630819_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ต้องมีสันโดษอย่างไรจึงช่วยชาติได้(อัมพัฏฐสูตร 13)
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1MsymE9_w87lc5Ma9TXeXJ6km11LC3Pu-5Yod8JmJLF8/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1T9893yeicY7wT5zwH9Wy9EulowjbU6h9/view?usp=sharing
และยูทูปที่
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 19 สิงหาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้เศรษฐกิจทั่วโลกก็ย่ำแย่ลง มีคนรุ่นใหม่ที่มาทำกสิกรรมเลี้ยงชีพพึ่งพาตนเองได้ เอาชีวิตรอดไปได้ง่ายสบาย
สัจจะมีหนึ่งเดียวคือนิพพาน
พ่อครูว่า…อาตมาว่ามั่นใจจริงๆและยิ่งมั่นใจมากขึ้น เพราะว่า มันได้มีพฤติกรรม พฤติการณ์ของมนุษยชาติเป็นตัวปรากฏการณ์จริง เห็นอยู่หลัดๆ คนกลุ่มที่ไม่ได้มีความคิดไม่ได้มีทิฐิแบบชาวอโศก สรุปง่ายๆว่าเขายังไม่เข้ากระแส เขายังไม่หันทิศมาทางเรา แล้วไม่ได้ประพฤติมีมรรคผลมา เขาก็จริงของเขาไม่ได้แกล้งของ เขามุ่งมั่นของเขา เขาไม่ได้แกล้ง แต่พวกเรามาปฏิบัติแล้ว จนกระทั่งเห็นจริงอย่างนี้แล้ว มาปฏิบัติจนบรรลุผล มาเป็นคนจน และก็มีคนที่เป็นเช่นเดียวกับเรา เป็นสัจจะหนึ่งเดียวอันตรงกัน นี่เรียกว่าสัจจะหนึ่งเดียว สัจจะของเขาทั้งหมดข้างนอกไม่ใช่สัจจะหนึ่งเดียว มันเป็นสัจจะของแต่ละคน ตามที่เขาจะใช้สัญญากำหนด สัญญาของเขานั้นไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวเหมือนกับพวกเรา พวกเรามันมีทิฏฐิสามัญญตา มีศีลสามัญญตา มีหลักเกณฑ์สอดคล้องตรงกัน เป็นแต่เพียงว่ายังไม่ถึงที่สุดเหมือนกันเท่านั้นเอง มีหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าอันเดียวกัน เข้าใจตรงกันเป็นสัมมาทิฏฐิ ก็ปฏิบัติกันไปได้ ถึงอยู่กันอย่างสงบสมบูรณ์ อย่างที่เป็นแล้วก็มีพฤติการณ์ของกลุ่มชาวอโศกกับพฤติกรรมของกลุ่มที่ไม่ใช่ชาวอโศกที่ข้างนอกเขาเป็นเขาเห็นกันอยู่ ดิ้นกันไป
คำว่าไม่สงบ มันก็เห็นชัดๆว่าไม่สงบ ของเราสงบ แต่ไม่ได้สงบแบบมะรื่อทือแข็ง ไม่ เราก็มีสงบแต่แคล่วคล่องว่องไวทุกอย่าง แต่เรามีใจพอ มีจุดพอ มันรู้ว่าดิ้นมากกว่านี้มันก็เหนื่อยเราเปล่า เราพอเท่านี้อาศัยเท่านี้เราก็สบายมาก สบม ธมด ปกตหห จจ. มชยลล
สบายมาก ธรรมดา ปกติหายห่วง จริงๆ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
เราก็ต้องใช้การพิสูจน์ด้วยเวลา เพราะเขาคิดว่าคนเราหากมาอดทนอดกลั้นเอา ยอมทรมานเอา ก็จะทรมานไปได้ช่วงหนึ่งไม่ได้ตลอดหรอก แต่คนที่ได้บรรลุแล้ว ไม่มีอะไรที่จะมากดดัน ก็จะโล่งโปร่งสบายเป็นจริงแล้ว มันไม่มีเวลาที่จะไปเปลี่ยนแปลงมันไม่กลับกำเริบมันไม่เวียนคืนไม่แปรเปลี่ยน แม้อะไรมาหักล้างอันนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากอันนี้ได้ ไม่มีอะไรหักล้างได้ อสังหิรัง อวิปริณามธัมมัง ไม่มีแปรเปลี่ยนไปจากนี้ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
