมานุสารี แต่ก็ติดสัทธาวิมุติมาพอสมควร นี่ไม่ได้ใกล้ปัญญาวิมุติเลยนะ ปัญญาวิมุติจะอยู่ขั้นที่ 6 สัทธาวิมุติ เริ่มมีความรู้บ้างแต่ก็วนเวียนอยู่ในกรอบเข้ามาเป็นสัทธานุสารี สัทธาวิมุติ อยู่ในวัฏฏะวงวนของสามเส้า ความนานของศรัทธา ผู้ใดเกิดมาเป็นสัทธาจริตก็อย่าเพิ่งไปลงโทษตัวเองอย่าไปท้อถอย พากเพียรไปตามควรเลยในไหนๆก็ไหนๆแล้ว หรือเช่นใครเกิดมาเป็นผู้หญิงก็อยากมาเป็นผู้ชายเป็นอรหันต์ผู้ชายก็ไม่ต้อง ให้จบพระอรหันต์ก่อน หมดทุกข์หมดโศกเท่ากัน แล้วบารมีของพระอรหันต์ถ้าดำเนินเป็นโพธิสัตว์ไปวันหนึ่งคุณก็ได้เป็นผู้ชาย แล้วคุณจะรู้เองว่าเป็นผู้ชายดีกว่า แล้วก็จะมีบารมีที่ทำถ้วนมาเอง ไม่ต้องอยาก หากอยากจะกลายเป็นกะเทย เอาธรรมะโลกุตรธรรมดีกว่า ไม่ต้องอยากเป็นผู้ชาย หากเป็นเองได้จะเป็นอย่างจริงถ้าอยากเป็นมันจะไม่จริง ความอยากมันทำให้เสียหาย ธัมมานุสารีก็จะมาเป็น ทิฏฐิปัตตะ ธัมมานุสารีคือคนผู้ตามหาแก่นสาร นิพพานเป็นแก่นสาระ ในมูลสูตร สายศรัทธาก็จะได้มาต้องเสริมบารมีให้ตัวเองจนก้าวหน้าเป็นทิฏฐิปัตตะ คือ ความเข้าถึงด้วยปัญญาตามความเห็นความรู้ ไม่ใช่บรรลุด้วยสมถะ แต่บรรลุด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ส่วนธัมมานุสารีนั้นตรงเลย มาทิฏฐิปัตตะ ส่วนสายศรัทธาก็จะมาเป็นกายสักขี เพราะสายศรัทธา จะเอาแต่ภายในไม่ออกมาภายนอกเพราะไม่ชัดเจนในคำว่ากาย กาย แยกข้างนอก ออกบ้างไม่ออกบ้าง ไม่เอาภาระเต็มที่ไม่ทำกายนอกกายในให้สมดุลก็จะเอียงโต่งไปด้านภายใน ก็จะช้า เป็นธรรมดาธรรมชาติจนกว่าจะชัดเจน ถ้าสายศรัทธาพยายามเข้าหาสายปัญญาให้ดี แต่อย่าไปอยากได้ พากเพียรไปตามลำดับจะได้เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องให้รู้การศึกษา 3 ทำศีล แล้วให้เกิดจิตอธิจิตบรรลุสั่งสมๆ ตามจรณะ 15 วิชชา 8 แล้วก็จะตกผลึก เป็นจิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นจะเกิดหลังจากที่คุณมีความบริสุทธิ์สะอาดจากอาสวักขยญาณ อาสวักขยญาณ คือญาณที่ 8 ของวิชชา 8 แล้วก็จะสั่งสมความสะอาดของจิต หากไม่ถึงขั้นญาณที่ 8 ก็สั่งสมมาเรื่อยๆ เป็นลำดับที่หมุนรอบเชิงซ้อน ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา อัญญา เป็นตัวละเอียดที่ง่ายที่ชัดที่เร็ว ก็จะเห็นเป็นปัญญาวิมุติ ก็จบปัญญาวิมุติ มาขยายกายสักขี มาทิฏฐิปัตตะ อ้าวจอใหญ่ดับไป…มาแล้ว กายสักขี พระพุทธเจ้าถึงสำทับกำชับไว้ว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่ถ้าคุณเริ่มด้วยสักกายสักขี คุณก็ยังเข้าใจ กาย ยังไม่สมบูรณ์แบบสมาธิบริบูรณ์ สายปัญญาก็จะมีสัมมาทิฏฐิบริบูรณ์ พระพุทธเจ้าจึงต้อง สำทับว่า ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายชนิดที่พ้นวิจิกิจฉา วิจิกิจฉาเขาอธิบายกันแค่ไม่ลังเลสงสัยในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ก็ได้ เป็นโครงสร้างที่หยาบ ก็ใช่ นามธรรมนั้นคือเข้าใจกาย รู้จักกาย แล้วไม่ต้องเป็นของคนอื่น เอากายของตนนี้ สัมผัสและเกิดภายนอกภายใน เราเรียนรูปนามทั้งภายนอกภายในให้สัมผัสสัมพันธ์กันครบถ้วนรู้จักรูปรู้จักนามรู้จักสภาวะ 2 เป็นภายนอกภายในก็ดี เป็นรูปเป็นนามก็ดี จนกระทั่งแยกกายแยกจิต เทวะ ก็ 2 คำว่า 2 แล้วแยกให้ละเอียด ตีแตกแยกแยะให้ละเอียด distinguish ต้องอ่านให้ถูกต้อง มีคนท้วงอาตมามา อาตมาฝรั่งแค่ไส้เดือนกิ้งกือไม่ระดับงูๆปลาๆด้วยซ้ำ ท่านจึงสำทับสายศรัทธาว่ต้องทำต้องเรียนรู้กายให้ชัด รู้ กาย รู้ จิต แยก กาย แยกจิต ทวนอีก กายกับจิตเป็นมูลกรรมฐาน พอมาบวชในศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้ากำชับกำชาอุปัชฌาย์ต้องมีความรู้เรื่องการแยกกายแยกจิตให้สำคัญ ถ้าไม่เข้าใจอย่างสัมมาทิฏฐิแยกกายแยกจิตไม่สัมมาทิฏฐิไม่ถูกต้อง ก็ไม่ได้ เพราะรูปนามสัมพันธ์กัน เรียกว่ากาย เมื่อไหร่มันสัมพันธ์แล้วไม่เรียกว่ากาย พีชะ เป็นชีวะ อยู่ในชีวะเรามีขั้นจิต ขั้นพีชะ ขั้นอุตุ ในอรหันต์เป็นๆ โลกที่สัมพันธ์เสพติดอยู่กับอบายมุข เราก็เรียนรู้จิตที่ติดอบายมุข อันมีวัตถุด้วย ติดเล่นไพ่ เล่นไปเล่นมาสู้เขาไม่ได้สักที อาตมาก็ว่าเรายังไงก็ไม่ขึ้น ไปหัดกินเหล้าเบียร์ก็สู้เขาไม่ได้ แทงบิลเลียดก็สู้เขาไม่ได้ แทงจนแขนยกไม่ขึ้น แต่ถึงเวลาจะแทงก็ยกขึ้น ถือคิว เล็ง แล้วมันจะไหวหรือ ก็รู้ว่าตัวเองไม่เจริญทางอบายมุข ก็เลยถอยดีกว่า ไม่ว่าจะกินเหล้า เล่นการพนันจีบผู้หญิง แข่งงานทางดาราไม่ขึ้นสักอย่าง แต่แรกว่าทำไมเราอาภัพ แต่ตอนหลังก็รู้ว่าคืออะไร ด่าเขาอีก ก็ไม่ใช่ด่าหรอก ให้รู้ว่าอันนั้นไม่ใช่สาระอะไรแก่ชีวิต แสดงไม่ต้องได้รางวัลตุ๊กตาทอง อาตมาแสดงไม่มีสิทธิ์ได้เป็นพระเอก เป็นพระรองๆๆๆ ไม่ใช่แค่พระรองที่2 นะ หรือไม่ก็เป็นตำรวจมาตอนจบ ได้เป็นพระเอกอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นขอทาน มีภาพเลย สุลาลีวัลย์ เป็นนางเอก สรุปแล้วไม่เด่นทางโลกีย์ยิ่งทางอบายมุขยิ่งหมดท่า ส่วนคนอื่นที่เป็นเพื่อนก็เล่นไพ่กัน นพพร สุรพล โทณะวณิกก็เป็นขาเล่นไพ่กัน สมภพ สัมมาพันธ์ก็ตายไปแล้ว เห็นภาพไหม (insert ภาพพ่อครูสมัยฆราวาส) มายืนยันว่าอาตมาก็ผ่านมาไม่เด่นสรุปแล้วไม่ขึ้น ทางการเต้นกินรำกินไม่ขึ้น ก็ทำงานอยู่ในโทรทัศน์อาตมาก็ถูกจับไปอยู่ทางสาระวิชาการ ทั้งที่ไม่จบปริญญาตรี ใครก็ไม่เชื่อว่าไม่จบปริญญาตรีคบกับอธิบดีคบกับผู้อำนวยการ คบกับครูใหญ่คบกับนักวิชาการ ติดต่อมาออกร่วมโอภาปราศรัย สัมภาษณ์อย่างนั้นอย่างนี้อย่างกับตัวเองแสนรู้มีความรู้ จนคนเข้าใจผิดหมด แต่ตัวเองปริญญาจัตวาก็ไม่ได้มีแต่ ปวส. แต่ก็ทำงานเอาสาระ ทางวิชาการออกโทรทัศน์มา ก็ทำแม้แต่เด็กๆก็เอาภาระทำรายการของเด็กรายการ ของหนุ่มสาว ของชนชั้นวิชาการต่างๆก็พอสมควร จนกระทั่งสรุปแล้ว 12 ปีในทางโลกีย์ ก็เลิกมา มาทำงานทางธรรมะอย่างเต็มไม้เต็มมือ คือมันชัดเจนในตัวเองเลย พอออกมาทำงานด้านนี้แล้วถึง 50 ปี อาตมาอยู่ทางโลกอายุ 36 ตอนนี้ ทำงานทางธรรมะมา 50 ปีก็อายุ 86 ปี ได้ผลประมาณนี้ เป็นความจริงประมาณนี้ มีสังคมที่เป็นสาราณียธรรม 6 มีคนได้บรรลุผลไปตามควร ได้ธรรมสมควรแก่ธรรม ก็มาอยู่ร่วมกันตามวรรณะ 9 ก็มาอยู่รวมกันด้วยธรรม 6 คือ เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา พระโสดาบันก็รู้ว่าเสมอกับพระโสดาบันในพระโสดาบันก็มีความต่างระดับกันอีกมากมาย ไม่ไปเผยอ เกินเหตุ ไปตีตัวเสมอสกิทาคามี พระสกิทาคามีก็ไม่มีตีตัวไปถึงพระอนาคามี ก็จะมีปัญญารู้สัจจะ อยู่ร่วมกันอย่างสงบ มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรมโดยมีหลักของศีลสามัญญตา แล้วก็มีความเห็นความรู้ความเข้าใจคือเป้าหมายในพระนิพพานคือทิฏฐิสามัญญตา แล้วอยู่กับโครงสร้างใดคือสาธารณโภคี ลาภที่ได้โดยธรรม แต่ละคนสร้างแล้วมารวมกัน ลาภธัมมิกา ไม่มีทุจริตไม่มีขี้โกง สะอาดบริสุทธิ์ เท่าที่จะเป็นไปได้ มันอาจจะมีแทรกแซงมีบกพร่องอยู่บ้าง เห็นแก่ตัว ยึกๆยักๆอยู่บ้าง แต่ทุจริตไม่มี ก็ยังไม่รู้ว่าใครขโมยมือถือ จับได้แล้วควรจะชำระให้สำคัญ อะไรกันจะมาเอาดีแค่ขโมยโทรศัพท์ โทรศัพท์มันยิ่งใหญ่หรือ อาตมาใช้ไม่เป็น ให้คนอื่นใช้แทน