630605_พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก 2563 เพราะเป็นเช่นนั้นเองจึงมาเป็นพ่อครู
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/15IicdVG0CcyT72mlmBy-XLoXD6lrRZ0ao2sFbSDDvxg/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1n7XxAwuXM0QPZlTEt7GJn2-2npM84mrl
พ่อครูว่า…เจริญธรรมลูกๆหลานๆเอ้ย ขณะนี้เวลา 7:10 น เวลาใกล้จะถึงเวลาที่คนๆหนึ่งจะอุบัติขึ้นมาในโลก ประมาณนี้ แม่ก็ไม่ได้บอกเวลาตรงเพราะไม่ได้ดูนาฬิกาไม่มีนาฬิกากันหรอก ในยุคนั้นนาฬิกาหายาก ดูเอาตามพระย่ำกลองระฆัง ตามพระว่าไปเท่านั้นเอง แม่บอกแต่เพียงว่า คลอดตอนที่ เห็นหลังไวๆ พระกลับจากบิณฑบาต มันก็ไม่น่าจะถึง 8:00 น.นะ ก็คงจะประมาณนี้ 7 โมงกว่า คือหลังบ้านเป็นวัด ทะลุไปถึงวัดเลยหลังบ้าน ต่อกับวัดเลย เกิดที่จังหวัดศรีสะเกษ ก็เลยไม่รู้ว่าเวลาตกฟากจริงๆเวลาเท่าไหร่ แต่ก็เอาเถอะไม่เป็นไร ที่สำคัญก็คือวันนี้ วันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำเดือน 7 อาตมาก็เกิดเดือน 7 แต่วันเกิดอาตมานั้นอาตมาเกิดแรม 8 ค่ำ วันนี้ขึ้น 15 ค่ำ (สู่แดนธรรมว่า แรม 8 ค่ำต้องนับไปอีกหลังข้างขึ้น)
วันนี้วันที่ 5 มิถุนายนเป็นวันสำคัญเขาว่าอย่างนั้นนะสำหรับวันนี้ วันที่ปัจจุบันขณะนี้
วันนี้จะมีจันทรุปราคาสีเทา(เงามัว) เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์และโลกโคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน โดยมีโลกอยู่ตรงกลาง ดวงจันทร์ต้องกลายเป็นสีเทาเพราะดวงจันทร์โคจรเข้าไปในเงามัวของโลกบางส่วน
เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day)
เป็นวันข้าว และชาวนาแห่งชาติ
พ่อครูว่า…แสดงว่าโลกเป็นตัวกลางในการตัดสิน ดวงอาทิตย์ก็อย่าทำเป็นใหญ่ ดวงจันทร์ก็อย่าทำเป็นจุกจิกจู้จี้ เป็นอิตถีภาวะกับปุริสภาวะ
อาตมาก็อยากจะเน้นเลยสำหรับวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดสำหรับชาวอโศก พวกเราจะต้องสำคัญมั่นหมายอย่างจริงจังเลยว่า โดยเฉพาะพวกเรานี่แหละก่อนจะพูดว่าชาวไทยก็เอาชาวอโศกก่อน ชาวอโศกต้องนำขบวน ตั้งใจเป็นชาวกสิกร เป็นกสิกรแข็งขลังกระดูกสันหลังของชาติ เป็นชาวนาให้เต็มที่ เป็นชาวสวนชาวไร่ให้เต็มที่ ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารขึ้นมาให้อุดมสมบูรณ์ พยายามพัฒนาพืชพันธุ์ธัญญาหารนี่แหละ ขึ้นมาเป็นสิ่งเอกของโลกให้ได้ นี่อาตมาขอฝากความหวังไว้ว่า ชาวอโศกเราจะมีภูมิปัญญา เป็นภูมิปัญญาที่ประเสริฐ ภูมิปัญญาที่ดีให้รู้ว่า คนที่เป็นชาวไร่ชาวนา ชาวสวนเป็นผู้สร้างอาหาร เป็นผู้สร้างข้าว สวนผลไม้พืชพันธุ์ธัญญาหาร เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของมนุษยชาติ
โควิดมา คนจะเริ่มเข้าใจอันนี้สำคัญที่สุด โควิดมาทำให้มนุษย์ที่หลงตัวเองว่าเขามีอำนาจบาตรใหญ่เพราะเขามีอาวุธก็ตกกระป๋อง รู้ไหมว่าตัวเองไม่ได้มีอำนาจบาตรใหญ่เพราะการมีอาวุธ ทำให้คนมีธนบัตรเยอะก็ตกกระป๋องไปอีก ธนบัตรเยอะก็ทำอะไรไม่ได้ กินธนบัตรก็กินไม่ได้ มีธนบัตรไปซื้อกินเขาไม่ขายให้ก็ไม่รู้จะกินอะไร เพราะฉะนั้น ค่าของธนบัตรสู้ค่าของพืชพรรณธัญญาหารข้าวน้ำไม่ได้อย่างนี้เป็นต้น ทั้งอาวุธทั้งธนบัตร แม้แต่ที่สุดน้ำมัน แม้แต่น้ำมันก็ไม่ได้เป็นอำนาจใหญ่เท่ากับพืชพันธุ์ธัญญาหาร นี่เป็นเครื่องบ่งบอก ธรรมชาติมันสอน โควิดมันสอนให้มนุษย์ขึ้นมา คนทั่วโลกได้ชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้นมาถึงความจริงข้อนี้
พวกเราเมืองไทยอยู่ในโซนนี้ ซึ่งเราก็เกิดมาดี เกิดมาในประเทศนี้ของเราอยู่ในโซนอบอุ่นจนร้อน โซนที่ก็ไม่ได้ร้อนจัดเท่าแอฟริกา หรือว่าตะวันออกกลาง ของเราอยู่ในโซนที่ดี อากาศดินน้ำไฟลมอย่างพอดีเลยอย่างนี้ เราจึงทำพืชพันธุ์ธัญญาหารได้ดียิ่งขึ้น มันต้องเป็นเรา เพราะเราได้ถูกจัดสรร จะใช้ว่าโดยพระเจ้าก็ได้ ถูกจัดสรรด้วยเหตุปัจจัยที่ลงตัวที่สุด ที่เราจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องของอาหารของโลก แล้วมันก็เป็นคุณค่าที่จริง ตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่พวกเราได้ศึกษากันมาแล้ว เศรษฐศาสตร์ของโลก ที่ขี้โลภเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวเป็นนักเศรษฐศาสตร์บอกว่าตัวเองร่ำรวยตัวเองได้เปรียบมากๆ ทำวัตถุอะไรออกมาหรือแม้แต่จะทำกับข้าวทำอาหารพืชพันธุ์ธัญญาหารให้ผู้อื่นก็จะต้องขายจะต้องแลกด้วยธนบัตรและสมบัติอะไรก็แล้วแต่ ได้วัตถุอะไรต่างๆขึ้นมา ก็จะต้องให้ได้มาก ตีราคาแล้วจะต้องได้เกินกว่าราคาข้าวพืชพันธุ์ธัญญาหาร มันเป็นคิดของพวกทุนนิยม แนวคิดคนเป็นบาป คนที่ไม่รู้จักสัจธรรมที่แท้จริง แล้วไปลงในสิ่งที่แลกกับคืนมาว่าเราเป็นผู้ที่ได้ ที่จริงนั้นเราเป็นผู้เสีย เอาไปแลกกับคืนมา