จิตเรามันชัดเจน มันลงตัวอย่างนี้ แล้วมันก็รู้อารมณ์ความรู้สึกของเราเอง เราฝืนความรู้สึกของเราหรือเปล่า เรากดดันเราหรือเปล่า เราลำบากลำบนหรือเปล่า ต่อหน้าก็เต๊ะท่าดี พอลับหลังก็โอ๊ยๆ หรือเปล่า ต่อหน้าหรือลับหลังเราก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรต่างกัน สัจจะเป็นหนึ่งเดียวเหมือนกันหมด ไม่มีอะไร เหลาะแหละเป็นสอง มีสัจจะเป็นหนึ่งเดียว มันลึกซึ้ง สุดยอด ที่สุดแห่งที่สุด แล้วก็ไม่มีสัจจะอะไรอื่นนอกจากนิพพาน นอกจากความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้ว ให้มาทำผลจบ มาทำความจบกิจให้ได้นิพพาน หรืออรหันต์ มันไม่มีอะไรอื่นเป็นสัจจะมากกว่านี้ อาตมาสรุปได้ใน จูฬวิยูหสูตร อาตมาเห็นใจคนที่อ่านพระสูตรนี้นะ
SMS วันที่ 17 ส.ค. 2563 (รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์)
_สติพล จนพัฒนา : สิริมหามายาคลอดสิทธัตถะ หมายถึงถ้ามีสิริมหามายาแล้วจะเกิดเนื้อหาที่ดี ที่เป็นสิทธิ์ของตนที่จะใช้ได้
_บัวดาว พรมเลิศ : ธรรมะที่พ่อให้วันนี้(โสเหล่โลกุตระออนไลน์) ลึกข้ามชาติเลยค่ะ กราบขอบพระคุณพ่อครูสาธุๆๆๆค่ะ
_แก้วตะวัน พวงบุบผา : พ่อครูเล่าพุทธประวัติได้อย่างมีรสชาติ(ธรรมรส) ทั้งพุทธสาวก พระมหากัสสปะ พระอุบาลี รวมถึงตัวพ่อครูเองด้วย ที่สมัยพุทธกาล สมัยพระสมณะโคดม พ่อครูก็ได้ทำงานเผยแผ่ศาสนาอย่างค่อนข้างหนัก และมาถึงชาตินี้ก็ยังทำงานหนักอยู่ แต่ก็ได้ผลดี สร้างสังคมชาวอโศก และมีระบบสาธารณะโภคีที่เจริญรุ่งเรือง นำความสงบสันติมาสู่ชาวอโศก..ฟังแล้วรู้สึกชุ่มฉ่ำหัวใจจังเลยค่ะ
พ่อครูว่า…เรายังไม่ถือว่าสาธารณโภคีที่เจริญรุ่งเรือง แต่เราถือว่ามันตั้งมั่นแล้ว สาธารณโภคีเกิดมาในยุคนี้เหมาะสม ในยุคของพระพุทธเจ้าเกิดไม่ได้ในสังคมฆราวาส
สาธารณโภคีเป็นเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ระดับสุดยอดที่ไม่มีอะไรเกินนี้แล้ว พลเมืองประชากรสังคมเต็มใจเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำงานฟรีเอาเข้ากองกลางหมด ซึ่งมันไม่มีสังคมไหนในโลกที่จะทำได้เกินกว่านี้หรอก คนที่ทำงานอยู่ในสังคมแล้วทำงานฟรีมี สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา
แล้วพวกเรามาอยู่แล้วแบบอดทนกดข่ม จนรู้สึกว่าจะอยู่ไม่ได้มีไหม …ก็ไม่มี มีแต่เรารู้ว่าเรามีสิ่งที่เราได้เจริญแล้วเป็นที่อาศัย
ที่พูดนี้รู้ว่ายังไม่เจริญถึงที่สุด ซึ่งคณะผู้บริหารบ้านเมืองน่าจะได้ฟัง เศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้ามาเอาแบบสาธารณโภคีแบบคนจนเหมือนที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสไว้ มันเป็นเรื่องทฤษฎีของมนุษยชาติเลยทำได้ แม้แต่ในยุคของพระพุทธเจ้าก็ทำได้เฉพาะในวงสงฆ์ ในยุคก่อนนั้นยังเป็นยุคทาส สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทำไม่ได้มากกว่านั้นมันเป็นข้อจำกัด แต่ในยุคนี้มันไม่ใช่แล้ว คนละเรื่องแล้วมันไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ใช่ในยุคทาส แล้วทุกคนก็มีสิทธิมนุษยชนเต็มที่บริบูรณ์
ข้อสำคัญก็คือ ข้อจำกัดของโลก ทรัพยากรของโลกในยุคโน้นดีกว่า คือมีมากแต่ยุคนี้ขาดแคลนแย่งกันแล้ว มันจึงเป็นข้อกำหนดบังคับในตัวที่เขาจะต้องหาทางรอด แล้วจะรอดได้อย่างไร การพัฒนาเศรษฐกิจมันไปพัฒนาที่วัตถุนั้นไม่มีทางสำเร็จ จะหมุนเวียนให้แจกจ่ายเท่าเทียมกันอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ทำให้ตายก็ไม่มีทางสำเร็จ เป็นสมบัติผลัดกันชมเท่านั้น มันต้องมาพัฒนาที่จิตให้เพียงพอให้มีความสันโดษ
