630403_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ มรณสัญญาพาให้พ้นการเวียนว่ายตายเกิด
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่…
https://docs.google.com/document/d/1N-g9dTJr4bqS9y6Bamkm7G7gmChfF4QM_D1gadkEfFs/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1r8uqybERWIOm4z12szCEtPjt3F-JyUEE
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563 ที่ชุมชนราชธานีอโศก สถานการณ์โควิดเมืองไทย คนติดมากเป็นคนอายุไม่มากแต่คนตายมากคือคนอายุมาก เพราะคนหนุ่มสาวจะปล่อยตัวไม่ระวังง่ายต่อการติดเชื้อโควิด
พ่อครูว่า…ผู้ที่มีมรณสัญญา กำหนดรู้การอยู่การตายก็จะรู้สึกเป็นธรรมดา อย่างศาสนาพุทธของเรามีการเวียนเกิดเวียนตาย Rebirth เวียนเกิดเวียนตายมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว เราเรียนรู้การเกิดการตายเป็นธรรมดาที่จะต้องเกิดต้องตาย พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสรู้แล้วสอน การหมุนเวียนว่ายตายเกิด ท่านก็ค้นพบวิธีไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ให้ชีวะหรือวิญญาณไม่เวียนว่ายตายเกิด หากจะตายจากชาตินี้แล้วปรินิพพานเป็นปริโยสานได้
โดยที่สามารถเรียนรู้ อุตุ พีชะ จิต ทำให้จิตธาตุเราเป็นอุตุได้ พระอรหันต์ตายไปแล้วจะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ทำให้จิตกลายเป็นอุตุธาตุ หมดความเป็นพีชนิยามจิตนิยามธาตุจิตของเราก็สลายไปเลย ขณะเป็นๆ
ธาตุจิตที่เราจะทำเป็นอุตุธาตุทำได้แต่ไม่ชัด แต่หากจะทำเป็นพีชธาตุ ไม่สุขไม่ทุกข์จะทำได้ชัดเจน อาศัยพีชธาตุ จะมีความรู้เรื่องจิต เจตสิก รูป นิพพานแล้วทำให้จิตตัวเองเป็นอุตุอย่างไร พีชะอย่างไรทำสำเร็จ จึงเป็นจิตที่พ้นทุกข์พ้นสุขด้วย เป็นจิตที่เราจะตายสูญสลายธาตุจิตเลยก็ได้ หรือจะไปไม่ต้องสลายธาตุจิต ยังหมุนเวียนอยู่ในโลกแต่ว่าดับธาตุที่เป็นอกุศลที่เป็นบาปได้เด็ดขาด ไม่เกิดอีกแล้วแม้เป็นพระอรหันต์เป็นต้นไปจะไม่เกิดอีกเลยได้ นี่สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ของโลก
อย่างศาสนาเทวนิยม ที่เป็น ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม เขาไม่รู้ว่าตายไปแล้วต้องเกิดมารับกรรมวิบากอีก ศาสดาเขาไม่มีความรู้เรื่องนี้ ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า จะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกพระเจ้าบงการก็จบ นี่คือศาสนาคริสต์หรือศาสนาอิสลามศาสนาเทวนิยม
ศาสนาพุทธเราเป็นเจ้าของจิตวิญญาณเราเองไม่ใช่พระเจ้าเป็นเจ้าของ เราเรียนรู้จิตจะเป็นอย่างไร จะอยู่อย่างอาตมาเป็นโพธิสัตว์ก็ทำได้พูดได้ อธิบายแยกจะให้ฟังได้อย่างแท้จริงอยู่ได้ ให้อยู่ได้ จะอยู่ไปอีกก็ไม่ทำชั่วทำบาปอะไรให้ถึงที่สุดก็ทำได้ โพธิสัตว์ทำไปจนถึงเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าสมัยเดียว ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนที่กลับมาเป็นพระพุทธเจ้า 2 สมัย ก็จะปรินิพพานเป็นปริโยสานทุกพระองค์ ซึ่งสุดยอดแห่งสุดยอดแห่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์นามธรรมทางจิต
SMS วันที่ 2 เม.ย. 2563 (พุทธศาสนาตามภูมิ: สมณะ สิกขมาตุ บ้านราช)
_พิศมัย ชำนาญคิด · ขอเพียงไม่ทำตามใจตน โยมจะจำไว้สำหรับการละตัวตน กราบนมัสการค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
จากยูทิปว์และไลน์
_ส.คิดถูก…เป็นข้อสงสัยของนักศึกษา ป. เอกเรียนอยู่คณะปรัชญาคณะเดียวที่เดียวกับใจกลั่นปฐมอโศก ฝากท่านถามพ่อครูให้ด้วย รายการภาคค่ำน้องสาวคนสุดท้ายผมเองครับ เขาทำงานอยู่สถาบันมะแร็งแห่งชาติเป็นหมอฝ่ายวิชาการ เป็นเพื่อนกับใจกลั่น ..การที่คนๆ หนึ่ง ลุกมาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพ เพราะเขารู้ว่าชีวิตที่ดีคือแบบใดใช่หรือไม่? อะไรทำให้เขากล้าเปลี่ยน? อยากรู้จัง..
