630621_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ สัมผัสวิโมกข์ด้วยกายจนเป็นฌานของพุทธ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1xJDizpTi7mLVRrny2NdrDBJpkzIdPMo8mMhbOhBJQ1w/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/13aVPGKrvD33ID5JbSuMty1hVCuYNAnQ0/view?usp=sharing
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันที่กลางวันยาวนานที่สุดบางคนก็ว่าดีบางคนก็ว่าไม่ดี แล้วแต่จะพูดกันไป ที่ราชธานีอโศกเปิดรับญาติธรรมเข้ามา แต่ให้กักตัว 14 วัน แต่ถ้าไม่ได้มีศีลเลยยังไม่รับเข้ามา
พ่อครูว่า…ก็ขอเร่ิมต้นด้วย sms ก่อน
630621
_Naree Pupple นารี พัพเพิล…กราบพ่อครู ดิฉันได้รู้จักสังคมชาวอโศกเมื่อ2ปีก่อน ดูบุญนิยมทีวี ฟังเทศน์และติดตามรายการสำมะปี๋ฯ ทำให้ดิฉันมีความศรัทธาในคำสอนของพ่อครู สมณะ และสิกขมาตุ พยายามฝึกฝนจิตใจตนเองโดยใช้หลักศีล5 แม้ว่าหลายครั้งจะหลุดในเรื่องการใช้โทสะ รวมไปถึงการเป็นคนที่มีความวิตกกังวลที่มากเกินไปกับปัญหาต่างๆที่เข้ามาในชีวิต
แต่ในเรื่องการทานอาหาร ดิฉันไม่ทานเนื้อสัตว์ได้อย่างไม่ลำบาก
ดิฉันมีคำถาม
1.ขอทราบแนวปฏิบัติเพื่อจะได้มีหลักที่ถูกต้องในการจัดการและฝึกฝนจิตใจให้ ไม่กลัวและวิตกกังวลมากเกินไปจนทำให้จิตตก อย่างเช่นเราไม่อยากได้ ไม่อยากเจอกับคนหรือเหตุการณ์ที่เราไม่ชอบ ดิฉันควรเลี่ยงสิ่งที่ไม่ชอบหรือควรเผชิญหน้า แล้วควรจะวางจิตใจอย่างไรดีคะ
พ่อครูว่า…เมื่อได้สัมผัสสิ่งนั้นคนนั้นที่เราไม่ค่อยอยากจะเจอเราไม่ชอบนั้นก็หลีกเลี่ยงเสียก็แล้วกัน ถ้าหากรับความรู้สึกไม่ได้เดี๋ยวมันก็จะเกิดตบะแตก ควบคุมไม่อยู่โทสะขึ้น ราคะขึ้นก็ไม่ดี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำก่อน ก็มันมีปฏิกิริยาต่อสิ่งนี้แรงไปเราจะต้องเลิกมา เหมือนกับสิ่งที่เราสู้ไม่ได้ เราก็ห่างไกลมันก่อนไม่ต้องไปสัมผัส แต่เมื่อพอเป็นไปได้ก็ไปสัมผัสกับมัน แล้วก็อ่านดูใจมันจะเกิดกิเลสมาก กิเลสแรงอย่างไร ก็พิจารณาด้วยวิธีของพระพุทธเจ้า พิจารณาให้เห็นความไม่ดีของมัน