630221_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สมาธิหลับตาเหมือนคนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1H1g7Nc_0VrjDoL93ee_OpNJj4KPLh5N7WMl1PyeiSbk/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1msjUEcSjx25ws9fgr0YJQ4C3bStxETju
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 บวรราชธานีอโศก วันนี้มีข่าวยุบพรรคอนาคตใหม่ สะท้อนให้เห็นว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม ฝ่ายอธรรมก็ทำอกุศลจนแพ้ภัยตัวเองไป เหมือนพระเทวทัตที่มาทำร้ายพระพุทธเจ้า ก็ถูกธรณีสูบ
พ่อครูว่า…พระเทวทัตตั้งใจจะต่อสู้กับพระพุทธเจ้าใช้ความสามารถหนักมากก็ได้แค่นั้น คุณจะตำหนิเขาได้อย่างไรกว่าเขาจะได้เป็นพระเทวทัต คือคู่ชกของพระพุทธเจ้านะ มันใหญ่ขนาดไหน
สมณะฟ้าไทว่า…จิตที่ตั้งไว้ผิด ยึดเสียแล้วจึงยาก จะไปโทษพระเทวทัตไม่ได้ตัวเราก็เหมือนกันต้องทำให้จิตใจดีบริสุทธิ์ทำแต่กุศลแก่กันและกัน
พ่อครูว่า…
Sms 630220
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน สังโยชน์ที่เหลือคือชาติที่เหลือของโสดาบัน
7230… เมื่อจิตถึงพระโสดาบันจะรู้ว่า เราจะเกิดไม่เกิน๗ชาติ ชาวอโศกรู้ธรรมแต่ไม่เห็นธรรม คนเกิดจากอวิชชา พระองค์สอนไม่ให้มาเกิดอีก การเกิดทุกครั้งเป็นทุกข์ร่ำไป ถึงจุดสูงสุดของพี่น้องชาวอโศก หมดพ่อครูมีแต่จะถอยหลังท่าเดียว
พ่อครูว่า…จะขออธิบายจากท้าย ที่ว่าหมดพ่อครูมีแต่จะถอยหลังท่าเดียว คำพูดนี้พวกคุณฟังแล้วรู้สึกอย่างไร…มันจะเป็นจริงอย่างที่ว่าไหม มีคนพูดว่าสำนักแต่ละสำนัก ก็มาเผยแพร่ความเห็นของเจ้าสำนัก เมื่อเจ้าสำนักยังอยู่ก็เผยแพร่ให้ลูกศิษย์เจริญดี เมื่อเจ้าสำนักตายไปแล้ว ไม่ช้าไม่นานสํานักนั้นก็จืดจางลางเลือนแล้วก็หมดสูญไป เป็นอย่างนั้นมาเยอะ ใช่ แต่สำนักใดที่มีสัตบุรุษมีผู้ที่มีเนื้อแท้หว่านลงไปที่จิตมนุษย์ เป็นสัทธรรมของพระพุทธเจ้า เกิดที่จิตที่มีรากฐานที่เป็นปัญญา มันเป็นธรรมะที่ลึกซึ้งมาก มีรากฐานของความสถิตเสถียร หรือมีรากฐานของความมั่นคง
นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิสัจธรรมของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องแล้ว สัมมาทิฏฐิแล้วมันจะไม่เป็นอย่างที่มันไม่ใช่ ส่วนสำนักที่ยังไม่สัมมาทิฏฐิไม่ใช่สัตบุรุษแท้ก็จะเป็นอย่างนั้น แต่นี่ไม่ใช่
ความเห็นของคุณคนนี้คิดของคุณเอง เขาบอกว่านี่เป็นจุดสูงสุดของพี่น้องชาวอโศก เมื่อถึงจุดสูงสุดก็จะสลายไป เมื่อเจ้าสำนักตายไป
ทีนี้ประเด็นที่ว่าพระองค์สอนไม่ให้มาเกิดอีก อันนี้พระพุทธเจ้าสอนให้ดับความเกิดให้ได้ เพราะฉะนั้นก่อนจะดับความเกิดได้จนกระทั่งถึงร่างกายไม่เวียนว่ายตายเกิดเลย อาตมาอธิบายไปจนหมดครบไม่รู้กี่รอบแล้ว ว่าผู้ที่เป็นพระอรหันต์สามารถแยกจิตแยกธาตุจิตของตัวเอง เมื่อตายลงไป ก็แยกธาตุจิตออกเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย จิตธาตุนั้นก็ไม่รวมตัวมาเกิดเป็นชีวะอีกจริงๆ เพราะมันหมดสิทธิ์ที่จะมารวมตัวกันเป็นเชื้อที่จะติดยึดเหมือนจิตนิยาม