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสพระธรรมไว้ว่า ทาน อย่าว่าแต่จะเอาของแลกเปลี่ยนกับคืนมาเลยแม้แต่จิตของเราก็ไม่ตั้งค่าว่าเราจะต้องการอะไรมาให้แก่ตน อันนี้แหละ คือจะต้องเรียนรู้อาการของใจ อาการของจิต แล้วก็รู้ว่าจิตของเรามันเป็นไปตามอัตโนมัติของอวิชชา เป็นไปตามความอยากได้ ดีใจชื่นใจที่จะได้เปรียบได้มาก ซึ่งมันเป็นอสัจธรรม มันไม่ใช่ธรรมะที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเราจะต้องชัดเจนในฐานะที่เราเป็นลูกพระพุทธเจ้า ต้องชัดเจนและต้องทำใจในใจให้เป็น
คราวนี้งานอโศกรำลึก อาตมาคงจะต้องได้เทศน์เน้นย้ำในเรื่องการทำใจในใจ ภาษาบาลีคือการทำมนสิการซึ่งเป็นคำนาม มนสิการแปลว่าการทำใจในใจเป็นข้อ 2 ของมูลสูตร 10 มีฉันทะเป็นมูลมีมนสิการเป็นแดนเกิด สัมภวะ คือ สิ่งที่จะเกิดจะเป็นพระพุทธเจ้า จิตเป็นหลัก มันจะเกิด จิตจะเกิด เราจะต้องเป็นผู้ที่มีโลกุตระ เป็นผู้ที่มีวสวัตตี ไม่ใช่พระเจ้ามาทำให้เกิด เมื่อเราได้ขันธ์ 5 มาแล้วต้องควบคุม เวทนาสัญญาสังขาร เราจะต้องกำหนดรู้แล้วให้เป็นเช่นนั้นเช่นนี้ให้เป็นเช่นใด เราจะต้องรู้ ความเหมาะสมควรที่ดีที่สุดนานๆ แล้วทำให้เกิดให้เป็นตามที่ว่านี้ เราจึงเป็นผู้กำหนดเองเป็นผู้สร้างเอง เป็นผู้ผลิตเอง ให้เกิดมากที่สุดและจิตให้เกิดอาการของเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ
เหตุปัจจัยที่ยังไม่สิ้นสุดจริงๆซึ่งมันมีวาระที่จะสิ้นสุดเหมือนกัน ไปด้วยเหตุปัจจัยของการหมดเรี่ยวแรงหมดอำนาจหมดฤทธิ์ มันก็สิ้นสุดลงไปของมันเอง แต่ในภาวะที่ยังไม่สิ้นสุดอย่างนั้น เราจะให้สิ้นสุดก็ได้ จะให้ต่อไปก็ได้ อันนี้แหละเป็นความสามารถที่ยิ่งใหญ่ ที่พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ค้นพบ แล้วให้ตนเองเป็นผู้สามารถทำให้เกิดให้ตายเองเป็นได้เรียกว่าเป็นอมตบุคคล เป็นข้อที่ 10 ของมูลสูตร
ผู้ที่เป็นอมตะบุคคลจึงจะสามารถทำให้อัตภาพคือจิตวิญญาณของเรา ตายอวสานหรือจบ ปริโยสาน คือ จบอย่างน่ารัก ปริย แปลว่าน่ารัก กับ อวสาน คือจบอย่างทำตาย นิพพานรอบ ตายรอบ ที่นี้ก็จะตายตาย ไม่ใช่ตายเป็นอย่างสูญรอบสิ้นรอบ จบทุกสิ่งทุกอย่างในความเป็นอัตภาพ
เราได้จิตนิยามมาเป็นสัตว์ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน และสามารถมีความรู้อันนี้ทำให้จิตอัตภาพของเรานี้ สูญสลาย เป็นอุตุนิยามไป เป็นดินน้ำไฟลมไป เป็นความรู้ของสุดยอดแห่งมนุษย์คือพระพุทธเจ้า ท่านจะเป็นผู้รู้วิธีการ ค้นพบวิธีการ ค้นพบความจริงนี้ ในความเป็นคนที่มีความรู้สูงสุดแล้วสุดแห่งที่สุด ก็คือสามารถจะอยู่ ทำจิตวิญญาณให้มีอำนาจแล้วก็จะยังมีชีวิตกำหนดจิตวิญญาณของตนเองให้อยู่ไปอย่างเป็นผู้ที่ดี ไม่มีใครตำหนิได้โดยเฉพาะผู้รู้ไม่ตำหนิเด็ดขาด เป็นผู้ที่มีแต่คุณงามความดี
สมมุติอาจจะต่างกัน ประเทศนี้คนสังคมในชุมชนนี้ เขาสมมุติว่าอย่างนี้ดีเราก็ดีตามที่เขาว่าได้ หรือแม้แต่สังคมกลุ่มนี้ชุดนี้ประเทศนี้เขาสมมุติว่าอย่างนี้ดี แต่เราเห็นว่าไม่ดี แต่เขาเห็นว่าดีนะ เขาสมมุติกันแต่เราเห็นว่าไม่ดี เราก็ไม่ทำตามได้ แต่เราก็ไม่ไปถึงขั้นไปขวางเขาไม่ไปขัดแย้งเขาไม่ไปโต้เขา เขาจะเป็นอย่างนั้นก็อนุโลม ดีดีดี ดีไปตามประสา แต่ถ้าดูที่เรารู้แจ้งจริงแล้วว่ามันไม่เข้าท่าหรอกมันไม่ดีหรอก เราก็สามารถจะทำได้โดยการอนุโลมปฏิโลม ที่เราก็ไม่ได้ขัดแย้งไม่ได้ไปทำร้ายเขาไม่ได้ไปข่มขี่เขาไม่ได้ไปดูถูกเขา ก็ยอมอนุโลมตามเขา แต่เราไม่ทำเท่านั้นเอง เขามาทำอะไรเราไม่ได้เราไม่ได้ไปต้านไปกั้นไปด่าไปว่าเขา เส้นทางสุดท้ายขีดสุดท้าย ว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นก็เป็นเช่นนั้นอย่างนี้เป็นต้น