ก็ใช้พูดคุย เปิดปิดก็ยังไม่เป็นเลย ก็พอรู้เล็กๆน้อยๆ แต่ไม่ศึกษาฝึกฝน ให้ผู้ที่เก่งเขาช่วยเขาทำ เหมือนตัวเองขี้เกียจแต่ไม่ขี้เกียจแต่ไม่เอาไม่ทำ เอาพลังงานไปใช้ในทางอื่นที่สำคัญดีกว่า สรุปแล้วเราก็เกิดผลเป็นกลุ่มชุมชนสังคม ที่เรามีกันนี้ เป็นกลุ่มชุมชนที่เป็นสาธารณโภคี ทางเศรษฐศาสตร์ ก็ถึงขั้นเสียภาษี 100% สาธารณโภคีทางรัฐศาสตร์ ก็บริหารโดยไม่ต้องบริหาร รัฐบาลไม่ต้องบริหารพวกเราช่วยบริหารขัดแย้งกันนิดๆหน่อยๆตามลักษณะประชาธิปไตย ประชาธิปไตยคือการขัดแย้งกันพอเหมาะ พวกเราไม่ขัดแย้งรุนแรงเหมือนภายนอก ทุกวันนี้เมืองไทยจะมีตัวอย่างคนอย่างธนาธร หรือดร.ปิยบุตร ก็ต้องขอบคุณที่เขาเสียสละเป็นตัวตลกเป็นตัวละครให้แก่สังคมทางการเมือง ก็ต้องขอบคุณเขาที่เขาเป็นตัวตลก ตัวกับแก้ของเวทีที่จัดแสดง จริงๆแล้วแสดงแบบธนาธรแบบปิยบุตร มันเป็นการแสดงถอดมาจากทักษิณนั่นแหละ ซึ่งทักษิณเขาก็เป็นหัวเรือใหญ่ มีสมัคร ยิ่งลักษณ์ ใช้ Woman touch เศรษฐกิจสาธารณโภคีของชาวอโศกเป็นแกนหลัก เราไม่ได้จนใจ แต่เราจนจริง ใจนี่มันจริงๆกับความจน มันไม่มีปัญหา ชัดเจนว่าจนที่ไหนดี มีแต่บอกว่าระวัง ทีเราก็จนไม่ลง พูดไปแล้วก็อย่าไปGuilty ว่าเรายังทำไม่ได้ ทำงานไม่มีเป็นของตัวของตนทำงานเพื่อผู้อื่นจริงๆเสียสละสร้างสรรไป ไม่ต้องห่วงไปหรอก เขาก็เห็นความจริงของเราเอง เขาจะเห็นจะรู้ว่าคนนี้ ปาสาทิโก อาการน่าเลื่อมใสน่านับถือน่ายกย่อง วรรณะ 9 อปจยะ ไม่สะสม วิริยารัมภะ มันเป็นจริงตามธรรมพระพุทธเจ้าเป็นหลักที่ตรวจสอบได้ทุกเมื่อเลย พิสูจน์แล้ววรรณะ 9 สาราณียธรรม 6 พวกเราทำได้ไม่ใช่โมเม เป็นเรื่องจริง เราทำงาน ไม่มีใครเอารายได้มาเป็นของตน หรือบางคนยักนิดหน่อยก็ตัวใครตัวมัน แต่คนชัดเจนว่าไม่เอาหรอก เขาไม่ให้ก็ไม่ใช้ ทำสุดที่แล้วจบ หาทางอื่นโดยไม่ต้องใช้เงินก็ได้มีอะไรให้ทำเยอะแยะ ก็สบายมากเลยในนี้ สบาย สะดวก สงบ สะอาด สว่าง สุภาพ สุดยอด ไม่รู้กี่ 5 เพราะฉะนั้นเมื่อคนที่ประพฤติปฏิบัติได้จริงก็มาร่วมอยู่กับเราก็เป็นเอกีภาวะ เอกธรรม เป็นหนึ่งเดียวกันเห็นๆอยู่ร่วมกันเป็นรูปร่างชัดเจน เราชัดไหม แต่คนอื่นไม่ชัดก็จะมองเรา เขาตายังไม่ดี เขาไม่เชื่อ ไม่มีปัญหาเลย ใครจะเชื่อจะชัดหรือไม่เชื่อไม่ชัดก็ไปบังคับเขาไม่ได้เราก็ทำของเราจริงๆ ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด อันนี้ก็เป็นสัจจะที่อาตมาเห็นจริง ทุกคนทำให้สะอาดด้วยตัวเอง มันจะมีบกพร่องไม่สะอาดก็ทำให้มันสะอาด มันยังไม่ได้ก็พยายามให้รู้ว่าอันนี้ยังเกินตัวเองอยู่ ถ้าไม่ไหวก็เอาไว้ก่อน ก็ไม่ต้องอยากเจริญเร็วก้าวหน้าอยากจะสูงเร็ว เราก็รู้ฐานะของตัวเอง ช่วยกันอยู่แล้ว เป็นสังคมมิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ ผู้ใดที่มีฉันทะมีความยินดีเข้าใจก็มาเริ่มต้น ตามสุริยเปยยาลสูตร แสงเงินแสงทองต้องมาก่อน สุริยเปยยาล (เล่ม 19 ข.129 – 136) [129] มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค [131] สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค [132] ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค [133] อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค [134] ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค [135] อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค [136] โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค มนสิการแปลว่าการทำใจในใจ เขาทำเหมือนกันแต่ทำไม่ถูก ไปนั่งหลับตาไปศึกษาอาจารย์ต่างๆที่มีความแตกต่างแต่เป็นสำนักที่ทำแบบนั้นเยอะมากมาย ก็เหมาะสมกับตัวเองศึกษาแล้วก็จะรู้จริงรู้พอคนช้าก็ช้าคนเร็วก็เร็ว สรุปแล้ว นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ… สมณะฟ้าไท พ่อครูว่า…มีประกาศขอเชิญประชุมสหกรณ์คนของแผ่นดิน โดยมีพ่อครูเป็นประธานที่ประชุมตอนบ่ายโมงตรง วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 เข้ามาสู่สำทับอีกที ทิฏฐิปัตตะ แล้วต้องมากายสักขี ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าจึงได้สำทับไว้ แต่เขาไปแปลเผินไป สายปัญญาธัมมานุสารีมาเป็นปัญญาวิมุติ เขาแปลว่าไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่ที่จริงแล้วท่านสัมมาทิฏฐิทำมาแต่ต้นแล้ว จนสิ้นอาสวะ คือปัญญาวิมุติ ส่วนกายสักขี อาสวะบางอย่างสิ้นไป ต้องไปเติมสัมมาทิฏฐิ จึงทำให้เป็นปัญญาวิมุติ ส่วนสายสัมมาทิฏฐิสายธัมมานุสารีนั้นมาเป็นทิฏฐิปัตตะแล้วมาปัญญาวิมุติเลย สายศรัทธา มาแวะที่กายสักขีก่อนถึงจะเป็นปัญญาวิมุติ แล้วค่อยเป็นอุภโตภาควิมุติ อุภโตคือ 2 ท่านใช้คำว่าสิ้นอาสวะ เป็นพระอรหันต์แต่ยังไม่ดับอนุสัยยังไม่สิ้นอนุสัย คำว่า