มิ.ย.192020ศาสนา630619_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาผ่าเฉกาเดียรถีย์ ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1QXUW28gIdv17QWOQxkVA07Ev0fF2dotqhR7dNYj-Jqc/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1djr7gcSKtO7tZxIWt6V6dGUolIptOrec/view?usp=sharing สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563 ที่บวรราชธานีอโศก พ่อครูว่า… _ผู้ไม่บอกชื่อ…24 วันที่คนไทยปลอดเชื้อโควิด 19 มีแต่ผู้ติดเชื้อที่มาจากต่างประเทศที่ถูกกักตัวไว้เท่านั้น หมายความว่าประเทศไทยปลอดภัยแล้ว จังหวัดอุบลราชธานีปลอดคนติดเชื้อมากกว่า 70 วันแล้ว 14×5 = 70 วัน เมื่อไหร่บ้านราชฯเราจะเปิดครับ เพราะอีกไม่กี่วันก็ครบ 28 วัน ถือว่าประเทศไทยอยู่ในขั้นปลอดภัยแล้วครับ ตอนนี้คนข้างนอกก็ใช้ชีวิตปกติเพียงแต่ว่าใส่แมส เราไม่น่าจะมีการกักตัวกันแล้วเพราะว่าประเทศไทยอยู่ในขั้นปลอดภัย พ่อครูว่า…เอาน่า ใจเย็นๆ เรามีหลักเกณฑ์ ถ้าคนที่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้ เราก็เห็นหน้าเห็นตาเห็นความจำเป็นแล้ว ก็ไม่ให้เข้ามาเลยสำหรับคนที่เราไม่รู้จักมักจี่อะไรเลยมาจากไหนก็ไม่รู้ หรือคนที่มาก็พอจะรู้ แต่ก็ยังไม่ใช่คนในที่เป็นสมาชิกของชาวอโศก เราก็จะต้องซักไซ้ไล่เลียงหาองค์ประกอบ มันมีอะไรเกี่ยวข้องเป็นเหตุเป็นปัจจัยแล้วเราคิดว่าเหมาะควรขนาดไหนก็ว่าไปตามนั้น ส่วนสมาชิกของเราแท้ก็มีสมาชิกที่ห่างกับสมาชิกภายในเลย สมาชิกที่ห่างอยู่ก็ต้องมีอีกอย่างนึง ที่เราจะต้องพิจารณาหลักเกณฑ์ ส่วนสมาชิกที่อยู่ภายในเราก็มีหลักเกณฑ์อีกแบบหนึ่ง บางผู้บางคนก็ไม่มีปัญหาอะไรบ้าง คนเราก็มีหลักเกณฑ์บ้างเป็นไปตาม จริงใจและสมควรไม่ได้มาแกล้งกัน แต่ทำเพราะเหตุปัจจัยเรื่องโรค covid-19 จริงๆตามที่เรามีความรู้ความสามารถที่จะทำให้ดีที่สุดได้เราก็เอาตามนั้น เอาน่าใจเย็นๆ ถ้าตั้งใจดีๆ ก็มากักตัว ไหนๆก็จะมาอยู่ที่นี่ก็มาจะถูกกักตัวกี่วัน ว่าแต่เขาจะรับคุณหรือเปล่าเท่านั้น สมณะฟ้าไท…ที่นี่เรากักตัวก็ไม่เหมือนที่อื่น เราก็มีงานให้ทำ _Wittawat Kulsiri วิทวัธ กุลศิริ… เมื่อเรา เห็น สักแต่ว่า เห็น , ได้ยินเสียง + กลิ่น + รดชาด + กายสัมผัส + ใจรู้สึกใดๆ.. ก็ให้”สักแต่ว่า”..เท่านี้ก็จบจิตฉับพลันปัญญาเห็น ด้วยว่าสิ่งทั้งปวงนั้นๆ “ไม่มีจริง เป็นสิ่งสมมุติที่มนุษย์อุปโหลกขึ้นมาทั้งนั้น”..สาธุ.. พ่อครูว่า…ที่ว่าสักแต่ว่าเห็น แต่ก็มันมีพลความ มีเหตุปัจจัยมีบริบทเป็นองค์ประกอบ ซึ่งจะต้องศึกษา ไม่ใช่ว่าสักแต่ว่า คำว่าสักแต่ว่ามี 2 นัย นัยหนึ่ง คือ นัยแบบมักง่าย คือจิตอันธพาล อันธะ แปลว่ามืดมน สักแต่ว่าแบบมักง่าย แล้วก็มีคนที่ปฏิบัติแบบนี้ ส่วน สักแต่ว่า แบบจิตโลกุตระนั้น คือจิตพรหม ไม่ใช่จิตอันธพาล คือจิตรู้อยู่กับภาวะทุกข์ ซึ่งเราเองสัมผัสกันอยู่กับสิ่งที่เคยเป็นเหตุแห่งทุกข์ก็สัมผัสกับสิ่งนั้นอยู่ แต่เราไม่ทุกข์ไม่มีอาการของจิต แม้ว่าแต่ก่อนเราเคยสัมผัส เห็นคนเขามีทุกข์เราก็ไม่ใจดำเราก็ช่วยคนที่มีทุกข์นั้นจนเขาพ้นทุกข์ได้โดยมีมุทิตาจิตและวางจิตเป็นอุเบกขา เมื่อวางแล้วก็หมดหน้าที่ สักแต่ว่าว่าง การจะพบเขาอีก เขาก็พ้นทุกข์แล้ว หรือว่า คนนั้นเขาอยู่ในทุกข์นั้นแต่เราช่วยไม่ได้เลยเพราะเรารู้แล้วสัมผัสแล้วอาการหนัก หากใครช่วยก็มีแต่มีวิบากร่วมกันหนักหนาสาหัสกว่าเก่าอีก เราก็จำเป็นต้องปล่อยวาง ให้ไปเป็นตามยถากรรมให้เป็นไปตามวิบากของเขาอย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นถ้าสิ่งใดที่เราสัมผัสแล้ว เราก็หลุดพ้นจริง จิต สักแต่ว่า มันเป็นปรมัตถ์ธรรม ที่คุณจะรู้เอง เป็น (อปรปฺปจฺจยา ญาณเมวสฺสเอตฺถ โหติ ฯ) คือ รู้อยู่เห็นอยู่สัมผัสอยู่กับสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัย ของคนอื่นก็เป็นของคนอื่นของเราก็เป็นของของเราชัดเจนแล้วเราก็รู้จุดจบรู้จริงรู้จัก มันมีความเหมาะควรอะไรแค่ไหน แล้วเราศึกษามาเราก็จะเห็นความจริงนั้นว่าสิ่งนี้เป็นจุดจบเป็นจุดบริบูรณ์ เราจะช่วยเขาได้หรือช่วยเขาไม่ได้มันก็จบตรงนี้จริงๆเลย แล้วมันจริงอยู่อย่างแท้ๆ เราจะรู้ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องเชื่อใคร เราจะเชื่อความจริงนั้นอย่างสูงสุด พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย (อปรปฺปจฺจยา ญาณเมวสฺสเอตฺถ โหติ ฯ) ผู้จะสักแต่ว่ารู้ ต้องมีภูมิรู้ไม่ใช่แค่ตื้นๆ คุณวิทวัธ..