มันเป็นตัวการมันเป็นความหลอก เป็นมายาเป็นผีเป็นสิ่งที่ยั่วเย้า เราจะต้องเห็นจริงว่ามันเป็นตัวหลอกเกิดจิตใจที่เห็นจริงว่า มันเป็นตัวโง่ของเราเอง เป็นอวิชชาของเราเองที่มันเกิด เราไปเกิดชอบเกิดฉัน อาการชอบอาการชังก็เป็นมายา เป็นอนัตตาไม่ใช่ของจริงหรอก มีอาการอย่างนี้มาแล้วมันลำบากมันทุกข์ แล้วเรื่องเดียวกันนี้ เราเห็นว่ามันเป็นทุกข์แล้วมันไม่ใช่ตัวตน เดี๋ยวมันก็ไม่เที่ยงเดี๋ยวมันก็หายไป มันอยู่กับเราไม่นานหรอก มันอยู่ในอาสวะอนุสัยเท่านั้นเอง ถ้าชัดเจนแล้วมันก็หายไป ที่พูดอธิบายนี้คงพอเข้าใจ ปฏิบัติง่ายๆไม่ยากเท่าไหร่
-
หากดิฉันไม่ได้อ่านหนังสือของพ่อครูครบ7เล่ม จะมีสิ่งใดทดแทนได้หรือไม่ เพื่อให้ดิฉันมีสิทธิ์ที่จะขอเข้าไปเป็นสมาชิกของชาวราชธานีอโศก
ขอพ่อครูเมตตาลูก(ที่ปรารถนาจะขัดเกลาจิตวิญญาณ)คนนี้ด้วยเจ้าคะ
พ่อครูว่า…หนังสือมันมีอยู่ก็พยายามอ่านให้ดีๆ ไม่ใช่อ่านแค่หน้าปกหลังปกหน้าอ่านเนื้อในให้ต่อเนื่องไป มันก็มีเล่มที่ไม่โตนักมีเยอะแยะ อ่านเล่มไหนก็ได้ เล่มเล็กๆก็มี 7 เล่มก็อ่าน รุ่นที่ทำเล่มเล็กๆเรียกหนังสือหิ่งห้อย ดร.รินธรรมเป็นคนทำ ทำได้ประมาณ 10 เล่ม เล่มเล็กๆบางๆ ก็หาอ่าน ไม่ได้พิมพ์ซ้ำก็เลยหายากหน่อย
ก็เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ดูโทรทัศน์สัก 77 วัน แค่ 2 เดือนกว่าเอง
SMSวันที่19-20มิ.ย.2563
_เอ็น.ดี. กรุ๊ป • ธรรมะของพ่อครูชัดเจน ลีกซี้ง ละเอืยดถีงแก่นแท้ / อ.แป้ง เสริมได้่ดืมากครับ
_ผู้ชายใร้รัก ใด้หมดถ้าสดชื่น • ผมท้อคับผม พระอาจารย์ หน้าที่การงานคับผม บีบผมมาตลอด ผมคนใม่มีพรรคมีพวก ผมคนจน หาเช้ากินค่ำ ผมเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่คับผม ผมเสียใจมากๆคับผม….
พ่อครูว่า…อ่านอาการเสียใจให้เป็น แล้วเราก็ทำให้มันไม่มี เท่าที่คุณมีความสามารถรู้ได้ว่าอาการอย่างนี้เรียกว่าเสียใจ ก็อย่าให้มันมีอาการนี้ก็แล้วกัน อย่าเพิ่งท้อ คนจน หาเช้ากินค่ำก็ดีแล้ว อย่าหาเช้ากินเมื่อวาน หาเช้ากินเที่ยง กินบ่ายกินค่ำนั้นถูกแล้ว
_รักธรรม สรหงษ์ • ติดๆ ขาดๆ ตลอดเลย..!!!