อนุสัยกับอาสวะมีนัยสำคัญต่างกัน อนุสัยกับอาสวะ อนุสัยนั้นลึกกว่าอาสวะ อนุ กับ อาส คำว่า สยะ กับ สวะ อนุสัยนี้ สย ย กับ ว เป็นพยัญชนะเศษวรรคทั้งคู่ ย ร ล ว ตัว ว ตัวที่ 4 หยาบกว่า ย ที่เล็กละเอียดกว่า การเกิดตัวตนนั้น ยะ เกิดก่อน แล้ววนสามเส้า ก็ต้องตีแตกแยกออกมาเป็น ว ผู้ที่จะเล็กลงๆ ถึง ย ตัว สยะ จึงสูญได้เร็วกว่า สวะ มีอีกตัวหนึ่งคือ สักกะ คือหยาบกว่าเป็นก้อนแท่ง ก เป็นตัวแรกของพยัญชนะเลย นี่คือพยัญชนะสื่อสภาวะต่างๆละเอียดลึกซึ้งมากค่อยๆอธิบายไปแล้วทำไมยังฟื้นความรู้ทั้งหมดไม่ได้ ในพยัญชนะทั้งหมด เข้าใจได้หมดทุกตัวแต่ว่าเอามาใช้ทั้งหมดยังไม่ได้ กายสักขี จึงกำชับว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย (นเหวโข) สายสัทธานุสารี ทิฏฐิปัตตะจะไปเป็นปัญญาวิมุติได้เลย เลยไม่ต้องผ่านกายสักขีเพราะรู้จักกายได้ดีแล้ว รู้สักกายะทิฏฐิ พ้นวิจิกิจฉาต้องแยกกายแยกจิตได้ถูกต้อง กายต้องเป็นจิต ถ้าผู้ใดเข้าใจว่ากายไม่มีจิตร่วมเลย โมฆะเลย จบเห่เลย กายคือร่างดินน้ำไฟลม ไม่เกี่ยวกับจิต ผู้ใดมีทิฏฐิเข้าใจได้แค่นี้ก็วนอยู่กับโลกียะสร้างภพชาติกับอาจารย์มั่นหลวงตามหาบัวหรือธัมมชโย เขาสร้างภาษาสมัยใหม่เป็นสวรรค์เฟสที่ 2 3 4 ธัมมชโยไปใหญ่เลย ขออภัยต้องขอบคุณทั้งธัมมชโยทั้งมหาบัวหรืออาจารย์มั่น ที่อาตมาหยิบมาอาศัยตัวละครในคำอธิบาย เป็นเรื่องมีจริงเป็นจริงปรากฏ phenomenal ไม่ใช่สร้างนิยายเอา แต่นี่ตัวบุคคลจริง ตอนนี้ดีที่เขายกย่องอาจารย์มั่น UNESCO ยกย่อง เทวนิยมที่เขาดีเขาเก่งทางเทวนิยมเขาก็มีก็เก่งแต่มาให้ทางศาสนาพุทธที่เป็นอเทวนิยม Atheism ส่วนเราก็ทำให้ดีและเป็นคุณภาพ เป็นคุณสมบัติรูปธรรมที่ดูได้ชัดเจนที่ง่าย ตั้งใจฝึกฝนรวมตัวกัน ช่วยกันสร้างสรรค์ เพราะฉะนั้นคำว่า น เหว โข ไม่ได้แปลว่าไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่แปลว่า ไม่ต้องไปกล่าวว่าท่านจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เพราะท่านรู้จักกายได้ดีอยู่แล้ว ถ้าไม่เข้าใจคำว่ากาย เมื่อใดเป็นกายเมื่อใดไม่เป็นกาย จะขอออกไปสู่ปุตตมังสสูตร เมื่อจะเป็นกายหรือไม่เป็นกาย ต้องรู้ กาย จิต อุตุ พีชะ กรรมเป็น Dynamic ธรรมะ เป็น Static เป็น Nuclear Fusion กับ Fission เมื่อใดเป็นอุตุ เมื่อใดเป็นพีชะ เมื่อใดเป็นจิต เอาที่ตัวคน ผมขนเล็บฟันหนัง