ก็ติดตามให้ดีๆ อย่างที่คุณรู้อาตมาก็รู้และเคยผ่านมาแล้ว คุณยังไม่ได้ผ่านมาเหมือนอาตมาก็จะรู้อย่างที่คุณรู้ _ จิงจิง ก้อชอบ…กราบพระธรรม กราบพระอาริยะสงฆ์ ทุกรูปทุกนาม เรื่องที่จะทำให้พุทธศาสนาแผ่ไปทั่วโลกเป็นเรื่องยาก ตถาคตษาสิตา. พ่อครูว่า…เป็นเรื่องยากอย่างที่ว่า แต่ก็รู้ได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องที่ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) สันตา คือความสงบ ความสงบของพระพุทธเจ้าคือสงบจากกิเลสอย่างสนิทเลยส่วนจิตใจนั้นมีความเร็วไวคล่องแคล่วไม่ได้อยู่นิ่ง แต่มีความสงบเพราะแม้แต่สัมผัสกับสิ่งที่เราเป็นเหตุปัจจัยแต่ก่อนเราแพ้ ตอนนี้ไม่มีชนะไม่มีแพ้ก็เห็นความจริงตามความเป็นจริงก็จบสุดยอด _T Kratae ที กระแต…เรื่องการเลี้ยงสัตว์เป็นวิบากที่ท่านพูดมา…ถ้าเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย เลี้ยงหมูเรากินกันอยู่ก็เป็นวิบากนะ คิดดีๆ อย่าคิดว่าพูดถูกทุกอย่างนะค่ะ ผิดตั้งแต่คิดแล้ว พ่อครูว่า…เมาๆนะคนๆนี้เขาพูด ก็ถูกแล้วไง _ iBeetleCH .ไอบีทเทิลซีเอช…คนจะเลี้ยงสัตว์มันเป็นเรื่องธรรมชาติ คนเลี้ยงพวกมันก่อนคนจะรู้จักคำว่าบาปกรรมอีก พ่อครูว่า…เกี่ยวกับเรื่องกรรมวิบากเป็นเรื่องลึกซึ้งที่สุด คนที่ยังไม่เห็นด้วยมีมาก คนที่เห็นด้วยมีน้อยเห็นด้วยกันมีน้อยก็ไม่เป็นไร ศึกษากันไปเรื่อยๆ _ พรรณี ศรีนันทา…. กรณีสันติอโศกสอนไม่ให้เลี้ยงสัตว์….ที่จริงเราสามารถดูแลเขาได้ เพียงแค่ปลอ่ยวางก็เท่านั้นเอง เราไม่สามารถมีชีวิตบนโลกคนเดียวได้ เอาเข้าจริงเรายังกินเนี้อสัตว์ ทำไมเราจะอนุเคราะห์สัตว์เหล่านั้นไม่ได้ สันติโสโคก แค่จิตใจก็ไม่ผ่านแล้วคำว่าผู้ปฎิบัติธรรม จะว่าไปท่านเองก็ไม่ได้บรรลุธรรมอันใดเลย อย่ามาสอนเลยแบบนี้ พระพุทธเจ้าสอนให้มีเมตตาต่อคนและสัตว์ อย่างท่านปากท่องเมตตาแต่หาความเมตตาไม่มีสักนิด พระพุทธองค์สอนไห้มีเมตตาทั้งคนและสัตว์ แสดงว่าท่านขาดเมตตาจริง พ่อครูว่า…คุณก็ยังกินข้าว ถ้าสัตว์บอกว่าเมตตาคุณแล้วกินคนคุณจะยอมไหม นี่เขาเมตตาคุณเลยนะแล้วเขาก็กินคุณ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ… _ DERMTHAE CHAOHINFAR เดิมแท้ ชาวหินฟ้า …สักกายะ = กิเลสตัวใหญ่ๆแต่ละเรื่อง..เช่น บุหรี่ เหล้า การพนัน ขี้เกียจ ฟุ่มเฟือย ฯลฯ(อบายมุข) วิจิกิจฉา= สงสัย.ลังเล สีลพตปรามาส =ไม่เอาจริง.. สรุป โสดาบันคือ ชนะกิเลสตัวใหญ่ทีละเรื่อง.โดยไม่สงสัย ด้วยการลดละอย่างจริงจัง.จนเห็นผลชัด..25-50-75-100เปอร์เซนต์ พ่อครูว่า…ก็เป็นการอธิบายถึงความรู้ของคุณเดิมแท้ ชาวหินฟ้าก็จริงถูกต้องในระดับนี้ _ nan siri นาน ศิริ…กรณีที่ท่านตำหนิหลวงตาบัว….ผมขอยอมโง่น่ะ ผมขอเชื่อในพ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์หลวงตา ตามเดิม พ่อครูว่า…อาตมาก็ห้ามได้อย่างไร เป็นธรรมดา คุณก็เชื่อของคุณอยู่ ไม่มีปัญหาอะไร ยอมโง่ ก็ยังดีอยู่นิดว่ายอมโง่ หรือถือว่าผมฉลาดจะเชื่ออย่างเดิมก็ไม่ใช่ สมณะฟ้าไท…ต้องถามว่า คนฉลาดหรือคนโง่แบบไหนมีมากกว่ากัน พ่อครูว่า…ก็เป็นสัจจะยังมีอีกเยอะคนที่เชื่อแบบนั้น คนที่เชื่อแบบนั้น อย่างที่ท่านฟ้าไทว่า พระสารีบุตรเป็นลูกศิษย์ของสัญชัยเวลัฏฐบุตร แล้วเมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติก็มาชวนอาจารย์ไปอยู่กับพระพุทธเจ้าเถอะ สัญชัยเวลัฏฐบุตรบอกว่า ไม่หรอกเราจะเป็นเจ้าเป็นหัวหน้าลัทธินี่แหละ แล้วสุดท้ายก็ถามพระสารีบุตรว่า เธอว่าคนในโลกนี้โง่มากหรือคนฉลาดมากกว่ากัน พระสารีบุตรก็บอกว่าคนโง่มีมากกว่าคนฉลาด ก็เลยบอกว่าเธอจงไปอยู่กับคนหมู่น้อยเถอะเราจะอยู่กับคนหมู่มาก เขาก็ยอมอยู่กับคนโง่ที่มาก คุณฉลาดมีน้อยก็อยู่กับคนจำนวนน้อยก็แล้วกัน เป็นอิสระเสรีภาพเป็นเรื่องจริง _เชษฐ์ สุนันท์ชัย …กรณี สุทธิชัยหยุ่น มาถ่ายทำที่ราชธานีอโศก….