630228_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พ่อครูรำลึกถึงคุณเทพ วงศ์คำแหง
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1BD0xf591ubu0dJP8AnYjCZVOCC57hl1HqvdbPtgrwDE/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1oDdoAtcZ8a7RaN2LDL8RNlnSxlbVC68K
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันแรกของการเข้าค่ายสัมมาอริยมรรค ครั้งที่ 43 ณ บวร ราชธานีอโศก ศุกร์ที่ 28 ก.พ. – อาทิตย์ที่ 1 มี.ค. 2563 รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)
สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ
โทรฯ คุณชญาดา(บุญยิ่งแก้ว) 087-4437865
##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP หรือสื่อธรรมะพ่อครู
พบกับกิจกรรมตามมรรคมีองค์ 8 พบกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมส่ิงแวดล้อมดีที่จะพาคุณสู่ “ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น”(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) อันจะพาไปสู่ความบริสุทธิ์จนถึงสัมมาวิมุติ
ค่ายธรรมะคนไม่ค่อยสนใจ หากจัดแล้วแจกฟักทองแจกบวบ คนจะมามากไหมนี่ (พ่อครูยกบวบงูขึ้นมาวัดให้ดูว่า ยาววา บอกว่าอย่าใสปุ๋ยงอกงามนะ หากใส่แล้วจะเป็นอย่างนี้
พ่อครูว่า…อาตมาเคยจัดรายการโทรทัศน์มาก่อน รายการแข่งขัน รายการสาระบันเทิงต่างๆ
โทรทัศน์ของเมืองไทยเปิดครั้งแรกเมื่อ พศ. 2498 ตอนนั้นอาตมายังเรียนอยู่เพาะช่าง ปี3-4 อาตมาจบ ปี 2500 ที่อาตมามาทำงานโทรทัศน์แล้ว พอพูดถึงตรงนี้ก็นึกถึงสุเทพ สิ้นชีวิตไปเมื่อเช้าวานนี้
สุเทพ วงศ์กำแหง รู้จักกับอาตมาตั้งแต่พ.ศ 2494 เป็นนักร้องเหมือนกัน มาสมัครร้องเพลงเหมือนกันตอนนั้นกลุ่มที่ร้องเพลงจะมี 3 กลุ่มใหญ่ๆ แต่กลุ่มที่ 3 ของ คุณไพบูลย์ บุตรขัน เกิดทีหลังนิดหน่อย กลุ่มสุนทราภรณ์เป็นกลุ่มใหญ่ กับของคุณล้วน ควันธรรม ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับกลุ่มสุนทราภรณ์ ดาว 2 ดวงอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็เลยตกลงกัน ล้วนก็เลยยอมลาออกจากกรมประชาสัมพันธ์ออกมาเป็นศิลปินเดี่ยว เขาเป็นศิลปินเดี่ยวคนแรก สำหรับคุณ ล้วน ควันธรรม แต่งเพลงเองร้องเองขายแผ่นเสียงเองแล้วก็มีเมียหลายคน นักร้องหลายคน เดี๋ยวนี้ก็ยังเหลืออยู่คือคุณวิโรจน์ ควันธรรมเป็นลูกของพี่เล็ก คณะวงดนตรี ซึ่งเป็นน้าหรืออะไรของเมียของ สุเทพ วงศ์กำแหง นี่แหละ มีลูกชายกับ คุณล้วน มีชื่อนายแหลม หรือหลิม แม่ของวิโรจน์ ควันธรรม อาตมาก็ชักเลือนๆ อยู่กันมาเกี่ยวข้องกันมา อายุตอนนี้ 86 ปีแล้วก็ลืมไปบ้าง
