630223_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ วิชชาจรณะพาให้พ้นความเป็นสัตว์
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/11Rk3bodNL9TyZ8QJTLDfouV-8HtoE8fR8LYso2CIG6w/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1f9KyeD9Xe8X87sV9oDm9g_jqW9uMn9gB
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก
ขอเชิญเข้าค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า
ค่าย “พบมิตรดี”
ครั้งที่ 43 ณ บวร ราชธานีอโศก
ศุกร์ที่ 28 ก.พ. – อาทิตย์ที่ 1 มี.ค. 2563
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)
สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ
โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865
##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP หรือสื่อธรรมะพ่อครู
พบกับกิจกรรมตามมรรคมีองค์ 8 พบกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีที่จะพาคุณสู่ “ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น”(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) อันจะพาไปสู่ความบริสุทธิ์จนถึงสัมมาวิมุติ
วันนี้ประชุมพ่อค้าแม่ค้า ที่ตลาดอาคารบวร ก็มีคนสนใจมาก ถามคนมาขายเขาว่ามาที่นี่สบายไม่ต้องเร่งรีบ มีวันหยุด ที่อื่นคิดค่าที่ด้วยต้องแย่งกัน จะให้ช่วยกันดูแลความสะอาดของตลาด
ได้ไปเยี่ยมบ้านพ่อค้าแม่ค้ามาด้วย ทำให้เขาเจริญในธรรมะ บางคนมาแจกอาหารในกิจกรรมร่มโพธิ์ร่มไทรด้วย
บอกให้ผู้คนทราบว่าวันอาทิตย์เราจะจัดงานร่มโพธิ์ร่มไทร เข้ามาใช้สถานที่ตรงร่มโพธิ์ร่มไทรนั้นได้ เป็นการสร้างสันทนาการ ตามประสาเรามีการร้องเพลง เล่นน้ำ หลายคนก็มานอนพักผ่อน ตามประสาสบายๆ relax ปิ๊กนิกกัน มีฟังธรรมสักครึ่งชม. ก่อน ประมาณ 11.30-12.00 น. คือเราจะใช้ธรรมะเป็นหลัก กิจกรรมตั้งแต่ 10:00 นจนถึง 14:00 น. บางวันก็มี ผักไร้สารพิษมาแจกด้วย วันนี้เป็นเรื่องประหลาดมาก เด็กสมุนพระรามมานั่งเรียบร้อยฟังธรรมะและถามคำถามด้วย นั่งไม่ไปไหนเลย นิ่งดีมากตั้งใจฟังธรรมด้วย เข้าท่าดี เป็นบรรยากาศที่ดี เหมือนเป็นที่ของเขา เขาก็จะมานั่งฟังเทศน์ฟังธรรม เป็นบรรยากาศที่ดี
พ่อครูว่า…อ.เป็นต้น นาประโคน ก็นักกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจก็เขียนกวีมา
ร่มโพธิ์ร่มไทร
เสียงกลอนกานท์กล่อมให้ รื่นรมย์
สังคีตขับขื่นขม จิตใคร่
โลกหนอโลกโศกตรม ใดเล่า โลกเอย
คลายทุกข์ร้อนยากไร้ รสถ้อยเริงธรรม
ทอดหัตถาเทพไท้ แดนทอง
เป็นหนึ่งไม่มีสอง หนึ่งไซร้
อโศกมิลำพอง อวดเก่ง เกินใคร
ดับโหดแด่โลกให้ หยุดเหี้ยมอหังการ์
_sms
_7230 พระโสดาบันจะเกิดเป็นคนกับเทวดาเท่านั้น พระองค์พูดถึงถ้ำหมายถึงร่างกายของเรานี้
พ่อครูว่า…การเจริญทางจิตวิญญาณเป็นโอปปาติกโยนิ จากสมมุติเทพ ก็เกิดเป็นอุบัติเทพ เจริญไปเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นพระอรหันต์ก็เป็นวิสุทธิเทพ
คำว่า ถ้ำ นี้ หมายถึง สิ่งที่ติดยึดอยู่ภายนอก แม้แต่ฝีที่ร่างกายก็คือถ้ำ ไม่ใช่เรื่องตื้น ให้ติดตามไป ก็ขอให้คุณเปิดใจฟังให้ดีจะเข้าใจได้
_1945 เป็นกำลังใจให้กันตลอดไปจากแฟนเอฟเอ็มทีวี ชอบฟังธรรมช่องนี้มากแถมชอบสไลด์เดอร์ที่สันติอโศกด้วยดูแล้วสนุกดี ชอบดูวงฆราวาสเล่นดนตรีเก่งโชว์สนุกโดยเฉพาะพี่โอ๋กับพี่ดมสุดยอดเลย
พ่อครูว่า…ผู้ใหญ่ก็มาร่วมได้ เด็กๆเป็นส่วนใหญ่ ผู้ใหญ่จะเล่นบ้างก็ไม่แปลกก็มาช่วยดูแลเด็กๆด้วย