พ่อครูว่า…ทางด้านเทคนิคของเราก็ยังไม่เก่งพยายามอยู่ ไม่ได้ดั่งใจก็ต้องขออภัย บางทีเห็นว่ามันดับไปเป็นชั่วโมงเลยบุญนิยมทีวี
_มั่นใจพุทธ บุญเสร็จ • พ่อท่านทำประโยชน์ตั้งมากมายให้กับโลกใบนี้ ยังโดนโจมตี ดูถูก ดูแคลน นับประสาอะไรกับคนกิเลสหนาอย่างเรา สู้ต่อไปเถิด ลูกหลานพุทธะ
_Sukanya Manobal สุกัญญา มโนบาล •กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงเจ้าค่ะ ที่เมกา ภาพ เสียงชัดเจนมากค่ะ
_ชัยรัตน์ นารอต • รับชมที่บางใหญ่นนทบุรี เสียงภาพชัดเจนครับ
_SomjadeChowsiri สมใจดี เชาว์ศิริ :กราบเรียนถามครับ การบรรลุธรรมของสาวกในสมัยพุทธกาลนั้น บางท่านเคยมีคุณธรรมถึงพระอรหันต์หรือสูงกว่ามาแล้วใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า…ใช่ มีเยอะด้วย เป็นโพธิสัตว์ก็เยอะ ไม่มีปัญหาอะไร ช่วงนี้ศึกษาดีๆติดตามดีๆและจะเข้าใจ แม้แต่ในยุคนี้ก็ยังมีโพธิสัตว์ที่มาร่วมทำงานฝึกฝนอยู่ด้วยกับอาตมา
_วิวหกวิวหก : ผู้อื่น ทำให้เห็นกิเลส ของตัวเรา
พ่อครูว่า…ใช่ เมื่อสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องก็จะเห็นกิเลสของเรา แล้วอย่าประมาทอย่าไปปะเหลาะเลี้ยงมัน กิเลสอย่าไปชอบใจอย่าไปปะเหลาะมัน ต้องรู้ตัวให้ทันแล้วจัดการ อย่าไปประมาท อย่าไปทำเป็นเล่น
_สติพล จนพัฒนา • สมัยสันติอโศกทำหนังสือกัน..ผมยังได้เคยเคาะกระดาษเรียงกระดาษเพื่อเข้าเล่มตอนนั้นสนุกมากเลยครับ / ขอรำลึกถึงบรรพบุรุษ ถึงที่สุดด้วยน้ำใจกระไรหนา พูนเพียรจนเกิดงามด้วยบุญนา โมทนาสาธุลุเพียรบุญ.
_ที่ไหนมีทีมไก่ ที่นั่นมีกู • กราบนะมัสการครับคล้ายท่านมือมั่นเลยครับ ผมเพชรพันเเสงครับดีใจที่ท่านออกอากาศให้เห็นอีกครั้งครับ
_มุ่ง ตรงธรรม • นอบน้อมหมอบกราบสาธุคุณความเมตตา ท่านสมณะและสิกขมาตุยิ่งครับ ฟังแล้วดูจิตดูใจไปแล้วฟังสนุกครับ
_จาก นิรนาม…มีสองสามีภรรยาคู่หนึ่งเข้ามาในวัด กินอาหารวัด ใช้น้ำใช้ไฟวัด แต่เวลาทำงานจะคิดค่าตัว โดยเรทเริ่มต้นที่ สองคนครึ่งวัน 300 บาทเต็มวัน 500 บาท ไม่ว่าจะงานเล็กงานใหญ่ ใครไหว้วานอะไรก็ต้องคิดเป็นค่าจ้างทั้งนั้น จากการสอบถามชาวชุมชน เรียกว่าเป็นที่รู้กันว่าถ้าเกิดให้สองคนนี้ช่วยอะไรก็จะต้องมีค่าจ้าง (ขนาดช่วยเก็บขยะยังไม่เอาเข้าสขจ แต่เอาไปขายข้างนอก เก็บเงินเข้ากระเป๋า) ซึ่งค่าจ้างก็ไม่ได้คิดแพงอะไร แต่เมื่อมาอยู่ในสังคมสาธารณโภคี ที่ทุกคนล้วนทำงานฟรี ไม่คิดค่าจ้าง จึงรู้สึกว่าเป็นพฤติกรรมที่แปลกๆ มาหากินแบบนี้ในวัดสมควรหรือไม่และควรปล่อยให้ทำต่อไปหรือไม่