ส่วนผู้ที่ยังมีทิฐิเดียวกันมีความเห็นมีสมมุติมีเป้าหมายมีวัฒนธรรมเดียวกัน มันก็ยิ่งง่ายคือสบาย อย่างพวกเรามีทิฏฐิสามัญญตา แล้วก็มีหลักเกณฑ์ของศีลสามัญญตา ก็ตรงกันหมด เราก็ประพฤติ ใครยังทำไม่ได้ก็พากเพียรไป ใครที่ประพฤติได้แล้วก็สบายไป ก็อยู่รวมกันเป็นหมู่กลุ่มที่มีพลังงาน มีพฤติกรรมที่เป็นอย่างเดียวกัน มีกำลังของทางด้านความตั้งมั่น static เป็นทั้งกำลังของการเคลื่อนไหวได้เร็วไวปราดเปรียว โดยไม่เป็นพิษเป็นภัยทั้งความปราดเปรียวทั้งความตั้งมั่นคงแข็งแรง เรียกว่าสภาวะ 2 อย่าง จะต้องอยู่ด้วยกัน สภาวะ 2 อย่าง ทางวัตถุนักวิทยาศาสตร์โลกเขาก็ค้นพบ เรียกด้วยภาษาอังกฤษคำว่าเป็น static กับ Dynamic มันก็มีได้ทั้งคู่ รวมกัน ไม่ขัดแย้งกัน ไปได้ด้วยกันอย่างดี อย่างนี้เป็นต้น
พวกเราที่อาตมาพาทำ เกิดจากความจริงของกายกรรมวจีกรรม โดยเฉพาะมโนกรรมที่เป็นธาตุรู้และก็ทำได้ทั้งความรู้และก็ทั้งทำได้ เป็นประสิทธิผลที่สมบูรณ์ได้ขึ้นมาทั้งคู่ 2 สภาพ ทั้งรู้และทำ มันจะต้องมี 2 ความเป็นสอง บาลีบอกว่า เทวฺ อ่านอย่างไทยก็เทวะ อ่านอย่างบาลีก็ เดวะ
เป็นความสำคัญมากในความเป็นรูป นาม ในความเป็นชีวะ ตั้งแต่ไม่ว่าจะเป็นอุตุนิยามคุณก็ต้องมี 2 อุตุนิยามที่จับตัวเป็นหนึ่งเดียวกัน กำลังจะแยกบวกก็ไม่บวก ลบก็ไม่ลบก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้ามาเป็นนิวเคลียสมีพลังงานในตัวของมันมีบวกมีลบ ทางวิทยาศาสตร์ทางวัตถุการศึกษาได้ ใช้พลังงานบวกลบนี้ที่สูงสุดเอามาใช้ได้ E=mc2 เขาก็ใช้กันอยู่ทั่วไปแล้วก็อาศัยอย่างนี้ตลอดทุกวันนี้ พลังงานทางวัตถุเอาไปทางทำลายหรือทางสันติภาพก็ได้แต่คนมีจิตไม่ดีก็เอาไปในทางทำลาย
พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ไม่ไปทำร้ายสัตว์โลกที่เป็นจิตนิยาม ซึ่งจิตนิยามเป็นภาพที่มีความพยาบาทได้ มันมีความโกรธมีความพยาบาทและก็มีการรักผูกพันหรือทำลายกัน พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องมาสอนให้รู้ว่าอย่าไปสร้างพลังงานจิตแบบนั้น แล้วเราก็มาทำได้สำเร็จ ก็เป็นความสงบ เป็นความอบอุ่นของสังคมเป็นลักษณะธรรมที่เจริญสุดยอดแล้ว ในความเป็นมนุษยชาติ ไม่ทำร้ายใคร ใครจะทำร้ายเราเราก็ยอม เพราะใครจะทำร้ายเราแม้จะทำให้ถึงตาย พระพุทธเจ้าตรัสรู้ยืนยันพิสูจน์ว่าตายแล้วก็เกิดอีกหากเรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ผู้ที่จะตายและสูญไปเลยก็ต้องสามารถทำจิตของตัวเองให้เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ ก็ต้องเป็นอมตะ
ผู้ที่จะเป็นอมตะบุคคลได้จะต้องทำจิตให้หลุดพ้นจากโลกจากอัตตา โลกคือสภาพภายนอก อัตภาพในจิตของเรา รู้ทั้ง 2 ส่วนเลยว่าเราจะไม่เกิดมาในโลกนี้อีกเลย โดยธรรมความไม่เกิด อย่างที่เรียกว่าปรินิพพานเป็นปริโยสาน ทำจิตให้แยกธาตุเป็นอุตุธาตุหมดเลย นี่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเราจะรู้ด้วยคนตั้งแต่เป็นๆนี่แหละเราทำจิตให้ไม่เป็นทุกข์ไม่เป็นสุข
ไม่เป็นทุกข์ไม่เป็นสุขนี่แหละที่เรายังเป็นชีวิตเราจะรู้ความไม่สุขไม่ทุกข์ก็เรียกว่าเป็นพีชธาตุ เป็นพืช พืชมันไม่มีสุขไม่มีทุกข์แล้วมันก็ไม่มีตัวตนหรือมันมีตัวตนระดับ 1 มีสามเส้า มีอิตถีภาวะ ปุริสภาวะ แล้วก็มีประธาน แล้วมันก็จัดการได้ แม้แต่เป็นพืชมันก็จัดการได้ ธาตุเอามาผสมกันแต่มันก็ไม่มีเวทนาไม่มีความรู้สึก มันก็ไม่มีกรรมที่จะเป็นวิบากกรรมจองเวรจองกรรมกันผูกพันกัน หรือว่าจะเกิดมาทำร้ายกัน ซึ่งหมุนเวียนอยู่ในวัฏสงสารนี้ พืชมันไม่มี เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ยืนยันว่า อย่าไปสร้างวิบากกับสัตว์ เขาจะเป็นจะตาย ส่วนของเขาจะเป็นรูปเป็นนามของสัตว์ต่างๆไม่ต้องไปเอามาเกี่ยวข้องกับชีวิตเราเลย เพราะเราไม่รู้ได้ว่าวิบาก ที่เขาจะรักตัวรักตนวิบากที่เขาจะยึดมั่นถือมั่น แม้ว่าเนื้อตัวของเขาเนื้อหนังของเขา ยึดมั่นถือมั่นใครมาแตะต้องใครมาเอาของฉันไปกิน อะไรมาเอาไปใช้ก็เป็นการเบียดเบียนเขา เบียดเบียนจนตายก็แล้วแต่ มันจะไปรู้อะไรสำหรับสัตว์เดรัจฉาน มันก็ยึดถือเป็นตัวกูของกูทั้งนั้นแหละ มันก็จองเวรจองกรรม
ในรายละเอียดเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านสะอาดบริสุทธิ์รู้รอบถ้วนครบ จึงบอกแก่พวกเราผู้ที่ศึกษาตาม อาตมาเป็นโพธิสัตว์เข้าใจสิ่งเหล่านี้เอามาบอกให้ทราบ แล้วให้พวกเราไปเรียนรู้ถึงสภาวะจิต ที่มันมีอาการอย่างนี้ สภาพที่ต้องไปเกี่ยวข้องสภาพที่ไปดูดไปผลักต่างๆก็รู้ได้ด้วยตนเอง เราจึงสามารถที่จะรู้สภาวะของธาตุ อุตุ ธาตุพีชะที่มีดูดมีผลักบ้าง พีชะก็มีดูดมีผลักบ้าง แต่ไม่ได้รุนแรงเหมือนจิตนิยามก็รู้ขนาดของพืช จึงทำจิตของตนให้เป็นอย่างพืชได้สำเร็จ จึงไม่สร้างวิบากต่อไป จิตที่เป็นจิตพืชไม่สามารถสร้างวิบากต่อไป แต่จิตที่เหลือที่เป็นพลังงานจิตนิยามนั้นมันก็เลยมีแต่ความสะอาดประเสริฐ ก็ช่วยทำงานทำกรรมกิริยาเป็นประโยชน์ได้หมดเลย
สู่แดนธรรมนิมนต์พ่อท่านพักจิบน้ำก่อนพ่อท่านได้บอกแล้วว่านาทีที่พ่อท่านเกิดประมาณพระบิณฑบาตกลับเข้าวัด ถือว่าพ่อท่านได้เกิดแล้วตอนนี้ นับแต่นี้ไปย่าง 87 ผมฟังพ่อท่านพูดถึงพระอาทิตย์พระจันทร์โลก 87 มีความหมายของพระอาทิตย์พระจันทร์โลกเหมือนกัน ความหมายของเราที่เป็นบังคือโมหะ ที่ไปบดบังแสงจันทร์ แต่เงาของโลกที่บังจันทร์ ปกติควรมืดมากกว่านี้ แต่วันนี้แค่เทาๆ เป็นนิมิตหมายว่าต่อไปนี้ความโมหะอวิชชาของโลกมันจะต้องเบาบางลง อันนี้ผมคิดแบบของผมเองนะครับ
พ่อครูว่า..เป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติไม่ได้ยากเย็นเลย มีสว่างกับมืดตึ๊ดตื๋อเลย หากมืดตึ๊ดตื๋อเลยจะทำอะไรออกจะทำอะไรได้ แต่มันได้ขนาดนี้แล้ว อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้า ที่เยี่ยมยอดขนาดนั้นได้ขนาดนี้ก็ดีแล้ว ที่นี้เราก็ไปนึกถึงโลกปัจจุบันนี้มันเลวร้ายนะ พฤติกรรมโลกพฤติกรรมของผู้ที่อวิพฤติกรรมของผู้ที่ยังไม่มีจิตดีที่มีจิตประเสริฐสะอาดเหมือนพวกเรา เขาก็ทำไปด้วยเขาไม่เข้าใจกรรมวิบาก หรือกิเลสในตัวของเขามันบังคับ ให้ตัวเขาทำ
สู่แดนธรรม…พ่อท่านดำริก่อนงานว่าต่อไปอาตมาจะขยายความเรื่องวิชชาและจรณะให้มาก เพราะว่าความห่างหรือเงาที่บังจันทร์ วิธีจะทำให้เงามันจางลงก็มีอยู่เรื่องนี้แหละครับคือทำให้เกิดวิชชาและจรณะ
พ่อครูว่า..สรุปอีกทีว่าสาระแก่นสารของพุทธศาสนาแท้ๆเป็นเนื้อแท้ของคุณธรรมคุณวิเศษ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็คือข้อนี้แหละ อาตมาก็อธิบายแล้วในพุทธคุณ 9 ก็มีแค่นี้แสดงถึงเนื้อหาสาระ ของความเป็นเนื้อหาศาสนาพุทธแท้ นอกนั้นเป็นแต่เพียง ศักติ เป็นอลังการ เป็นเครื่องประกอบ มันไม่ใช่แก่นแท้ เช่น อะระหะโตสุคะโตโลกะวิทูมันก็รู้โลกไม่ใช่ตัวเนื้อแก่นของวิชชาและจรณะ ผู้บรรลุเป็นผู้เข้าถึงเป็นผู้สำเร็จในความเป็นวิชชาและจรณะ ความประพฤติและความรู้ วิชชาก็คือความรู้จรณะคือความประพฤติสูงสุด ไล่ไปจนถึงผู้ที่จำแนกทำได้ไม่มีใครยิ่งกว่า ก็เป็นเครื่องประกอบ
อาตมานึกถึงตัวเอง ตอนก่อนตื่นนอน นอนพอสมควรแล้วก็คุยกับเทวดาคือปรึกษาหารือกับความรู้ของตัวเองนี่แหละที่คุยกับเทวดา ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าหรือเป็นพระอรหันต์ทุกพระองค์ ก็คุยกับเทวดา ปรึกษาหารือกับสิ่งที่ควรจะวิเคราะห์วิจัย ว่าอะไรคืออะไรอะไรดีอะไรควรอะไรไม่ควรอะไรจะทำต่อไปอะไรอย่างนี้ อาตมาก็มาเรียบเรียงว่า
ถ้าเราจะมีอายุต่อไปขึ้น 87 วันนี้ขณะนี้ สู่แดนธรรมก็กำหนดชัดเจน เขาก็เป็นโหราจารย์ศึกษาทางด้านดวงดาว อะไรด้วย เขาไม่ใช่มือสวะนะ เป็นมือเข้าข้างเข้าทำเนียบเหมือนกัน อันนี้ไม่ได้พูดเล่นพูดจริง คือ พูดถึงตรงนี้ก็ขอวิจารณ์สู่แดนธรรมนิดนึงเหมือนกัน
สู่แดนธรรม เขาก็เป็นคนมีบารมีมีวิบากเขาจะมีปฏิภาณอะไรไวกว่าอาตมา เขาสั่งสมบารมีมา บารมีส่วนหนึ่งสู้อาตมาไม่ได้ แต่บารมีส่วนหนึ่งเขาเก่งกว่าอาตมา เก่งกว่าในภาวะที่เขาปราดเปรียวเร็วไว ไวกว่าอาตมาอีก ไวในการที่เขาจำได้เก่งกว่าอาตมา แล้วไวในการระลึกขึ้นมา จำนั้นก็อย่างหนึ่ง ไม่ลืม แต่ระลึกขึ้นมานั้นก็อีกอย่างนึง อันนี้ทั้งจำและระลึกได้เร็ว นอกจากระลึกได้เร็วแล้วยังมีปฏิภาณที่รู้กว้าง ถึงอันนั้นอันนี้แล้วก็รู้
อย่างท่านหนักแน่นเที่ยวได้เก็บรู้กว้างได้เยอะเหมือนกัน อาตมาที่พูดสามมุมนี้ไม่เก่งสู้สู่แดนธรรมไม่ได้สู้ท่านหนักแน่นไม่ได้ อาตมาก็ได้พึ่งพาอาศัยพวกเราที่อยู่ในแวดวง พึ่งพาอาศัยกัน นี่แหละการพึ่งพาอาศัยกัน การได้พึ่งพาอาศัยกันและกันอย่างนี้เป็นคุณสมบัติอันเลิศของมนุษย์พึ่งพาในการเกิดแก่เจ็บตายกันได้
