630323_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 94
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1dYnyv0rj85YzL4FMrMA9AWLdE4v7L7jvHCA05Du_ADE/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1agPQUa4TQnEMQxNu967wLIs600L3TwJH
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ก่อนรายการพ่อครูเปรยว่า…เหตุการณ์โรคห่าคราวนี้มันเป็นกันทั่วโลก จะทำให้คนเป็นโรคประสาทกันมาก ก็ให้พิจารณามรณสัญญา ตายไปสบายๆ หากตายไปไม่สบายเกิดมาก็ไม่สบาย
เริ่มรายการ…630323 คำถามจากไลน์และเฟสบุค
_นักเรียนรู้….สนับสนุนให้พ่อท่าน นักบวชทุกฐานะ และญาติธรรมทุกท่าน ลดความเสี่ยงให้มากที่สุด วิธีไหนพอทำได้ควรไว้ ให้เกินดีกว่าขาด เพราะไม่มีหลักประกันว่า ตอนนี้เชื้อ covid19 มีอยู่ที่ไหนบ้าง แม้ตอนนี้ปิดบ้านราชแล้ว แต่ก่อนปิด พวกเราส่วนหนึ่ง ก็ออกไปสัมผัสกับคนภายนอก ซึ่งป้องกันตัวเองดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ก็มีสิทธิติดเชื้อได้ และส่วนใหญ่ยังไม่มีอาการ แต่แพร่เชื้อโรคได้
พ่อครูว่า…เราก็พยายามที่สุดที่สุดระมัดระวังได้ก็อย่าประมาทจะเห็นได้ว่าคำว่าไม่ประมาทของพระพุทธเจ้านี้สุดยอด
_จากลูกศีรษะอโศก กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพบูชายิ่ง ขอความกรุณาให้พ่อท่าน ประกาศกฎอัยการศึกเฉพาะในอโศก พ่อท่านมีความคิดเห็นอย่างไรคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า…ศัพท์คำว่า ประกาศกฎอัยการศึกคือใช้อำนาจของกำลังผู้ดูแลประเทศ ควบคุมว่าจะต้องอยู่ในกฎหมายผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยของประเทศมีสิทธิ์ประกาศอันนี้แล้วควบคุมสถานการณ์ ก็เท่าที่ทำไปนั่นแหละพอควรแล้ว พูดไปก็จะเยอะแยะเกินไป ไม่ต้องพูดซ้ำซากอะไรมากมาย ก็จะมีเรื่องนั้นเรื่องนี้คนออกความเห็นไม่หยุดหรอก
_Araya อารยา…กราบนมัสการด้วยจิตคารวะ ขออนุญาตนำเรียนพ่อครู สมณะและสิกขมาตุ และเรียนปรึกษาญาติธรรมทุกท่านที่เคารพศรัทธาในคำสอนของพ่อครู ในช่วงการระบาดของโควิด ๑๙ โรคที่อุบัติใหม่ในยุคนี้ ซึ่งสาเหตุและการรักษายังมีข้อมูลไม่ชัดเจน ทุกคนต้องการฟังธรรมจากพ่อครู สมณะและสิกขมาตุ แต่เพื่อป้องกันและดูแลพ่อครูให้ท่านมีสุขภาพดี ปลอดภัยจากเชื้อไวรัสนี้ ขอเสนอให้พ่อครูนำเสนอธรรมะในห้องพักพ่อครู และส่งเสียงธรรมผ่าน YouTube หากญาติธรรมท่านใด ไม่ได้ฟังผ่าน YouTube ช่วงกลางวันในช่วงรับประทานอาหาร เปิดธรรมะพ่อครูผ่านเสียงตามสาย ญาติธรรมก็สามารถฟังและเรียนรู้นำไปปฏิบัติได้ ดังนั้นในช่วงเหตุการณ์ระบาดนี้ เราควรใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารธรรมะ แล้วแต่ละคนก็ฝึกปฏิบัติตามปัจจัย ตามบารมีของแต่ละคน นำเสนอเพื่อโปรดพิจารณา กราบนมัสการด้วยจิตเคารพศรัทธายิ่ง …อารยา ศรีไพโรจน์