พ่อครูว่า…ก็ไม่ควรจะทำต่อไป ควรจะรู้ บอกกัน รู้ว่าเป็นใครอย่างไรก็ควรจะไปบอกเพื่อนกันด้วยความเมตตา บอกว่ามันเป็นเรื่องที่ทำกรรมแล้วมันเป็นวิบากเป็นผล ถ้าอยู่ในนี้ในหมู่สาธารณโภคีคนดี เราเคยอธิบายแล้วว่าคนที่มากินอะไร กินส่วนของคนที่เสียสละอย่างบริสุทธิ์ใจยิ่งสูงเท่าไหร่ ยกตัวอย่างคุณกินแรงพระพุทธเจ้า กับคุณกินแรงภิกษุสักรูปหนึ่งคุณจะบาปกี่ต่อ กินแรงของพระพุทธเจ้าในแรงในขณะเดียวกันกับภิกษุรูปอื่น มาอยู่ในสังคมที่ดีอย่างนี้แล้วมากินแรงมันบาปเป็นอัตราคูณยกกำลังนะ อย่ามาทำเลย จะอะไรกันนักหนา มาอยู่ในนี้เขาให้คุณฝึกฝนก็ดีนักหนา แต่ไม่ดีที่ไปทำบาปเป็นภัย จะไปชดใช้ในอนาคตชาตินี้อาจจะได้อาศัยชนกกรรมอยู่ไป เมื่อต่อไปจะต้องลำบากลำบน อยู่ในนี้ถ้าเปลี่ยนเป็นโอกาสที่ดีจะทำดีแล้ว เป็นโอกาสที่เราจะลดไม่ใช่มาพอกพูนกิเลสให้มันหนาขึ้นใส่ตัวเอง จะโง่อะไรกันนักกันหนาถ้าคุณอยู่ไม่ได้ดีก็จะได้ชั่วเยอะ ถ้าไม่ได้ดี เป็นอาริยะก็จะเป็น อเวจีหนัก มันสลับกันหัวหาง ตั้งใจดีๆ เตือนด้วยความหวังดีอย่าทำ หยุด เลิกถ้าอยู่ไม่ได้ จะต้องรับไม่รับแล้วอยู่ไม่ได้ควรออกไปอยู่ข้างนอก ยังจะมีบาปน้อยกว่า นี่แนะนำ
_จากคนอยู่วัด…พ่อท่านชวนให้คนมีศีลมาอยู่ เมื่อคนมีศีลมาอยูแล้วเอาญาติพี่น้องที่ไม่มีศีลมาอยู่ด้วย…แล้วญาติพี่น้องที่ไม่มีศีลนั้นสร้างความเดือดร้อนให้ในชุมชนจะทำอย่างไรดี
พ่อครูว่า…ให้ออกไป ให้ญาติพี่น้องออกไป บอกชัดๆตรงๆอย่าทำบาปต่อคุณอยู่ได้ก็อยู่ให้ดีขึ้นอยู่ไม่ได้ก็ไปอยู่กับญาติพี่น้อง บางคนมีวิบากจะต้องไปอยู่กับญาติพี่น้องก็ต้องเอาไป แต่ถ้ามาอยู่แล้วจะพากันทำแบบนั้นมันดึงกันลงต่ำหมดมันบาปกันทั้งหมดเลย มันไม่สมควร
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…การที่พ่อครูบอกให้คนที่ทำบาปออกไป ก็เพราะคนไม่มีศีลจะอยู่อยาก เขาไม่รู้เรื่อง พูดอย่างไรก็พูดไม่รู้เรื่อง จะแก้ปัญหาไม่ตก ดีไม่ดี เกิดปัญหาคนไปว่าไปบอกจะเป็นคนผิดไปด้วย ไปเอาเรื่องเอาราว
_ อาหารและ สุขภาพ…ตัวอย่างที่ดี มีค่ากว่าคำสอน สาธุ ?อนุโมทนาบุญ ท่าน อ.ไม้ร่มและคุณรุ้ง ท่านทำด้วยความตั้งใจใส่ใจ
พ่อครูว่า…ก็คงค่อยๆซับซาบไป จะมาทางไม้ร่มบ้างก็ค่อยติดตามกันไป
_ Khunapong8418 Kh กัณพงษ์ 8418 …ขอกราบนมัสการพระคุณเจ้าขอรับ. กระผมว่าท่านน่าจะได้มีโอกาสได้อ่านหนังสือ”คู่มือมนุษย์”ของท่านพระพุทธทาสภิกขุ อย่างน้อยสักรอบนะขอรับ. กระผมต้องกราบขอขมาพระคุณเจ้าได้โปรดยกโทษล่วงเกินในสิ่งที่กระผมเห็นว่าควรกล่าวต่อไปนี้ด้วยเทอญขอรับ. กระผมเห็นใจท่านนะขอรับ. เพราะว่าฟังดูแล้วเหมือนท่านจะยังไม่ใคร่กระจ่างในหัวใจของพระพุทธศาสนานะขอรับ. จึงได้ตีความหมายของคำว่าฌานหรือเซ็นผิดขนาดนั้น.และโฉลกก็เป็นตัวประเทืองปัญญาเหมือนพระไตรปิฏกสำหรับพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนซึ่งมีจำนวนไม่น้อยในหลายประเทศที่นับถือหรือสนใจในลัทธิเซ็นนะขอรับ.