พ่อครูว่า…ใช่ เรื่องการแพทย์ทางโลกโลกีย์เขาก็รู้ พฤติกรรมของเราเองทำให้สุขภาพชีวิตร่างกายดีหรือไม่ดี ได้จริงๆ ยิ่งสามารถรู้ทางอารมณ์ทางจิตวิญญาณทางเวทนาแล้วควบคุมเวทนาได้ อาตมาแยกเรื่องสุขภาพ ออกเป็น 8 อ. ทางจิต ทางอารมณ์ อิทธิบาท จากนั้นเป็นองค์ประกอบอีก 6 อย่าง อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย เอาพิษออก เอนกาย จนถึงอาชีพ ซึ่งเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมทั้งนั้น เรื่องอิทธิบาท อารมณ์เป็นเรื่องของจิตของเรา
อะไรทำให้เขากล้าเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจความฉลาด จะเรียกว่าปัญญาก็ใช่ ถ้ายิ่งเป็นปัญญา ที่เป็นความฉลาดแบบโลกุตระ แต่ถ้าเฉโก ฉลาดอย่างปุถุชนโลกีย์ แต่ทุกวันนี้เขาก็ไม่ใช้กันแล้วคำว่าเฉโก(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท …ทุกวันนี้คนมีความรู้เพียงแค่โลกีย์ นึกว่าเป็นความฉลาดของปัญญา ใช้ภาษาผิดเพี้ยน ทำให้พ่อครูต้องมาแก้ไข
_Diane Poosittisuk เดียเน่ ภูสิทธิสุข• 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา
คิดถึงวัดที่พ่อครูเดินชมสวน เป็นสถานที่ประชาชนขยัน ฉันได้เรียนเข้าค่ายตื่นเรียนเช้ามืดตีสามกว่าหนาวเย็น เป็นเวลาความสุข หลายปีก่อน เคารพรักเป็นลูกศิษย์ท่านอยากมาวัดนี้อีก
_Th-Arisa Sittinon อาริสา สิทธินนท์….ขอให้ชุมชนแบบนี้ ขยายไปทั่วประเทศไทยเลนนะคะ ดีมากๆเลยคะ แข็มแข็ง และคงความเป็นชุมชนตัวอย่างไว้แบบนี้ไปนานๆเลยนะคะ
พ่อครูว่า…ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี เจอหน้าจะมาก็เคยพูดเช่นนี้ บอกว่าชุมชนเช่นนี้ทำให้มากๆ แล้วบอกอย่างนี้แล้วไม่มาช่วยกัน ไปที่อื่นก็พยายามให้แนะนำว่าเอาอย่างนี้ ก็ไม่รู้ เจอกันนานแล้ว หมอประเวศเมื่อประมาณ 30 40 50 ปีแล้ว พูดกับอาตมา
จริงๆอาตมาก็เป็นคนที่เกิดมาชาตินี้ก็มาทำงานเพื่อที่จะสร้างความรู้ตามแบบพระพุทธเจ้าให้คนได้รู้ แล้วก็เกิดมารวมตัวกันเป็นชุมชน เกิดเป็นหมู่บ้านชุมชนขึ้นมา มันเป็นธรรมชาติของมัน เมื่อรู้แล้วก็อยากจะมารวมกัน อยู่ข้างนอกมันขัดแย้งแล้วก็ไม่มีความสุข มันจะเป็นเหตุที่น้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน จนเกิดจนเป็นจริงได้ขณะนี้ ตั้งแต่เริ่มทำมา