ตาหยุ่นเข้าไปไง กะเดี๋ยวขาออกโดยคาร์บอม ฝังถังแก๊สระเบิดใต้ถนน บึม ชุมชนชนกลุ่มน้อย ต่อไปเขาจะบังคับให้คนไทย กินมังสะวิรัต ต้องกฎจัดสันติอโศก ครับ ใครเห็นด้วยหรือแย้ง คอมเม้นได้ครับ ขอบคุณครับ พ่อครูว่า…เอ๊ เรามีกรณีไปวางระเบิดใคร คุณคนนี้ไปเอาข้อมูลมาจากไหน ก็ขอยืนยันว่า คำว่ากฎระเบียบวินัยหรือศีลเป็นหลักเกณฑ์ หลักเกณฑ์ที่ไหนเขาก็ต้องมีใช้ แล้วหลักเกณฑ์ที่คนใช้กัน มันมีหลักเกณฑ์ที่มีนัยยะสำคัญ 2 อย่าง 1 หลักเกณฑ์อย่างบังคับกันเลย มันก็เป็นธรรมชาติ สภาพบังคับหรือมีเกณฑ์บังคับ กฎเกณฑ์ที่บังคับกับกฎเกณฑ์อีกอย่างไม่บังคับเลยคือเป็นศีล ศีลกับวินัยนั้นวินัยมีการบังคับถ้าผิดวินัยมีบทลงโทษ แต่ถ้าหากผิดศีลไม่มีบทลงโทษ ใครจะผิดศีลก็ผิดของใครของมันตามวิบาก คุณจะดีไม่ดีอยู่ที่วิบากจัดสรร ศีลไม่มีใครตัดสิน ไม่มีใครมาปรับอาบัติ ศีลไม่มีบทลงโทษเป็นสมมติสัจจะ ศีลเป็นปรมัตถ์สัจจะ ถ้าหากปฏิบัติถูกก็ได้ความถูกนั้นมันเป็นสัจจะ ส่วนกฎเกณฑ์ที่เป็นสมมติสัจจะของโลก อย่างอโศกเรามีกฎเกณฑ์ กฎเกณฑ์อย่างต่ำที่สุดถ้าใครจะเข้ามาอยู่ในที่นี้ ต้องไม่กินเนื้อสัตว์ ประพฤติศีล 5 จะบรรลุหรือไม่บรรลุต้องมาปฏิบัติกายวาจาตามสิ่งที่สมมติจะต้องทำกันได้ แต่ใจนั้นคุณจะบรรลุหรือไม่บรรลุก็เป็นส่วนตัวของคุณ นอกนั้นสูงไปกว่านั้นอีก หากคุณทำอันนี้ได้จะรู้ว่าเพิ่มอธิศีลอย่างไร ศีล สังเคราะห์ต้นถือว่าเป็นหลัก ถ้าคุณจะเข้ามาก็ต้องทำตาม แต่ถ้ามาแล้วละเมิดเละเทะเขาก็ไม่ให้อยู่ ซึ่งเป็นสิทธิ อาตมานั้นก็คิดได้ว่าชาวอโศกนี้ ทำไมมันไม่เหมือนกับที่อื่น หมู่บ้านที่อื่นเขาไม่ต้องซื้อพื้นที่นะ แต่ชาวอโศกที่ต้องมาซื้อหมดเลยต้องจ่ายสตางค์ซื้อพื้นที่ของหมู่บ้าน เห็นไหม อาตมาก็ไม่อ๋อเลย ก็นึกอยู่ทำไมพวกเราถึงอาภัพจังเลยทำไมหมู่บ้านอื่นไม่ต้องซื้อที่เขาก็มีเขตพื้นที่หมู่บ้านของเขาเอง เป็นพื้นที่ส่วนตัวหรือพื้นที่สาธารณะแต่ของชาวอโศกไม่ต้องมาซื้อ แถมมีที่สาธารณะคนอื่นเขาก็มาบุกรุก เราจะไปใช้อาศัยที่สาธารณะนั้นก็ไม่ได้ หน่อย ไปโน่นเลย เออ อโศกนี่มันถูก แหม จะต้องเสียสละ สุดยอดเลย แม้แต่ที่ที่เรามีต้องหาสตางค์ซื้อมาเป็นที่ส่วนกลางไม่เป็นที่ของใครด้วยเป็นของสาธารณะเป็นของทุกคน แต่ต้องซื้อจากอะไรอื่นของเขา แต่เราก็ไม่มีปัญหาเราก็ยินดีใช้อาศัยเป็นประโยชน์ แต่ต้องทำขนาดนั้นนี่คืออโศก ทดสอบยิ่งใหญ่ เรื่องขาดเมตตาหรือไม่ ความรู้สึกเมตตาก็มีนัยยะต่างกัน คนอื่นเขาก็เข้าใจของเขาอย่างนั้นเราก็เข้าใจอย่างพวกเราเข้าใจ ก็ว่าไป _ รัฐภูมิ สุขวิเศษ…ทำไมผมเห็นพระที่เขาปฏิบัติจริงๆ ไม่เห็นเขาว่าสายอื่นเลยครับ หน้าที่ก็ปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นกันทั้งสิ้น พ่อครูว่า…ที่เขาไม่ว่าเพราะเขาไม่มีปัญญาจะว่า หรือไม่มีความรู้จะว่าหรือแม้แต่ มีความรู้สึกว่าแต่เขาไม่กล้าจะว่าเพราะเขาไม่มีความรักในสัจธรรม อาตมารักในสัจธรรมที่ต้องว่าคนอื่นก็เพราะว่า สัจธรรมนี้เป็นสัจธรรมของพระพุทธเจ้า คุณก็ถือว่าเป็นของพระพุทธเจ้าแต่คุณไปอธิบายผิด คนพากันไปปฏิบัติผิดอาตมาก็ว่ามันไม่ดี ไม่ดีต่อคนไม่ดีต่อศาสนาไม่ดีต่อพระพุทธเจ้า อาตมาก็ต้องมาแก้ไข ว่ามันผิดนะอย่างนั้นมันไม่ดี ไม่ดีต่อคุณเองไม่ดีต่อศาสนาไม่ดีต่อพระพุทธเจ้า เพราะมันผิด อาตมาก็ต้องมาแก้ไข เพราะฉะนั้นการตำหนิสิ่งที่ผิด มันเป็นสัจจะมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องตำหนิ เพราะเมื่อยืนยันว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน ธรรมะหรือว่าจากพระไตรปิฎกอันเดียวกัน เป็นหลักเกณฑ์ข้อนี้ข้อนี้ข้อนั้นเดียวกัน แต่คุณเข้าใจผิดไปอีกอย่างหนึ่งเราเข้าใจไปอีกอย่างหนึ่งแล้วบอกว่าอันนั้นผิดก็ต้องขัดแย้งยืนยันกันใครจะอธิบายได้ หรือใครจะอธิบายแล้วมีผู้ที่เห็นดีด้วยมาปฏิบัติด้วยได้ผลด้วยมีหลักฐานยืนยัน ก็เอาสิ่งอย่างนี้แหละมาเป็นองค์ประกอบทั้งหมด ซึ่งอาตมาก็มั่นใจในอันนี้ มีทั้งความรู้มีทั้งการสาธยายมีทั้งหลักฐานอ้างอิง มีทั้งผู้นำไปปฏิบัติแล้วบรรลุผลนั้นๆ ถ้ายิ่งสุดไปกว่านั้น บรรลุแล้วจิตของคุณเป็นอย่างไรบ้างรู้แล้วคือได้แล้วสบายแล้วไม่ต้องไปปฏิบัติอีก เป็นอย่างนี้ไปจนตาย สิ่งที่บรรลุนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ต้องใช้เวลาพิสูจน์ อาตมาถึงจะอยู่ในชีวิตอยู่นานๆเพื่อพิสูจน์สิ่งเหล่านี้ จะดูซิว่าสิ่งเหล่านี้อาตมาเห็นพวกคุณ ก็แค่ 40-50 ปีเอง มันจะจริงหรือ ก็อยากจะอยู่ต่อไปอีกขออีก 40-50 ปี ถ้าพวกคุณยังยืนยันไปอีก 40-50 ปีก็มั่นใจจะได้อีก ถ้ายิ่งอยู่ต่อไปอีกก็จะยิ่งมั่นใจไปกว่านั้นอีกใช่ไหม เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเป็นเรื่องที่ยาก เป็นไปได้ยากยืนยันศึกษาพิสูจน์กันไม่ใช่ง่ายๆ แต่มันก็เป็นได้ แล้วสิ่งที่เป็นได้แล้วนี้ไม่ทุกข์ มันไม่ลำบาก มันเบาสบายซึ่งมันเป็นโลกุตระ มันเป็นสิริมหามายา โสตะ ทวนกระแสกัน เราอยู่อย่างสบายแต่คุณเห็นว่าไม่สบายมันตรงกันข้ามกันจริงๆ แล้วในความสบายของเรามันไม่ไปเบียดเบียนใคร มันไม่เป็นภาระใคร แล้วมันเอื้อเฟื้อเจือจานต่อกันกับคนอื่นอีกด้วย อย่างนี้เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานความจริงต่างๆที่เอามาพิสูจน์ อาตมาเองอย่างที่พูดเรื่องเศรษฐศาสตร์เรามาเป็นคนจน ไม่สะสม 0 แต่เราขยันหมั่นเพียรสร้างสรรในสิ่งที่เรารู้ เรามีความสามารถแล้วอาศัยใช้สอยมีเหลือเฟือ มีเหลือเราก็พอจิตใจเราก็สบาย สิ่งที่เหลือเราก็แจกจ่ายแก่ผู้อื่นไปก็เป็นประโยชน์ให้คนอื่น เพราะฉะนั้นความหมายของคำว่าเศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจดีนี้ อันนี้แหละ มันยากจริงๆ ยากมากๆ อโศกนี้เศรษฐกิจดีจริงๆเป็นเศรษฐกิจที่มีภูมิปัญญาเข้าใจสิ่งที่มีเหตุปัจจัยแล้วก็เฉลี่ยกันอย่างไม่มีอคติ เฉลี่ยแบ่งแจกกันอยู่อย่างไม่ทะเลาะวิวาทกันไม่แย่งชิงกัน สงบ อย่าว่าแต่แจกกันในสมาชิกเลย ยังเหลือไปแจกคนที่ไม่ใช่สมาชิกด้วย นี่คือเศรษฐศาสตร์ที่มันสมบูรณ์ มันอุดมสมบูรณ์ มีน้อยแต่มันพอ เพราะฉะนั้นถึงว่าภาษาที่พูดนี้เข้าใจยาก มันเป็นภาษาปรมัตถ์ สิริมหามายา เป็นภาษาเทวดา มันไม่สามัญ เป็นภาษาทิพย์ มันยาก มันต้องมาเห็นจริงเป็นจริง แล้วตัวแต่ละคนก็จะมีธาตุของ อปรปฺปจฺจยา ญาณเมวสฺสเอตฺถ โหติ ฯ แต่ละคนของคุณก็จะมีธาตุตัวนี้จริงของคนมีจริงไม่ต้องเชื่อใคร ถ้าได้อย่างนี้แล้วเป็นอย่างนี้แล้ว มันตรงกับลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้าหรือผู้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าได้ ต้องเชื่อสิ่งที่เป็นสัจจะที่ได้นี้ มันเป็นความเชื่อของเราเองที่เป็นอิสระเสรีภาพบริบูรณ์ พูดกันอย่างพวกเรา พอบอกว่าเรามาเป็นคนจน มีคน sms ว่า …บอกให้เอาบุญครับอย่าโชว์ ปัญญาอันแค่นี้เด้อสิบอกให่ 0วะ 0 คำนี้มีความหมาย ของอีสานนี้จบเลยหาก 0 ของคนที่ไม่สงบเขาจะวนเวียนรำคาญเขาจะโกรธแรงเลย 0 ว่ะ ความหมายของคำว่า 0 นี้จบแล้ว 0 มันไม่มีอะไรจะพูดต่ออีกแล้ว มัน 0 มันจบ (ส.ฟ้าไทว่าของเรา 0 เว้ย) ของเขา0 ว่ะ ของเรา 0 สบาย พระพุทธเจ้าท่านให้ปรับปวาทะ บางทีก็ไปแปลว่าชนกันเลย บางทีก็แปลว่าปรับวาทะให้ตรงกันที่จริงมันคือสภาพปรับวาทะแล้วให้สงบให้ดี ให้เรียบร้อย ให้สหธรรมให้ร่วมกัน ปรับวาทะ แน่นอน เราไปบังคับให้สิ่งที่ต่างมาเป็นเหมือนกันเลยไม่ได้ให้เป็นอย่างเดียวกันเลยไม่ได้ มันต้องมี 2 มันต้องขัดแย้งกันอยู่ แต่จะทำอย่างไร จะทำให้ผู้ที่เขาเองเขาก็เห็นแย้งเรา จำนน จำนนอย่างเรียบร้อย อย่างอโศกเรา เขาจำนนนะที่เขายังแย้งเราอยู่ เขาจำนน ถ้าเขา โดยเฉพาะกระแสหลักเขาจะสงบ เราก็อยู่ร่วมกันได้อย่างเรียบร้อยสบายไป แต่ก็มีผู้ที่ยังไม่ยอมหยุดยังแย้งอยู่ ก็เป็นธรรมดา ถ้าคณะใหญ่มีกฎหมายที่จะปราบเราให้สิ้นไปเลย ถ้าเป็นคณะที่อันธพาล มหาเถรสมาคมเป็นอันธพาลเขาก็จัดการเราได้ จัดการแล้ว แต่ว่าเถรสมาคมไม่ได้เป็นอันธพาล เถรสมาคมเป็นผู้ดีเป็นผู้ที่มีภูมิธรรม เป็นผู้ที่รู้จักอะไรดีอะไรไม่ดี แต่เขาจำนน อันนี้ก็ต้องปล่อยเขาเพราะว่ามันมีนัยยะลึกของเขา พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าเราต้องพิสูจน์อย่างมีที่อ้างอิงมีหลักฐานเขาก็มีพระไตรปิฎกอ้างอิงมีหลักฐาน เพราะฉะนั้น จึงแย้งกัน มันหักล้างกันไม่ได้ เรามีหลักฐานอ้างอิงยืนยัน แต่สุดท้ายความเห็น 2 อย่างมันหักล้างกัน มันซ้อนที่ว่า ของเราเป็นอย่างนี้แล้วมันก็มีลักษณะจริงหรือว่า แล้วที่เราเป็นนี้ 1 เรามาจนกับคุณไปรวยนี้ คนที่มีปฏิภาณไหวพริบก็จะรู้ว่าคนที่ไปรวยยังกอบโกยอยู่มันถูกสัจธรรมของศาสนาพุทธหรือไม่ ภิกษุรวยกับภิกษุจนไม่มี อันนี้เป็นสามัญสำนึกธรรมดา เขาก็รู้กันก็ตัดสินได้แค่นี้จบ แล้วเราก็อยู่อย่างแบบนี้ เราก็ไม่ได้ไปรุกรานเขา เราตำหนิไหม..