อย่างไรจึงเรียกนิทนา
_เมตตา โพธิสุทธิ์ : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพค่ะ ขอกราบเรียนถามพ่อครูค่ะว่า “นินทา” มีความหมายว่าอย่างไรคะ การที่เราพูดถึงคนอื่นในด้านไม่ดี แต่เป็นเรื่องที่เป็นความจริงทั้งหมด ใช่การนินทาหรือเปล่าคะ
พ่อครูว่า…นินทา หมายความว่า เป็นคำพูดที่ไม่ดี เป็นคำพูดที่ร้าย แล้วจะต้องเข้าข่ายอย่างไรจึงเรียกนินทา(สู่แดนธรรมว่า หากพูดต่อหน้าเขาก็ไม่เรียกนินทา)
พูดเรื่องไม่ดีของคนอื่นที่ไม่ต่อหน้า พูดลับหลัง จะบอกว่าประเด็นอย่างนี้เป็นนินทาก็ได้ ทีนี้จะเอาแค่นี้มาเป็นเครื่องตัดสินแล้วตกลง เราก็พูดลับหลัง หรือเอามาเป็นคำอธิบายสาธยายลับหลัง โดยเฉพาะยิ่งคนตายไปแล้ว ก็เอาเรื่องของคนตายเป็นข้อบกพร่องของคนตายมาพูดเรื่องปัจจุบันนี้เป็นการศึกษา เป็นข้อมูลเป็นหลักฐานอ้างอิงของความเป็นมนุษย์ที่เขาเป็นได้ เขาเป็นอย่างนั้นได้ แต่มันไม่ดี ก็เอามาศึกษาเป็นข้อมูลในการศึกษาเรียนรู้ ถ้าไปห้ามไว้มันก็พูดไม่ได้ มันก็ไม่ครบ ความจริงมันก็ขาดก็ไม่บริบูรณ์ ใครจะเป็นอย่างนั้นก็คิดได้เป็นได้ แต่อาตมาขออนุญาตไม่เห็นอย่างนั้น
อาตมาเห็นว่าแม้จะเอามาพูดลับหลัง แต่หากกาละ เทศะ ฐานะ ที่สมควรที่จะพูดได้ ในองค์รวมสิ่งแวดล้อมที่ควรจะพูดได้ หรือในโอกาส กาละที่ควรพูดได้ กาละเทศะฐานะ ต่างๆ
ข้อสำคัญจิตใจไม่ได้มีการลบหลู่ ข่มในข้อด้อย ข้อไม่ดีที่เราพูดถึงนั้น การพูดถึงข้อไม่ดี ข้อด้อย ของผู้นั้นเอามาพูดจริง แต่จิตเราต้องสะอาดบริสุทธิ์ เจตนาเพื่อเอาเป็นองค์ประกอบในการศึกษา ซึ่งมีคนประพฤติจริง แล้วหากจะสอนแต่ไม่มีใครจริงๆเลยมันก็จะเป็นการสมมติเล่นๆ ให้เป็นการศึกษา จะบอกว่านินทา จะไปตีความเอา แค่พูดลับหลังเท่านั้น มันก็ไม่ครบหรอก
นินทามันก็ใช่ แต่ไม่ใช่การศึกษา แต่แค่เอาสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่นมาพูดลับหลังไม่ได้แล้วคุณจะได้ศึกษาครบหรือไม่ ก็ไม่ได้ ข้อด้อยของคนที่ตายไปแล้ว อย่างที่อาตมาได้พูดถึงพระกัสสปะ พระอุบาลี ที่ตายไปหมดแล้ว แต่มีส่วนที่ประพฤติจริง ยืนยันจริง มีคนบันทึกไว้ในหลักฐานต่างๆก็มาพูด เป็นเรื่องเป็นพุฤติการณ์ที่เกิดจริงเป็นจริง เอามาประกอบการศึกษา
การศึกษาต้องมีข้อด้อยและข้อดี การศึกษาที่หาแต่ข้อดี ไม่เอาข้อด้อย มันจึงไม่เต็มเต็ง จะบอกว่าเอาแต่ดีของเขา อย่าเอาความชั่วของเขาเลย อย่างที่ท่านพุทธทาสว่าไว้ มันก็ขาเป๋ขาหัก มันไม่เต็ม ใช้ไม่ได้ ต้องเรียนทั้งชั่วทั้งดี และเราก็ดีอย่างนี้จริงนะ คนเขาเป็นกันจริงๆได้ ไม่ใช่เรื่องใส่ไคล้หาความ แต่เป็นเรื่องจริงๆ ให้มาตรวจสอบเราก็อย่าไปทำสิ่งที่ไม่ดีอย่างนั้น เอาแต่สิ่งที่ดีมาทำ ความดีที่ควรเป็นได้ อันไหนความดีที่เป็นไม่ได้ ก็ทำไม่ได้ บางอันคิดออกมาโดยที่เป็นจริงไม่ได้ เอาเรื่องประพฤติเลวร้ายอย่างไรมาสมมุติ มันก็คิดได้ หรือคนดีอย่างเลยเถิด ก็เอามาพูดได้ แต่ไม่มีหลักฐานอ้างอิงตัวอย่างอ้างอิง จะเอามาพูดทำไม ท่านให้ใช้ที่มีหลักฐานอ้างอิงยืนยันได้ มีตำนานมีในประวัติ อยู่ในสิ่งที่พอจะอ้างอิงยืนยัน ถ้าไม่มีอะไรอ้างอิงยืนยัน มันเป็นการฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อ เป็นอบายมุขเข้ามา