_จาก สู่แดนธรรม กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพยิ่ง วันนี้ผมจะมาแจกเลนส์ซูมขยาย ส่อง “อาการบรรลุธรรม” ให้นักปฏิบัติธรรมได้เห็นภาพได้อย่างใกล้ชิด / จากการที่ผมเคยฝึกปฏิบัติอยู่กับสายหลับตาทำสมาธิ แล้วก็ผละหนีออกมาหาแนวทางสัมมาอริยมรรค ผมเองก็ได้ผลจากการปฏิบัติทั้งสองฝ่าย จึงเห็นความต่างกันในอาการบรรลุธรรม ดังนี้
1 การบรรลุสภาวธรรมในสมัยที่เคยปฏิบัติสายหลับตา ได้เจโตวิมุติ จะได้แบบไม่มีลำดับที่ค่อยๆลาดลุ่ม ลึกลงเลย นั่งหลับตาอยู่ดีๆ ก็จะเจอจุดเปลี่ยนที่แรงมาก เหมือนเดินอยู่ดีๆ ก็ตกหลุม อั๊ก ที่ท่านเรียกว่า “ผึง” เพราะไม่มีลำดับที่ค่อยๆ ลาดลุ่มลง จึงมีจุดสป๊าร์คที่แรงมาก จากที่เคยมืดดำมาแล้วมาพบกับจุดเปลี่ยนที่ตรงข้าม คือดำจัดมาชนขาวจัด ที่เป็นจุด”ตกภวังค์” บางท่านจึงเกิดอาการปีติลิงโลด การได้สภาวะแบบนี้ ก็ได้ไม่ถาวร ต้องกลับเข้าไปนั่งใหม่อีก จึงจะได้ (ไม่นั่งหลับตาทำ ก็ย่อมไม่ได้)
2 การบรรลุสภาวธรรม จาก ธัมมานุสารี มาสู่ทิฐิปัตตะ นั้น (หรือสูงกว่านั้นก็ตาม) สภาพจิตจะค่อยๆ ละหน่าย จางคลายออกจากกิเลสนิวรณ์มาตามลำดับๆ จิตนั้นได้พ้นจากอำนาจกิเลสมาได้แล้ว แต่ยังไม่มีความรู้ตัวว่า ตัวเองมีจิตจางคลายหลุดพ้นออกมาได้แล้ว ความมืดเหลือแค่ 0.001 ครั้นเมื่อได้พบสัตบุรุษให้คำแนะนำ ให้ปัญญาเพื่อตรวจจิต จึงจะเกิดญาณรู้ตัวว่า ตนเองนั้นมีจิตพ้นแล้ว ปัญญาก็รู้บรรจบในความหลุดพ้นแล้ว อาการที่รู้ในขณะนั้น จะไม่มี “เร้นจ์” ที่แตกต่างกันมากเลย (คือไม่ใช่ดำสนิทมาก่อนแล้วมาเจอขาวจัด)
ดังนั้น อาการบรรลุธรรมของสายปัญญา จึงไม่ลิงโลด ไม่ดีดผึง ไม่ต้องมีปีติสุดขั้ว แต่จะบรรลุแค่ว่า อ่อ เป็นยังงี้นี่เองเหรอ! มันเป็นของธรรมดาๆ แบบนี้นี่เองเหรอ แล้วก็วางความรู้สึกว่าบรรลุแล้วนั้นได้ ไม่ต้องเอามาให้ความสำคัญ ว่า การบรรลุเป็นของๆ เรา (นี่คืออาการที่ผมรู้จัก ส่วนสายปัญญาคนอื่นๆ จะเป็นอาการแบบผมหรือไม่ ผมคิดว่า น่าจะคล้ายๆ กันนะครับ)
พ่อครูว่า…ใช่แล้วล่ะมันจะตรงกันอย่างนี้แหละไม่ตื่นเต้น สายปัญญาจะไม่ตื่นเต้นไม่ผาดโผน แต่สายเจโตสมถะผาดโผน ดีไม่ดีไม่ถูกต้องด้วย เป็นกายกรรมเปียงยางเลย
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…เหมือนกับดูหนังหนังของสายปัญญาจะหนังจืดๆ
พ่อครูว่า…แต่มีรสนะ ไม่ตื่นเต้นแต่เป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่ารสใดก็ไม่เยี่ยมยอด = วิมุตติรส
ก็มีอีกเจ้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
_โจรที่ปล้นนั้นเป็นคนสองบุคลิกคือบุคลิกด้านดีและบุคลิกด้านชั่วร้าย ซึ่งเป็นปกติของคนทั่วไป มี 2 บุคลิกคือดีและชั่ว ใจบุญและใจบาป มีได้และมีเสีย มีเจริญก็มีเสื่อม มีกุศลมีอกุศล มีใจเป็นพระและใจเป็นมาร มีความรักและมีความชัง มนุษย์ย่อมตกอยู่ใต้อำนาจของธรรมะที่เป็นคู่ ยกเว้นผู้อยู่ฝ่ายโลกุตระ จึงอยู่เหนือความเป็นคู่ คือมีใจที่ไม่รักไม่ชังไม่ยินดีไม่ยินร้าย ถ้ามีใครด่าว่าร้ายหรือทำร้ายเขาก็จะหลบเลี่ยงไปโดยไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะมีใจเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน (คำอธิบายเหล่านี้เป็นของลูกศิษย์ที่คัดคำของอาจารย์มา)
โจรฆาตกรมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทและมีความเจริญก้าวหน้าทางการงานเดี๋ยวมีภรรยาสวย มีความหลงในภรรยาอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู อีกบุคลิกหนึ่งคือมีความชัง ชังอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช เขาได้ฆ่าเจ้าหน้าที สาวร้านทองแต่ฆ่าเด็กได้ มีคำกล่าวว่า ยิ่งมีบุคลิกฝ่ายที่เป็นเทวดามากก็จะมีบุคลิกฝ่ายที่เป็นใจมารมาก จึงเผลอลั่นกระสุนใส่เด็ก
(พ่อครูว่า…รักเด็กแต่ไปเผลออย่างไร?)
