630606_พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า อโศกรำลึก 2563 เรียนรุ้กายในอโศกรำลึก ตอน 1
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1_UwADbdJ_q0KYJPB3EZiMt3hkzyTh0c_Ptj_6P7BYN0/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1qa3u8c644pMFfVSWHEyiYKvf-YZ8o_uw
พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน 2563 ที่บวรราชธานีอโศก เดือน 7 อาตมาเกิดแรม 8 ค่ำ เราก็มีอะไรเจอกันก็คุยกันแต่สิ่งที่จะเจริญ คนเราก็มีงาน งานที่ทำเพื่อที่เราจะได้ยังชีพ งานอาชีพกัมมันตะ กับอาชีวะ งานการต่างๆกัมมันตะ ส่วนอาชีวะ เป็นงานที่อาศัยเลี้ยงชีพได้ คนที่เขาไปลักขโมย ไปปล้นไปจี้ เขาก็ใช้งานด้วยการปล้นจี้นั้นเป็นงานเลี้ยงชีพเขา คนที่ไปบุกรุกล่าอาณาจักร ล่าอาณานิคม เป็นอาชีพ เขาก็เป็นนักล่าอาณานิคมเป็นอาชีพ แต่ประเทศไทยไม่เคยทำอย่างนั้น มีแต่ทะเลาะกับพม่าบ้าง ใครชนะก็ไปลอกเอาทอง ขนไปขนมา ส่วนประเทศอื่นใดในโลกนี้ ประเทศทางด้านยุโรป ที่ล่าอาณานิคม ล่ามาถึงเอเซียเลย ก็เป็นคนที่หลงในลาภยศอำนาจสรรเสริญ ก็ถือว่าได้ลาภก็สุข ได้ยศได้อำนาจก็สุข ได้สรรเสริญก็สุข เป็นอารมณ์ที่สมใจได้บำเรอกิเลสก็เป็นสุข อเมริกาเคยเอาระเบิดไปทิ้งที่ญี่ปุ่นตูมเดียวตายเป็นแสน เคยมีมาในประวัติศาสตร์ชีวิตมนุษย์
ซึ่งมันนึกดูดีๆแล้ว ทำไมต้องไปฆ่าแกงกัน พื้นที่แผ่นดินก็อยู่ห่างไกลกัน จะมาเป็นเจ้าครอบครอง มีอำนาจนิสัยนายทาส เอาเขาเป็นลูกทาสอะไรอย่างนี้ แทนที่จะเอาเขามาเป็นลูกทาส เอามาเขามาเป็นลูกเป็นหลานดีกว่าไหม อารมณ์ของคนที่รู้สึกว่าคนนี้เป็นลูกทาส มันไม่มีความปราณีไม่มีความรักไม่มีความเกื้อกูลกัน มีแต่ใช้เหมือนวัวเหมือนควายเหมือนช้างเหมือนม้า อะไรอย่างนี้ สิ่งเหล่านี้มันส่อถึงฐานจิต คนเจริญหรือคนไม่เจริญ เพราะฉะนั้นแม้จะมาถึงในยุคนี้แล้วที่เป็นยุคศิวิไลซ์ แต่คนที่ยังมีธาตุจิต ยังมีลักษณะที่จะเอาเขามาเป็นทาส ท ทหาร สระอา ส.เสือ ยังจะเอาเขามาเป็นทาส ยังมีจิตตัวนี้ เอาเขามาเป็นเหมือนช้างม้าวัวควาย เป็นสิ่งรับใช้ จะตีจะฆ่าจะทำอะไรกับมันก็ได้ มันเป็นจิตสัตว์เดรัจฉานมันไม่เคยคิดอย่างนั้น มีคนเท่านั้นที่คิดอย่างนี้ ซึ่งมันผิด
วิเคราะห์วิจัยให้ฟังนิดหน่อยจะเห็นได้ว่าให้พิจารณาตาม ทำไมมันถึงได้แสดงอำนาจบาตรใหญ่ ข่มเหง รังแก กดข่ม มนุษย์ด้วยกัน ไม่ใช่สัตว์ด้วย ซึ่งมันก็มีลักษณะเลว ร้าย
เพราะฉะนั้นผู้ใดที่เห็นสัตว์เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เห็นสัตว์แล้วก็เอ็นดู เมตตา กรุณา หวังประโยชน์ เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ช่วยเหลือกัน น้ำใจของผู้เจริญเป็นอย่างนี้ ในหลักเกณฑ์ของศีลข้อ 1 เลย ตั้งแต่ชีวิตเราจะต้องสร้างอาวุธและเครื่องมือสมัยโบราณสร้างอาวุธมีดพร้า เมื่อสมัยเจริญขึ้นมาก็สร้างศาสตราอาวุธยิ่งกว่าการถือไม้ถือท่อนไม้ อะไรต่างๆพวกนี้ ศาสตรา เป็นอาวุธที่เป็นเครื่องมือฆ่า