มนุษย์ไม่ใช่จะต้องมาเบียดเบียนมาเข่นฆ่ากัน แต่มาพึ่งพากันมันสุดยอด สุดยอดจริงๆ สุดยอดแล้ว ใครจะทำร้ายเรา ใครจะเบียดเบียนเรา เราก็รู้ว่ามันไม่ดีแต่เขาทำกับเรามันไม่ดี เราไปบังคับเขาไม่ได้ หรือแม้แต่ที่สุดวิบาก เขาจะต้องมาแก้แค้นเรา เราก็ต้องจำนนให้เขา จำนนต่อวิบาก ที่เราทำไว้เอง เอาทุกอย่างมารวมที่ตัวเองทั้งนั้นแหละ อยู่ดีๆเป็นขึ้นมาไม่ได้หรอก มันเป็นในตัวเรานี่แหละเป็นตัวก่อเอง จะเป็นวิบากอดีตวิบากเก่า หรือจะเป็นวิบากใหม่ในปัจจุบันนี้ มันก็เป็นวิบากของเราเองทั้งนั้นแหละไม่มีใครมาทำให้เราหรอก อย่าไปโทษใครเลย ไม่ต้องไปลงโทษใครเลย เพราะฉะนั้นมันเป็นเพียงสมมุติทั้งนั้นแหละ จริงๆแล้วมันเกิดจากเรา เราเป็นเรามี กัมมโยนิ เราเป็นผู้ทำ เราเป็นผู้ให้เกิด โยนิ แปลว่าผู้เกิด การเกิดใดๆ เราเป็นเจ้าของกรรมเราทำเองเป็นเอง อย่าไปพูดถึงสิ่งที่มีชีวิตเลย แม้แต่สิ่งที่ไม่มีชีวิต กำแพง คุณไปตบกำแพง ซัดพั๊ว…เจ็บมือ แล้วก็บอกว่ากำแพงทำให้เราเจ็บมือทำไม แต่ก็คุณเองนั่นแหละไปทำเอง กำแพงไม่ได้ทำให้คุณเจ็บมือ กำแพงมันอยู่เฉยๆ ถ้ามันเจ็บมันก็จะต้องร้องเจ็บนะ ตอนนี้กำแพงมันไม่มีความรู้สึกไม่มีเวทนา เหมือนกับพืชไม่มีเวทนาเจ็บมันก็ไม่ร้องไม่มีผลสะท้อนอะไร
เพราะฉะนั้นในความรู้ที่รู้ซึ้งจริงจัง พูดถึงแรงวัตถุพูดถึงนิยามความเป็นพืช เราจะเข้าใจ และที่สำคัญก็คือ ฟังตรงนี้ให้ชัดๆ เราทำใจของเราเป็นอุตุได้ แยกธาตุจิต จิตธาตุจิตนิยามให้เป็นอุตุธาตุ อุตุนิยามได้ มันเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเลย ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ในเรื่องนี้ไม่มีทางทำได้ เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึง สูญได้ ล้างอัตภาพได้ ศาสนาเทวนิยมพระเจ้าไม่มีทางทำได้ จำนน จิตวิญญาณนิรันดร แล้วก็อย่างไร สุดท้ายก็ไปอยู่กับพระเจ้า ก็ไปติดพระเจ้าในความสมมุติ พระเจ้าคืออะไรก็คือคุณเอง พระเจ้าคือใครพระเจ้าคือคุณเอง คุณไปอยู่กับคุณเองนี่แหละ แต่คุณอยู่กับคุณเองแล้ววิบากมันเป็นอย่างไร ถ้าคุณไม่ได้ทำวิบากของคุณจนหมดสิ้นวิบากบาป ไม่เหลือวิบากบาปเลย มีแต่วิบากกุศลให้คุณอาศัย มีแต่วิบากที่ไม่มีบาปแล้วมีบาปที่ไม่มีความเลวร้ายมีแต่วิบากดีที่เป็นกุศลกับพลังงาน วสวัตตี อำนาจที่จิตของคุณเป็นไปในอำนาจได้ คุณก็ทำจิตของคุณให้เป็นอยู่ในอำนาจดีได้
เพราะฉะนั้นสิ่งที่สุดยอดประเสริฐสุดพวกนี้ พวกคุณฟังจะเข้าใจได้ดี เพราะมันจะเข้าใจสภาวะของจิตนิยามมาอย่างละเอียดลออ จนกระทั่งตัวเองก็มีจิตนิยามนี้ สามารถ มีแรงโทสะ มีแรงโลภะ มีแรงราคะ อะไรก็แล้วแต่ คุณก็เข้าใจสภาพพวกนี้ได้ ว่าอาการพวกนี้ แต่ก่อนเราแรงนะ ห้ามมันก็ไม่อยู่นะ แต่เดี๋ยวนี้เบาลงหรือห้ามอยู่ หรือไม่ต้องห้ามมันก็ไม่มีแล้วไม่มีตัว กาม ที่มันบงการให้เกิดแล้ว
มันอยู่ที่สติสัมปชัญญะและปัญญา สติคือรู้เต็ม สตะแปลว่า ร้อย สติ แปลว่ารู้เต็ม รู้เต็มร้อย เรามีสติ แล้วก็มีธาตุรู้ที่เป็นสติสัมปชัญญะและไปสู่ปัญญานี่คือ สามเส้า ขอบคุณพระเจ้าที่ท่านตรัสความสำคัญ สติสัมปชัญญะปัญญา สติก็อย่างหนึ่ง สัมปชัญญะก็คือต่อเนื่องเอาไปเป็นตัวสำคัญคือปัญญา
สติเป็นพลังงาน สติปัญญาเป็นพลังงานไดนามิค สติเป็นอธิปไตยปัญญาเป็นอุตตระ ท่านตรัสในมูลสูตร เราจะเข้าใจพลังงานที่เป็นสติที่เป็นอธิปไตยเป็นอย่างไรพลังงานที่เป็นปัญญาอุตตระเป็นอย่างไรจะรู้ความแตกต่าง อาการลิงค อาการของอธิปไตยต่างกันอย่างไรกับอุตระ
อาการของอธิปไตยเป็นลักษณะเทวนิยม ส่วนอาการของอุตระ อาการของปัญญา เป็นอาการของโลกุตระ เป็นอเทวนิยม เป็นอาการที่ไม่มีการไปกดข่มไปเบียดเบียน อำนาจอธิปไตยแปลว่าอำนาจ แต่ถ้าปัญญาเป็นอิสระเสรีภาพโล่งว่างกลางเปล่าปัญญา มันจะมีความต่างที่ละเอียดไปอย่างนี้ เข้าใจไหม ทำได้บ้างบางอย่างใช่ไหม จะเข้าใจว่าอย่างนี้คือความจริงที่ก็คือการชี้ความจริง แล้วเรามีความจริงนั้นเราจึงรู้ความจริงแล้ว มีความจริงถึงขั้นสภาวะปรมัตถ์ธรรม ไม่ใช่แค่สมมุติไม่ใช่แค่ภาษาบัญญัติเท่านั้น มันก็เข้าใจ มันก็จะมี 2 นี่แหละบัญญัติกับสภาวะอย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นเราเรียนรู้ศึกษาไปแล้ว แล้วทำได้จริง ภูมิธรรมปัญญารู้ว่าความดีความประเสริฐสุดมันเป็นคนที่มีคุณค่าอยู่ถ่ายเดียว ไม่มีโทษภัยอะไรๆเลย เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ขึ้นไป