พระพุทธเจ้าท่านให้แยกแยะลักษณะ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามแล้วมาเป็นกรรมนิยาม ธรรมนิยาม ศาสนาที่ไม่มีความรู้เหล่านี้ไม่รู้จักคำว่าได้เรียนรู้กรรม เรียนรู้แต่ God เรียนแต่พระเจ้าไม่เรียนรู้กรรม
ศาสนาพุทธนั้นกรรมเป็นใหญ่กรรมเป็นเรื่องสุดยอด ผู้ใดทำกรรม ทางกายทางวาจาทางมโน แล้วก็ทำมโนทำจิตตนเองได้โดยทำจิตแยกธาตุเป็นอุตุนิยามได้ จึงบริบูรณ์สุดจบ
เพราะฉะนั้นความจริงแล้วผู้ที่บรรลุอรหันต์แล้ว เป็นคนอมตะ ตายก็ได้ไม่ตายก็ได้เกิดอีกก็ได้ไม่เกิดอีกก็ได้
คำที่พระพุทธองค์สอนไม่ให้เกิดอีกนั้นเป็นเพียงกิเลสหยาบกลางละเอียด เราสามารถประหารในใจของเรา ที่เป็นชีวะเป็นจิตนิยาม ประหารให้ตายสนิทเลยไม่ให้เกิดอีกนั่นคือเป้าหมายสำคัญสุดยอดของศาสนาพุทธ ไม่ได้หมายความว่าร่างกายนี้เกิดอีก
เพราะฉะนั้นคนที่จะเข้าใจธรรมะ 2 อย่างนี้การเกิดคืออะไร คนก็นึกถึงแต่ร่างกายเวียนตายเกิด ชาติสองชาติสามชาติ หรือ 7 ชาติ อย่างนี้ พอเข้าใจคำว่าชาติแค่คลอดจากท้องแม่ ตายทางร่างกายก็ 1 ชาติ
พระโสดาบันก็เข้าใจว่าสูงสุดช้าที่สุดกว่าจะเป็นพระอรหันต์ นานที่สุดก็แค่ 7 ชาติ บางทีก็ 6 ชาติ โกลังโกละ บางทีก็ 4 ชาติ 5 ชาติ 3 ชาติ 2 ชาติ ก็คือโกลังโกละ ถ้าเกิดมาเพียงชาติเดียวแล้วเป็นพระอรหันต์ก็เรียกว่าเอกพีชี เกิดมาชาตินั้นก็บรรลุอรหันต์เลย
เขาเข้าใจไม่ได้ว่า สกทาคามีก็แปลว่าเกิดอีก 1 ชาติ ก็บรรลุอรหันต์
เอกพีชีก็ 1 ชาติก็บรรลุเป็นพระอรหันต์
ก็แปลเหมือนกันเกิดมาอีกชาติเดียว ที่จริงแล้ว คำว่าชาติคำนี้ลึกซึ้งมาก คำว่าชาติ พระพุทธเจ้าแจกเป็น 5 อย่าง ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ
ชาติคือ คำรวม เกิดแบบไหนก็ได้ เกิดเป็นสัตว์โลกที่เป็นคนเป็นตัวตนร่างกายเกิดทางมดลูกเรียกว่า ชราภุชโยนิ หรือเกิดเป็นไข่ก่อน แล้วฟักเป็นตัว อัณฑชโยนิ หรือจะเป็น สังเสทชโยนิ เป็นการเกิดแบบแตกตัว ชนิดที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ เป็นแบคทีเรีย เป็นพวกจุลินทรีย์ กับ โอปปาติกโยนิ เป็นสัตว์ทางนามธรรมจิตวิญญาณ
การเกิดชาติของศาสนาพุทธเรียกโอปปาติกโยนิ การเกิดทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่หมายถึงการเกิดทางร่างกาย
คนนี้เขาว่าเมื่อจิตถึงโสดาบัน จะรู้ว่าเราจะเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ ก็เป็นความรู้ตื้นๆง่ายๆ ไม่ใช่ความรู้ของศาสนาพุทธเป็นความรู้ของทั่วไปเดียรถีย์ก็รู้แบบนี้ คนก็รู้การเกิดเป็นสัตว์ตัวตนบุคคลเราเขา