พ่อครูพูดไปตามภาพที่insert ตอนทำงานอยู่สถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม
วิทยุของประเทศไทยมีอยู่ 3 สถานีตอนนั้น 1. สถานีกรมประชาสัมพันธ์ 2. สถานี1ป.ณ. 3. สถานีรักษาดินแดน (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท ว่า พ่อครูระลึกชาติถึงคุณสุเทพ
_ภัทรินทร์ อัจฉริยประ …..เมื่อครั้งที่ พ่อครูไปทำเพลงที่ห้องอัดเสียง ทอง ของคุณ นคร มังคลายน มีเพลง สักวันหนึ่งดอกไม้บาน(ไม่ใช่เพลงพ่อครู) เพลงสันติภาพเอย เวลานัดที่ห้อง อัดเสียงคือ 11นาฬิกา พ่อครูไปถึง สิบโมงครึ่งกว่า และได้นั่งรอ คุณ สุเทพจนบ่ายโมงกว่าๆ พอพวกเราแจ้งพ่อครูว่า คุณสุเทพมาแล้ว พ่อครูลุกขึ้นจากห้องรับรองเดินเอามือแขนกอดอก ออกมารับที่ประตูห้องอัดเสียง ทักทายด้วยเสียงยินดี คุณสุเทพย่อเข่าลงอุ้มพาพ่อครูเดินวนรอบๆห้องห้องพร้อมคำขอโทษไม่ขาดเสียงที่มาช้า เป็นภาพที่งดงามที่ยังตรึงตาอยู่จนทุกวันนี้ ไม่ลืมเลย
เพลงครูรัก ที่คุณสุเทพได้ร้องไว้
เพลงขวัญ
เพลงขี้เหร่จริงหนอความจริง
เพลงทึ่ง
เพลงฟ้าฝัน
เพลงภูฟ้า ผาน้ำ
เพลงดอกฟ้าที่หมาวัดฯ
เพลงสันติภาพเอ๋ย
เพลงภราดรภาพ(เพลงหมู่)
เพลงหยาดอรุณ(เพลงหมู่)
… และเพลงอื่นๆ น่าจะร่วม 10 เพลง
พ่อครูว่า…ก็เท่าที่ระลึกได้ ก็นึกถึงคบหากันมา คืออาตมาเป็นคน shut in ตรงที่ว่าไม่ยอมเปิดเผยชื่อเมื่อทำงานอะไร อยู่กับพี่ล้วน เขาก็ไม่รู้ว่าอาตมาแต่งเพลงเป็น จนอาตมาก็อยู่ พบกับคุณสุเทพเข้า วัลลภ วิชชุกรณ์ก็เป็นนักร้อง สามีคนแรกของผ่องศรีวรนุช วัลลภหน้าตาดีกว่าสุเทพ เป็นพระเอกหนัง แต่เขาเป็นพระเอกละครเร่ของพรานบูรพ์ แล้ว ผ่องศรี วรนุชก็เป็นนางเอกละครเร่ (ตอนอายุ 15) อาตมาก็เรียกออด เขาก็เรียกอาตมาแป๊ก
เสร็จแล้วก็อาตมาก็เข้ามาพอมาอยู่กับคุณล้วน ชีวิตอาตมระหกระเหิน พอแม่ล้มป่วย ถูกโกง เงินทองหมด พ่อกินเหล้าเก่ง หย่ากับกับแม่3 ครั้งแบ่งสมบัติไปทีละครึ่ง สุดท้ายก็หมด พ่อกินเหล้าแล้วแจกคนอื่นหมด หย่าสามครั้งสมบัติหมด
ชรินทร์อยู่อีกค่ายหนึ่งกมลสุโกศล ชรินทร์เป็นลูกศิษย์อ.ไศล ไกรเลิศ โดยเฉพาะชุดผู้ชนะสิบทิศ ดัง
พี่ไหลนี้อยู่อันนึงที่เกี่ยวข้องกับอาตมาเขามาขอเพลงธารสวาทไปอัดเสียง ก็ไม่ได้คิดอะไรมากไม่ได้เดือดร้อนวุ่นวายอะไรก็อยากให้อัดด้วยเพราะเราชอบไง ทำแผ่นเสียงเราเท่ ก็เอาไปอัด อย่างนี้เป็นต้น ก็ใส่ชื่อเขา คนก็เลยเข้าใจว่า พี่ไศลเป็นเจ้าของ แก้เพลงนี้ประโยคเดียว
โอ้กระแสธารเจ้าเลย หลั่งเลยไหลใจล่องลอย เขาก็ไปแก้ หลั่งเลยไหลมาจากดอย ..