เราตำหนิ ตำหนินี้เราตำหนิด้วย เพราะว่าพระพุทธเจ้าบอกว่าให้ตำหนิ ปฏิกโกสนา คือคัดค้านอย่างจัง คัดค้านอย่างเต็มที่เลย กล่าวด้วยเหตุผลข่มขี่ที่มีน้ำหนักมากกว่าแต่ไม่ถึงกับ อักโกสะ คือไปด่า เป็นคำหยาบคาย หรือหาความ ต้องทำด้วยความจริงเต็มที่เลย คือตำหนิคัดค้านอย่างเต็มที่เลยได้ อยากจะเสียงดังจนคอแตกก็ได้แต่ว่าไม่ผิดสัจจะก็แล้วกัน นี่มันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนลึกซึ้งอยู่ในตัว จะไม่ก้าวล่วงเอาผิดถึงอธิกรณ์คือปฏิกโกสนา อย่าเอาผิดถึงขั้นฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล พระพุทธเจ้ามีพระวินัยว่าอย่างนั้นมันสุดยอดแล้วสำหรับเรื่องของนานาสังวาสห้ามมีการอธิกรณ์ใดๆ จะว่าความตัดสินกันไม่ได้ปล่อยให้มันเป็นเรื่องสัจจะตามแต่ใครจะยึดถือ จะมีการคัดค้านก็คัดค้านไปอย่าไปทะเลาะวิวาทอย่าไปทำร้ายหรือถึงขั้นฟ้องร้องกันแล้วให้มีใครมาตัดสิน ถ้าพระพุทธเจ้าอยู่ท่านตัดสินแต่ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าท่านไม่ให้ทำ นานาสังวาสกันฟ้องร้องอธิกรณ์กันไม่ได้แต่อยู่ในสังวาสเดียวกันอยู่ด้วยกัน จะตัดสินในหมู่กลุ่ม ก็เรื่องของคุณ แต่คนละหมู่กลุ่มนี้ห้าม ถือว่าถ้าทำอย่างนั้นเป็น อุกโกฎนา ไม่สามารถทำให้ธรรมะนี้ยุติได้ เสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์ไม่ได้ทำไม่ได้ นี่เป็นเรื่องสุดท้ายสุดยอดเลยนานาสังวาสของพระพุทธเจ้านี้ลึกซึ้งสุดเลย เป็นประตูออกของผู้ที่สุดทางแล้วสุดวิสัยแล้วที่จะแยกกัน _ สมชาย จึงสิริพิพัฒน์พร… ในเพศสมณะ ศีลข้อสองโดยเฉพาะกับเงิน ผู้น้อยเจริญรอยตามสมณะโพธิรักษ์ ตลอดมา ง่ายมาก ง่ายมากมาก กระผม พระผู้น้อย เคยมีสะสมมากสุด ก็ไม่เกินพันบาท เท่านี้ แจกจ่าย ทำประโยชน์ทีเดียวก็หมดแล้ว สาธุๆๆ _ ศรัณยู เกษมสวัสดิ์…เราขอไม่เป็นส่วนหนึ่งของความเกลียดชัง เราจะยิ้มให้กับทุกสรรพสิ่ง เราจะเดินหน้าปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งรัก และ เมตตา …ติช นัช ฮัน. _ Hdhdhd Hdhdhs เอชดีๆๆ เอชดีๆๆเอส….คนกลุ่มนี้ ช่างอวดอุตริเสียจริงๆ ช่างน่าละอายขายขี้หน้า. จริงๆสงสารคนนั่งฟัง หลง ศรัทธา โถๆๆๆ พระอรหันต นี่ต้องเดินขี้คุย. ฟุ้งน้ำลายตอนบินบาตรนี่นะ.อะระหันตต้องทำแบบนี่น่ะหรือ โถๆๆๆนี่แหละคือตัวเสื่อม… พ่อครูว่า…คนที่ยังเห็นแย้งอยู่ จะแสดงความเห็นออกมาก็ขอบคุณด้วยซ้ำ ยินดีที่จะรับฟังความเห็นแย้ง ยิ่งขยายความเอาหลักฐานมาด้วยยิ่งดีแต่ถ้าไม่มีหลักฐานมาด้วยก็ยังรับฟังดี ใครจะด่าทอมาอย่างไร เราจะทนต่อการพิสูจน์ไหม บางทีคำหยาบเกินไป เราก็ไม่กล้าพูดออกอากาศก็จะบอกเป็นนัยๆว่าคำนี้หยาบนะ _ โสธร เพิ่มบุญ….พูดดีเขาตัวเอง โยนความชั่วให้คนอื่น ท่านเองน่ะเเหละเอาคำสอนผิดๆมาสอนถ้าท่านคิดว่าท่านเก่งจริงตำหนิ ท่านกล้าตำหนิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หรือไม่ พ่อครูว่า…ก็ตำหนิอยู่คุณไม่เคยได้ยินหรือ? นี้คือพ่อเเม่ครูบาอาจารย์ในสายพระกรรมฐาน ท่านถือดีอะไร ว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ นั่งเฉยๆ เรียนในหนังสือ ท่านก็เป็นพระอรหันต์หรอ พ่อครูว่า… คุณว่าคุณปฏิบัติว่าเราไม่ได้ปฏิบัติซึ่งการปฏิบัติของเรากับของคุณนั้นก็ต่างกัน เดี๋ยวจะได้อธิบาย .. ท่านคงเก่งกว่าหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นสิน่ะ ตัวบาปคือท่านนั้นเอง พ่อครูว่า…เก่งกว่าหรือไม่เก่งกว่าเราไม่บังอาจบอกว่าเราเก่งกว่า ถ้าจะบอกว่าเก่งกว่าหรือไม่เกินกว่า อาตมายอมรับว่าหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นเก่งกว่าอาตมา เก่งกว่าในทางนั่งหลับตาในทางที่เดินป่าเดินเขา เก่งกว่าเหมือนอย่างเดียรถีย์ หลวงปู่มั่นหลวงปู่เสาร์นั้นเก่งเดียรถีย์มากกว่าอาตมา คุณฟังดีๆแล้วใช้หลักฐานเหตุผลเอามาตรวจสอบตามพระพุทธเจ้าให้ดีๆยังมีอีกเยอะ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะฟ้าไท…พ่อครูสามารถตำหนิผู้อื่น เพราะตนเองมีสัจธรรมในตัวเองและก็ตามด้วยความเมตตาคนอื่น ซึ่งแม้จะเสี่ยงต่อคนอื่นที่ไม่ชอบใจก็ยังเมตตาเขา พ่อครูว่า….