เหตุผลที่อ้างนี้อาจไม่น่าเชื่อถือ ถึงได้อธิบายว่า มนุษย์นั้นเกิดมาจากอะไร
พระอรหันต์นามว่าพระอัสสชิ ได้กล่าวกับพระอุปติสสะว่า พระมหาสมณทรงสั่งสอนอย่างนี้ ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความ ดับของธรรมเหล่านี้ พระมหาสมณะทรงสั่งสอนอย่างนี้.
ท่านอุปติสสะได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ณ บัดนั้น
เปรียบเสมือนเมื่อเปิดไฟขึ้นมาในที่มืด ความมืดมันก็หายไปทันที (พ่อครูว่า…พูดง่ายแต่สภาวะทำจริงนั้นจะได้หรือไม่)
เมื่อวิชชาเกิดขึ้นอวิชชาก็ดับไป สังขารก็ดับไป วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ก็ดับไป ภพดับไป ชาติดับไป ทุกข์ทั้งหลายดับไป ท่านเรียกว่าตายเสียก่อนตาย
(พ่อครูว่า..นี่เป็นบัญญัติภาษาพยัญชนะที่ได้รู้มา แต่ที่พูดกันนี้ คำว่าสังขาร วิญญาณ นามรูป แค่รู้นามรูปพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า คุณรู้นามรูป คุณรู้วิญญาณเลยนะ เท่ากับคุณจะรู้แยก เวทนา สัญญา สังขารขันธ์ เจตสิกสามอย่างนี้ได้แล้วไปรู้ เวทนาในเวทนา แล้วรู้สัญญาที่ต่างกันของคนที่ยึดถือ รู้สังขารที่ยึดถือต่างกันได้อีก รู้สภาพที่แตกต่างกันได้เรื่อยๆ
ไม่ใช่พูดตามบัญญัติพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่ค่อยๆรู้สภาวะและเอามาอธิบายได้เป็นคู่นั่นเรียกว่ารูปนามวิญญาณ แยกเจตสิกต่างๆได้ ไม่ต้องไปอธิบายเจตสิกอื่นใด มาแยกที่เวทนานี้ โดยเฉพาะแยก เคหสิตเวทนากับเนกขัมมะเวทนาได้ รู้จักความต่างระหว่างเนกขัมมะกับเคหสิตเวทนาได้ เป็นหัวใจยอด เหมือนกับแบ่งเขตระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ มีนัยต่างกันจริงแล้วมีตัวรู้ รู้ได้แล้วอยู่ร่วมกันได้ แต่คนจะเห็นต่างได้ ต้องไม่กลัวเหนื่อย)
แล้วเรียกว่าตายเสียก่อนตาย (พ่อครูว่า..พยัญชนะมีเยอะ แต่สภาวะก็อีกเรื่องแล้วจะมีคนจมอยู่กับพยัญชนะอีกเยอะ) แต่ก็ยังดีกว่าคนตีทิ้งสภาวะไม่เรียนรู้เลยจะจมในถ้ำนานแสนนาน ไกลแสนไกลจากวิเวก อยู่ที่นานไกลและก็จมลงในที่หลงด้วย พูดให้ตกใจนะ จะตกใจบ้างไหมนี่ เสียดายหอกที่แทงไม่เข้า ทุกวันนี้ก็ไม่เสียดายหอก ยอมเสียสละ ยอมลงทุน)
ชีวิตมนุษย์ดำรงอยู่ได้โดยอาศัยเหตุคืออวิชชา ความโง่ความอยากความยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวตน มีของๆตน และกระทำไปตามแรงแห่งอวิชชานั้น
there is no one on righteous one not even one ไม่มีใครเป็นคนชอบธรรมะเลยแม้แต่สักคน bible ว่าไว้ หรือคำกล่าวของท่านพุทธทาส ในโลกนี้ล้วนมีแต่คนบ้า แต่ทว่าเมื่อเกิดปัญญาหรือวิชชาก็จะมี ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นอยู่อย่างสว่างสะอาดสงบมิใช่หรือ (พ่อครูว่า ถูกแล้ว กำปั้นทุบดิน เอาบัญญัติมาพูดที่ถูกก็ถูกหมด อันนี้ผู้ที่เอามานี้คือลูกศิษย์ของอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช หากท่านผู้ใดสนใจใคร่รู้อ่านตำราวิชาโดยละเอียด ก็ลองเปิดใน YouTube แสดงธรรมโดยหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช
พ่อครูว่า…ดีแล้วแต่ละขั้นๆไปตามสำนักต่างๆตามภูมิ พวกนั้นเขามาในอโศกไม่ได้ก็ไปตามพวกนั้นบ้าง อย่างอ้อ พุทธพันชาติ ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น พิชชญามญช์ เขาว่า อาจารย์ที่เหมือนกับพ่อท่านมากที่สุด คือ อ้อนี่เขาสายฟุ้งซ่าน นี่ก็เก่งขึ้นมาเยอะแล้ว เขาก็ยังพอเป็นไปอยู่ได้ พ่อแม่ก็สิ้นแล้ว ไม่มีพี่ไม่มีน้อง เป็นลูกคนเดียวลูกโทน แล้วก็อยู่กับสมบัติตัวเองพอได้ มีพี่เลี้ยง roommate ก็ว่าไป
_โพธิรักษ์มิเตอร์ (BODHIRAK METER) เครื่องมือวัดความเป็นพระอริยะ แบ่งเป็นเปอร์เซ็นดังนี้ โสดาปฏิมรรค 12.5% โสดาปัตติผล 25% สกิทาคามีมรรค 37.5% สกิทาคามีผล 50% อนาคามีมรรค 62.5% อนาคามีผล 75% อรหัตตมรรค 87.5% อรหัตผล 100%
โพธิรักษ์มิเตอร์ คือ อุปกรณ์เครื่องมือความรู้ธาตุรู้ระดับพระอรหันต์ ที่ใช้วัดค่าบุคคลอื่นที่ต้องการทราบว่าตัวเองมีปรมัตถธรรมสัจธรรมขั้นไหน ของอรหันต์ทั้ง 4 ระดับ
เรื่องนี้ก็ไม่น่าจะยาก ผู้ที่อยากทราบว่าตัวเองบรรลุพระโสดาบัน ต้องผ่านการตรวจสอบวัดผลประเมินจากผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว ด้วยการสอบสัมภาษณ์ถามตอบรายบุคคลหนึ่งต่อหนึ่งในที่แจ้งเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ต่อเนื่องและหรือคุ้นเคยกันก่อน จะเป็นการดียิ่ง การสอบถามจะคุยได้ทุกเรื่อง ผู้มาสอบสัมภาษณ์วัดผลสามารถเอาเครื่องบันทึกเสียงได้ครบ 2 ชั่วโมงโพธิรักษ์มิเตอร์สรุปผลให้ทันที …คุณ ลอย
ลักษณะภายนอกของผู้ที่เกิดพระโสดาปัตติผลมีดังนี้
-
ยิ้มทุกทิศคือชีวิตโพธิสัตว์
-
ฉลาดมากมีปัญญารู้ทุกเรื่อง หรือมีก็ได้ไม่มีก็ได้ (พ่อครูว่า…บัญญัติถูกต้องกับสภาวะ มาเรื่อยๆ
-
มีศีล 5
-
ทานมังสวิรัติ
-
นอนน้อยตื่นมาก ตื่น 20 ชั่วโมงต่อวัน
6.ถ้าผิวพรรณละเอียดเปล่งปลั่ง
-
มีญาณ 7 ของพระโสดาบัน
-
ประโยชน์สูงประหยัดสุด
-
เมื่อร่างกายตายไปนรกเดรัจฉานจะไม่เปิดประตูรับ
-
ตอนมีชีวิตอยู่นรกเดรัจฉานเปรตจะมียึกยักอยู่ ตอนยังไม่ตายจะไม่เที่ยงแต่ตอนตายแล้วจะเที่ยง
พ่อครูว่า..เอาตัวเลขมาตามนี้ก็ดีแล้ว เป็นการจัดสัดส่วน อาตมาไม่พยายามจะใช้พวกนี้ คนนี้เขาเรียกกันว่าดร.ลอย เขาฟุ้งซ่านสร้างเครื่องไม้เครื่องมือไปเรื่อย เขาจะสร้างโดรนมาให้อาตมานั่ง อาตมาไม่กล้าจะใช้
อาตมาไม่นิยมการตรวจญาณ เพราะว่าเป็นการอวดเก่ง พระพุทธเจ้าไม่สอน ให้ดูได้ด้วยตนเองเป็นปัจจัตตัง แล้วจะประมาณตนแล้วค่อยๆมาบอกให้อาจารย์ฟัง อธิบายได้ชัดเจนเท่าไหร่อาจารย์ก็จะพอรู้ตามสภาวะของผู้นั้นก็จะพอสรุปให้ได้ แต่แม้แต่ ผู้ที่ได้แล้วมาบรรยายอาจารย์ก็ตัดสินยังยาก ลักษณะนี้จึงไม่ใช่หลักเกณฑ์ที่จะใช้ทำ รู้ได้ด้วยตนเองถ้าเข้าใจภาษาบัญญัติและตรวจสอบจะชัดเจน ให้ภาษากับสภาวะเข้ากันตรงกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้ได้ แล้วทำ 2 ให้เป็น 1 นี้ไม่ง่าย เทวธัมมา โดยเฉพาะศึกษาอาการของเวทนา ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 หัวใจของศาสนาพุทธเลย
ทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ คุณก็จะรู้ อย่างที่อาตมาสอนให้ไปอ่านอาการของตัวเองอยู่ตลอดเวลา วิธีนี้แหละ ซึ่งไม่ง่าย
เอ้าศึกษาไป ดี