กราบนมัสการพระคุณเจ้าได้โปรดทำความเข้าใจในสิ่งที่จะกล่าวก่อนจะกล่าวออกไปอย่างถูกต้องถ่องแท้ด้วยเถิดขอรับเพื่อเป็นสามัคคีธรรมทานแด่พุทธศาสนิกชนในทุกๆลัทธิจะได้บังเกิดขอรับ.
เพราะสิ่งนึงที่กระผมมั่นใจได้ คือไม่ว่าจะใช้วิธีของพุทธนิกายเซ็นหรือพุทธนิกายใดๆถ้าไม่ได้สอนให้เข้าถึงหัวใจคือเรื่องความดับไม่เหลือแห่งทุกข์หรือพระนิพพาน ตามคำสอนของพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียวกันอย่างถ่องแท้แล้วนั้น ย่อมกล่าวไม่ได้ว่าเขาเป็นพุทธศาสนา,พุทธนิกายหรือพุทธลัทธิก็ไม่ได้เช่นกันใช่หรือไม่ขอรับ..
ขอกราบแสดงความเห็นเพื่อเป็นธรรมทานรังสรรค์แด่ผองพุทธศาสนิกะกัลยาณมิตรในทุกๆพุทธลัทธิที่รวมเรียกว่าพุทธศาสนิกชนด้วยกันทุกๆท่านนะขอรับ.
ขอกราบนมัสการพระคุณเจ้าด้วยความที่กระผมเคารพเลื่อมใสและศรัทธาเป็นอย่างยิ่งในพระพุทธ,พระธรรมและพระสงฆ์อย่างหาที่สุดมิได้มา ณ.ที่นี้ด้วยขอรับ
พ่อครูว่า…ที่ว่าท่านน่าจะได้อ่านคู่มือมนุษย์ของท่านพุทธทาส อาตมาก็ว่าท่านพุทธทาสน่าจะได้อ่านหนังสือคนคืออะไรทำไมสำคัญนักของสมณะโพธิรักษ์ ได้.. ยังมีอีกหลายเล่ม คู่มือมนุษย์อาตมาก็อ่าน อ่านจนวิจารณ์ว่าท่านผิดตรงนั้นตรงนี้เมื่อวิจารณ์เสร็จหนังสือเล่มนั้นก็ผิดไปเยอะเพราะศึกษาพุทธผิดปรมัตถ์ อ่านจนเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง เล่มนี้พิมพ์ออกมาวิจัยวิจารณ์ท่านพุทธทาสเยอะ ก็ปรากฏมีคนไปเห็นในที่เก็บหนังสือท่านพุทธทาส อยู่ในหมวดที่เขาด่าเรา หมวดนี้วิจารณ์เรา หมวดนี้เขาชมเชยเรายกย่องเข้าใจเรา ปรากฏว่าหนังสือเล่มนี้เขาไปใส่ไว้ในหมวดเขาด่าเรา ไม่ใช่วิจัยวิจารณ์ ยกย่องชมเชยไม่ต้องพูดเลย อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งอาตมาก็ทำมาตั้งแต่ท่านพุทธทาสยังไม่ตาย หนังสือเล่มนี้ก็ยังอยู่ เล่มที่ว่านี้ ไม่ได้ปิดบังอะไรกัน เป็นแต่เพียงว่าอาตมาก็เคารพท่านเป็นภันเตท่านบวชก่อน มีสัมมาคารวะในการวิจัยวิจารณ์ในการตำหนิติเตียนท่านตามควร
เอาเถอะคุณพยายามทำความเข้าใจให้ดีๆก็จะเกิดความบรรลุไปเป็นลำดับ คุณจะเข้าใจว่า…อ๋อมันมีสูงขึ้น ที่ถูกขึ้น และมันมีที่ไม่ถูก อันนี้เป็นเรื่องจริง ธรรมะพระพุทธเจ้า เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ ถ้าคุณบรรลุทีละลำดับจะเห็นทางที่ถูกต้อง จริงๆปฏิบัติไปเถิด คุณอ่านหนังสือคู่มือมนุษย์ของท่านพุทธทาส แล้วเอาหนังสือคนคืออะไรทำไมสำคัญนักของพระโพธิรักษ์ไปอ่านบ้างอ่านหลายๆเที่ยว