ให้แยกในตัวเราให้ออก ผมกับเล็บอธิบายยาก ฟันก็แน่นไป ขนก็ยิ่งเล็กกว่าผมอีก เอาเล็บนี่แหละชัดดี เป็นแท่งเป็นก้อนดี เพราะฉะนั้นความเป็นเล็บ ถ้าเล็บเรายาวออกมาพ้นประสาท ความเป็นเซลล์ความเป็นเนื้อ เวทนา ตรงที่จิตไม่ได้ร่วมแล้ว จิตจะมีเวทนา สัญญา สังขาร จิตเป็นภาษาแยกจากวิญญาณมาเรียกลักษณะหนึ่ง แบ่งเป็น วิญญาณ จิต เจตสิก ส่วนเจตสิกก็แยกละเอียดของจิต เป็นเจตสิก 89 หรือ 121 เจตสิก แยกเป็น เวทนา สัญญา สังขาร ส่วนวิญญาณเป็นตัวรวม เวทนาแยกเป็นโลกียะกับโลกุตระ เมื่ออาการของจิตเราในขณะเป็นๆ มันมีโลกความวน แต่ความที่เราไปวนจะต้องสุข ทุกข์กับเรื่องพวกนั้นอยู่ แต่ก่อนไปเล่นไพ่ กินเหล้า สูบบุหรี่ ผู้หญิงก็ไปทางโน้น คุณนายก็ไปวงไพ่หรือไปช้อปปิ้ง ไปเต้นไปDrink ไปช้อปปิ้งไปซื้อเพชรแข่งกัน นั่นแหละก็เป็นสังคมที่ตัวเองต้องไปวน มันรู้สึกว่าเป็นความสุขมันยิ่งใหญ่มันจำเป็นมันสำคัญ จนกระทั่งเห็นแล้วว่ามันไม่จำเป็น เราก็จะสั้นลงในโลก เรานั้นทิ้งโลกที่เราไปวน ให้วนน้อยลง มาหาสาระแท้ที่เป็นโลกุตระ ก็วนกับ พระโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ มีที่เรียนอีกตั้งเยอะ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีปัญญาปฏิภาณก็จะรู้ว่าอย่าไปเสียเวลาเลย เก็บเวลาของข้าคืนมาแรงงานของข้าคืนมา ทุนรอนของข้าคืนมา สามอย่างนี้ เคยสูญเสียไปเยอะ เอาคืนมา เงินอาตมาก็ใช้ทำหินดีกว่าไปทำเพชรทอง ไม่ต้องเลย เอามาใช้ทำหินดีกว่า สร้างไปจนกว่าอาตมาจะตาย บ้านไม้เมืองหินก็มีอะไรพอสมควร นี่หินเล็กๆน้อยๆยังไม่ได้จัดเลยกองเต็มเลย น่าจะจัดบ้าง ตกลงทำหินใหญ่ก่อน หินเล็กให้ไม้ร่มทำ ส่วนหินใหญ่ก็ทำกันไป เป็นบ้านไม้เมืองหิน บ้านดินเมืองน้ำ บ้านงามเมืองพุทธ บ้านพิสุทธิ์เมืองอมตะ เป็นตัวอย่างของการแยกกายแยกจิตได้จริง ก็คุณทำให้จิตของตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกไม่ต้องมีรสชาติ เป็นวัตถุจริงๆไม่ปรุงแต่งอะไรกับชีวิตโยนทิ้ง เป็นเศษของทิ้งไปเลยอุตุ ใครเห็นลิปสติกเป็นดินเป็นหินเลยก็ไม่ต้องมาเกี่ยวกันเลย ก็เห็นธนบัตรเห็นทองเห็นเงินเป็นเศษดินเศษหินเลยก็ไม่ต้องไปร่วมไปมี มีก็อาศัย เราก็อาศัยดินน้ำไฟลม ก็อาศัย ไม่มีก็ไม่เป็นไร อะไรทดแทนก็ได้ ทีนี้มันเป็นชีวะ แต่มันไม่เป็นเวทนามันไม่เป็นความรู้สึก เล็บเรายาวออกมาเป็นชีวะนะ มีอาหารเลี้ยงมันก็ยังยาวออกไปพร้อมกันและฟันหนัง มี cytoplasm มี protoplasm มีองค์ประกอบเป็นเซลล์ออกมาเรื่อยๆ มันยังโตได้ แต่ไม่มีความรู้สึกไม่มีเวทนา ไม่มีกรรมไม่มีวิบาก ไม่มีบาปไม่มีบุญ ตัดทิ้งก็ได้ เป็นอุตุไป แต่ไม่ตัดก็เป็นพีชะเป็นพืช เล็บเราที่ยังไม่ตัดออกเป็นชีวะยาวออกไป คนติดเล็บก็เอาไป paint หรือพวกไว้เล็บยาวๆ เคยเห็นไหม? เขาถือว่าวิเศษใครมาแตะไม่ได้จะร้องไห้ตายเลย คือหลง นึกว่าเป็นของวิเศษ ทรมานทรกรรมตัวเอง ถ้าเขายังไม่ชัดเจนลักษณะของอุตุเป็นอย่างนี้ อุตุ มันเป็นดินน้ำไฟลม พระอรหันต์ทำจิตตนเองแยกเป็นอุตุได้เลย จึงตายแล้วแยกธาตุจิตตนเป็นอุตุเลย ก็ไม่รวมตัวเป็นจิต หรือพีชะได้ กว่ามันจะรวมตัวเป็นแสงสีเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า ก็นานๆๆ กว่าจะรวมตัวมาเป็นพืชก็อีกนานๆๆๆๆ กว่าจะมาเป็นสัตว์ก็อีกนานๆๆๆ ยิ่งกว่าอีก จากสัตว์ก็จะมารู้กรรมวิบากก็อีกนานเป็นอจินไตย เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เอามาพูดเล่น ต้องเชื่อกรรมเชื่อวิบากเชื่อกรรมเป็นของของตน จะทำกรรมในที่ลับและที่แจ้งก็เป็นของเรา การแยกกาย แยกกาม แยกกรรม ออก พยัญชนะคล้ายกันนะ การกระทำที่เป็น กาม แล้วก็เกี่ยวข้องกับสองสภาพกาย มีภายนอกภายใน เมื่อสัมผัสกันก็เกิดมามีความรู้สึกเจ็บรู้สึกปวด รู้สึกรักชัง อย่างแรง เป็นจิต แต่ถ้าไม่แล้ว ไม่รู้สึกเจ็บปวด ไม่จองเวรจองกรรม มีแต่ตัวตนของพืชเท่านั้นเอง ไม่ได้ก็ไม่มีการ ผลัก ไม่มีโทสะ มีแต่ราคะ มีแต่ตัวที่ราคะนี่ก็คือ รากะ ก็คือราก พอจาก รากะก็มาเป็นราคะ กะ คือกก ต้น กอ เสร็จแล้วได้ก็เป็นการเคลื่อนที่เป็น ค มาเป็นราคะ กะ ตัวต้น ข คือว่าง เป็นสองธาตุ ธาตุมีกับภาพที่ว่าง มาเป็น ค คือสามไม่ว่างแล้ว เป็นราคะ เอา อะกับอาใส่ อะสั้นกว่าอา รักนี่ไม่ลงราก อาตมารัก ไม่ลงราก แต่จะตายด้วยรากหรือเปล่า? มันไอ อาเจียน รากไม่ออก หากรากไม่ออกก็ตาย ต้องรากออกจะไม่ตาย จบ Category: ศาสนาBy Samanasandin14 กุมภาพันธ์ 2020Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:630213_พ่อครูตอบปัญหางานพุทธาภิเษก#44 บ้านราชฯ เรื่องบุคคล 7NextNext post:630216_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ต้องศึกษาอาหาร 4 จึงทำจิตให้เป็นอุตุได้Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024