ความจริงแล้วคำว่า 7 ชาติคำนี้มันหมายถึงสังโยชน์ สังโยชน์ทั้ง 7 พระโสดาบันจะพ้นสังโยชน์ 3 ก็เหลืออีก 7 ก็จะเกิดอีก 7 สังโยชน์ จะพ้นจากภพของกาม แล้วพ้นจากภพของรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา นั่นคือสภาพโอปปาติกะที่เราต้องเรียนรู้ทางจิตวิญญาณ
ดับ กามราคะ ปฏิฆะได้ก็เหลือ รูปภพ อรูปภพ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา เหลือเศษมานะ กำจัดมานะ เหลือเศษธุลีละออง อุทธัจจะฟองฝอยละเอียดก็เก็บให้หมด จึงพ้นอวิชชาสังโยชน์ หมดสังโยชน์ 10
การเกิดชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ
ชาติ สัญชาติ เป็นการเกิดธรรมดาของโลกีย์หมุนเวียนเป็นตัวตนบุคคลเราเขา
พอเป็นโอกกันติ ก็จะหยั่งลง หากโลกีย์จะหมุนเวียนแค่ ชาติสัญชาติโอกกันติ
โอกกันติ แปลว่าการหยั่งลง หมุนเวียนวนเวียนในโลกีย์มีอัตตาอวิชชาหนาแน่นมากขึ้นวัฏสงสารก็ยิ่งยาวนานมากขึ้นนรกก็ยิ่งยาวนานสวรรค์ยิ่งยาวนาน มีวัฏสงสารที่วนเวียนจนนานมากจนจำไม่ได้ ว่าตัวเองวนอยู่อย่างนั้น จิตวิญญาณก็จะจมหนักต้องทำชั่วทำบาปหนัก เขาจะรู้อยู่แค่นี้ จนกว่าจะมารู้มี อัญญธาตุ ธาตุโลกุตระ มีนิพพัตติ
ถึงจะเริ่มเกิดใหม่เป็นภูมิโลกุตระที่สูงขึ้น สูงสุดยอดบรรลุการเกิดเป็นพระอรหันต์ อภินิพพัตติ นี่คือการเกิด 5 ประการ
ก็ไม่มีใครมาอธิบายอย่างที่อาตมาอธิบายให้ฟัง เข้าแปลภาษาสู่ภาษา แต่อาตมาอธิบายไม่ตรงตามพยัญชนะคำต่อคำของเขาเลย แต่เป็นสภาวะที่สื่อสารออกมา
หากเข้าใจอย่างที่อาตมาอธิบาย อาตมาเข้าใจที่เขาอธิบายอย่างโลกียะด้วยและอธิบายได้อย่างโลกุตระด้วย
สู่แดนธรรมว่า…นักศึกษาธรรมะในไทยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วธรรมะเป็นเรื่องลึกซึ้งคัมภีรา เขาเลยตัดสินว่าอโศกไม่รู้ธรรมะ
พ่อครูว่า..เขาอยู่ในโลกกะลาของเขาก็ไม่รู้รอบๆของกะลานอกกะลาว่ามีอะไร เขาเป็นเช่นนั้น ขออภัยที่พูดเปรียบเทียบไม่ได้ลบหลู่
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท….
พ่อครูว่า…มาต่อพระไตรปิฎก…คนไหนไม่ชอบฟังซ้ำฟังวน ก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเวธแทงทะลุรอบธรรมะพระพุทธเจ้าได้ ก็จะไม่เห็นความสำคัญ ส่วนคนที่ฟังแล้วยิ่งซ้ำแล้วก็ขยายซ้ำวน เห็นแง่มุมที่ออกไป ฟังแล้วจึงเกิดธรรมรส มีความพิสดารหลากหลายของธรรมะแง่มุมต่างๆของธรรมะมันก็ยิ่งจะชื่นใจ คนที่ไม่เข้าใจธรรมะองค์ประกอบรายละเอียดอย่างที่ว่านี้ก็ยาก
จากพระไตรปิฎก ล. 29 คุหัฏฐกสุตตนิทเทสที่ 2
ว่าด้วยนรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำคือกาย
[30] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ(สตฺโต คุหายํ) เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว(พหุนาภิฉนฺโน) นรชนเมื่อตั้งอยู่ ก็หยั่งลงในที่หลง(ติฏฺฐํ นโร โมหนสฺมํ) นรชนเช่นนั้น ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก(ทูเรวิเวกา) ก็เพราะกามทั้งหลายในโลก ไม่เป็นของอันนรชนละได้โดยง่าย.