พ่อครูว่า…อาตมาว่าก็คงไม่ต้องถึงขนาดนั้นนะขนาดนี้ก็นั่งห่างกัน 1-2 เมตร พวกเราห่างจากกันประมาณ 5-6 เมตร ทิ้งช่วงกันขนาดนี้ก็ดีแล้วล่ะ มีคนพิจารณาแล้วตัดสินแล้วว่าโรคนี้มันมีความร้ายกาจ 1 เปอร์เซ็นต์ แต่มีโรคประสาทแทรก 50% มีโอกาสตาย 1% โอกาสติดต่อ 50% แต่โรคประสาทนั้น 100% ไม่มีจะกินพันเปอร์เซ็นต์ ไม่ละมั้ง ถ้าไม่มีจะกินพันเปอร์เซ็นต์ก็คงจะปล้นกันทั่วโลก เมืองไทยเรายังพอมีพอกินกันไป
_SMS วันที่ 22 มี.ค. 2563 (วิถีอาริยธรรม)
_เพ็ญจันทร์ ภูมิเทศ : รอรับฟังเพลงโควิด 2019 จากการแต่งของพ่อครูอยู่เจ้าคะประเทศไทย ยามโควิด 2019 มาแพร่ ลูก หลานควรกลับบ้าน หากจะตายก็มาตายที่บ้าน ถูกต้องตามหลักธรรมอย่างไรคะ
พ่อครูว่า…อาตมาหมดน้ำยาแล้วที่จะแต่งเพลง มันไม่ไหว เอาน่า คนแต่งเก่งๆดีๆก็มีเยอะไป อย่ามาแกล้งยอฉันว่าฉันเป็นดวงจันทร์ที่ถูกเมฆบัง
ตอนนี้คนอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่นั่นอย่าไปเคลื่อนไหวให้มาก พูดไปจะสับสน
_Poonya Tamma : ขอเรียนเสนอค่ะ เพื่อความปลอดภัยของสมาชิก ชุมชนผู้ร่วมสืบสานโพธิกิจ ชุมชนอโศกทุกแห่งน่าจะวัดไข้ทุกคนนะคะ และงดการรับประทานอาหารร่วมกันได้ไหมคะ ปัจจุบันนี้ เขาก็ให้ยกเลิกการใช้ช้อนกลางที่ใช้ร่วมกันแล้วค่ะ /รินธรรม
_งามใบตอง นิลมณี : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งค่ะ ช่วงที่บ้านราชปิด lock down ทางสีมาอโศกมีการฟังธรรมะภาคค่ำร่วมกันที่ศาลาส่วนกลางค่ะ เริ่มวันอาทิตย์ที่ 22 มีค.เป็นวันแรกค่ะเป็นรายการวิถีอาริยะธรรม พอดี นำโดยท่านสมณะดินทองค่ะ ส่วนร้านมังสวิรัติโคราชก็ปิดร้านแล้วค่ะและร้านค้าชุมชนแดนรวมใจในวัดก็ปิดวันจันทร์ที่ 23-30 มีค.เปิด 31 มี.ค.ค่ะ ขอรายงานความเคลื่อนไหวแค่นี้ก่อนค่ะ น้อมกราบนมัสการค่ะ
_Sunlight From Heaven : ☺️ผลไม้เยอะจังครับ หลวงพ่อ
_สุรภา ลิ้มวรรณเสถียร : ส่งได้คะให้เขามาเอาแล้วเก็บเงินปลายทางคะ