_สีดิน : สถานการณ์บ้านเมืองในตอนนี้ เสมือนเหรียญมีสองด้าน มีมายาก็มีสิริมหามายา จากผลของการชุมนุมของนักศึกษา ทำให้คนเป็นทุกข์และกังวลกับสถานะการณ์ ถึงแม้โดยส่วนใหญ่ประชาชน จะรู้ต้นสายปลายเหตุของการชุมนุมว่าเป็นมาอย่างไร ใครสนับสนุนการชุมนุม แต่คนก็ยังเป็นห่วง เลยหาทางออกคือมาฟังเทศน์พ่อครูมากขึ้น ดิฉันวิเคราะห์ได้ถูกหรือไม่
ตอนนี้เราเลยต้องฝึกอุเบกขากับการชุมนุมของเด็กในช่วงนี้กันให้ได้ และสิ่งที่ทำให้คนในสังคมฉุกคิดให้ได้ คือการอบรมเลี้ยงดูเด็กเยาวชนรุ่นต่อ ๆ ไป เราต้องดูแลให้เขาอบอุ่นใจเมื่ออยู่กับเรา พร้อมกับให้ความรู้ไปในทางที่ถูกต้อง ตามวิถีชีวิตพอเพียงที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงสอนไว้ เพราะต่อไปเขาจะได้เป็นเด็กมีคุณภาพ และรู้เท่าทันกิเลสตัวเอง เสมือนที่ชุมชนชาวอโศกเรา ที่ดูแลเด็ก ๆ เยาวชนให้มีศีล 5 ให้สัมมาทิฐิแก่เด็ก ๆ สร้างเยาวชนมาร่วม 20 กว่าปีที่ผ่านมา ดังคำสอนของพ่อครูสอนที่สอนไว้เสมอว่า “การศึกษาที่ไม่ลดกิเลส กู้ประเทศไม่ได้” ซึ่งก็คือวิถีพอเพียงที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงสอนไว้
พ่อครูว่า…ศีลสามัญญตา คือ โสดาเสมอโสดา สกิทาเสมอสกิทา อนาคาเสมออนาคา อรหันต์เสมออรหันต์ ไม่ใช่ว่า 5 เหมือนกันหมด แม้แต่ศีล 5 ก็มีนัยต่างกัน น้อยมากอ่อนหนัก ในศีล 8 ก็มีต่างกัน คนที่ทำได้เข้มข้นกับคนที่ทำไม่ได้เข้มข้นเป็นต้น จุลศีลมัชฌิมศีล มหาศีล ก็เช่นกัน
เรื่องของในหลวงร.9 กับเรื่องของอาตมา อาตมาเปิดเผยไปแล้วว่าเป็น ธรรมิกราช 2 องค์ที่มาเกิดในยุคนี้ อาตมามีความจริงอันนี้ที่มั่นใจที่จะยืนยันสัจจะของ พระพุทธเจ้า โดยเฉพาะเรื่องนามธรรม ในหลวงไม่ได้ตรัสเรื่องนามธรรมมาก ท่านทรงงานเรื่องรูปธรรม ในฐานะของพระองค์ ส่วนอาตมาก็ทำในฐานะของอาตมา ก็แบ่งกันทำ มันเป็นไปตามจริง มันเป็นอย่างนี้ เป็นคนละหน้าที่ คนละงาน คนละอย่าง อันหนึ่งรูปอันหนึ่งนาม ก็ค่อยๆติดตามไป
พูดถึงข้อดี ข้อด้อย เรามีข้อด้อยที่แก้ได้กับแก้ไม่ได้ และมีข้อด้อยที่จำเป็นต้องทำ เป็นการอนุโลม เจตนาเพื่อผู้อื่น เหมือนแม่เล่นกับลูก อนุโลมทำเพื่อให้ไปกันได้ ทำ เหมือนเด็กๆ เหมือนต่ำแต่เรารู้ว่าเราไม่ได้เป็นจริงเช่นนั้นแต่เราต้องรู้ฐานะ ว่าอันนี้ต้องทำอย่างนี้ อย่างเช่นอาตมาต้องอนุโลมมาทำบางอย่าง ก็เพราะสังคมมันแย่ อาตมาก็ต้องลดลงมา เพื่อให้พอที่จะพูดกันได้รู้เรื่อง เขารู้ก็ไม่รู้ ทำก็ยังไม่ได้ เราก็ต้องลด ที่สำคัญ เราจะไปข่มเขามากเกินไป มันห่างเกินมีช่องว่างมากไป ก็ต้องเปื้อนบ้าง ลำบาก ลำบนอย่างไรก็ต้องไปคลุกคลีเกี่ยวข้อง ตรงนี้เป็น นัยสำคัญที่ซึ่งจะได้รู้ความจริงใจ ทำงานเป็นโพธิสัตว์นี้เป็นงานที่สุดยอดเลย อาตมาสนุกก็สนุก เมื่อยก็เมื่อยจริงๆ แต่ก็ตั้งใจแล้ว อาตมาตั้งปณิธานแล้ว จำเป็นต้องทำงานอันนี้ให้บรรลุ ให้สำเร็จที่สุด จนกว่าจะถึงสุดยอด