ถ้าในสังคมโลกไม่ว่าประเทศไหนก็แล้วแต่ ที่ยังมีความคิดที่จะสร้างศาสตรา สร้างอาวุธ หรือยังเห็นว่าท่อนไม้ท่อนไร่เป็นเครื่องประหาร เครื่องทำร้าย จิตใจคนอย่างนี้ยังต่ำ จิตใจคนที่สูงก็คือคนที่วางศาสตรา วางทัณฑะ มีจิตใจเมตตาเอ็นดู หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ แม้ว่าสัตว์นั้นจะร้าย โดยเฉพาะคน แม้คนจะร้ายก็หวังประโยชน์เพื่อคนเหล่านั้น คนก็คือสัตว์ หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นความหมายเป็นความรู้ของศีลข้อที่ 1 เป็นเรื่องลึกซึ้ง ไม่ใช่เรื่องลึกลับ เป็นเรื่องดีไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลย ผู้ใดมีจิตอย่างที่ว่านี้คร่าวๆเป็นผู้เจริญ เป็นอาริยบุคคล
การปฏิบัติศีลในจรณะ 15 เป็นข้อแรก วิธีปฏิบัติก็จะต้องอยู่กับโลก แล้วก็ต้องสัมผัสสัมพันธ์มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็ต้องสังวร สำรวมอินทรีย์ เกี่ยวข้องกับสัตว์ทั้งหลายแหล่ เกี่ยวข้องกับมนุษย์ทั้งหลายแหล่ ก็สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา หลักธรรมของพระพุทธเจ้า ก็ต้องปฏิบัติ 3 ข้อนี้
-
แต่ละคนมีศีลที่เหมาะสมกับตนเอง 2. มีการปฏิบัติที่ไม่ผิด ก็ต้องมีการสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ
ยิ่งคำว่าชาคริยานุโยคะ จะต้องทำตนเป็นผู้ตื่น ตื่นทั้งกาย ตื่นทั้งวาจา ตื่นกายกรรมมีสติควบคุมเต็ม มีความรู้ ทั้งเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เรียกว่ามีนาม 5
มันคือเป็นผู้ที่มี นาม ครบ ในการปฏิบัติธรรม แล้วก็ปฏิบัติกับรูป 28 ก็จะต้องเจอดินน้ำลมไฟมหาภูตรูป 4 แล้วก็จะต้องทำงาน ประสาทมีการสัมผัสเกี่ยวข้อง โคจระ โคจรออกไปเป็นอวจร เป็นกามาวจร ที่จะต้องเกี่ยวข้องกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นตัวกลาง โผฏฐัพพะ คือครบทุกทวารข้างนอก ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำงานร่วมกัน เป็นโคจระ มีปสาทรูป 5 โคจรรูป 5 หักไปหักมาเหลือ 4 เป็น 9 เป็นนัยยะคำสอนของพระพุทธเจ้า สัมผัสกันก็จะเกิดภาวะ 2 ขึ้น
ภาวะ 2 มีลักษณะ 2 อย่างลักษณะหนึ่งเป็นอิตถีภาวะลักษณะหนึ่งเป็น ปุริสภาวะ เป็นบวกเป็นลบมี static กับ Dynamic อันหนึ่งเป็นลักษณะของ สังขิตตังจิตตัง อันหนึ่งเป็นสภาพวิกขิตตังจิตตัง อันหนึ่งเป็นลักษณะของนิวเคลียร์ฟิวชัน(สังขิตตังจิตตัง) อีกอันหนึ่งเป็นลักษณะของนิวเคลียร์ฟิชชัน(วิกขิตตังจิตตัง) มีจุดต่างกัน เราก็เข้าใจ เรียนรู้ให้เข้าใจสภาวะที่ว่าไว้