_อิสระบนยอดหญ้า : จากการฟังพ่อท่าน ในข้อมูลสูตร 10 ตามความเข้าใจของลูก กิเลสเกิดคือเกิดเข้าไปยึดนามกาย ซึ่งเป็นเพียงรูปที่ถูกรู้แล้ว กายที่เป็นสภาพอุตุ ไม่ว่าจะเป็นนามทุกนาม เวทนาสัญญาสังขารและวิญญาณ สภาวะนามธาตุรู้ เมื่อถูกรู้ด้วยนามธาตุที่วิญญาณรู้จักเห็นตัวมันเองแล้ว เมื่อถูกรู้ก็กลับแปรสภาพจากนามเป็นรูปนามกาย อุตุธาตุแทน ลูกจึงขอความเมตตาพ่อท่านช่วยขยายคำเข้าใจที่ลูกเข้าใจว่าผิดหรือถูกอย่างครับ น้อมสาธุครับ
พ่อครูว่า…เพราะมันพูดกลับไปกลับมาได้ทันทีทันใดเลย ผู้ใดไม่แม่นจริงๆจะมองแล้วสับสน ต้องศึกษาให้ดีถึงจะจับสภาวะได้แม่น ผู้พูดที่พูดกลับไปกลับมาพูดเร็วโดยไม่ได้อธิบายซ้ำซ้อนมันก็น่ารำคาญ ถ้าหากอธิบายซ้ำ มันไม่เก่งเหมือนพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสสอนละเอียดซ้ำแล้วซ้ำอีกมันจึงไม่สับสน แต่คนเรามันใจไม่เย็นเท่าพระพุทธเจ้าก็พูดไว้อย่างละไว้ในฐานที่เข้าใจ ปุ๊บปั๊บ
สู่แดนธรรม…การเรียนธรรมะรูปนามของสำนักงานจะดิ้นไม่ได้ กลับไปกลับมาไม่ได้ฟังเราแล้วจะสับสน
พ่อครูว่า..เมื่อเป็นนามธรรมแล้วมันจะกลับไปกลับมา ถ้าหากเอารูปที่เป็นวัตถุข้างนอกมันจะไม่กลับไปกลับมา รูปนั้นมันตายตัวมันมาเป็นเวทนาไม่ได้ มันเป็นอุตุก็คืออุตุแล้ว แต่นามที่ยังเป็น กึ่งนามกึ่งรูป เดี๋ยวก็เป็นตัวรู้เดี๋ยวก็เป็นตัวถูกรู้ เมื่อไหร่จะหยิบมาพูด ผู้พูดเจตนาจะหมายถึงตัวใดที่จะต้องชัดเจน ปัญญาตัวนี้จะต้องแหลมคมแม่นเป็นอุตุธาตุจริง หากไม่มีภูมิรู้จะสับสนกำหนดผิด จะไปกันไม่รอด ศึกษาให้ดีจะเกิดมุทุภูตธาตุ
เป็นจิตที่ละเอียดเร็วไวและเร็วมากที่สุด sensible รู้สถานะก็เร็วเปลี่ยนสถานะก็เร็ว มันจัดการเปลี่ยนสถานะตัวเองได้เร็วด้วย รู้ก็ชัดเจนตามรู้ตามเห็นความเข้าใจไวเร็วด้วย
_ Thai Ch (ไทย ซีเอช) • 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)
เรื่องอปัณณกปฏิปทานี่ท่านสะยังอภิญญาก็อธิบายของท่านไปตามที่ท่านรู้ครับ แต่พระพุทธพจน์ในมหาอัสปุรสูตรว่าไว้ดั่งนี่ครับ”เราจะเป็นผู้สำรวมในอินทรีย์ทั้งหลาย(อินทรีสังวร) ได้เห็นรูปด้วยตา ได้ฟังเสียงด้วยหู ได้ดมกลิ่นด้วยจมูก ได้ลิ้มรสด้วยลิ้น ได้สัมผัสโผฎฐัพพะด้วยกาย รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้วไม่ถือเอาโดยนิมิต ไม่ถือเอาโดยอนุพยัญชนะ บาปอกุศลคืออภิชฌาและโทมนัสมักไหลไปตามผู้ไม่สำรวมอินทรีย์ใดเป็นเหตุเราจักปฏิบัติเพื่อปิดกั้นอินทรีย์เหล่านั้นไว้ เป็นผู้รักษาสำรวมอินทรีย์….2.เราจะเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะอยู่เสมอ.(โภชเนมัตตัญญุตา).จักพิจารณาโดยแยบคายแล้วจึงฉัน ไม่ฉันเพื่อเล่น เพื่อมัวเมา เพื่อประดับตกแต่ง แต่ฉันเพียงเพื่อให้กายนี้ตั้งอยู่ได้ ให้ชีวิตเป็นไปเพื่อป้องกันความลำบาก เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ กำจัดเวทนาเก่าคือความหิว ไม่ทำเวทนาใหม่คือความอิ่มอึดอัดให้เกิดฯ….3.