[31] คำว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้วมีความว่าทรงตรัสคำว่า เป็นผู้ข้องไว้ก่อน. ก็แต่ว่าถ้ำควรกล่าวก่อน กายเรียกว่า ถ้ำ. คำว่า กายก็ดี ถ้ำก็ดี ร่างกายก็ดี ร่างกายของตนก็ดี เรือก็ดี รถก็ดี ธงก็ดี จอมปลวกก็ดี รังก็ดี เมืองก็ดีกระท่อมก็ดี ฝีก็ดี หม้อก็ดี เหล่านี้เป็นชื่อของกาย.
(พ่อครูว่า…อะไรก็ตามที่จิตไปติดยึดอยู่คือ ถ้ำ อย่างมหาบัวนี้ติดหมาก เขาเรียกหลวงตามหาบัว)
คำว่า เป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ คือ ข้อง เกี่ยวข้อง ข้องทั่วไป ติดอยู่ พันอยู่ เกี่ยวพันอยู่ในถ้ำ เหมือนสิ่งของที่ข้อง เกี่ยวข้อง ข้องทั่วไป ติดอยู่ พันอยู่ เกี่ยวพันอยู่ที่ตะปู ซึ่งตอกติดไว้ที่ฝา หรือที่ไม้ขอ ฉะนั้น.
สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิน ความปรารถนาในรูป ความเข้าไปถือ ความเข้าไปยึดในรูป อันเป็นความตั้งมั่น ความถือมั่น และความนอนตามแห่งจิต บุคคลมาเกี่ยวข้องอยู่ในความพอใจเป็นต้นนั้น เพราะเพราะนั้น. จึงเรียกว่า สัตว์. คำว่า สัตว์เป็นชื่อของผู้เกี่ยวข้อง
พ่อครูว่า…เพราะไม่สนใจกามที่เป็นกาย ไม่มีตัวอย่างที่ละได้ตั้งแต่ต้น หากละจากกามไม่ได้อย่างชัดเจน จะไปล้างชั้นที่ 2 ชั้นที่ 3 ก็หมดหวัง คุณจะไม่มีดวงตาจะไม่มีความละเอียดพอ เพราะตาหยาบคุณยังสัมผัสไม่ติด
กามก็ไม่รู้จัก แล้วจะอวดเก่งไปรู้จักภพภายในก็เป็นสิ่งปลอมวิมานปลอม เพราะไม่มีดวงตาที่จะเจียระไนเพชร ต้องเจียระไนลึกเข้าไปเรื่อยๆถึงแก่นแกน แต่ยังไม่ผ่านภายนอกเลย มันก็เป็นไปไม่ได้มันเป็นอุตริที่โมฆะ ไม่มีลำดับ เป็นความหลงของเดียรถีย์จมในความหลง ไม่ว่ายุคไหนปางไหนก็เป็นเช่นนี้ ศาสนาพุทธถึงได้เสื่อมลงไปจนถึงทุกวันนี้ ผิดหมดเลย ขออภัยไม่ได้ใส่ความ หากอาตมาไม่เกิดมาจะไม่ละเอียด จะมีผู้ที่รู้บ้างแต่ไม่ชัดเจนละเอียดอย่างที่อาตมาเอามาขยายความ แล้วก็จมผิดไปตลอดกาลนาน อาตมาจึงมีหน้าที่ที่จะดึงกลับ คนที่อคติมองอาตมาว่าเป็นพวกอวดตัว เขาก็จะไม่ได้รับความรู้เลย เพราะว่าฟังอย่างอคติ ไม่เต็ม หากฟังอย่างเต็มไม่เป็นชาล้นถ้วย จะได้ เพราะเป็นธรรมะที่ละเอียดลออ
[31] คำว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้วมีความว่าทรงตรัสคำว่า เป็นผู้ข้องไว้ก่อน. ก็แต่ว่าถ้ำควรกล่าวก่อน กายเรียกว่า ถ้ำ. คำว่า กายก็ดี ถ้ำก็ดี ร่างกายก็ดี ร่างกายของตนก็ดี เรือก็ดี รถก็ดี ธงก็ดี จอมปลวกก็ดี รังก็ดี เมืองก็ดีกระท่อมก็ดี ฝีก็ดี หม้อก็ดี เหล่านี้เป็นชื่อของกาย.