อาตมาภูมิใจที่นำธรรมะสร้างสังคมมนุษยชาติให้มีพฤติกรรมสังคมเป็นอยู่อย่างนี้ได้ ตามพระพุทธเจ้าสอนจะเป็นสาราณียธรรม 6 จะเป็นวรรณะ 9 เอามาเทียบเคียงเอามาวัดเอามายืนยัน แสดงว่าธรรมะพระพุทธเจ้าไม่เป็นหมัน พวกเราเรียนรู้ได้แม้แต่ปัจจุบันนี้ ที่มนุษย์ได้เสื่อมไปจากคุณงามความดีโดยเฉพาะความดีโลกุตระ แต่ก็ยังเป็นได้ ก็ยังภาคภูมิใจที่นำธรรมะพระพุทธเจ้ามาบอกกล่าวและพวกเราก็รู้ ได้ผลจริง อาตมาชีวิตนี้ไม่สูญเปล่า หากว่าอาตมาจะไปหาเงินหาทองได้ลาภยศสรรเสริญเป็นเศรษฐีเหมือนทางโลก อาตมาก็จะเสียดายตายเลย เมื่ออาตมารู้ตั้งแต่อายุ 36 ก็ดีจังเลย อย่างนั้นก็ไปเสียเวลาตั้ง 36 ปีให้โลกเขาพาเป็นไป อาตมาถนัดทางศิลปะบันเทิง หากอาตมาอยู่จริงๆ จะมีสำนัก รับรองว่า แกรมมี่ หรืออาร์เอส จะไม่ได้เกิด ถึงเกิดก็ต้องมาอยู่ใต้อาณัติ อาตมาเอาจริง เพราะอาตมาถนัดทางสื่อสารมวลชน ขนาดอาตมาออกมาทางนี้ยังมีทีวีของตัวเองเลย หนังสือก็มีจนกระทั่งเขาไม่นิยมแล้วหนังสือ
_Verayut kager วีรยุทธ์ คาเกอร์• 15 ชั่วโมงที่ผ่านมา
พระสัจธรรมของพระพุทธเจ้า ตรัสไว้ชอบแล้ว อย่าใส่ความคิดเห็นของตัวเอง หรือเก่งกว่าพุทธวิสัย
ราหุล ! เธอจงเจริญอานาปานสติภาวนาเถิด เพราะอานาปานสติที่บุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ก็อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร กระทำให้มากแล้วอย่างไร จึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ?
ราหุล ! ในกรณีนี้ ภิกษุไปแล้วสู่ป่า หรือโคนไม้ หรือเรือนว่างก็ตาม นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบ ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า เธอนั้น มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก :
เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว;
เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น, เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น
ราหุล ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่.
ราหุล ! เมื่อบุคคลเจริญ กระทำให้มากซึ่งอานาปานสติอย่างนี้แล้ว
ลมอัสสาสะ (ลมหายใจเข้า) ปัสสาสะ (ลมหายใจออก)
อันจะมีเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อจะดับจิตนั้น จะเป็นสิ่งที่เขารู้แจ้งแล้วดับไป หาใช่เป็นสิ่งที่เขาไม่รู้แจ้งไม่ ดังนี้. บาลี ม. ม. ๑๓/๑๔๐/๑๔๖.