เราจะตามประกอบในธรรมเป็นเครื่องตื่น(ชาคริยานุโยค) เราจักชำระจิตให้หมดจดสิ้นเชิงจากนิวรณ์ด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่ง ตลอดวันยังค่ำไปจนสิ้นยามแรกแห่งราตรี ครั้นยามกลางแห่งราตรีเราจักนอนอย่างราชสีห์ตะแคงข้างขวา เท้าเหลื่อมเท้า มีสัมปชัญญะในการลุกขึ้น ครั้นยามสุดท้ายแห่งราตรีเราลุกขึ้นแล้วจักชำระจิตให้หมดจดจากนิวรณ์ด้วยการจงกรมและการนั่งอีก..” นี่ไงครับอปัณณกปฏิปทาจากพระโอษฐ์ ชัดเจน จับต้องได้ปฏิบัติตามได้ นั่งสมาธิเดินจงกรมบูรพาจารย์ดำเนินมาแล้ว.ไปพูดปรัชญาอะไรให้ยุ่งยาก.สรุปว่าการกำจัดนิวรณ์ทำให้จิตบรรลุฌานต้องด้วยการนั่งและเดินจงกรมเป็นหลัก.หรือท่านจะบอกว่านี่คือพยัญชนะไม่ใช่สภาวะตามที่ท่าน รู้มาเอง(สะยังอภิญญา)
_สู่แดนธรรมว่า…คุณ Thai Ch ก็คงได้ฟังพ่อท่านอธิบายจรณะ 15 พ่อท่านอธิบายโดยอัตโนมัติ ที่คุณยกมานี้ถูกต้อง แต่น่าสะดุดที่คุณบอกว่า บูรพาจารย์ทั้งหลายดำเนินมาแล้วการกำจัดนิวรณ์ทำได้ในขณะเดินและนั่งเท่านั้น ผมก็จะขอแย้งด้วยว่ามีอยู่ในพระสูตรหนึ่งที่ พระพุทธเจ้าบอกว่า สัตตาวาส เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ มีสัญญาตรงกันที่ทำนิวรณ์ให้หมดไป แต่วิธีทำต่างกันคือกายต่างกัน คือทำอะไรก็ได้ให้นิวรณ์ลดลง โดยที่เอาแต่นั่งแต่เดิน แล้วการสำรวมอินทรีย์ในกิจกรรมอื่นไม่พูดถึง สัตตาวาส 9 ข้อ 2 บอกว่ามีกายต่างกันสัญญาอย่างเดียวกัน ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า พวกเดียรถีย์นอกรีตทำมาก่อน พ่อท่านก็เคยทำมา แต่นิวรณ์มันถูกสะกดไว้ แต่อย่างที่พ่อท่านพาทำแบบมรรคมีองค์ 8 ก็เป็นกายอีกประเภทหนึ่ง
พ่อครูว่า..ก็จะขอขยายความต่อ การทำการสะกดจิตเดินแล้วนั่งมันเป็นสมถะ มันได้ด้วยการสะกดจิต ได้ ไม่ใช่ว่าเราปฏิเสธว่าไม่ได้ ได้ แต่การปฏิบัติด้วยลืมตาปฏิบัติเสมอแล้วก็ล้างกิเลสไม่ใช่สะกดนะอันนี้ไม่ใช่สะกดจิต พอสัมผัสนี้กิเลสมันก็จะเกิดอาการ ก็เลือกเอาเฉพาะแต่กิเลส มากำจัด กำจัดแต่กิเลสนะ