พ่อครูว่า..ถ้าไม่มีอาตมาเกิดมาก็จะไม่รู้ว่า กายนี้ คือ มีทั้งข้างในและข้างนอกและต้องสำคัญที่ภายใน กายคือจิต มโน วิญญาณ ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 230 เมื่อเขาไม่เข้าใจก็จะบอกว่าถ้าพุทธเจ้าบอกไว้ผิดหรือว่าแปลมาผิด
หากไม่เข้าใจจะตีลังกากลับ ก็ไม่มีใครไขความว่า มันผิดพลาดไปไกลแสนไกลจากวิเวก ผิดไปไกลแสนไกล ปฏิบัติอย่างเดียรถีย์ เอาร่างกายออกป่าก็เป็นโมฆะมิจฉาทิฏฐิตั้งแต่เบื้องต้น
ในพระไตรปิฎกอัมพัฏฐสูตร ล.9 ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4
ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่
4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน?
-
ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.
พ่อครูว่า…ชาวพุทธในไทยทุกวันนี้เกือบทั้งหมดเข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมของศาสนาถ้าปฏิบัติจะต้องเป็นผู้ที่ออกป่าไม่ใช่พระที่อยู่ในเมือง แม้แต่พระที่อยู่ในเมืองก็เชื่ออย่างนั้นแต่ตัวเองคงไม่ถึง ก็จะนับถือบูชาพระปฏิบัติที่ออกป่าเป็นพระกรรมฐานพระธุดงค์ เอาเรื่องล่องไพรออกป่ามาเล่ากัน เป็นพวกนอกรีตศาสนาพุทธน่าสงสารมาก เขาติดยิ่งกว่าติดยาอีก ยังเคารพยกย่องเชิดชูประกาศว่านี่คืออรหันต์ อาตมาเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องบอก มันสุดทาง
[164] 2. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สอง.(ข้อนี้หนักกว่าข้อแรกคือไม่มีพระวินัยแล้ว)
[165] 3. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้วบำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สาม.
[166] 4. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง ๔ นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สี่.
พ่อครูว่า…เขาออกแบบอาคารเป็นลูกโลกจานบิน ไม่มีใครเขาคิดได้อย่างแกหรอก หากให้แกอยู่ต่อคงสร้างวิหารในอากาศได้ นี่ดีว่าเขาคิดได้แค่จานบินกับลูกโลกนะ
คำว่าประตูสี่ด้านทางสี่แพร่งคือเรือนใหญ่ไว้ดักทุกทิศใครมาก็ต้อนเข้าเรือนหมด จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็จะบูชาทีนี้เละเลย พวกนอกรีตทั้งหลาย อเจลกะ เดียรถีย์ เอาหมด ครบถ้วนบริบูรณ์ไม่เหลือแล้วศาสนาพุทธ น่าสังเวชใจ
เราเข้าสู่วิชชาจรณะ
วิชชาจะระณะสัมปันโนเป็นพุทธคุณ 9
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ….
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน….
พ่อครูว่า…มาเข้าสู่ จรณะ 15 วิชชา 8 พระพุทธเจ้าไม่อุบัติจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่มี ธรรมะพระพุทธเจ้าก็คือ จรณะ 15 วิชชา 8 แล้วก็ปฏิบัติอันนี้แหละนอกไปจากนี้ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า จรณะ 15
-
ศีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล . . 9. วิริยะ ปรารภความเพียร
-
อินทรีย์สังวร คุ้มครองทวารอินทรีย์ 10. สติ อันเป็นอาริยะ . .
-
โภชเนมัตตัญญุตา ประมาณในโภชนา 11. ปัญญา
-
ชาคริยานุโยค ประกอบความตื่น 12. ปฐมฌาน
-
ศรัทธา (เชื่อมั่น) . . 13. ทุติยฌาน
-
หิริ (ละอายต่อบาป) . 14. ตติยฌาน
-
โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป). 15. จตุตถฌาน
-
พาหุสัจจะ แทงตลอดในพหูสูต . (พตปฎ.ล.13/34)