พ่อครูว่า…อาตมาบรรยายจรณะ 15 วิชชา 8 เป็นพุทธคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าอันเดียว ในพุทธคุณ 9 ก็คือเนื้อแท้ของศาสนาพระพุทธเจ้าคือจรณะ 15 วิชชา 8 นอกนั้นบอกถึงสภาวะ เป็นผู้ที่เจริญแล้ว ลักษณะที่มีอลังการ แต่เนื้อแท้อยู่ที่จรณะ 15 วิชชา 8 เพราะฉะนั้นมุ่งหมายเรียนที่จรณะ 15 วิชชา 8 ให้ละเอียดชัดเจน แล้วจะรู้ได้ครบ และรู้แล้วก็ปฏิบัติได้ด้วย คุณก็จะสมบูรณ์แบบ ถ้ายังปฏิบัติไม่ได้สมบูรณ์ มันก็ต้องยังไม่สมบูรณ์
ในพุทธคุณ 9 เช่น
-
อรหังสัมมา เป็นพระอรหันต์ คือ ผู้ไกลจากกิเลส อรหันต์ คือ ไม่ลึกลับ
-
สัมมาสัมพุทโธ ตรัสรู้ถูกต้องโดยพระองค์เอง ไม่ได้มาจากใครท่านค้นพบและศึกษาจากพระพุทธเจ้ามาแต่ละชาติจนรู้เองสุดยอด เริ่มตั้งแต่ปัจจัตตัง จนเป็นปัจเจกเป็น สยังอภิญญา สยัมภู อย่างเช่นอาตมาอยู่ในฐานะ สยังอภิญญา จะไล่รู้ไปตามลำดับขั้น เป็นการบอกถึงลำดับคุณธรรมเนื้อแท้จรณะ 15 วิชชา 8
-
วิชชาจะระณะสัมปันโน
-
สุคโต แปลว่า ไปดีแล้ว ถ้ายังไม่มีผิดพลาดไม่มีไม่ดีมีแต่ดี ไปที่ไหนไปอย่างไร ไม่มีการบกพร่องในความไม่ดีเลย เรียกว่า สุคโต
-
โลกะวิทู รู้จักโลก รู้จักอัตตา ตัวเองนี่แหละไปรู้โลก ตัวเองคือภายใน
-
อนุตตโร ปุริสธัมมสารถิ ทำได้แล้วก็เป็นผู้ที่เอามาสอนเอามาฝึกเอามาให้คนทำคนให้บรรลุตามไปได้ยิ่งกว่าใครๆ เป็นกระบี่มือหนึ่ง สุดยอดแล้ว สามารถสอนคน ไม่ได้หมายความว่าเนรมิตให้คนเป็นได้เลย แต่ก็มาสอน ทำให้คนสามารถเรียนรู้และบรรลุเป็นพระอาริยะได้
-
สัตถาเทวมนุสสานัง เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เทวดาก็ดีมนุษย์ก็ดี จะต้องค่อยๆเรียนรู้สภาวะความเป็นเทวดา ความเป็นมนุษย์ อย่างละเอียดละออ จะแยกกาย แยกสัญญาให้ฟัง กายอย่างนึง สัญญาอย่างนึง แล้วกายของผู้ที่มีความรู้อย่างตรง ก็จะค่อยๆเข้าใจตรงกัน ไม่สลับซับซ้อน แต่มันสลับซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อนกันอย่างไม่รู้กี่ชั้น ยาก อาตมาก็พยายามจะเก็บ โดยที่ท่านตรัสเรื่อง กายที่ต่างกัน กายอย่างเดียวกัน ไว้อธิบายเรื่องวิญญาณฐิติ 7 และสัตตาวาส 9
-
พุทธโธภควาติ
วิญญาณฐิติ 7 คือ คนที่มีวิญญาณตั้งอยู่คือคนที่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัส อยู่ และเกิดความรู้มีธาตุวิญญาณเป็นปัจจุบัน แล้วก็เดินอยู่ใน 7 อย่าง กามสัญญา แยกกายแยกจิต แต่แยกจิตไปอีกให้เป็นตัวกำหนดรู้ สัญญา เพราะฉะนั้นถ้าสัญญาที่มิจฉาสัญญา มันก็จะต่าง แต่ถ้าเป็นสัมมาสัญญามันก็จะตรงกัน
วิญญาณฐิติ 7 เป็นการเรียนรู้ในขณะที่วิญญาณตั้งอยู่ ถ้าไม่มีวิญญาณตั้งอยู่ โมฆะไม่มีทางรู้ได้ คุณจะเป็น อสัญญีสัตว์ แล้วคุณก็จะได้สูงสุดแค่เนวะสัญญานาสัญญายะตะนสัตว์ จะไม่มีทางมาเป็นมนุษย์ ไม่มีทางมาเป็นเทวดาได้เลย คุณจะจมอยู่ในสัตตาวาส 9
เพราะสัตตาวาส9 นั้นมีครบด้วยอวิชชา คือความเป็นสัตว์ทั้ง 9 โดยเฉพาะสองตัว อสัญญีสัตว์กับ เนวะสัญญานาสัญญายะตะนะ
ถ้าสายโลกุตระ ถ้าเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะก็เป็นปัญญา
สัญญาคุณจะไม่มีทางกำหนดรู้ได้ เนวสัญญา แปลว่า สัญญาที่กำหนดรู้ไปเรื่อยๆจากที่ไม่รู้ก็เป็นรู้ เนว คือ กึ่งๆ แล้วได้ส่วนนึงไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ได้ก็ไป เนว ถ้าได้ก็เป็น นา ครบนา สัญญา สัญญาครบ รู้ในความแตกต่างที่มีเท่าไหร่ ก็มีทั้ง 9 อย่างละเอียดครบนี่แหละ คุณก็พ้นความเป็นสัตว์