เป็นผู้รู้ตัวเอง และมีวสวัตติโก มีอำนาจเหนือจิตตัวเองมีความสมบูรณ์แบบแล้ว ซึ่งเป็นคนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นผู้ที่เรียนจบ จะเกิดอีกกี่ชาติก็ได้ และอรหันต์ก็เกิดได้ แต่ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานอยู่เป็นอมตะบุคคลจะเกิดต่ออีก ซึ่งสามารถเป็นโพธิสัตว์ได้ ไม่เป็นอุจเฉททิฏฐิ แบบเทวนิยมหรือแบบชาวพุทธที่เป็นอุจเฉททิฏฐิว่า ถ้าร่างกายนี้ตายไปแล้ว แม้จะเป็นพระอรหันต์ตายแล้วต้อง 0 นี่ก็เป็นอุจเฉททิฏฐิเป็นพวกตาย 0 ที่จริงจะตายสูญหรือไม่สูญนั้นพระอรหันต์ยังสามารถที่จะไม่ตาย 0 ได้ แต่พวกที่เป็นอุจเฉทิฎฐิจะเห็นว่า ไม่ได้ถ้าตายขาดลมหายใจเป็นพระอรหันต์แล้วคุณตายแล้วต้อง 0
คำว่าไม่เกิดอีกโดยเกิดอีกคุณจะต้องมีอำนาจในจิตของตัวเอง ขอพูดตรงๆอย่างไม่ได้ลบหลู่ดูถูกแต่พูดอย่างวิชาการว่า มหาบัวบอกว่าจะไม่เกิดอีกนั้นพูดแต่ปากเปล่าไม่จริง เพราะไม่รู้จริงๆ มหาบัวยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์อย่างไม่เกิดอีกไม่ได้ วิบากยังมีอีกเยอะ
อาตมาไม่รู้ว่าประวัติของมหาบัวมีการไปทำร้ายเรื่องโทสะมูลหรือไม่ แต่ก็รู้สึกว่าจริตแข็งๆ แต่วิบากไปทำร้ายผู้อื่นอาตมาไม่รู้ แต่มันแสดงออกทางด้าน สายราคะ โลภะ เยอะมากมายดูดดึง ติดยึด ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ติดยึดในคุณงามความดี ติดในความร่ำรวยมากมายมีอำนาจบาตรใหญ่ ขออภัยที่วิจัยวิจารณ์ไม่ใช่ไปข่ม แต่ขออาศัยอธิบายสาระธรรมให้ฟัง ผู้ที่รู้จักมหาบัวมากกว่าอาตมาได้ขอบคุณมากกว่าอาตมาจะได้เข้าใจเยอะขึ้นทีเดียว ก็ทำใจให้เป็นกลางอย่าไปอคติอย่ารักอย่าชัง ไม่ใช่ว่ารักมหาบัวแล้วไม่ฟังพระโพธิรักษ์หรือไม่รับพระโพธิรักษ์แล้วไปฟังมหาบัว ไม่เอา ทำใจให้กลางๆ ทำความเข้าใจต่อสัจธรรมต่างๆให้ได้แล้วจะรู้สัจธรรมพวกนี้ดี
เกิดมาเป็นคนแล้ว ไม่มีความรู้อะไรที่เป็นความดีไปกว่าความรู้ที่จะต้องไปบรรลุนิพพาน ไปบรรลุความตรัสรู้สูงสุดที่พระพุทธเจ้าท่านพาทำ เป็นคนแล้วจะต้องได้วิชานี้ วิชชาจะระณะสัมปันโน คือต้องบรรลุวิชานี้ ปันโนคือบรรลุ วิชาใดๆก็ไม่สำคัญเท่า ก่อนอื่นคุณจบวิชาที่บรรลุอรหันต์ได้คุณอยากจะเกิดอีกคุณอยากจะเป็นนักดนตรีอยากเป็นนักค้าขายแข่งกับธนินท์ เจียรวนนท์ อยากจะเป็นนักอะไรต่ออะไรต่างๆสารพัด คุณเกิดมาได้ เพราะเราเกิดมาแล้วเราก็ทำวิชาการต่างๆอย่างไรก็ได้ คุณอยากเกิด อยากเป็นเท่าที่มนุษย์เขาเป็นได้เป็นแชมป์เปี้ยนของทุกอย่างเลย คุณก็ไปฝึกเข้าอาศัยการเกิดการตายชาตินี้ยังไม่ดีชาติหน้าก็มาเสริมต่อ ชาติหน้ายังไม่ดียังไม่เก่งก็ไปเสริมต่อฝึกอีกหลายชาติ มันจะไม่เก่งได้อย่างไร ฝึกเข้าสิเป็นล้านชาติไม่เก่งได้อย่างไร จะเป็นนักยิมนาสติก รับรอง จะเป็นยอดกังฟูจะเป็นยอดเดินไต่เส้นลวดข้ามเหว
ความเก่งถึงขนาดย้อนแย้งสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้เป็นอัศจรรย์เป็นไปได้ ธรรมดาเป็นไปไม่ได้ เดินลุยไฟได้อะไรอย่างนี้เป็นต้นง่ายๆ
สู่แดนธรรม…ผมก็มองจากพ่อท่าน บางทีพ่อท่านตั้งใจว่ายังไง ตอนอยู่วัดอโศการามไม่คิดจะบวช แต่เอาเข้าจริงๆ ความตั้งใจก็เปลี่ยนไปเพราะเหตุปัจจัยมันมาช่วยปรุงแต่งต่างๆ อันนี้ เจตนาอย่างไร
พ่อครูว่า…มันต้องเป็นเช่นนั้น อาตมาจริง มีจิตที่ไม่ยินดีที่จะสอน แต่ไม่ได้ ผิด ปณิธาน ผิดรากเหง้าอนุสัยที่อาตมาตั้งเป็นโพธิสัตว์ มันผิด จะไปทำผิดต่อไปได้อย่างไร มันต้องมาทำอย่างนี้ คุณจะไม่ไปสอนใครคุณใจดำหรือใจดี คุณเป็นคนที่มีสิ่งที่จะสอนได้อย่างดีด้วยงเป็นหน้าที่ด้วยแล้วคุณจะไม่ทำมันผิดหรือถูก มันผิด เพราะฉะนั้นเราจะไม่ทำผิดเราต้องทำสิ่งที่ถูก เรามีแวบนึงเรายังคิดไม่ดีคิดไม่ถูกต้องได้ มันแสดงความยังไม่รอบถ้วนของเรา มันโง่ลึกซึ้งนะ มันโง่จนเราคิดไม่ออกว่าเราตั้งปณิธานจิตไว้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่หยาบ เป็นวัตถุ แต่เป็นเรื่องลึก
สู่แดนธรรม…พ่อท่านคงประเมินสถานการณ์ปัจจุบันด้วย
พ่อครูว่า..เราคำนึงถึงในปัจจุบัน และตอนนี้นึกออกทันทีเหมือนกันว่า มันเป็นอกุศลจิตอะไร อกุศลจิตหลายอย่างได้เลยคือ 1. ขี้เกียจ ก็เป็นอกุศลจิตแล้ว 2. ดูถูกคน บอกไปก็สูญเปล่าสอนไม่ได้หรอกก็เป็นอกุศลจิตได้อีก 3. ลืมหน้าที่ของตัวเอง ตนเองมีปณิธาน