อรหันต์นั้นสามารถปรินิพพานเป็นปริโยสานได้แล้ว มีผู้ตั้งใจเป็นโพธิสัตว์ แต่ไปแล้ว ไปไม่ไหวก็เลิกไปก็มีเยอะ ไม่อย่างนั้นคู่แข่งโพธิสัตว์ก็มีเยอะสิ แล้วโพธิสัตว์บางท่านก็ปรินิพพานไป บอกว่าพอแล้ว ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ก็ไปแล้ว สลายแตกเป็นอุตุธาตุ จบเรื่องไป จบกิจไป ของแต่ละอัตภาพ ของพระอรหันต์แต่ละองค์ ไม่งั้น อรหันต์ ก็มาแข่งเป็นโพธิสัตว์กันเยอะแยะมากมายตีกันตาย ถึงแม้จะไม่ตีกันแต่มันก็หนักหนาสาหัสเลย
สู่แดนธรรม…ขอถามพ่อท่านว่า การมองคนแง่ดี พ่อท่านว่าไม่ควรมองคนแง่เดียว ควรมองด้วยจิตเป็นกลางใช่ไหมครับ ถ้าอยู่ตรงกลางก็จะมองเห็นทั้งส่วนดีและไม่ดี
เกษมสันต์พอใจมากค่ะอาจารย์แก่นฟ้าแสนเมืองพัทลุงเกาหลีก่อนนะก่อนน้องน่ารักมากครับพี่ก็ถือว่าเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมการเคารพของไทยได้เป็นอย่างดีครับถูกต้องแล้ว
พ่อครูว่า…ใช่ มองทั้ง 2 ด้าน ส่วนดีหรือไม่ดี ควรเอาดี แต่ควรหรือไม่ควร บางทีเป็นสิ่งไม่ดีเท่าไหร่ แต่เป็นสิ่งที่ควร ก็จำเป็นต้องทำ
_คอยใคร : กราบขอบพระคุณพ่อครูครับ ที่ไขการเป็นสมณะชาวอโศกให้เข้าใจครับ ผมคิดผิดมาโดยตลอดที่คิดว่าจะเหมือนกันกับพระโลก ๆ ผมเข้าใจโดยกระจ่างแล้วครับพ่อครู
_เกษม สันทอง : ประทับใจมาก ที่เห็นภาพของ อ.แก่นฟ้า แสนเมือง นั่งลงกราบพระเกาหลี ก่อนน้อมรับโล่แทนพ่อท่าน นอบน้อมน่ารักมากครับ… นี่ก็ถือว่าเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมการเคารพของไทยได้เป็นอย่างดีครับ
_แก้วตะวัน พวงบุบผา : น้อมกราบนมัสการพ่อครูค่ะ …พ่อครูกล่าวว่า โอสถของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรักษาคนตาบอดให้เห็นฟ้าได้ และ นิพพานหนึ่งเดียวเท่านั้นที่มีแต่ข้อดีอย่างเดียวไม่มีข้อเสีย ส่วนที่มีข้อเสียอย่างเดียวไม่มีข้อดีนั้นไม่มี..เป็นคำตอบชัดเจนที่สุดค่ะ
_Thai Ch (ไทย ซีเอช) : คลิปนี้(โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์) เกินเยียวยาจริง ๆ ครับ เรื่องสอนนอกรีต หลงว่าตัวเองมีหมู่กลุ่มมาก หลงตลาดขายผักของตัวเอง กล้าตำหนิแม้กระทั่งพระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นหนึ่งในอสีติมหาสาวกซึ่งนับเนื่องในรัตนะสาม พวกท่านอย่าเปล่งวาจาว่า สังฆัง สรณัง คจฉามิ เลย เพราะคำนี้หมายถึงพระมหากัสสปะด้วยท่านหนึ่ง ขอให้มีความสุขนะครับท่านเดียรัจถี แค่กินผักก็คิดว่าตัวเองประเสริฐเลิศล้ำ เป็นโลกุตตระ ถ้าอย่างนั้นช้างม้าวัวควายก็เป็นเดรัจฉานโลกุตตระทั้งหมดสิ สอนอะไรก็จงบอกว่าเป็นคำสอนของท่านเองเถิด อย่าเอามายัดใส่ปากพระพุทธเจ้าเลย..บาปกรรม…
พ่อครูว่า…เราไม่ได้มีหมู่กลุ่มมาก อันนี้คุณก็เข้าใจผิดแล้ว เราก็รู้ตัวเองว่าเราเป็นหมู่กลุ่มที่มีน้อยเทียบกับสำนักต่างๆ เช่นสำนักของมหาบัว สำนักธัมมชโย อโศกสู้ได้ที่ไหน ในเรื่องจำนวน ของเขามากกว่าตั้งเท่าไหร่ แค่นี้คุณก็ไม่รู้ความจริงอาตมาว่า คุณต้องศึกษาสัจธรรมให้ดีๆ
เราจะไปหลงทำไมตลาดขายผัก ก็ทำเหน็ดเหนื่อยจะตาย ไม่ได้เอากำไร ทำเผื่อแผ่แจกจ่ายเจือจาน
อาตมาพูดข้อด้อยของพระมหากัสสปะ จะเรียกตำหนิ ก็ไม่ได้ไปข่ม ตำหนิ นิคคัณเห นิคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง ก็ทำตามพระพุทธเจ้าสอน
ข้อด้อยของมหากัสสปะ คือ ติดป่า คำว่าติด นี้มันก็ผิดแล้ว แต่ความจริงพระมหากัสสปะนั้นไม่ใช่ ติดป่า แต่มันเป็นวาสนาที่จมป่ามานาน เหมือนกับอิสีติสาวกหลายองค์ ก็มีวาสนาที่บกพร่อง แม้แต่พระสารีบุตรก็บกพร่อง พระมหากัสสปะก็เป็นอิสีติสาวกองค์หนึ่ง