สรุปแล้ว เทพกับอาตมา ตอนอาตมาเรียนม.7 ม.8 เรียนม.8 อยู่ 3 ปี จนถึงปี 2496 ความรู้จึงแน่นเพราะตกสองปี อาตมามีเพื่อนหลายรุ่น เพื่อนจบไปแต่เรายังอยู่ก็เลยได้เพื่อนรุ่นน้องมาเป็นเพื่อนหลายรุ่น ม.6 ร.ร.เบญจะมะ ก็ซ้ำสองปีมีเพื่อนเยอะ
ออดนี่ชื่อ วัลลภ วิชุกรกับสุเทพ วงศ์กำแหง ก็ตั้งชื่อวงขึ้นมา เทพวิชชุ อาตมาเป็นคนตั้ง อาตมาเป็นผู้จัดการหมด แม้แต่เป็นพิธีกรเชื่อมโยงบรรยาย เราร้องสู้เขาไม่ได้ มันขาดมันเหลือก็ร้องหรือร้องหมู่ผสมผสานไป แต่เป็นผู้จัดการ ประกาศใครจะร้องแต่งกลอนประกอบเพลงด้วย
อาตมา ตกม. 8 ก็ไม่เรียนต่อแล้ว จนปี 2496 ตุปัดตุเป๋ ไปโรงเรียนเพาะช่าง เขาก็กำลังเปิดคณะวิจิตรศิลป์บอกว่ามันยังไม่เต็ม เปิดใหม่ ก็บอกว่าเข้าได้ อาตมาก็เลยเข้าเรียนคณะวิจิตรศิลป์ Pure Art เข้าไปเป็นนักเรียนโข่ง เพื่อนจบปี 4 แต่เราอยู่ปี 1 มันมีหลายคณะ ที่จริงรู้จักสุเทพตั้งแต่ปี 2494 – 2495 ตั้งแต่มัธยม อยู่วงการด้วยกัน แต่งเพลง อาตมาก็ใช้วิธีเป็นผู้จัดการ พออาตมาไปเรียนเพาะช่าง ก็ไม่ค่อยได้เจอกัน ไม่ได้ร่วมกันเท่าไหร่ ปี 97-98เขาก็ไปกับพี่ไหล พี่หมาน (สมาน กาญจนะผลิน) เราก็เล่นหนังละครเรื่องดวงดาวที่มีผู้ช่วยพระเอกชื่อ ชาลี ดวงดาว หรือ วนิดาไม่ทราบ สง่า อินทรวิจิตร หรือ อินทรวิจิตร ที่แต่งเนื้อร้อง สดุดีมหาราชา
สุเทพเขาโด่งดังทางดนตรี แต่อาตมามาเอาดีทางโทรทัศน์ ตอนนั้นก็มีแค่ขาวดำ ตอนหลังมี ช่อง 7 ช่อง 5 ขึ้นมา ส่วนช่อง4 บางขุนพรหมเป็นของรัฐบาล ก็มีช่อง3 มาขออาศัยใช้แทคติก ตอนนั้นเขาเสนอ สร้างสี มาตุกติก จริงๆกม.ไม่ให้ตั้งแต่เขาขอใช้ชื่อของช่อง 4 แล้วก็เป็นช่องสีของช่องสี่ก็เลยเป็นช่อง 3 ก็ได้ ก็ตั้งขึ้นมา เกิดเป็นโทรทัศน์ช่องสีช่องแรกของประเทศไทย ตอนนี้ ประชา มาลีนนท์ก็ยิ่งใหญ่
อาตมาไปทางเรียนจนกระทั่งตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือก็ลดหย่อนพวกนี้ไป จบแล้วก็ไปทำงานโทรทัศน์ มีงานเยอะ ต้องเลี้ยงน้องต้องหาเงิน ตอนนั้นค่าแต่งเพลงราคาไม่มากบวกลบแล้วเหลือแค่ 300 บาทต่อเพลง ดีไม่ดีอัดเสียงไปเล่นไพ่ไปก็หมด ไม่เหลือหรอก