แต่ผู้ที่ไม่ได้เรียนวิญญาณ 7 คุณเป็นอสัญญีสัตว์ สูงสุดเป็นเนวสัญญายตนสัตว์
ลงท้ายด้วยสัตว์ ไม่ได้เป็นมนุษย์ ไม่ได้เป็นเทวดา ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์แบบโลกุตระ เทวดาแบบโลกุตระ หรือว่าเป็นมนุษย์ทางโลกียะ และเป็นเทวดาทางโลกียะ คุณก็ไม่รู้เรื่อง คุณนึกว่าคุณเป็นมนุษย์ คุณนึกว่าคุณเป็นเทวดาแต่ไม่ใช่ ผิดหมด
สู่แดนธรรมว่า…ทำไมวิญญาณจึงมี อากิญจัญญายตนะ
พ่อครูว่า…เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะไม่ได้ เพราะว่าในว่าเนวสัญญานั้นมีธาตุที่เป็นสัมมาทิฏฐิร่วม แต่ผู้ที่หลับตานั้นไม่มีเลย ดับมืดมากกว่า
สู่แดนธรรมว่า..วิญญาณฐิติจะสุดท้ายแค่อากิญจัญญายตนะ
พ่อครูว่า..วิญญาณฐิติ 7 จึงไม่มีเนวสัญญานาสัญญายตนะ และไม่มีอสัญญีสัตว์ จบแค่อากิญจัญญายตนะ
แต่สัตตาวาส 9 คุณมีแต่สัญญา อสัญญีสัตว์ แล้วไปนั่งหลับตาได้เนวะสัญญานาสัญญายะตะนะ อย่างฌานหลับตา คุณมีวิธีทำ แต่ได้ผลมืด จริงๆแล้ว เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็คืออสัญญีสัตว์ นั่นเอง ดับไม่มีสัญญาเลย
สู่แดนธรรมว่า..พ่อท่านเคยสอนว่าให้มาเป็นแบบวิญญาณฐิติ 7 ดีกว่าสัตตาวาส 9
พ่อครูว่า…หากคุณยังไม่รู้จักวิญญาณฐิติ 7 แล้ว คุณจะจมอยู่ในสัตตาวาส 9 ตลอดกาล แล้วตัวจบที่คุณหลุดพ้นสูงสุดก็คืออสัญญีสัตว์ ส่วนเนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้น เป็นเนวสัญญานาสัญญายะตะนะสัตว์ ไม่ใช่เนวสัญญานาสัญญายตนะของอาริยะ แต่เป็นสัตว์ ไม่มีบุคคลที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 ไม่มีพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ไม่มี
เป็นสัตว์อยู่ตลอดเลย ไม่มีบุคคลที่1-8
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน..
สมณะฟ้าไทว่า…แต่ก่อนผมถามพ่อครู แต่ก่อนอธิบายไม่ชัดเหมือนวันนี้วันนี้กระจ่างขึ้น
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…ถ้าเทียบที่โอกกันติในชาติ 7 มันไม่ไปสู่นิพพัตติ อภินิพพัตติ มันวนสู่สัญชาติ
พ่อครูว่า…จมสู่ความหลง หนักเข้าหนักเข้า เพราะฉะนั้นจุดที่สายนั่งหลับตาได้สูงสุดก็คืออสัญญีสัตว์ สัตว์ที่ใช้สัญญากำหนดไม่ได้แล้ว ไม่มีสัญญากำหนดแล้ว ธาตุจิต เจตสิก เวทนา สัญญา สังขาร มีตัวสัญญาเป็นตัวทำงานรู้ พอสัญญามันดับ สัญญามันไม่ทำงานเลยแล้วจะเอาเวทนาไปรู้ตรงไหนจะเอาสังขารมารู้ตรงไหน มันไม่มี เพราะคุณดับสัญญาไม่ให้สัญญาทำงาน คุณก็เป็นอสัญญีสัตว์ เป็นสัตว์แท้ๆเป็นสัตว์ที่อวิชชา
ทีนี้ไปปฏิบัติก็เป็นการมิจฉาทิฏฐิมิจฉาปฏิบัติ เลยไปได้เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะฌาน ซึ่งเป็นฌานของอุทกดาบส ฌานหลับตา มืดและมืด เดี๋ยวนี้ก็ยังมืดอยู่เลย เป็นสัมภเวสีที่ไหนก็ไม่รู้ เพราะตายไปแล้วเป็นสัมภเวสีไม่มีใครเห็นใครหรอก มีแต่เดามีแต่ฟุ้งซ่านมีแต่อุปาทานไปว่าเห็น แต่แท้จริงเป็นนิรมาณกาย แล้วก็ร่วมสอดคล้องกันเป็นสัมโภคกาย แต่ต่างคนต่างก็คือคนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ทั้งนั้น
ศีลเป็นหลัก เป็นข้อกำหนดเลย ศีลข้อที่ 1 คุณต้องเรียนรู้รายละเอียดของมันทั้งหมดกำหนดศีลข้อที่ 1 เรื่องเกี่ยวกับสัตว์
ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับข้าวของและพืชอย่าไปทุจริต ส่วนสัตว์นั้นต้องมีเมตตาต้องช่วยกันหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวง ส่วนของนั้นอย่าทุจริต ทำอย่างสุจริตเสียสละแบ่งปันกัน
ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กามคุณ 5 คุณต้องรู้ว่าตัวนี้เป็นตัวที่ทำให้จมอยู่ในโลกทั้งหลายที่เป็นโลกโลกียโลกของกามคุณ โลกกามารมณ์ กามฉันทะกามตัณหา เพราะฉะนั้นเป็นขั้นต้นขั้นที่หยาบ อันนี้ต้องให้ได้ก่อนแล้วคุณถึงจะรู้มีความรู้มีธาตุรู้มีรายละเอียดพวกนี้ หมดไป จบไป จึงจะเหลือแม้แต่เป็นรูปราคะเศษส่วนของกาม แต่มันไม่เอาแล้วข้างนอกภายนอกมันหมดรส หมดกามรส มันเฉย มันกลางไม่กระดี๊กระด๊า แต่ระริกระรี้อยู่ในภายใน จมกับสัญญา เป็นความเคยชินเป็นสัญชาตญาณเก่าๆ แต่สิ่งใหม่ที่กระทบสัมผัสอยู่กับปัจจุบันนี้ ถ้าเป็นพระอนาคามี หมดกามภพ คุณสัมผัสคุณก็เฉยหมดสัมผัสเสียดสี นั่นคือพระอนาคามีแท้ มันก็เหลืออยู่แต่ของคุณเอง ปรุงกันนั่นแหละ อาตมาใช้ภาษาว่าขยำขี้ ปรุงเป็นรสของตนเอง ไม่เกี่ยวกับคนอื่นหรอก นี่มันขาดจริงๆๆ จะเป็นอย่างนี้แล้วก็ไปล้าง รูปราคะ ที่ยังมีเสพไปเรื่อยๆ ได้แล้วก็มีมานะ นึกว่าตนเองได้ดี ไปเบ่งข่มผู้อื่น อวดอ้าง ก็ลดลงๆ หมดมานะเหลือเศษน้อยก็ล้างอุทธัจจะ หมดแล้วก็หมดอวิชชา ก็จะชัดเจนขึ้นไป หมดสังโยชน์
เข้าสู่จรณะ ชัดเจนมากแล้ว เรื่องของศีล เรื่องของสัตว์ก็เป็นเรื่องของสัตว์ เรื่องของข้าวของก็เป็นเรื่องของข้าวของ เรื่องของกามคุณ 5 ก็เป็นเรื่องของกามคุณ 5 ศีลทั้ง 3 ข้อใหญ่ๆนี้ ข้อ 1 2 3 ส่วน วจี กับจิต ก็เป็นนัย ละเอียดต่อไปส่วนสภาวะจิตนั่น 3 ข้อแรก
เรียนรู้และปฏิบัติตามจรณะ 15 ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด มันก็มี 3 ข้อ จะต้องมีการสำรวมอินทรีย์ อินทรีย์ทั้ง 5 ภายนอกและมีตัวที่ 6 เป็นตัวภายใน เป็นตัวร่วมเป็นกลายเป็นตัวผู้รู้เป็นเทว ต้องมีรูปนาม ต้องมีคู่ ตัวถูกรู้กับตัวที่เป็นผู้รู้ หากคุณโดดเดี่ยวไม่มีรูปนอกนั้นก็เป็นโมฆะ ผิด เพราะฉะนั้นจึงต้องหันมาสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 โดยมีนามข้างในกับรูปภายนอกทั้ง 5 ทวารทั้ง 5 ขาดจากทวารทั้ง 5 อินทรีย์ทั้ง 5 และมนินทรีย์ภายใน ร่วมกันเป็นคู่ปรุงแต่งกันอย่างขาดกันไม่ได้
ก็เรียนรู้จากที่สัมผัสของกินของใช้ ที่จริงของกินของใช้นี้มันผ่านเรื่องของเพศแล้วนะ เรื่องของเพศนี้มันเป็นแค่เรื่องของสัตว์เดรัจฉาน สัมผัสเสียดสีเกิดรส รสสัมผัสเสียดสีทางโลกทั้งผู้หญิงผู้ชาย จืดชืด เมื่อยแล้ว พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่าเรื่องเมถุนมีน้ำเป็นที่สุด หลั่งน้ำก็หลั่งจืดๆ แล้วมันเมื่อยนะ ถ้าคุณหมดรสของกามารมณ์แล้วนะ พูดไปจะเข้าไปหาลามกแต่ให้ฟังดีๆมันเป็นวิชาการ
คุณสัมผัสเสียดสีคุณหลั่งน้ำ คุณจะไม่เกิดรสชาติ แต่คุณจะเหนื่อยมากๆ เพราะมันลึกซึ้งมากเลย อาตมาศึกษามาถึงขั้นนี้แล้ว สัตว์เดรัจฉานนี่มันจะติดรสของกาม ติดรสของกามแล้วมันก็จะหลั่งน้ำเป็นที่สุดเพื่อสืบพันธุ์ไว้เท่านั้น ทีนี้คนที่ไม่ติดในการสืบพันธุ์แล้ว ไม่ติดเรื่องสืบพันธุ์ก็ไม่ต้องมี พวกที่มาศึกษาธรรมะเรื่อยๆ เรื่องต่อเผ่าต่อพันธุ์ใครๆก็ทำได้ สัตว์เดรัจฉานก็ทำ เราไม่ต้องไปแย่งชิงเขา