พระป่าคือเดียรถีย์ แต่พระของพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีพระป่า มีแต่พระบ้าน ผู้ที่หลงป่าไปติดป่า แต่จะไปป่าไหม อาตมาก็อธิบายมาหมดแล้ว หากยังข้องใจจะไปพิสูจน์การอยู่ป่าว่า จะติดป่าไหม จะมีความฟุ้งซ่านไหม หรือจะมีการติดป่าไหม หากห่างจาก รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส จะมีความฟุ้งซ่านออกมาไหม หรืออยู่นานไปก็หลงติดป่าจมป่าเลยไหม มันได้พิสูจน์ทั้งฟุ้งซ่านและถีนมิทธะ
อาตมายกตัวอย่างปางนี้ชาตินี้อาตมาก็เคยไปอยู่ป่า แต่ก็มาสร้างป่าในเมือง ไม่เคยไปบุกรุกป่า อีกสัก 20 ปี 30ปีมาดูป่าในบ้านราชฯ ตอนนี้ต้นไม้เรากำลังโต ป่าเราก็จะจัดสรรให้ดี ไม่ก่อโรคภัย
เราก็พึ่งในสิ่งที่พระมหากัสสปะทำ แต่สิ่งที่ท่านทำมันเป็นวาสนา ให้คุณพยายามศึกษาให้ดีๆเป็นวาสนาข้อด้อยก็มี วาสนาดีก็มี แต่เรียกบารมีไปเลย วาสนาข้อด้อยไม่อยากมีหรอก แต่ติดตัวมา เหมือนพระมหากัสสปะ ท่านเป็นพระป่า หลงป่ามาไม่รู้กี่กัป กับภรรยาของท่านด้วยมาคู่กัน วาสนาทำมาเลยติด แต่ท่านมีสัมมาทิฏฐิจึงบรรลุอรหันต์ได้ แม้แต่เป็นพระอรหันต์แล้วท่านก็ขออยู่ป่า ซึ่งเป็นตัวอย่างหนึ่งใน อิสีติมหาสาวก เป็นตัวอย่างสุดขีดสุดเขตของศาสนาพุทธ แล้วก็จะไม่เถียง ถ้าไปถาม ท่านก็จะรับว่าไปอยู่ป่าไม่ดีหรอก แต่ท่านมีจริตนิสัยอย่างนั้นจึงไปอยู่
พระพุทธเจ้าตรัสคำสำคัญ พอท่านสอนสาวกบรรลุ 60 รูปแรก ท่านตรัสว่า เธอจงแยกกันเข้าไปในนิคม ไม่ได้ให้ออกป่าเลยสักองค์ นี่คือรายละเอียด อ่านพระไตรปิฎกให้แตก
พวกเธออย่าได้ไปร่วมทางเดียวกันสองรูป จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ-ทั้งพยัญชนะ นี่คือสภาวะของเทวะ ให้ครบบริบูรณ์ บริสุทธิ์ สัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลี คือกิเลสในจักษุเหลือน้อย ยังมีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักมี ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เราก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรม
(พตปฎ.เล่ม 4 ข้อ 32)
อย่างน้อย 60 องค์แรกก็ให้ไปในเมืองหมดเลย ไม่เหลือให้ออกป่าเลยสักองค์
ขอให้คุณฟังอาตมาไปเรื่อยๆ ขอให้ติดตามดีๆ เรียนรู้ฟังอาตมาไป อันไหนที่พอเชื่อก็เอา อันไหนไม่เข้าท่าเห็นว่าไม่ดีก็ไม่ต้องเอา หากฟังแล้วไม่เข้าท่าสักทีก็ไม่เอาแล้ว ที่คุณฟังมาก็กรุณามากแล้ว ขอบคุณมากแล้วที่คุณฟังและอดทนติดตาม
_สู่แดนธรรม..คนๆนี้ติดตามฟังพ่อท่านตลอดเหมือนกัน เขาจะไม่เคยได้ยินได้ฟังจากใครเลย
พ่อครูว่า…ก่อนเข้าสู่ความเสื่อม 4 ประการของอัมพัฏฐสูตร
ท้าวความ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน พรหมชาลสูตรเป็นข้อผิด สามัญผลเป็นข้อถูก ส่วนอัมพัฏฐสูตรมีทั้งข้อถูกและผิด
4 อย่าง คือ สังวรศีลอันเป็นอริยะ สำรวมอินทรีย์อันเป็นอริยะ มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอริยะและมีสันโดษอันเป็นอริยะ
สังวรศีล คือ ถือศีลแล้วจิตเห็นกิเลส ในกิมัตถิยสูตร ได้อานิสงส์ของศีลคือ
-
อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) .