ขอหยั่งลึก ความจริงของสัจธรรมตรงนี้ว่าอาตมาลืมปณิธานเผลอไป อาตมาบอกแล้วว่า เคยพูดมาหลายครั้งว่าอาตมาเป็น สยังอภิญญา เป็นผู้ที่รับหน้าที่ต่อพระพุทธเจ้ามาโดยตรงเลย ว่าจะต้องมาเป็นผู้นี้ จึงมีบันทึกคำว่า สยังอภิญญา แล้วจะต้องเป็นสยังอภิญญา มาทำงานกอบกู้พุทธตามปณิธานที่ได้รับจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า รับปากแล้วนะ อาตมาขอรับด้วยเกล้า ที่นี้มาตรงนี้จะมากบฏ อาตมาก็บาปแน่นอน
ชั่วแวบ มีเหตุปัจจัยภายนอกมากระทบ ก็ขนาดพระพุทธเจ้า ท่านก็ว่าโอ้โห คนทำไมมันตกต่ำถึงขนาดนี้ มันโง่ขนาดนี้จะสอนไหวหรือ ขนาดพระพุทธเจ้ายังมีพระปริวิตกขนาดนั้น เพราะโพธิรักษ์ไม่ใช่พระพุทธเจ้าจะมีวิตกอย่างนี้ก็ต้องเป็นบ้าง แต่เมื่อเราระลึกสิ่งที่เป็นปณิธานของเราแล้ว มันจะมีเหตุปัจจัยทั้งนั้นแหละ รับปาก พูดเป็นภาษาง่ายๆว่ารับปากพระพุทธเจ้า แล้วก็ตั้งใจของเราเองว่าเราจะต้องพากเพียรปฏิบัติเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งด้วย ทั้งตัวเราทั้งภายนอกเหตุปัจจัยทุกอย่างจะลงตัวกันหมด มันก็จะต้องมาทำ ไม่ทำก็ผิดแน่นอน เมื่อระลึกรู้ได้มีเหตุปัจจัยครบพร้อมเราก็ต้องทำมันต้องทำมันไม่มีทางเป็นอื่นเลย ถ้าคุณไม่ทำคุณผิดทั้งนั้น
สู่แดนธรรม..นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ ผมก็พยายามมองจักรวาลใหญ่เป็นเช่นไรจักรวาลน้อยก็เป็นเช่นนั้น ย่อจากความจริงลงมา พระพุทธเจ้าก็ยังทรงท้อพระทัยเพราะสิ่งที่ท่านรู้เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ยากแก่สัตว์ทั้งหลายที่มัวเมาในกามจะมารู้อย่างท่านได้หรือ ท่านก็คิดจะเป็นปัจเจกพระพุทธเจ้าไม่ได้ประกาศศาสนา
ขนาดพระโพธิสัตว์ระดับ 9 ระดับ 10 ก็ยังมีแบบนั้น พ่อท่านเองรูปรอยของพ่อท่านก็เป็นเช่นนั้น ก็คงจะเห็นว่าเหน็ดเหนื่อยเปล่าเหมือนกัน แต่พ่อท่านว่าทำไมต้องเป็นเรา ผมว่าลูกๆชาวอโศกก็เช่นกัน ทำไมต้องมาต้องเป็น ผมเคยถามว่า ทำไมพวกเรารู้ว่าพ่อท่านเกิดแล้วต้องตามมาด้วย ถามตอนพ่อท่านบิณฑบาตพ่อท่านก็คิดอยู่นิดนึงแล้วตอบมา บอกว่าเหมือนอนุสัย ที่เหมือนกับต้นมะม่วงจะเกิดเป็นต้นมะม่วง
พ่อครูว่า..เหตุปัจจัยมันจะต้องสมบูรณ์ต้องครบถึงจะเกิดได้
สู่แดนธรรม…พ่อท่านมีเรื่องที่ลึกๆที่จะเป็นของขวัญให้ลูกๆหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า…ที่คุยกับเทวดาเช้านี้ ก็เป็นธรรมะ ธรรมดาๆ ว่าธรรมะอันนี้ถ้าจะลึกลงไปขนาดนี้ก็มีหลายเรื่อง
สหัมบดีพรหม ก็ไม่น่าจะเข้าใจยาก สห แปลว่าทั้งนั้น รวมไปหมด สหะ แปลว่าร่วมรวมกันมากเท่าไหร่ก็สหะเท่านั้น เช่น สหบาทา มีตีนเท่าไหร่ก็เอามาลงหมด
สหัมบดี บดี คือ ปติ หรือบดี แปลว่าผู้เป็นใหญ่เพราะฉะนั้น พรหมผู้เป็นใหญ่เป็นการเรียกตามสมมุติว่าเป็นผู้ที่เป็นใหญ่ พรหม ผู้ที่เป็นใหญ่ เข้ามาร่วมกันเลยมาอาราธนาพระพุทธเจ้า ว่าฉิบหายใหญ่แล้วนะพระผู้มีพระภาค ถ้าเผื่อว่าพระผู้มีพระภาคไม่มาเทศน์ไม่มาบรรยายไม่มาสอนมนุษย์แล้วก็ชิบหายใหญ่เลย เตือนสติ จะว่าพระพุทธเจ้าจะสติตกหรืออะไรก็แล้วแต่แต่เป็นการเตือนสติท่าน พระพรหมก็คือจิตวิญญาณ เมตตา กรุณา มุทิตาอุเบกขาของพระองค์เอง สำนึกของพระองค์เองนั่นแหละ สหัมบดีพรหม ก็คือตัวเราเอง เป็นพลังงานธาตุรู้ตัวหนึ่งที่มันสำนึกขึ้นมา สำนึกขึ้นมาได้เองก็อธิบายเป็นปุคลาธิษฐานเป็นสหัมบดีพรหม แปลว่าพระพรหมทั้งหลายแหล่ร่วมขบวนกันมาอาราธนาบอกว่าไม่ได้หรอกพระพุทธเจ้าข้า คือพระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงธรรมไม่โปรดสัตว์นี้ ไม่ไหวหรอกชิบหายใหญ่แล้ว พระพุทธเจ้าก็ได้พระสติ ก็เลยตรวจอีกทีหนึ่ง
เรียกว่า พุทธุปาทกาละ ตรวจดูมนุษย์อีกก็ยังเห็นว่ายังมีผู้ที่มีธุลีในดวงตาน้อย คือมีกิเลสเบาบาง ทีพอที่จะช่วยให้บรรลุธรรมได้ ไม่ใช่มีกิเลสหนาทั้งหมดเลย ตรวจดูแล้วก็โอ้โห มันไม่มีใครกิเลสบางเลยแล้วจะไปเทศน์อย่างไรมันเสียของหมด แต่ว่าตรวจดูอีกทีแล้ว พุทธุปาทกาละ เป็นพุทธวิสัย ก็ตรวจสอบดูอีกที พอมีคนที่มีธุลีในดวงตาน้อย กิเลสน้อยพอบรรลุได้มีอยู่ พอคุ้มไม่เสียของทีเดียวหรอก
สู่แดนธรรม…พระองค์ปฏิบัติวิชชาจรณะมาตั้งแต่เป็นพระโพธิสัตว์ ความสำนึกหิริโอตตัปปะยังมีอยู่ในวิชชาจรณะด้วย สิ่งที่พระองค์ท่านสำนึกขึ้นมาได้คือท้าวสหัมบดีพรหมก็หมายถึง หิริโอตัปปะ ใช่ไหมครับ แสดงว่าพวกเราเองก็สั่งสมความเป็นสหัมบดีพรหมของตัวเองทีละเล็กทีละน้อยมีหิริโอตตัปปะในวิชานั้นเอง ผมก็อยากซักพ่อท่านอีกเรื่อง