สังขิตตังจิตตัง อันหนึ่งเป็นสภาพวิกขิตตังจิตตัง ลักษณะของ 2 อย่างนี้ ถ้าหากปฏิบัติแบบแต่ละทีออกนอกรีต มันมีทฤษฎีผิดกับทฤษฎีถูกของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติทฤษฎีผิด ก็จะได้เป็น ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ อยู่ในภพ นั่งหลับตาสะกดจิตทำฌาน ซึ่งอยู่อย่างนั้นมันคนละโลกกับฌานของพระพุทธเจ้าเลย ฌาน ของพระพุทธเจ้านั้นมีชาคริยา ต้องฝืนต้องฝึก เป็นอนุโยคะ ให้เป็นคนชาคระ ชาคริยา คือคนตื่น ว่าไปตามไวยกรณ์
เมื่อเราสามารถทำให้เป็นคนตื่น ไม่ใช่เป็นคนหลับหรือนั่งหลับจมอยู่อย่างนั้น ลักษณะศาสนาพระพุทธเจ้าจะต้องมีชาคริยา ไม่ใช่ไปนั่งนิ่ง ดำดิ่งลงไป ปฏิบัติผิด ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กายให้สำรวม..มันผิด เกี่ยวกับการอุปโภคบริโภคที่เราต้องใช้ แล้วก็พิจารณาให้มันเหมาะควร เป็นอกุศลที่มันทุจริตก็ทำให้เป็นสุจริตให้เป็นกุศล
จิตที่มีธาตุรู้ แล้วก็ปรุงแต่งร่วมเป็นสังขารต่างๆและจิตตัวนั้นแตกแยกเป็นเจตสิกต่างๆ แยกย่อย ไปกับตัวนั้นตัวนี้ ปรุงแต่งกับสิ่งต่างๆ ปรุงแต่งตั้งแต่เป็นรูปเป็นเวทนาเป็นสัญญากำหนดรู้ สัญญากำหนดรู้ว่าเวทนาเป็นอย่างไร ในเวทนาก็จะมีตัวจิตก็ไปรู้ว่าตัวจิตเป็นอะไรมีอะไรก็พิจารณาเข้าไปในสิ่งที่ถูกรู้ เรียกว่ากาย กายต้องมี 2 สภาพ มีรูปกับนาม กายต้องมีสิ่งที่ถูกรู้กับตัวผู้รู้ของแต่ละคน รู้เข้าไปในกาย
เข้าไปเป็นกาย แล้วกายที่ควรพิจารณาเข้าไปหาจิตแล้ว ตัวต่อจากกายก็เป็นเวทนา ก็ไปพิจารณาเวทนาในเวทนา เรารู้จักองค์ประชุมเรียกว่ากาย กายคือองค์ประชุมของ เวทนา หรือองค์ประชุมของสัญญา องค์ประชุมของสังขาร เรียกว่ากาย นี่เอาพจนานุกรมบาลีไทยถือมา ใช้ประกอบในการอธิบายยืนยัน
กาย เรียกว่าเป็นรูปนาม เป็นองค์ประกอบ 2 เป็นกองเป็นฝูงเป็นหมู่ เป็นประชุมกันอยู่ ประชุมของหมวดเจตสิกธรรมของวิญญาณ คือองค์ประชุมของ เวทนา สัญญา สังขาร เรียกว่ากาย
เมื่อเป็นกายกรรมมีการกระทำ มีการเคลื่อนไหว มีการกระทบสัมผัส จะมีบทบาทเรื่องราวหน้าที่ มีการงานเกิดขึ้นเรียกว่า กายกรรม ออกมาครบทั้งรูปทั้งนาม มีตาหูจมูกลิ้นกายใจออกมาทำงานครบรูปนาม แต่เขาไปแปลความหมายตามพจนานุกรม กายกัมม(บาลี) ก็แปลว่ากายกรรม(สันสกฤต) จากบาลีมาเป็นภาษาสันสกฤต แล้วเขาแปลไปอีกว่า เป็นสิ่งที่พึงกระทำทางกาย ก็หมายความว่า รูป กับนาม ที่เราเป็นเจ้าของ เราเป็นเจ้าเรือน เป็นเจ้าของนาม กายคือนาม พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า กาย ตถาคตเรียกว่า จิต มโน วิญญาณ
อาตมาพูดให้พวกเราฟังก็รู้สึกเข้าใจซาบซึ้งไปด้วย แต่ข้างนอกเขาทุกวันนี้ในศาสนาพุทธบอกว่ากายคือ จิต มโน วิญญาณ อธิบายไปในสำนักไหนก็ได้ อย่างสู่แดนธรรมนี้ผ่านสำนักต่างๆใช่ไหม เคยบวชเคยปฏิบัติกับสำนักต่างๆมา