พระพุทธเจ้านี้สุดยอดเป็นเชื้อดีขนาดไหนทำไมไม่เอาพันธุ์ไว้ พูดเป็นนิยายน้ำเน่าเลย คือไม่เข้าใจ ผู้รู้ดีแล้วก็ไม่ต้องหรอก ปล่อยให้สัตว์เดรัจฉานหรือคนอื่นเขามีหน้าที่ทำไป มนุษย์เขาบอกว่าถ้าไม่มีเพศสัมพันธ์มนุษย์ก็หมดโลกสิ ก็อย่าไปพูดอย่างนั้นเลย คุณเอาตัวคุณเองก่อนคุณจะหมดได้หรือยัง เอาคุณก่อนก็แล้วกัน ถ้าคุณหมดแล้วคุณจะรู้ว่ามันไม่ใช่ง่ายๆมันยากจะตายชัก จะไปเข็นให้คนอื่นเขาหมดแล้วคุณจะรู้เอง ว่ามันไม่ใช่ง่ายนะว่ามันจะหมด เพราะฉะนั้นนี่เป็นเรื่องที่ ปัจจัตตังตัวนี้เป็นเรื่องสุดยอดจริงๆ
สรุปแล้วพระพุทธเจ้าถึงสรุปใช้คำว่าเรื่องเมถุนธรรมมีน้ำเป็นที่สุด น้ำที่ว่าคือเชื้อที่จะมีตัวสเปิร์ม เอาไปผสมเป็นพันธุ์ไป มีน้ำเป็นที่สุด
ผู้ที่ลึกลงไปอีก พูดรายละเอียดเป็นวิชาการ โรงงานสร้างตัวสเปิร์ม ผู้ที่หยุดโรงงานสร้างสเปิร์มแล้วมันจะหยุด มันจะไม่สร้างตัวสเปิร์ม แล้วไอ้น้ำที่จะนำพาสเปิร์มก็จะแห้งและข้นไป ยากที่จะมีไปอีก เพราะฉะนั้นจึงป่วยการ รสก็ไม่นำพาจะให้ทำ พวกนี้โรงงานก็หยุดไป มันจะเป็นธรรมดาธรรมชาติของจิตของคุณมันจะหยุด เพราะฉะนั้นคุณจะมาบังคับให้มันสร้างโรงงานคุณเหนื่อยมาก คุณยากมากเลย ฟังขึ้นไหม ไม่ต้องทดสอบหรอก คุณจะรู้ แต่พระโพธิสัตว์จะได้เรียนรู้ไปอีกไม่รู้กี่ชาติจึงจะรู้รายละเอียดพวกนี้ตามสัจจะจริง เพราะฉะนั้นจึงไม่สงสัย ผู้ที่ยังต้องทดสอบอยู่คือผู้ที่ยังสงสัย ผู้ที่จบแล้วไม่สงสัยจะไปทำให้เมื่อยทำไมมันเสียแคลอรี่
เพราะฉะนั้นความจริงมันก็จะเป็นความจริง ความจริงก็คือผู้ที่จะต้องมีอยู่เป็นอยู่ ศึกษามาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 จึงค่อยรู้เรื่องพวกนี้ อาตมาจึงบอกว่าอาตมาจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ชีวิตไม่มีคู่เลย ส่วนพระสมณโคดมยังมีคู่อยู่ ขออภัยไม่ได้ข่ม แต่เพื่อพิสูจน์อันนี้ พระสมณโคดมท่านต้องการเอาแค่นี้ก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปได้แล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าอาตมาจะทำจะพิสูจน์อีก พระพุทธเจ้าสมณโคดมท่านก็พิสูจน์มาแล้ว ท่านก็ทำมาเมื่อยแล้ว ท่านจะปรินิพพานแล้วท่านเอาแค่นี้ เอาแค่อายุ 80 ปีก็พอแล้วจบ ทำงานมา 45 ปีจบ พระอานนท์อาราธนาแล้วอาราธนาอีก ท่านก็ไม่เอาแล้ว ก็เพราะว่าเราทำนิมิตแก่เธอมาตั้ง 16 ครั้ง เธอยังไม่อาราธนาเรา ครั้งนี้เราตัดสินแล้วเธออย่ามาอาราธนาให้ยาก นั่นก็คืออาศัยนิมิตเป็นเครื่องตัดสินว่าพอแล้ว
แล้วหน้าที่ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์ก็ยังมีอยู่ ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโพธิสัตว์ อย่างน้อยโพธิรักษ์ก็ยังมาต่ออยู่ แล้วโพธิสัตว์อื่นๆก็ยังมีอีกเยอะแยะไป ยังไม่เกิดมาในยุคนี้ก็ยังมีอีก ก็ยังไม่ชัดเจนในตัวเองก็ยังมีอีกเยอะ ถ้าไปเรียนทางมหายานมีโพธิสัตว์เกลื่อนเลย
เอาละ ตัดเรื่องนั้นไป
มาพูดถึงอปัณณกปฏิปทา 3
สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะคือการตื่น
การตื่นนี้คือ มีสติรู้รอบ สติรู้รอบจะมีพลัง เรียกว่าอธิปไตย สติเป็นอธิปไตย เป็นพลังงานที่เป็นพลังแรงรอบครบ ครบอยู่สามด้าน
-
ครบในทางกาย 2. ครบในทางวจี 3. ครบในทางมโน