พ่อครูว่า…คนนี้ปรามอาตมานะ
คุณเอาของพระพุทธเจ้ามาก็เข้าใจ อาตมาอ่านก็เข้าใจแบบของอาตมา คุณเข้าใจแบบของคุณ เมื่อคุณฟังอาตมาแล้วก็บอกว่าไม่ใช่อย่างที่คุณเข้าใจก็เป็นธรรมดา อาตมาเห็นเป็นธรรมดาที่คุณแสดงออกมา คุณเข้าใจของคุณอย่างนี้ อาตมาก็ตามรู้ของคุณได้ แต่คุณตามรู้ของอาตมาไม่ได้ และจะมาบังคับให้อาตมารู้ตามคุณว่าของคุณถูกฝันไปเถิด คุณจะมาบังคับให้อาตมารู้ตามคุณได้อย่างไร แล้วอาตมาก็รู้ด้วยว่าตามคุณรู้นั้นอาตมารู้ คุณก็รู้ได้เท่าที่คุณรู้ แต่อย่างที่อาตมารู้คุณไม่รู้แล้วจะให้อาตมาไปรู้เท่าคุณ..อาตมาจะบ้าไปลดลงได้อย่างไร
คุณเข้าใจอานาปานสติเท่าไหร่ไปอ่านอานาปานสติสูตรให้ดี เล่ม 14 ข้อ 282 เป็นต้นไป ซึ่ง อานาปานสติไม่ได้หมายความว่าให้นั่งอยู่กับที่ อานาปานสติ แปลว่า ในช่วงชีวิตที่คุณยังมีลมหายใจเข้าลมหายใจออกเรียกว่า อานาอาปานะ คุณก็ต้องมีสติแล้วเรียนรู้ตัวเองทุกอิริยาบถ กายคตาสติ ไปจนกระทั่งถึงจิต ไปจนกระทั่งถึงกิเลส อ่านกิเลสออกแล้วลดกิเลสได้ทุกเวลา แต่เมื่อศาสนาเพี้ยน อย่างยุคพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา เขาก็ออกป่านั่งสมาธิอานาปานสติอยู่อย่างนั้น นั่งในที่นั่งแห่งเดียวอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่าแม้จะนั่งอยู่อย่างนั้นก็ดีจะอยู่ป่าก็ดีอยู่ถ้ำก็ดีอยู่โคนไม้ก็ดี ก็เเรียนอย่างเดียวกันได้หมดแล้วจึงไม่จำเป็นต้องออกป่าเขาถ้ำ ในขณะที่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจครบทุกอย่าง ให้รู้สุดยอดคือ
ตามรู้ อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี
ตามรู้ให้หมด พอรู้แล้วก็จัดแจงทำให้ได้ว่า ตัวที่จะทำให้มันไม่เที่ยง แล้วทำให้มันไม่มี ก็คือ กิเลส เพราะฉะนั้นมันไม่เที่ยงหรือไม่ใช่ตัวตน ทำให้มันจางให้มันมีราคานุปัสสีจนกระทั่งมันหมด นิโรธานุปัสสี ไม่ต้องอาศัยสุขทุกข์ในกิเลสของคุณอีกแล้ว นั่นต่างหาก เพราะฉะนั้นผู้ที่หลงทางไปนั่งอยู่กับที่จึงทำไม่ได้ คุณก็ไม่เกิดความรู้ให้เกิดปฏิภาณ ปัญญาเคลื่อนไหวให้สติตามรู้แล้วตามให้ทัน คุณไปนั่งจุมปุ๊กก็ตามภูมิคุณ แต่อาตมาทำได้แม้กระทั่งการเคลื่อนไหวที่เร็วก็ทำได้เป็น กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา เข้าออกสัมผัสเร็วไวเป็น มุทุภูตธาตุ อย่างคุณทำนั้นสบายมากนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว ก็ทำได้สบาย อย่างนั้นไม่ยากอะไร
สู่แดนธรรม..นิมนต์พักจิบน้ำ…และท้าวความอัมพัฏฐสูตร
พ่อครูว่า…
วิชชาจรณสัมปทา
[162] อัมพัฏฐมาณพทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉน.
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอัมพัฏฐะ ในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม เขาไม่พูดอ้างชาติอ้างโคตรหรืออ้างมานะว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เราอาวาหมงคล วิวาหมงคล หรืออาวาหวิวาหมงคล มีในที่ใด ในที่นั้นเขาจึงจะพูดอ้างชาติบ้างอ้างโคตรบ้าง หรืออ้างมานะบ้างว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เรา ชนเหล่าใดยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ หรือยังเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล ชนเหล่านั้น ชื่อว่ายังห่างไกลจากวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม การทำให้แจ้งซึ่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมย่อมมีได้เพราะละการเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ และความเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล.