เพราะฉะนั้นคำว่าบทบาทของรูปนามออกมาพร้อมกันหมดเลย เป็นองค์ประชุม เวทนา สัญญา สังขาร กายกรรม ก็คือ การกระทำที่เกิดการรู้รูปนาม นาม มีเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ คำว่าผัสสะ มันกำหนดชัดเจนอยู่ เขาเรียนรู้รูปนาม เขาไม่ได้เรียนรู้นาม 5 แต่เขาไปเรียนนาม จิตเจตสิก 52 จิต 89 121 อย่างพิสดารไปโน่น เขาไม่ได้มาเรียนรู้นาม 5 มันเพลินไปเลย พระพุทธเจ้าไม่ใช่ให้เรียนรู้อันโน้นมันเป็นอภิธรรมเลย พุทธเจ้าไม่ได้สอน แต่สาวกท่านเป็นคนทำ สาวกรวบรวมพยัญชนะเอาไว้ตนเอง ท่านไม่ได้สอนท่านสอนเรื่องนาม 5 รูป 28 แต่พวกที่เรียนอภิธรรมไม่ได้เรียนอย่างนี้
ถ้าคุณไม่รู้จักนาม 5 ไม่รู้จัก เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เมื่อเกิดเจตนาจึงมีสัมผัส แล้วถึงจะทำงานกับจิตเรียกว่ามนสิการทำใจในใจ จัดการใจ จัดการใจนั่นแหละมาเกี่ยวข้องกับชีวิตทั้งหมดเรียกว่ารูป 28 เริ่มตั้งแต่ดินน้ำไฟลม มหาภูตรูปสรุปไว้หมดแล้ว คือสิ่งที่มีในโลกเป็นดินน้ำไฟลมแล้วก็มีเราที่มีประสาท ทั้ง 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วมาทำงานกระทบสัมผัสใจเป็นตัวกลางเป็นตัวรู้ ก็จะมีตาหูจมูกลิ้นกายกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สัมผัสทางภายนอก เพื่อให้ใจเป็นตัวกำหนดรู้ แล้วมันก็ร่วมอยู่กันหมดทั้ง 5 ทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
ใจอยู่ร่วมกับ 5 คู่นี้ ท่านก็เลยเรียกสิ่งนี้ว่ามันมีอยู่ 9 เพราะมันมีใจร่วมอยู่ในโน้น อยู่ซ้อนอยู่กับผัสสะ ซ้อนอยู่กับกาย กับโผฏฐัพพะ เห็นความเป็นของพระพุทธเจ้าไหม พวกเรียนอภิธรรมจะงงว่าทำไมมีอยู่ 5 คู่เป็น10และทำไมบอกว่ามีแค่ 9 ซึ่งมันซ้อนอยู่ที่กายหรือ โผฏฐัพพะ ตาหูจมูกลิ้นกายแล้วก็มีโผฏฐัพพะ กายมันมีทั้งนอกและใน กายมันมีทั้งรูปและนาม เพราะฉะนั้นความผิดเพี้ยนความเสื่อมไปในความรู้เสื่อมไปจนถึงทุกวันนี้ศาสนาพุทธโดยเฉพาะคำว่ากาย มันไม่มีนามแล้ว มันมีแต่มหาภูตรูป มันไม่มีความรู้สึกเลย
เพราะฉะนั้นโผฏฐัพพะจะต้องมี การสัมผัสจะต้องมีคู่ อันเดียวจะไม่มีการสัมผัส มันดูอะไรไม่ได้ จะดูอะไรได้ต้องมีสัมผัส เพราะฉะนั้นมิจฉาทิฏฐิที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ในพรหมชาลสูตร พระสูตรแรกเลย ที่บอกว่า ในยุคพระพุทธเจ้าก็เห็นความเสื่อมเป็นเดียรถีย์ คนทุกวันนี้ชาวพุทธเมืองไทยก็เป็นเดียรถีย์ไปหมดแล้ว เรียนรู้โผฏฐัพพะไม่เป็น เรียนรู้กายไม่เป็น ไม่มีกายไม่มีโผฏฐัพพะ ไปนั่งหลับตาอยู่ในป่าเขาถ้ำหมดแล้ว มันไม่ตื่นทั้งกาย วจี มโน มันก็ไปตื่นอยู่ข้างใน ตื่นอยู่ในหลับ ตื่นอยู่ในหลบ ตื่นอยู่ในรู ตื่นอยู่ในถ้ำ นั่นแหละที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า เป็นผู้ที่ไกลจากวิเวกไกลจากความสงบ เพราะไปข้องอยู่ในถ้ำ สำนวนที่ว่าข้องอยู่ในถ้ำนี้ไปหลบอยู่ในรู ไม่ออกมาข้างนอก อันนี้มันไกลจากวิเวก