อย่าหาว่าผมเอาพ่อท่านไปเทียบกับพระพุทธเจ้าเลยครับ
ตอนพ่อท่านอยู่วัดอโศการาม ไมคิดจะบวช พ่อท่านได้ตรวจดูว่าพวกเราชาวอโศกที่จะมาช่วยพ่อท่านกอบกู้ศาสนามาหรือยัง
พ่อครูว่า… อาตมายังไม่มีภูมิปัญญาถึงขั้นนั้น ไม่ได้ตรวจสอบหรอก เป็นแต่เพียงว่า รังเกียจ รังเกียจว่า โอ๊.. พระที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่น่าไปคลุกคลีเกี่ยวข้องเลยมันสกปรกมันมีความคิดอย่างนั้น แล้วมันก็เห็นว่าไม่ผิดหรอกมันจริง จนกระทั่งอาตมาได้อนุโลมว่า ยอมบวช เพราะตอนนั้นคิดไม่บวชนะ อยู่วัดอโศการามแล้ว แต่เสร็จแล้วไปทำงานคนมันไม่ยอมรับ เราไม่มีสมมติของความเป็นพระ เป็นฆราวาส ดีไม่ดีเป็นฆราวาสประหลาดโกนหัว รุ่งกางเกงขาสั้นรองเท้าก็ไม่ใส่ใส่เสื้อคอกลม คนก็ว่าบ้า คนมันต้องอยู่กับสมมุติ เราก็สบายๆมักน้อยสันโดษแต่คนทั้งโลกบอกว่าอะไรวะมาขึ้นเวทีคนอื่นเขาผูกเนคไทใส่เสื้อนอก แต่นี่ใส่เสื้อคอกลมบางๆขึ้นมานั่งพูดกับเขา หัวก็โล้นอีกต่างหาก คนอื่น 3-4 คนเขาใส่เสื้อนอกผูกเนคไททั้งนั้น คนสามัญธรรมดาเขาจะไปรู้ลึกซึ้งอะไร ก็บอกว่าเอาคนบ้ามาพูด
ยิ่งเรามาพูดโลกุตรธรรมนั้น ใหม่ๆ คนพวกนั้นก็รับรู้ไม่ได้สำหรับโลกุตรธรรม แล้วอาตมาจะไปได้อะไร เขาไม่ได้มีความยินดีไม่ได้มีความตั้งใจมาฟังมาก ตอนนี้ไม่ตั้งใจเลยไม่มีความยินดีไม่มีฉันทะเป็นมูลเลย เพราะฉะนั้นมันก็ไร้ผลหมดทุกอย่าง อาตมาก็มาได้คิดว่า ต้องได้จีวรมาใส่ เป็นสมมติ พวกนั้นก็เลยจับประเด็นว่าไม่ได้ตั้งใจบวชจะมาเอาจีวรเท่านั้น คนเรามันก็เล่นงานกันได้ทุกมุม บอกว่ามันจะเอาจีวรมาหลอกลวงคน ทั้งที่เจตนาเราเป็นกุศลแต่เขามองเป็นอกุศลเจตนา เจตนาของเราบอกว่าถ้าได้จีวรมาก็จะได้สอนง่ายขึ้นคนจะได้มีความศรัทธามีความเลื่อมใส มันก็ได้ผล แทนที่จะมองชัดเจนแบบนั้นกลับไปมองว่า แหมนี่มันจะได้ใส่จีวรจะได้ไปหลอกคนอื่นว่าฉันเป็นพระอะไรอีกไปโน่นเลย ก็ทบทวนในสิ่งที่เป็นจริงให้ฟัง
สรุปแล้วสิ่งต่างๆที่อาตมาพาทำทุกวันนี้ มาถึงทุกวันนี้ มันเป็นสิ่งที่เป็นได้ยาก มันเป็นสิ่งที่เป็นได้ยาก ทนได้ยาก สละได้ยาก ชนะได้ยาก 4 อย่างนี้ มันยาก 4 ยาก แต่มันได้ เพราะฉะนั้นได้มาเพียงเท่านี้ อาตมาพอใจ ยิ่งพูดได้เลย..ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพูดอย่างโลกๆเลยว่าอาตมามีแต่กำไร พูดเป็นสำนวนโลกๆนะ ต่อไปอาตมามีแต่กำไร แล้วพวกเราก็ช่วยอาตมาทำเพื่อให้คนจะได้มาเป็นอย่างนี้มาเป็นอริยบุคคลมาเป็นชาวโลกุตระอย่างนี้ มันสุดยอดแห่งสมบัติ สุดยอดแห่งมหาสมบัติ เป็นมหากุศลมหาสมบัติที่ไม่มีอะไรดีเท่า มันได้เป็นนามธรรม แต่มันมีวัตถุตามมาด้วยคือได้บุคคลมาด้วยใช่ไหม ได้นามธรรม มีจิตวิญญาณและบุคคลตามจิตวิญญาณนั้นด้วย
เพราะฉะนั้นเราพยายามทำงานนี่แหละเป็นงานที่สุดยอดที่อาตมาพูดหลายทีแล้ว มันน่าจะซาบซึ้งว่า ในเรื่องงานนี้ อย่างพระพุทธเจ้าท่านเป็นทุกงานพูดได้อย่างนั้น ไปเรียนสำนักตักศิลาก็สำเร็จเป็นที่หนึ่ง ได้เหรียญทองมาทั้ง 18 วิชา ได้มาหมด สมัยนี้มีมากกว่า 18 วิชา สมัยโน้นท่านก็บรรลุ ท่านเรียนจบหมดได้ที่ 1 มาหมดได้เกียรตินิยมประดับมาหมด จะเป็นวิชาของทางโลกอย่างไร 18 วิชา สรุปแล้วทิ้งหมด 18 วิชามาเอาวิชาที่ไม่มีในตักศิลา
ในตักศิลา ไม่มีวิชชาจรณะ เสร็จแล้วท่านก็ทิ้งวิชาทั้ง 18 วิชามาทำงานวิชชาจะระณะสัมปันโนซึ่งเป็นวิชชาของพระพุทธเจ้าและเป็นของพระองค์เอง เพราะพระองค์เองเป็นเจ้าของวิชชานี้เป็นธรรมะสามีแล้ว เมื่อบรรลุพระพุทธเจ้าก็ถือว่าเป็นธรรมะสามีเป็นเจ้าของธรรมะแล้ว เป็นสัมมาสัมพุทโธตรัสรู้เองโดยชอบ ก็คือสั่งสมมานั่นแหละ พวกเราก็คงไม่สะดุดเข้าใจได้แล้ว ไม่เข้าใจผิดเพี้ยนสับสนที่บอกว่าเดี๋ยวก็รู้เองเดี๋ยวก็ได้รับถ่ายทอดมา พวกเราคงจะไม่งง ได้มาจากพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ถ่ายทอดมาจากพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แต่พระพุทธเจ้าไม่อยู่แล้วเราก็เป็นตัวเองมาได้ตั้งแต่สั่งสมเป็นปัจจัตตัง
-
ปัจจัตตัง 2. ปัจเจก 3. สยังอภิญญา 4. ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ 5. สยัมภู