พ่อครูว่า…อาตมาชาตินี้อ้างชาติอ้างโคตรไม่ได้เลย ในเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ธรรมะ อาตมาไม่มีเลย นักธรรมอะไรไม่มีสำนักต่างๆ ไม่ได้เรียนธรรมะจากไหน โดดเดี่ยวเลย
ถ้าจะว่ามานะอาตมาอ้าง อาตมามีของตนเองมาแต่ปางก่อน แต่อาตมาไม่มีกิเลสมานะ ถือดี แล้วเบ่ง หรือว่าข่มผู้อื่นดูถูกเขา อาตมาไม่มีสิ่งนี้ ไม่มีมานะถือดีถือตัว
แต่อาตมามีคุณสมบัติ จรณสมบัติ วิชชาสมบัติอาตมามี เป็นสยังอภิญญา ยืนยันอ้างอิงตามคำตรัสในพระไตรปิฎก ยืนยันแล้วก็แสดงออก อ้างอิงแล้วแสดงออก แล้วพาให้เรียนรู้กัน เมื่อเรียนรู้ได้มรรคผล จนยืนยันเกิดคนบรรลุธรรมเป็นพฤติกรรมของสังคมที่มีพุทธธรรม มีการปฏิบัติธรรมของพุทธได้ผลจนเป็นชุมชนมีสาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา
แม้แต่วรรณะ 9 ก็มี ใครจะหาว่าอาตมามีมานะถือดี ก็อาตมามีมาแต่ชาติปางก่อนชาตินี้ไม่มีใครเป็นครูบาอาจารย์เป็นพ่อแม่ทางธรรมก็ไม่มีในชาตินี้ อาตมาไม่มีในชาตินี้ แต่อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า ชาติโคตรมาแต่ปางก่อนยืนยันว่าอาตมาเป็นสยังอภิญญา เข้าใจชัดเจนไหมไม่สับสน
ซึ่งสิ่งนี้อาตมายืนยันมั่นใจว่า อาตมาเป็นจริงและพิสูจน์ยืนยัน ว่าอาตมาเป็นผู้รู้เป็นผู้เข้าใจอธิบายได้นำทางปฏิบัติได้ มีผลตามที่อาตมาอธิบายได้ด้วย สอบทานจากพระไตรปิฎกได้ด้วย อย่างนี้คุณยังไม่ยอมรับอาตมา
ผู้ไม่ยอมรับอาตมาว่า อาตมาปฏิบัติถูกต้องตามพระพุทธเจ้าคือคนอวิชชา แปลไทยว่าคุณยังโง่อยู่ คนที่เห็นอาตมายืนยันปฏิบัติมาถึง 50 ปีแล้วจนเกิดเป็นกอบเป็นกำเป็นหมู่เป็นกลุ่มเป็นมรรคผล แม้ที่สุด เป็นชุมชนที่ไม่ตกเป็นทาสของสังคมไม่ว่าจะทางด้านเศรษฐกิจ ทางด้านการเมือง ทางด้านสังคมก็ไม่เป็นทาส เขาเป็นอย่างไรเราก็ไม่ได้รับผลกระทบ อาตมายืนยันความจริงอันนี้เขาก็ไม่รู้สึกสะดุดใจ มันน่าจะเห็นนะ
_สู่แดนธรรม.. ครูบาอาจารย์ที่เขานับถือว่าเป็นอรหันต์ไม่มีใครทำอย่างนี้ได้ เข้าใจว่าอรหันต์ต้องเป็นแบบเขา
พ่อครูว่า…เขาไม่เข้าใจว่าอย่างที่อาตมาพาทำคือพระอรหันต์เป็นสังคมพระอาริยะ อาตมาไม่ได้พูดเล่นนี่แหละคือสังคมอาริยะ ก็พูดตรงๆ แต่คนเขาไม่เชื่อ คนเขาไม่เชื่อว่าอย่างที่อาตมาพูดนี่แหละถูก เอาพระไตรปิฎกมากางเต็มโต๊ะเขาก็ไม่เชื่อเพราะว่าอาจารย์ฉันไม่ได้สอนอย่างเธอ อาจารย์ฉันสอนอย่างผิดๆอย่างนั้นแล้วเขาก็เชื่อผิดๆนั้นว่าเป็นถูก เมื่ออาตมาเอาสิ่งที่ถูกมาอธิบายเขาก็ไม่เชื่อหรอกว่าไม่ใช่
_สู่แดนธรรม…เหมือนอัมพัฏฐะคนนี้เลย
พ่อครูว่า…พวกเถรสมาคมนั้นเหมือนอัมพัฏฐะ อาตมาจะเหมือนลูกพระพุทธเจ้า เหมือนราหุลที่เขาเอาอานาปานสติมาอ่าน ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจความจริง
แต่อาตมาไม่ท้อหรอก แม้เข้าใจได้เพียงเท่านี้ได้น้อย น้อยก็ดี มันเป็นของมีค่าได้น้อยเท่าไหร่ก็ยังเอา แต่ของไม่มีค่าได้มากเท่าไหร่จะเอามาทำไม เป็นแค่ก้อนกรวดก้อนทราย แต่นี่เหมือนแก้วแท้ๆ อย่างนั้นไม่มากเท่าไหร่ก็ช่างมัน แต่สิ่งนี้มีน้อยมันก็เป็นของแท้อาตมาเอาอันนี้
[163] ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉนเล่า.