ก็ติดตามนะ คุณโสธร เพิ่มบุญ _Christ Love คริสต์ เลิฟ …ทุกคนล้วนเคยเวียนว่ายตายเกิดมาหลากหลาย บางคนรู้ บางคนไม่รู้อดีตตน เราท่านอาจผ่านมาแล้วใน 31 ภูมิ เลี้ยงมันคือความเมตตาธรรม ก็ส่วนหนึ่ง วิบากกรรมร่วม และหรือเจ้ากรรมนายเวร ผูกพันมา แต่ไหนๆก็ส่วนหนึ่ง พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลายๆรูป ท่านก็เคยกล่าวบอกไว้ ก็ส่วนหนึ่ง เราชาวพุทธ เราใช้สติไตร่ตรองได้เองครั้บ แต่ผมเชื่อในคำสอน ของพระอริยะหลายๆรูป ที่ดี ที่จริง อย่างตามเหตุตามผล แต่ที่แตกแยกออกไป คือคนเรานี้เอง ว่าจะให้ไปในทิศทางใด ว่าเกิดมาแล้วมีกรรมเดิมติดตัวมา แต่บวกลบแล้ว ได้มาเกิดเป็นคน ส่วนที่เหลือจะชดใช้กรรมเก่า อย่างมีสติมั้ย จะสร้างบุญกุศลแก้ตัวมั้ย หรือจะตอกย้ำ ซ้ำร้ายหนัก,เบาในกรรมชั่วใหม่ๆเพิ่มไปอีกหรือไม่บุญ,กรรมชาติที่แล้ว คือชาตินี้ตัวเราเป็นเกิดมา ชาตินี้ทำบาป,บุญ,ดี,ชั่ว = ตัวกำหนดว่าชาติหน้าจะเป็นอย่างไร ผมไม่วิจารณ์นะครับคลิปนี้ แต่อยากให้ทุกคน ลองตรองดูเอาเองเถิด ว่าอะไร อย่างไร อย่างมีสติ มีเหตุผลมานำประกอบ สาธุครับ. พ่อครูว่า….ดีก็ศึกษากันไป มันลึกซึ้งจนอาตมาเอาภาษากับสภาวะมาแยกแยะให้ฟังตั้งแต่คำว่า กายะ เริ่มตั้งแต่สักกายะ คือสังโยชน์ข้อที่ 1 สักกายะต้องรู้คือต้องมีความรู้เรื่องกาย ต้องรู้ความเป็นกายกับจิต แยกกายแยกจิตให้ชัดเจน เมื่อใดเป็นการเมื่อใดไม่เป็นกายเป็นอุตุนิยามเมื่อใดไม่เป็นกายแต่ยังมีชีวะแล้วยังอยู่ในตัวเราได้ ไม่ทุกข์ไม่สุขไม่มีบาปไม่มีบุญเป็นพีชนิยาม นี่ต้องรู้สภาพจริงของสิ่งนั้น มันมีอยู่ในตัวเรา เช่นเล็บมันเป็นพีชะ ชีวะ อยู่ในตัวเราแต่ไม่มีบาปไม่มีบุญมันก็อยู่ที่ตัวเรา เล็บข้างในเข้าไปอีก อันนั้นเป็นจิตเป็นชีวะแล้วนะเกินพีชะ แล้ว หรือเมื่อใดเล็บ จะทำให้เป็นอุตุนิยามเมื่อใด ซึ่งเป็นกรรมฐาน 5 ผมขนเล็บฟันหนัง ที่เมื่อมาบวชแล้วจะต้องเรียนรู้เรื่องนี้ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ หากไม่เข้าใจถ่องแท้ไม่มีทางบรรลุนิพพานหรอก เพราะทำจิตให้เป็นอุตุให้เป็นพีชะไม่ได้ ก็หมดสิ้นทางที่จะเป็นอรหันต์ คำว่า กาย ไม่ใช่กาย มีชีวะไม่มีชีวะ เป็นพีชะหรือจิต แยกอุตุ พีชะ จิต กาย คำว่า กายมันมีเหลื่อมๆ มันมีชีวะกับไม่มีชีวะ ทุกวันนี้แต่เข้าใจคำว่ากายไม่มีชีวะเลยเป็นเพียงภายนอก กายไม่เกี่ยวกับจิตอะไรอย่างนี้เป็นต้น นี่คือเห็นไหมว่าทิฐิมันผิดแล้ว ถ้าคุณเข้าใจอย่างนั้นคุณจะทำจิตได้อย่างไร ว่า พระอรหันต์ยังไม่ตายแล้วมันมีจิตใจที่เป็นพีชะในตัวเรา แม้แต่บางอย่างมันเป็นอุตุในตัวเรา อย่างเล็บเราตัดออกเมื่อไหร่มันก็เป็นอุตุยังไม่ตัดออกมันก็เป็น พีชะ อย่างขี้ไคล มันอยู่ภายนอกเป็นคราบไคล คุณล้างออกไปคุณก็เฉยๆไม่มีปัญหาอะไร บางอย่างมันอยู่ใกล้ชิดติดเลยแต่มันล้างไม่ออกมันก็เป็นขี้ไคล หรือผิวหนังสิ่งที่ติดชิด ที่อาตมาเคยพูดกับพวกเราว่า น่าคิดนะว่าขี้ไคล มันขี้ของใครติดอยู่กับเรา ที่จริงมันขี้ของเรา ขี้ไคล คือสิ่งที่ต้องชำระ นี่ภาษามันลึกซึ้งแต่มันยังติดอยู่ที่เรา เพราะฉะนั้นใครที่ไม่ออกมันเผลอไปด้วยขี้ไคลเต็มไปเลยก็แล้วไปไม่เอาออก ผู้ที่จะเอาออกก็เอาออก จริงๆมันเป็นของที่ควรจะทิ้งออกไปแล้ว มันเป็นอุตุด้วย เราไม่ต้องอาศัยแล้ว เป็นอบายหรือสิ่งที่ทิ้งไปได้ อย่างนี้เป็นต้น แล้วสิ่งที่จำเป็นต้องอาศัย เราไม่ยึดเป็นเรา แต่ต้องอาศัยแล้วอาศัยได้ด้วยเป็นประโยชน์ด้วยไม่เจ็บไม่ปวดแล้วก็ไม่มีวิบาก อาศัยได้ พีชะ เส้นทางนิพพาน เป็นฐานพระอรหันต์เป็นฐานที่พระพุทธเจ้าสอน คุณจะต้องสร้างจิตลักษณะของพีชะไว้อาศัยให้ได้ ถ้าหากอาศัยไม่ได้คุณไม่ได้เป็นหรอกพระอรหันต์ตัวนี้แหละสำคัญมาก สู่แดนธรรม…ประเด็นที่พ่อท่านอธิบายมันมี sms ที่พูดถึงพอดี _ Phakapong Teebthaisong…ภัคพงษ์ ธีปไทสง…กายหลวงตามหาบัว เป็นพระอรหันต์หรอท่าน