สรุปแล้วก็สนิทสนมกันเขาก็เรียกอาตมาว่าแป๊ก อาตมาเป็นคน shut in จนมีเรื่องกับพี่ล้วน เขาจัดประกวดเพลง อาตมาก็ส่งประกวด ใช้นามปากกาส่งประกวด อาตมาเป็นเลขาของพี่ล้วน ตัดสินแล้วของศรีสวัสดิ์ แต่งได้ชนะ แต่ก็พี่ล้วนเห็นเพลงอีกเพลงของนามปากกา ยุบลรัตน์ เขาก็ว่าดีเหมือนกัน ศรีสวัสดิ์ แต่งเพลง วาสิฏฐีจำแลง เพลงชมโฉม แต่เพลงอาตมาชมธรรมชาติ กลางไพรสณฑ์ …เขาก็ว่าเฮ้ยดีนี่หว่า ก็ตัดสินไม่ลง จะให้ใครที่ 1 ตัดสินไม่ลง ก็ให้ที่ 1 คู่กันก็แล้วกัน ดูเถอะ วาสนาโพธิรักษ์ ประกาศให้มารับรางวัล แล้วที่ 1 ก็มี 2 คน ดีทั้งคู่ ศรีสวัสดิ์ก็มารับ มารับก็มารับจากอาตมา เพราะอาตมาเป็นเลขา ส่วนอีกคนไม่มารับ พี่ล้วนก็ถามว่าทำไมอีกคนไม่มารับสักที อาตมาก็เลี่ยงตอบไปหลายที สุดท้ายก็ต้องบอกไปจนได้ ก็บอก คนนี้ผมเองล่ะครับ…เขาก็ว่า ไอ้เหี้ย ทำให้กูเสียเงินค่ารางวัล ได้รางวัลกับเขาทั้งที ก็เป็นอย่างนี้ เขาด่าซ้ำอีก
อาตมานี่เป็น DJ คนแรกของประเทศไทย สถานีวิทยุรักษาดินแดน เป็นแห่งแรกที่อาตมาได้นำเอาแผ่นเสียงมาแล้วมาเปิดมีการบรรยายว่าเพลงเป็นมาอย่างไรคนไหนร้องคนไหนแต่งอะไรต่างๆนานา เป็นประวัติประกอบแล้วก็เปิดเพลง สมัครเป็น DJ คนแรกของประเทศไทย เป็นวิทยุ1รด.
เพลงอาตมายุคแรกๆก็ยังไม่ได้อัดแผ่นเสียง มีแต่เพลงของพี่ล้วนและคนอื่นๆ
สู่แดนธรรมว่า..ศิลปะมีส่วนในการสร้างศาสนาอย่างไร
พ่อครูว่า…ศิลปะเป็นส่วนสร้างศาสนาอย่างยิ่ง ศิลปะเป็นมงคลอันอุดม เอตัมมังคลมุตมัง แปลเป็นไทยว่า ศิลปะจะนำพาไปสู่สิ่งที่สูงสุด คือ อุดร อุดม เป็นโลกุตระ อุดรหรืออุตระหรือโลกุตระ เหนือโลก สูงสุดเป็นนิพพาน
จริงๆแล้วอาตมาอาศัยศิลปะ ก็ยังเคยสงสัยว่าตัวเองทำไมไม่ไปเรียนวิทยาศาสตร์ แต่พอมาทางด้านนี้ก็เชื่อมโยง เรื่องเพลงนี้อาตมาทิ้งทีหลังสุด ทิ้งแล้วแต่พอมาบวชแล้วต้องมาแต่งเพลงสัจจะชีวิตอีก เพราะเป็นศิลปะอันเป็นมงคลอันอุดม เพลงตอนหลังของอาตมาจะเป็นเพลงโลกุตระ ซึ่งหาได้น้อยมากในเพลงต่างๆ
อาตมาแบ่งเพลงเป็น 5 ระดับ
-
เพลงลามก
-
เพลงราคะ ซึ่งมีมากมายในตลาดเพลง
-
เพลงสาระ สาระต่างกับศิลปะ ตรงที่สาระไม่มีสุนทรียศิลป์ แต่เรียกสารคดี เป็นวิชาการสาระเต็มๆ อาตมาก็ไม่ค่อยชอบ เพราะมันแข็งเกิน อาตมาต้องมีสุนทรีย์จะไปได้ดีกว้างกว่า สุนทรีย์เหมือนน้ำตาลหุ้มยา นำเป็นกระษัยให้คนกินคล่องๆ หรือใช้สีสวยนำไป ไม่ใช่สารคดีที่แข็งมีแต่สาระ
ผู้ใดใช้กระษัยให้พอดีอย่าให้ติดสุนทรีย์ หากทำให้คนติดสุนทรีย์ก็เป็นลามก ราคะไป
-
เพลงธรรมะ ก็มีเนื้อหาธรรมะ อย่างตรงๆ เอาธรรมะมาใส่-ๆทำนอง เชยๆ ยังไม่เป็นโลกุตระ
-
เพลงโลกุตระ