คำว่า วิเวก คือ ความสงัด สงบในเบื้องต้น (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม…ผมเคยศึกษาปฏิบัติอยู่ในสำนักในเมืองไทย มีทางเลือก 2 อย่างจะบวชเป็นวัดป่าหรือวัดบ้าน คนอยู่ในบ้านก็เลือกบวชเป็นพระบ้าน เพราะมีญาติ ส่วนผมอยู่ตามไร่นาก็เลยได้บวชกับพระวัดป่า ท่านก็เลยสอนเรื่องกาย เท่าที่ฟังครูบาอาจารย์สอน ก็เอาให้ร่างกายนี้พิจารณาให้มันน่าเบื่อหน่ายเป็นอสุภะ
พ่อครูว่า…แบบนั้นเป็นการพิจารณาร่างผิวหนังโครงกระดูก ที่หยาบๆ ส่วนหยาบข้างนอกเท่านั้น แยกไป มันเสื่อมจากความครบ กายต้องมีใจด้วย แต่มันเสื่อมจากใจ ไปหาเปลือกข้างนอก เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงได้สอนให้อุปัชฌาย์สอนสัทธิวิหาริก สอนให้แยกกายแยกจิตให้เป็น ไม่อย่างนั้นปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้ ลึกซึ้งมาก
ถ้าแยกกายแยกจิตเป็นแล้ว ก็จะสามารถแยกได้ถึงขั้นว่าเป็นอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม แล้วก็กรรมนิยาม ธรรมนิยามได้ โดยเฉพาะเป็นอุตุ พีชะ จิต ให้แยกให้ได้ ถ้าแยกไม่ได้ก็ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้ ไม่มีทางบรรลุธรรม
แยกให้เป็นอุตุ ให้เข้าใจความหมายของคำว่า อุตุ โดยท่านให้เริ่มแยกจากผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อาตมาก็ถนัดเอาคำว่า นขา ที่แปลว่าเล็บ ผมมันเล็กไป ฟันมันก็เข้าไปแยกยาก ไม่เห็นข้างในฟัน ผิวหนังก็ละเอียดเกินไป พิจารณาอะไรเป็นกายอะไรไม่ใช่กาย อะไรเป็นพืช พืชนั้นไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ มีแต่สัญญากับสังขาร เป็นธาตุพืชเป็นธาตุชีวะ แต่ไม่ใช่ธาตุจิต ลดสถานะของธาตุรู้มาเป็นแค่มีสัญญากับสังขาร ไม่เจ็บไม่ปวด ไม่รักไม่ชัง ไม่มีวิบาก ไม่จองเวรจองกรรม ไม่ดูดไม่ดึง มีแต่ตายแล้วก็สูญไป หายไปเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ปรุงแต่งมาเป็นพืชตายแล้วก็สูญไป แต่ถ้าพลังงานนั้นมันมีความร้อน แสง เสียง แม่เหล็กไฟฟ้า พลังงานทางฟิสิกส์ มันมีในตัวของมัน แล้วมันก็ควบคุมตัวมันเองได้ รู้จักกำหนดรู้เรียกว่าสัญญา ให้เป็นมังคุด ให้เป็นฟักทอง ให้เป็นใบไม้ชนิดต่างๆได้ เป็นพืชชนิดต่างๆ มันก็กำหนดตัวมันเองได้ มันก็ทำตามหน้าที่ของมัน ตามตระกูลของมัน
พระอรหันต์สามารถทำจิตให้เป็นพืช ยังมีชีวะ ชีวิตินทรีย์ กายก็ยังไม่แตก ยังไม่กายสเภทา ในอัตภาพ จะมีภาวะดูดเป็นตัวตนของเรา ตัวตนของกู เป็นตัวฉัน ซึ่ง อวิชชาปฏิบัติไม่สามารถเรียนรู้เป็นธาตุ 2 เรียกว่าเทวะ ศาสนาพุทธตีเทวดาแตกเป็น 2 ก็สามารถแยกกายแยกเวทนา มีตัวถูกรู้กับตัวรู้ อันนี้ตัวรู้เป็นตัวประธานเป็น Subject, Object ก็รู้ อาการของสิ่งที่ถูกรู้ก็แยก เป็นรูป ตั้งแต่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นขันธ์ 5 ในอุปธิมี 3
-
กิเลส 2. ขันธ์ 5 3.อภิสังขาร