นี่มันสังขารโลก ตอนที่หลวงตายังไม่ละสังขาร กายกะธรรมแท้มันยังอาศัยกันอยู่ สังขารมันมีอาการ ธรรมแท้มันจะมีอาการไรท่าน ที่ท่านเห็นนั่นมันอาการของขันธุ์หลวงตา มันใช่ตัวธรรมแท้ที่ไหนกัน แต่หลวงตาท่านแยกได้แล้ว อันไหนกิเลสอันไหนธรรมแท้ มันเข้ากันไม่ได้ ต่างอันต่างอยู่ ต่างอันต่างจริง พุทธะ=ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ก็ผู้รูนี่แหละท่าน คือพระพุทธเจ้าแล้วจะหาอาการมาจากไหน พระอารหันต์ท่านว่ามา ผู้รู้เขามีอาการที่ไหน “สิ่งที่ท่านเห็น มันคึอาการของขันธุ์” แค่นี้ล่ะ (อดพูดไม่ได้) บอกให้เอาบุญครับอย่าโชว์ ปัญญาอันแค่นี้เด้อสิบอกให่ 0วะ พ่อครูว่า…คำว่า อาการ เขาก็เข้าใจไม่ได้ สายนี้ เขาใช้คำว่า ธรรมะ หรือธรรมะแท้ คือของจริง กายก็เป็นแต่เพียงรูปขันธ์อาศัยเท่านั้นเอง เขาว่าธรรมะแท้คือนิพพาน เขาอาศัยคำพยัญชนะ แต่สภาวะในจิตเขาไม่รู้จักกิเลสคืออะไร ขันธ์ 5 คืออะไร อุปธิคืออะไร แล้วทำอภิสังขารให้รู้จักกิเลส แล้วล้างกิเลสออกจากขันธ์ 5 ตั้งแต่รูปก็หมดกิเลส เวทนาก็หมดกิเลสสัญญาก็หมดกิเลสสังขารก็หมดกิเลสวิญญาณก็หมดกิเลส พูดกันไม่รู้เรื่อง สู่แดนธรรมว่า…ลูกศิษย์ของหลวงตาบัวเขาบอกว่าพ่อท่านไปเพ่งว่าพ่อท่านพูดแต่เรื่องภายนอกของหลวงตาบัว เช่นการกินหมาก พ่อครูว่า…การที่ไม่ได้ไปเคี้ยวหมากไม่ได้เกิดจากการกาย มันจะขยับไม่ได้หรอกถ้าจิตไม่ให้ขยับ แล้วจิตใจมันให้ขยับไปกินหมากทำไม เพราะจิตใจมันติด มันอร่อย เขาบอกว่าอันนี้ไม่ใช่สิ่งเสพติด แค่ความหมายคำว่าสิ่งเสพติดก็ยังไม่รู้ แล้วก็ยังไม่ละไม่วางยังเป็นภาระ เพราะฉะนั้นก็ต้องไปศึกษาดีๆว่าการเสพการติด สิ่งที่ไร้สาระ มันเป็นสาระอะไรในการกินหมากกินพลู ก็พยายามหาเหตุผลมาเป็นการรักษาโรค เป็นโรคอะไรกันนักกันหนาจึงกินกันถ้วนหน้าเคี้ยวกันทั้งวัน เปรอะไปหมด เลอะเทอะ เดี๋ยวก็ขากกกกก…อะไรกันสารพัด ขออภัย เป็นการวิจัยวิจารณ์กันในฐานะวิชาการ ไม่ต้องถือสากัน ฟังการสื่อสารใช้ภาษาส่งเสียงสำเนียงบ้าง ว่าสื่อสภาวะให้เข้าถึง ศึกษาให้ดีแล้วก็จะรู้ ถ้าหากเปลี่ยนไปตามลำดับของศีล สมาธิ ปัญญา หรือตามจรณะ 15 จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มันจะลงกันได้อย่างดีเลยคุณเอ๋ย นี่พูดถึงอีกคนไม่ได้ปฏิบัติเลยกับอีกคนปฏิบัติมันก็เลยต้องขัดแย้งกันไปมา เขาขัดแย้งไปในสิ่งที่เขาไม่รู้แล้วเขารู้ของเขาแค่นั้น สิ่งที่เราอธิบายมาเขาก็ไม่รู้เลยเขาก็ไม่เอาด้วย ถ้าอย่างนั้นเราก็รู้ ติดหมากพลูบุหรี่ติดเหล้าติดยาเราเคยติด แล้วเราก็หลุดมาแล้ว หลุดมาจนกระทั่งมาชาตินี้อาตมาหลุดพ้นมาหลายชาตินี้ก็พยายามฝึกกิน อย่างเช่นหมากพลูนี้อาตมาพยายามกินไม่ได้เลยแต่มันยัน แต่เขาติดได้อย่างไร อย่างมวนยาเส้น ยาฉุน มันแสบอย่างกับอะไร ใครเคยบ้าง อย่างคนจีน พวกจับกังจะเหน็บยาฉุนไว้ที่ปาก เขาทนได้ เหมือนกับคนจีนซดน้ำร้อน 100 องศาแต่เราซัดเข้าไปปากพองเลยรับรองว่าต้องรักษาแผล แต่เขาทำได้เพราะเขาฝึกฝนจนเป็นอุปาทาน อย่างเหมือนกับคนเดินลุยไฟ หนังเหนียวเดินบนคมมีด ฟันไม่เข้า อย่างนี้เป็นต้น อย่างที่ภูเก็ตเขายังแทงกันเลย ก็ไม่มีปัญหาหรอกสิ่งเหล่านี้มันเป็นอุปาทานที่ไปยึดถือแล้วก็อดทนได้ เป็นได้ เป็นเรื่องอภินิหาร เป็นเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์มันเกินสามัญที่มนุษย์จะเป็นได้ง่ายๆ แต่ไม่ใช่เรื่องที่ให้ได้ละกิเลสไม่ใช่เรื่องพ้นทุกข์ มันเป็นเรื่องจริงในพลังงานชนิดหนึ่งของจิตเรียกว่าอิทธิปาฏิหาริย์หรือจะเป็นอาเทศนาปาฏิหาริย์ ไปเที่ยวได้หยั่งรู้คนอื่น อยากรู้สิ่งที่ไกลสิ่งที่ซ้อนลึกลับ อย่างให้หมามันดมกลิ่นก็จะเจออะไรอย่างนี้มันละเอียดในสิ่งที่ละเอียดมันทำได้ แต่ไม่ใช่เรื่องรู้กิเลสในจิตและล้างกิเลสออกให้รู้จักการเวียนว่ายตายเกิด ไอ้นั่นคนยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ทั้งหมดจะไปมีอิทธิปาฏิหาริย์อาเทศนาปาฏิหาริย์อะไรก็ตาม เก่งอย่างไรก็ไม่เที่ยงหรือเก่งอย่างไรก็ไม่ได้พาบรรลุนิพพาน พาไปดับสังขารเรื่องชั่วเรื่องดีอย่างสมบูรณ์แบบ แม้แต่อิทธิปาฏิหาริย์อาเทสนาปาฏิหาริย์เรื่องชั่วเรื่องดียังไม่ได้ช่วยเลย