ก็เมื่อมาบวชแล้วก็ใช้ประโยชน์ ต้องแต่งเพลง แต่ว่าอาตมาไม่ได้ติดยึด อาตมาอยู่เหนือและเข้าใจ แต่เอามาใช้ประโยชน์ คนที่เขาติดยังต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องอาศัยให้เขาใช้สิ่งเหล่านี้และเขาจะได้สัจจะสาระไป ได้ประโยชน์
_สู่แดนธรรมว่า…ผมก็เพิ่งเห็นพ่อท่านสอนประมาณ ในหลัก 7 สัปปุริสธรรม 7
พ่อครูว่า..สัปปุริสธรรม 7 คือ 1.ธัมมัญญุตา เป็นผู้รู้จักเหตุ 2.อัตถัญญุตา เป็นผู้รู้จักเป้าหมายจุดประสงค์ 3.อัตตัญญุตา เป็นผู้รู้จักตน ตัวเราแค่ไหนแล้ว 4.มัตตัญญุตา เป็นผู้รู้จักประมาณ 5.กาลัญญุตา เป็นผู้รู้จักกาล 6.ปริสัญญุตา เป็นผู้รู้จักชุมชน สิ่งแวดล้อม 7.ปุคคลปโรปรัญญุตา เป็นผู้รู้จักบุคคล
ธัมมัญญุตา คือ เอาสภาพธรรม ส่วน ตาที่เติมท้ายทำให้เป็นคำนามเท่านั้นเอง
ก็ธรรมะ อัญญะ มีอัญญะทุกอัน อัญญะ คือ ความหมายความรู้ของโลกุตระ อัญญะโดยพยัญชนะแปลว่าอื่น ต่างหากไปเลย แล้วโลกียะเขาไม่ใช้คำว่าอัญญะ หากมันแตกต่างจากตัวเขา เขาไม่เอา แต่อันอื่นที่ว่านี้ อัญญะแปลว่าอื่น แต่ไม่ใช่อื่นของทิ้ง แต่อื่นของพิเศษ ของวิเศษ เป็นอุตระเหนือโลก ความรู้อัญญธาตุ ที่อาตมาอธิบายให้ฟังว่า ในประดาคนของพระพุทธเจ้า สมณะโคดมท่านเริ่มประกาศศาสนากับปัจจวัคคีย์ โกณฑัญญะสามารถรู้ได้คนแรก เพราะว่ามีธาตุรู้ที่นอกเหนือจากโลกียธาตุ อันนี้เป็นของใหม่เป็นความรู้ต่างโลกคนละดวงดาว ความรู้ความเข้าใจในธรรมะ เรื่องธัมมจักกัปปวัตตนสูตรที่พระพุทธเจ้าเทศน์ แบ่งเป็น 2 เพราะว่าเทวนิยมนั้นตีไม่แตกมันเป็น 1 ตลอดเวลา ตีไม่ออกใน เวทนา สัญญา สังขารเป็น 1 เดียวไม่แยกธาตุรู้ ตีไม่แตกแยกไม่ออก
แต่พอมารู้ว่ามันมี 2 ใน 2 มี 1 มี 1 ใน 2 ตัวนี้ เข้าใจกันได้ยาก ถ้าใครเข้าใจอันนี้อย่างชัดเจนแล้วไปรอด วิญญาณนั้นเราต้องสามารถแยกรูปแยกนามเป็น 2 ได้ เราเป็นธาตุรู้ไม่รู้อีกสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ หยาบๆภายนอก สัมผัสทาง ตาหูจมูกลิ้นกาย ดินน้ำไฟลม เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นสัตว์ตัวตนบุคคลเราเขา ก็มีสิ่งที่ถูกรู้กับตัวธาตุรู้คู่กันไปตลอดเรียกว่ารูปนาม ถ้ารู้เกิดก็มีรูปนาม 2 เกิด ธาตุ 2
วิญญาณนั้นต้องมีรูปกับนาม ตัวใครก็ตาม อัตตาหรืออัตภาพของใครก็ตามต้องแยกรูปกับนามออกได้
รูป จะเกี่ยวกับอีกสิ่งหนึ่ง นามคือตัวเรา วิญญาณเป็นชื่อเรียกรวมใหญ่
นาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เป็นนามหลักเลยที่จะใช้ในการศึกษาเรียนรู้กระบวนการของจิต รูปนั้นมีกระบวนการ 28 แต่ว่านามนั้นมี 5 มีเวทนา สัญญา เจตนาผัสสะ มนสิการ ในล.16 ข้อ 14
นาม 5 เป็นตัวชี้บ่งชัดเจนว่า ถ้าเผื่อว่านักปฏิบัติธรรม ไม่มีกระบวนการ 5 นี้ โมฆะจากศาสนาพุทธ
พวกหลับตาไม่มีผัสสะ สัญญาเป็นตัวกำหนดเขาก็กำหนดแต่ภพภายใน เจตนาเขาก็แยกออก ว่าเป็นกามตัณหา ภวตัณหา แต่แยกไม่ได้สมบูรณ์ เพราะไม่มีผัสสะ
ผัสสะแล้วจึงเกิดกาม เรียกกามคุณหรือกามโทษ มี 5 มันเป็นโทษ แต่คุณไปหลงโทษว่าเป็นคุณ ไปหลงความเป็นภัยเป็นโทษเสียหายว่าคือคุณ อย่างนี้ต่างหากคือความวิปลาส ของคนไปหลงสุขเป็นทุกข์ ไปหลงอสุภะเป็นสุภะ ไปหลงความไม่เที่ยงว่าเที่ยง ไปหลงความไม่มีตัวตนว่ามีตัวตน ในวิปลาส 4
อาตมามีสัญญาวิปลาส กำหนดผิดได้ขออภัย ไม่อยากผิดแต่มันจำเป็น
สรุป พวกหลับตาสมาธิไม่ได้มีผัสสะ 5 มีนาม 5 ซึ่งมันเป็นกิเลสหยาบใหญ่ ที่คุณไม่ได้เรียนรู้เลย แล้วจะเอาแต่ดับอนุสัยอาสวะ แต่กิเลสใหญ่หยาบยังไม่จัดการ อย่างมหาบัวติดหมาก ไม่รู้กามคุณ 5 นี้เลย มหาบัวไม่รู้ จึงไปหลงแต่ภายใน นึกว่าภายในสิ้นอาสวะดับ กิเลสสิ้น แต่สิ้นไม่ได้ เพราะกิเลสตั้งพวงเบ้อเร่อ ยังพาเกิด
เหมือนลูกผลไม้มันจะต้องมีเมล็ดมีเนื้อ มีเมล็ด แต่คุณจะเอาเมล็ดเลย แต่ไม่ผ่าเนื้อใน คุณเก่งอย่างไรจะทำได้ หรือพระพุทธเจ้าพูดถึงแก่นของศาสนาพุทธ
ศีลเป็นสะเก็ด สมาธิเป็นเปลือก ปัญญาเป็นกระพี้ วิมุติเป็นแก่น ดอกใบผลเป็นลาภสักการะสรรเสริญ
หากไม่เรียนศีล สมาธิ ปัญญา จะไปแก่นได้อย่างไร ก็ไปแต่เพลิดเพลินในใบดอกผลโลกธรรมเต็มไปหมด ศีลจะเป็นตัวตั้งต้องมีศีล แล้วถึงปฏิบัติจรณะ 15 เป็นผลสำเร็จ คือพุทธคุณของพระพุทธเจ้าหรือเรียกว่า อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา
จรณะ 15
-
ถึงพร้อมด้วยศีล . . 9. ปรารภความเพียร (อารัทธวิริโย)
-
คุ้มครองทวารอินทรีย์ 10. สติอันเป็นอาริยะ
-
ประมาณในโภชนา 11. ปัญญา
-
ประกอบความตื่น 12. ปฐมฌาน
-
ศรัทธา (เชื่อมั่น) 13. ทุติยฌาน
-
หิริ (ละอายต่อบาป) 14. ตติยฌาน
-
โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป) 15. จตุตถฌาน
-
แทงตลอดในพหูสูต (ล.13/34)
วิชชา 8
-
วิปัสสนาญาณ
-
มโนมยิทธิญาณ
-
อิทธิวิธญาณ
-
ทิพโสตญาณ
-
เจโตปริยญาณ
-
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
-
จุตูปปาตญาณ
-
อาสวักขยญาณ