เราจะไปจับโจร เราก็ต้องไปเอาตัวโจรแท้ๆ ไม่ใช่เหมาะอาแพะหรือใครๆมาหมด อย่างพวกโจรที่ทำการมันอยู่รวมกันร้อยคน ก็เลยเหมาฆ่าหมดร้อยคน พระพุทธเจ้าไม่ทำ ท่านจะจับเอาแต่โจรที่เป็นกิเลสตัวการเอามาจัดการ กำจัดเฉพาะตัวนี้จริงๆ เมื่อกำจัดตัวนี้ได้หมดสิ้นแล้วทุกอย่างก็เป็นปกติหมดเลย เพราะการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ปฏิบัติแต่ตอนนั่งกับตอนเดิน ของท่านกำจัดทุกเมื่อ อ่านจิตเสมอ ทุกอิริยาบถ ทุกอาชีพ ทุกกรรมการงานกัมมันตะ ขณะพูดวาจา ขณะคิด สังกัปปะ ครบองค์ 4 ของมรรคมีองค์ 8 ก็จะปฏิบัติธรรมทั้ง 4 อิริยาบทไม่ใช่ทำเฉพาะนั่งกับเดิน ทำอาชีพ ทำการงานทุกอย่างจะแบกจะหามจะขน ทำอะไรก็อ่านทุกลมหายใจเข้าออกทุกเวลาจะพูดจะคิดถึงก็อ่านผัสสะ
เราก็จะรู้กิเลสครบทุกขณะทุกที่ทุกเวลาได้มากแล้วเราก็จะกำจัดกิเลสที่เราเห็นหน้า มีขึ้นเมื่อใด ก็ฆ่าด้วยปัญญาอันยิ่ง เห็นให้ได้ว่าเอ็งเป็นแขกอย่ามานั่งหลอก ตัวเองเป็นตัวเก๊
ความคมชัดความวิจิตรความเด็ดขาดของปัญญาอันยิ่งที่ว่า คำว่าปัญญานี้ อาตมาไขความ ปัญญาไม่ใช่เฉโกที่เป็นความฉลาดแบบโลกีย์ อาตมาเขียนไป ก็ไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจได้หรือเปล่าเพราะเป็นเรื่องที่ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
ในความหมายที่คุณเข้าใจอาตมาก็เข้าใจตามได้หมดไม่มีปัญหา แต่อาตมาเข้าใจนี่คุณยังเข้าใจอย่างอาตมาไม่ได้ ความเข้าใจของคุณกับความเข้าใจของอาตมาจึงเป็นคนละอย่าง มันต่างกัน สัญญาต่างกันสัญญาต่างกัน ที่พูดนี้ของคุณกับของอาตมาต่างกันทั้งคู่เลย
ในสัตตาวาส 9 ยังพูดกันอีกยาว
กายต่างกันสัญญาต่างกัน อันนี้ก็ยังพอจำกันได้
กายต่างกันสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น จิตไม่มีนิวรณ์ ทำได้ทั้งคู่เลย ทั้งการนั่งหลับตาสมาธิสะกดจิตก็ไม่มีนิวรณ์เหมือนกันได้ กายของคุณรูปนามคุณสะกดจิตเอาไว้ได้ กายของคุณก็ไม่มีวันได้ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้สะกดจิตเลยทุกสัมผัสทุกเวลา ทั้งวันปกติ กิเลสก็ไม่มีนิวรณ์ก็ไม่มีเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นกายของพระพุทธเจ้ากับกายของที่เขาทำกันมันต่างกัน แต่มันไม่มีนิวรณ์เหมือนกันทั้งคู่ นี่คือสัตตาวาส ข้อที่ 2 ซึ่งไม่ง่าย
ยิ่งอันอื่นก็ยิ่งยากต้องเอาวิญญาณฐีติ 7 กับสัตตาวาส 9 กับวิโมกข์ 8 มาอธิบายด้วยกัน
สัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นสัญญาที่ทำงานเสร็จของสัญญา10 เวทยิตตังคือสำเร็จเสร็จความรู้สึกความรู้ความรอบรู้ทั้งหมดจบ เวทยิตตัง จึงเป็นนิโรธที่ เคล้าเคลียอารมณ์เวทนาทั้งหมดจบ สมบูรณ์แบบ โดยมีสัญญาเป็นตัวกำหนดให้รู้สมบูรณ์แบบในเวทนา 108 แล้วมีนิโรธสมบูรณ์แบบ
-
สู่แดนธรรม…สัญญาเวทยิตนิโรธทางที่ผมเคยบวชเรียนมาเขาก็อธิบายว่าดับทั้งสัญญาและเวทนา