เรื่องชั่วเรื่องดีก็ไม่ช่วย เพราะไม่ได้เรียนในนี้เลย ก็มีแต่ไปสร้างพลังงานให้มันเก่งอย่างนั้นอย่างนั้น ไปเก่งอย่างงี้ปาฏิหาริย์เหาะเหินเดินน้ำดำดิน สู้สู้แดดสู้ลมสู้น้ำอะไรได้ เหาะเหินเดินน้ำดำดินได้หรือละเอียดลออไปหยั่งรู้ใจคนใจสัตว์หยั่งรู้ความลึกลับละเอียดเล็กน้อยที่คนไม่รู้สามารถที่จะรู้ได้อะไรพวกนี้ไปมันก็เก่งทางพลังงาน เท่านั้นเองไม่ได้เป็นไปเพื่อเรียนรู้กิเลสลดละกิเลสจนกิเลสหมด พ้นความสุขความทุกข์…ไม่เลย เพราะฉะนั้นไม่เข้าเป้าประเด็นของความสุขความทุกข์อาริยสัจของพระพุทธเจ้าเลย พ่อครูว่า…เมื่อเช้าอาตมาก็ว่าจะมาอธิบายเรื่องปฏิบัติไปตามลำดับศีลสมาธิปัญญา ทำให้ได้เป็นผล แล้วทำให้มากทำให้บ่อย ให้จิตสะอาดสิ้นอาสวะเป็นอุเบกขา องค์ธรรม 5 ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ทำอุเบกขาให้ดีขึ้น แล้วมาทำงานกับใครก็ไม่เกิดกิเลสอคติ ทำแล้วมีแต่ดี แล้วมีเหตุปัจจัยให้ปฏิบัติเพิ่มขึ้นอีก เหตุปัจจัยที่เราไม่มีจากของผู้อื่น ให้เขาได้รู้ตัวได้รับประโยชน์ว่ามันเป็นกิเลสนะควรจะละเลิก ทำไปอีกได้อีกก็ยิ่งเก่งขึ้นอีก กัมมัญญาก็ยิ่งเจริญขึ้น จิตก็ยิ่งสะอาดแข็งแกร่งผ่องใสประภัสราสูงขึ้นอีก คุณธรรมของอุเบกขา 5 ประการนี้ จะเจริญๆขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนเอาสิ่งนี้มายืนยันได้เลยในผู้ปฏิบัติเคยมีลักษณะนี้ในตัวเองหรือไม่ อย่าว่าแต่ขณะนี้เลย แยกเคหสิตอุเบกขา ในมโนปวิจาร 18 ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ 6 ทวาร กระทบกับอะไรก็ตามทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็เกิดความสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ก็ได้ 3 ประเด็น รวมเป็น 18 ประเด็น ในโลกก็มีความสุข ความทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ได้ทั้ง 18 อย่างนี้ เราทำอยู่ในสภาพปัจจุบัน ปฏิ นี่แหละ หรือไม่เป็นปัจจุบันแต่มันเป็นปณิ ปณิหิตะ มันตั้งอยู่ขณะนี้ static กับ ปฏิ dynamic เกิดอาการหรือไม่ ถ้าไม่รู้จักอาการก็พูดกันไม่รู้เรื่อง สู่แดนธรรมว่า…เขาว่า มันเป็นเพียงอาการของขันธ์ เขาเลยบอกพ่อท่านบอกว่าเอาบุญ พ่อครูว่า..บุญมันเป็นสิ่งร้ายกาจ เอาไปทำไม มันเป็นธรรมาวุธฆ่ากิเลส คุณก็เข้าใจคำว่าบุญไม่ได้ พลังงานที่จะสร้างบุญ ถ้าคุณเข้าใจสภาวะความหมาย ฌาน คุณก็เข้าใจผิดไปหมายความว่าถึงการสะกดจิตแล้วเย็นสบาย ฌาน คือไฟ จนกระทั่งจะหลุดไปจากพจนานุกรมแล้ว ฌาน ยังดี ยังมีอยู่ในพจนานุกรม ของพระอุดม คุณาการ กับ ของ ดร.จำลอง สารพัดนึก ก็ยังแปลฌานว่า คือ ไฟ แต่ก็ยังดี ฌาน = การเพ่งโดยใจเป็นสมาธิ , แปลว่าเพลิง แปลว่าไฟ เอาไว้ทางท้าย เขาไม่เข้าใจแล้วว่าเป็นเพลิงเป็นไฟ อาตมาก็บอกว่าการเพ่งในใจนี้คุณทำแบบเดียวกับเดียรถีย์ ฌานเพ่งสมถะ แต่ฌานของพระพุทธเจ้าทำให้เกิดอุณหภูมิ เป็นพลังงานที่มีแรงฤทธิ์จนกระทั่งสลายพลังงานของกาม พลังงานปฏิฆะ โทสะ มันสลายได้เลย เป็นพลังงานฆ่าพลังงานเลว มีฤทธิ์นะ ไม่ใช่สิ่งที่ไปเพ่งเย็นๆไม่ใช่เลย พอฌาน พลังงานนี้เผา พลังงาน สราคะ สโทสะ สโมหะ เผาจนกระทั่งมันจางคลายจนกระทั่งมันเหลือน้อย จนกระทั่งมันดับแล้วก็เผาแล้วเผาอีก จนกระทั่งมันสิ้นเชื้อ เผาภายนอกจนกระทั่งเข้าไปในภายใน จนกระทั่งไม่มีอะไรจะให้เผา หมดสิ้น แล้วก็ตรวจสอบด้วย ญาณ มีญาณตรวจสอบอีกเยอะ เตวิชโช เจโตปริยญาณ 16 โสฬสญาณ สอบด้วย 73 ญาณ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วก็บันทึกไว้หมดแล้ว แต่แค่สอบด้วย โสฬสญาณก็เหลือกินแล้วแต่ก็ใช้กันหรือเปล่า คุณใช้กันหรือเปล่า คุณรู้แต่ด้วนๆตื้นๆ นี่ไม่ได้เถียงกันเพื่อจะทะเลาะกัน ต่างคนต่างแสดงความเห็นความรู้ความเข้าใจกันเท่านั้นเอง สมณะฟ้าไท..สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin19 มิถุนายน 2020Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:630617_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 9NextNext post:630621_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ สัมผัสวิโมกข์ด้วยกายจนเป็นฌานของพุทธRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024