ดูกรอัมพัฏฐะ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม
พ่อครูว่า…อาตมาก็พูดและทำคล้ายๆกับพระพุทธเจ้าแต่เขาก็บอกว่าลอกเลียนพระพุทธเจ้า อาตมาก็ว่า อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า แต่มันไม่ตรงกับที่เขาเรียนรู้เขาเข้าใจ เขาก็บอกว่าไม่ใช่ เขาไปยึดมั่นถือมั่นในความรู้ที่ผิดไปแล้วเช่นการออกป่า เป็นต้น ในอัมพัฏฐสูตรท่านยืนยันไว้
พุทธคุณ 9
1.เป็นพระอรหันต์ มีคนว่าอาตมาประกาศอรหันต์ทำไม ประกาศได้อย่างไร ก็อาตมาเป็นอรหันต์ แล้วเขาก็ว่ารู้ได้อย่างไร อาตมาก็ต้องรู้ อาตมาไม่รู้จะประกาศได้อย่างไรเพราะอาตมารู้ว่าอาตมาเป็นอรหันต์แต่เขาฟังไม่ขึ้น เขาปิดประตูเชื่อ ปิดประตูรับฟัง อาตมาก็รู้ว่าอาตมาเป็นอรหันต์ ก็คืออาตมาไม่มีกิเลส จิตอาตมาไม่มีกิเลส เขาก็มองหน้าว่าเอ็งไม่มีกิเลสหรือ? รู้ได้อย่างไร อาตมาก็ต้องรู้สิ ไม่รู้จะพูดได้อย่างไร ก็ต้องรู้ตัวเอง อย่างที่อาตมาสอนแล้วพวกคุณก็ทำตามได้ แต่คนอื่นนั้นไม่ได้ทำอย่างที่อาตมาสอน เขาปิดประตู เขาไปสอนแต่การนั่งหลับตาสะกดจิตก็ไม่รู้กายรู้จิต แค่นี้คุณก็ปิดประตูแล้ว
แม้คำว่า กาย เขาก็ไม่รู้แล้ว สังโยชน์ข้อที่ 1 ต้องพ้นกาย สักกายทิฏฐิ ต้องมีความเห็นความรู้ความเข้าใจว่าคุณต้องรู้แจ้งเห็นจริงว่ากายของคุณ กาย สักกะ ต้องรู้กายของคุณแล้ว กาย ที่คุณยึดมั่นถือมั่นตรงไหนแล้วมีวิธีปฏิบัติ ศีลพรต เพื่อลดกายให้ออกจากจิต
ในปัสสัมภยังกายสังขารัง ทำให้กายสงบ
ปัสสัมภยังจิตสังขารัง ทำให้จิตสงบ แล้วก็จะวิโมจยังจิตตัง ทำจิตให้รื่นเริงเบิกบาน อภิปโมทยังจิตตัง พูดถึงพยัญชนะบาลีก็ชัดเจนซาบซึ้ง
คุณทำให้กายสงบก็ไปนั่งเอาร่างกายนี้ออกไปป่าเขาถ้ำ แล้วก็ทำให้จิตนี้ดิ่งดับ อย่างนั้นชั้นอนุบาลก็ยังไม่ได้เลย กายสงบอย่างนั้นมันไม่ใช่
กายสงบคือ ตา หู จมูก ลิ้น กายภายนอก กระทบสัมผัสภายนอกและคุณต้องอ่านอาการกิเลสมันไปกวนอยู่ ทำให้กิเลสลด ในขณะที่ ตา หู จมูก ลิ้น กายกระทบกิเลสคุณก็สงบระงับ ปัสสัมภยังกายสังขารัง แล้วทำให้จิตสงบได้ต่อ แต่นี่กายคุณก็หนีเข้าป่าเลย มันจึงไกลจากวิเวก เป็นผู้จมสู่ความหลง ก็เอาสูตรต่างๆมาอ้างอิงยืนยัน ป่านนี้แล้วก็ยังไม่รู้สึกอาตมาจึงเสียหอกวันละ 300 เล่ม เช้ากลางวันเย็น แล้วอาตมาต้องขนหอกมาฆ่ากัน ทุกเช้า กลางวัน เย็น มันไม่มีทางเลือก แต่ไม่ท้อ เมื่อยก็ไม่ท้อ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สิกขมาตุรินฟ้า