-
ปามุชชะ – ปราโมทย์ (มีความยินดี)
-
ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .
-
ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)
-
สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)
-
สมาธิ (จิตมั่นคง)
-
ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .
-
นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .
-
วิราคะ (คลายกิเลส)
10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน)
(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24 ข้อ 1 , 208)
ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์เมื่อสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวกับสัตว์แล้วอ่านกิเลสที่เกิดขึ้น ด้วยรักหรือด้วยโกรธก็ตาม กิเลสรัก โกรธ หรือโลภโกรธหลงก็ตาม อ่านกิเลสออกแล้วก็ลดกิเลสได้แม้ลดไม่หมด แต่เห็นความจางคลายวิราคานุปัสสี ยิ่งกิเลสมันลดลงมาก มันเบา ความเดือดร้อน อวิปฏิสาร แต่ก่อนมันร้อนใจ คุณก็ลดได้ ลดได้ก็มี อวิปฏิสาร คุณก็จะรู้ ปัญญาหรือปฏิภาณ จะรู้ว่าอ๋อ กิเลสมันลดได้ เราได้ลาภยศสรรเสริญ มันขี้ไก่ไม่ได้เรื่อง แต่เราได้อาริยธรรม บรรลุธรรมนี้มันราคาแพงมากกว่า จิตควรจะมีความปราโมทย์ ยินดี ทำได้แล้ว ลิงโลดเลย บางคนตื่นเต้น แรง เหมือนพวกเตะฟุตบอลเข้าโกลเลย บางคนมีปีติแรง ซึ่งมันก็จะเสียพลังงาน กระโดดโลดเต้นเลยกำลังคน ใครเตะฟุตบอลเข้าโกลก็ได้ราคาแพง
หรือศีลข้อ 2 สัมผัสกับของ แต่ก่อนนี้สัมผัสกับของก็เกิดทุจริต อยากได้อยากมีอยากเป็นกับเขา ทุจริต ข่มขี่ข่มเหง ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา เราก็จะลดลงไป
ในศีลแต่ละข้อ ข้ออื่นก็ตามเช่นกัน
ต่อมา มีการสำรวมอินทรีย์อันเป็นอริยะ ก็สามารถควบคุมดูแลเมื่อสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายในอินทรีย์ทั้ง 6 สำรวมทั้งภายนอกภายใน ภายในคือจิต ภายนอกคือตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส เมื่อสัมผัสกันแล้วมันสังขารปรุงแต่งกันเกิดเรียนรู้เวทนา เป็นกรรมฐาน แล้วเราก็ปฏิบัติได้ ทำให้เวทนามันเป็นอุเบกขาเวทนา แล้วเริ่มต้นได้ก็จะเปรียบเทียบ มันไม่มีอาการดีใจที่เป็นรักหรือโทสะ มันลด คุณก็จะรู้แล้ว ขนาดหนึ่งไม่ใช่แค่ กดข่มเท่านั้น แต่เป็นฤทธิ์ของ ฌาน ปัญญา สลายกิเลสจนกระทั่งเป็นบุญ กิเลสหมด
อาการที่กิเลสหมด ปัจจัตตัง แต่ละคนจะรู้ แล้วได้อย่างสมถะกดข่ม ก็จะเปรียบเทียบกับวิปัสสนามีปัญญา ก็จะรู้ กิเลสสลายไปไม่มีอย่างมีปัญญากับการไม่มีกิเลสอย่างกดข่ม ใครก็รู้แทนกันไม่ได้คุณก็จะรู้
คุณสำรวมอินทรีย์ก็จะรู้มรรคผล ว่าอันนี้เป็นสมถะหรือวิปัสสนา การสมถะก็สำรวมอย่างยิ่ง แต่มีนัยสำคัญที่ต่างกัน สมถะ พระพุทธเจ้าก็ให้อาศัย แต่ไม่ใช่ตัวจริงที่สมบูรณ์ สมบูรณ์ จริงๆ ต้องมีวิปัสสนาญาณ เป็นวิชชาข้อที่ 1
เมื่อสำรวมอินทรีย์เป็นข้อที่ 2 แล้วเป็นอริยะ ก็จะมีผลทางโลกุตระ
-
มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอริยะ คือมีสติ ความรู้ตื่น ตื่นรู้ เป็นอาริยะ ก็ต้องมีทั้งภายนอกและมีทั้งกายกรรม ก็อธิบายไม่รู้กี่ทีแล้ว มันตื่นเต็มทั้งกายกรรม ไม่ใช่คุณไม่มีกายกรรมภายนอกเลย ไปนั่งหลับตาปฏิบัตินั้น ผิดแล้ว ไม่ใช่สติที่เป็นอริยะ เป็นสติที่บกพร่อง คุณจะตื่นเต็มอยู่ในใจขนาดไหนก็ตาม แต่คุณไม่ได้ออกมาข้างนอก ไม่ได้ฝึกฝนเรียนรู้อยู่กับปัจจุบันธรรม ตามศีลข้อที่ 1 2 3 4 5 จนกระทั่งจบจุลศีล 26 ข้อเลย คุณไม่ได้ศึกษาแบบนี้เลย เพราะฉะนั้นมันไม่มีความจริง เพราะไม่มีปัจจุบัน ต้องตรวจสอบทั้งภายนอกและภายในครบ กาย คนที่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ สักกายทิฏฐิ สังโยชน์ข้อที่ 1 คุณก็ไม่ผ่าน เพราะกายของคุณเป็นมิจฉาทิฏฐิมีแต่ภายใน กายไม่มีภายนอกไม่ได้และไม่มีภายในก็ไม่ได้ กายต้องมีสอง ภายนอกและภายในเสมอ
เพราะฉะนั้น สติกายกรรมของคุณก็ไม่เต็มสักที แม้ สติวจีกรรมของคุณก็ไม่เต็ม ยิ่งคุณหุบปาก กายกรรมก็ไม่มีพฤติกรรม มีแต่ภายใน
ส.ฟ้าไท…พายุโซนร้อนเข้า แต่ลมถูกที่อื่นปะทะไปก่อน เราก็ได้เจอกับหางพายุ
พ่อครูว่า…ต่ออัมพัฏฐสูตร…..
ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ? ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง ดูกรอัมพัฏฐะ นกมีปีกจะบินไปทางทิศาภาคใดๆ ก็มีแต่ปีกของตัวเป็นภาระบินไป ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง ดูกรอัมพัฏฐะด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ
พ่อครูว่า…เป็นผู้สันโดษคือ
1.เป็นผู้ที่ไม่มีของมาก ไม่ใช่ว่าเป็นผู้ที่อยู่โดดเดี่ยวเดียวดายอ้างว้าง ไม่ใช่! สันโดษคือผู้ที่มี ใจพอ สันตุฏฐิ คือใจมันพอ เพราะฉะนั้นเราเองเรามีน้อยมีสมบัติน้อย มันก็สะดวกจะไปไหนก็คล่องแคล่ว ไม่ต้องห่วง เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ติดอะไรมาก ไม่ต้องมีอะไรมาก มีแต่สิ่งที่เป็นบริขารสำคัญ บริขารคือเครื่องอาศัย เครื่องอาศัยในชีวิต ยิ่งมาเป็นภิกษุแล้ว มีบริขาร 8 แต่ทุกวันนี้ไปไหนต้องสะพายคอมพิวเตอร์ไปด้วย หรือต้องมีแว่นตาไปด้วย อาตมาไม่ใช้แว่นตาก็ไม่ได้แล้ว หรือสิ่งสำคัญที่เราต้องใช้ให้เกิดประโยชน์คุณค่า ไม่ใช่เอาไปใช้เป็นเครื่องมือหากิน หรือหาเงิน เพราะฉะนั้น ความมีน้อยไม่เป็นภาระกว่าความมีมาก
-
รายได้ สิ่งได้ หรือของควรได้ ในหลวงท่านตรัสว่า คือ Gain ภาษาบาลีคือ ปฏิลาโภ คือสิ่งที่ได้ โดยสิ่งที่ได้เราก็ไม่เอาไว้กับตัว สิ่งที่ได้เป็น ลาภธัมมิกา เป็นลาภโดยธรนม เป็นสิ่งที่ได้มาโดยสุจริตและเป็นค่าแรงงานหรือค่าความรู้ความคิด ค่าวัตถุก็ตาม เราก็ไม่เอาค่าเหล่านั้น ไม่เอามา ทำงาน ให้ฟรีเลย แล้วยิ่งเรามีระบบสาธารณโภคี ที่อาตมาเอาของพระพุทธเจ้ามา ทำขณะนี้ ในเมืองไทย ให้พวกเราปฏิบัติ ชาวอโศกมีสาธารณโภคี ไม่ใช่ว่าของ บ้านราชฯก็เป็นของบ้านราชฯ ที่อื่นเอาไปใช้ไม่ได้ หวงแหนของใครของมันก็ไม่ใช่ ไม่ได้หวงแหน แต่ดูแลรักษา ถ้าเผื่อว่ามันสมควรจำเป็น ให้คนนั้นคนนี้ ก็ไปแจกหรือให้เฉลี่ยกันไปใช้ได้ ไม่ได้หวงแหน มันหมดก็หมดด้วยกัน มันมีก็มีด้วยกัน คนไหนเดือดร้อนก็จะเลยไปหาคนเดือดร้อน ให้ทั่วถึง นี่คือหลักเศรษฐศาสตร์ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)