พ่อครูว่า…ก็มีอีกอันหนึ่ง พวกเราเสนอมา
เมื่อวันพุธที่ผ่านมาพ่อครูได้อธิบายเรื่องสุขทุกข์ก็คือสิ่งเดียวกัน เปรียบเสมือนเหรียญสองด้านคือด้านหนึ่งสุขด้านหนึ่งทุกข์แยกจากกันไม่ได้นั้น นับว่าพ่อครูกล่าวถูกต้องตรงกันกับคำตรัสของพระพุทธเจ้าแน่นอน ดังคำตรัสของพระพุทธเจ้าในคิริมานนทสูตร
ดูกรอานนท์ ผู้ที่จะนำตนไปให้เป็นสุขในพระนิพพาน ต้องวางเสีย ซึ่งความสุขในโลกีย์ ถ้าวางไม่ได้ก็ไม่ได้ความสุขในพระนิพพานเลย ถ้าวางสุขโลกีย์ไม่ได้ก็ไม่พ้นทุกข์ ด้วยความสุขในโลกีเป็นความสุขที่เจืออยู่ด้วยความทุกข์ ครั้นเมื่อถือเอาความสุขก็คือไม่วางทุกข์นั่นเอง ครั้นถือเอาแต่สุขไม่วางทุกข์ไม่ได้เลย ความสุขความทุกข์เป็นของเนื่องด้วยกัน ถ้าไม่วางความสุขเสียก็ไม่เป็นอันพ้นทุกข์
ดูกรอานนท์ บุคคลทั้งหลาย ผู้ที่จะรู้ว่าสุขทุกข์ติดกันอยู่นั้นหายากยิ่งนัก มีแต่เราตถาคต ผู้ประกอบด้วยทศพลญาณนี้เท่านั้น บุคคลทั้งหลายที่ยังเป็นปุถุชนคนโง่เหล่านั้น ทำความเข้าใจว่าสุขก็มีอยู่ต่างหากทุกข์ก็มีอยู่ต่างหาก ครั้นเราถือเอาสุข เราก็ได้สุข ครั้นเอาทุกข์เราก็ได้ทุกข์ด้วยเหตุที่เขาไม่รู้ว่าความสุขความทุกข์นั้นติดกันอยู่ เขาจึงไม่พ้นทุกข์
นี่ในคิริมานนทสูตร
_ทีนี้ คนบ้านราชฯ สำหรับผู้ฟังที่ยังมีข้อท้วงติงตำหนิพ่อครูอยู่ต่างๆนานา คงเป็นเพราะยังไม่ได้ศึกษาครบถ้วนหรือมีอคติต่อพ่อครูก็เป็นได้ หากเปิดใจรับฟังไปเรื่อยๆสักวันหนึ่งก็จะเข้าใจได้ ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิดค่ะ
พ่อครูว่า…อาตมาว่าอาตมาไม่ใช่คนที่จะมาพูดเล่น มาทำงานศาสนาพุทธอย่างเล่นๆ มาเป็นคนอวดตัวอวดตนหลงตัวหลงตน ไม่ใช่ อาตมาทำจริง เป็นคนจริง เป็นผู้ที่จะมาสืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้าเอาไว้ เอาสิ่งที่ถูกต้องเอาสิ่งที่ได้เข้าใจในศาสนาพุทธกระแสหลักส่วนใหญ่ได้เอาไปปู้ยี่ปู้ยำผิดไปเยอะแล้ว อาตมาก็เอากลับคืนมาพูดจริงยืนยันจริงเกือบ 50 ปีแล้ว สาธยายยืนยันอ้างอิงในพระไตรปิฎกจนกระทั่งเกิดกลุ่มหมู่พฤติกรรมสังคมยืนยันอ้างอิงตรงตามพระไตรปิฎกแทบทั้งนั้น เขาก็ยังไม่ค่อยกระเตื้องยังไม่สะดุดบ ก็เพราะว่าถูกครอบงำด้วยความคิดที่ผิดอยู่แล้ว อ่านพระไตรปิฎกภาษาเดียวกันแต่เขาก็ตีความไปอย่างนั้นเช่นอานาปานสติ
อานาปานสติที่อาตมาเข้าใจ..เข้าใจอย่างนี้
พอพระพุทธเจ้า ออกบวช ก็เจอพวกนั่งอยู่ในป่าออกมาบวชท่านก็หลงลิงลมข้าวพอง ออกมาบวชอยู่ในป่าก็มาเข้าป่าก็มาเจอพวกที่อยู่ในป่านั่งสมาธิ ตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่นเต็มป่า ก็ว่าท่านเหล่านี้ออกป่าเขาถ้ำโคนไม้ก็ดี คำว่าก็ดี ท่านใช้คำบาลีว่า วา เช่นรุกขมูลวา
คือ..ต้องยอมจำนนเขาเพราะเขาทำอย่างนี้กันเต็มไปหมด จุดสำคัญคือ ต้องรู้ หลักอนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี ต้องเรียนรู้โลก และอัตตาเรียนรู้ครบไม่หนีไปไหน ถ้าหนีไปไกล ท่านตรัสว่าเป็นการอยู่ไกลจากวิเวก เริ่มต้นเอาชีวิตออกป่าแล้วหลงว่ากายวิเวกคือเอาร่างกายออกป่า นี่จะเป็นการไกลวิเวกไปไกลแสนไกลสำหรับผู้ที่ข้องในถ้ำ เข้าใจผิด
แม้คำว่า กายวิเวก ไม่จำเป็นต้องเอากายออกป่า กายต้องเรียนรู้เมื่อสัมผัสภายนอกและมีกิเลส ทำให้กายมันจากที่ไม่สงบเป็นสงบ ก็เพราะกิเลสมันทำให้คุณมีกายไม่สงบ คุณสงบทางกายนี้แล้วจึงทำให้จิตสงบต่อ อย่างนี้ต่างหาก
สู่แดนธรรมว่า…เขาฟังธรรมพ่อท่านก็ตำหนิอีกอย่างหนึ่ง
จริงๆแล้วพ่อท่านไม่ได้ตำหนิอานาปานสติ แต่พ่อท่านตำหนิเรื่องออกป่า แต่เขาแย้งเอาอานาปานสติ เหมือนเขาฟังธรรมไม่เป็น พ่อท่านไม่ได้ตำหนิอานาปานสติ
พ่อครูว่า..ตำหนิเรื่องทำใจในใจผิด เหมือนกับคุณทำทานแล้วทำใจในใจผิดก็ไม่มีอานิสงส์ไม่มีผลในการทำทาน
สัมมาทิฏฐิ10ข้อที่ 1 นัตถิทินนัง คือทำทานไม่มีอานิสงส์ ต้องทำทานให้ไม่มีจิตสาเปกโข ไม่มีภพมีชาติ
อาตมาขยายความ สัมมาทิฏฐิ 10 เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา)
-
ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ . ทินนัง)
-
ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง)
3.สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง)
4.ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่
(อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก)
5.โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ
6.โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ
-
มารดา มี (อัตถิ มาตา)
-
บิดา มี (อัตถิ ปิตา)
-
สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา)
-
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)