สู่แดนธรรม..คุณคนนี้ว่า พ่อท่านไม่ได้เข้าใจคำว่า ฌาน
พ่อครูว่า…ก็เอาความหมายของฌาน เอาล่ะ ใน sms มีอันนี้หมดแล้ว เป็นประเด็น เข้าเรื่องเลย เรื่อง ฌาน
เรื่องฌาน เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ฌานวิสัยเป็นเรื่องอจินไตย ที่มี 4 อย่าง
ในสมัยไหนก็ตาม ยุคไหนก็ตามจะมีคนปฏิบัติฌาน ฤาษี อาฬารดาบส อุทกดาบส ก่อนนั้นก็มีฌาน โดยคำว่าฌานของเขาแปลว่าเพ่ง เป็นสมถะ เป็นแบบทั่วไปเป็นแบบสามัญที่เข้าใจกันง่ายๆเป็นเรื่องสามัญเป็นเรื่องของสาธารณะ ไม่ใช่เรื่องพิเศษไม่ใช่เรื่องโลกุตระ ฌานทั่วไป เข้าปฏิบัติการแปลว่าเพ่งจนจิตเป็นสมาธิ
ในพจนานุกรมเล่มนี้ แปลฌาน ว่า การเพ่งจนใจเป็นสมาธิ หรือเพลิง ไฟ ก็อันเดียวกัน กับอีกอันหนึ่งคือเพ่งจนเป็นสมาธิ
คุณปฏิบัติเพ่งคือทำฌานแบบทั่วไปโลกีย์แบบเทวนิยม ทำกันทั่วโลกเมื่อไหร่เมื่อไหร่ก็เพ่งเป็นสมถะวิธี เพื่อให้จิตรวมกันเป็นจิตที่นิ่ง เป็นวิธี hypnotize สะกดจิตตัวเอง คนที่เรียนสะกดจิตมาจะรู้ว่านี่คือการสะกดจิต ไม่ได้เกิดการแยกแยะวิจัย ไม่ได้เกิดการนึกคิด ทำให้จิตมันรวมกันอย่างเดียว นิ่งๆแน่นๆ ๆๆ ๆๆยิ่งๆๆขึ้น เท่านั้น ๆๆ and the เท่านั้น ๆ ไม่มีอื่นเลย สำเร็จ แล้วคุณก็เข้าใจว่าอย่างนี้คือฌาน นี่แหละผิดจากของพระพุทธเจ้า
ส่วนฌานของพระพุทธเจ้ายิ่งเกิดฌานยิ่งจะแจ้งยิ่งจะสว่างยิ่งจะรู้รอบยิ่งรู้กว้าง รู้จักกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม ยิ่งรู้สังขารทั้งหลายแหล่ รู้การปรุงแต่งในโลกที่มนุษย์เขาสัมผัสกันแล้วรู้กัน ก็รู้เท่าทันเป็นโลกะวิทูชัดเจน แล้วสามารถเข้าร่วมสัมผัสร่วมทำงานร่วมกัน ช่วยกันได้ด้วยมากยิ่งขึ้นๆก็คือมีฌานที่แข็งแรงยิ่งขึ้น
ฌานที่เกิดของพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้เกิดจากการ เพ่ง จิตไปสู่กสิณ หรืออะไรอย่างหนึ่งวิธีปฏิบัติไม่ใช่อย่างนั้น ฌานของพระพุทธเจ้านั้นปฏิบัติด้วย จรณะ 15 วิชชา 8 ฟังอีกสองที
ฌาน ของพระพุทธเจ้า ฌาน 1 2 3 4 จะเกิดได้ด้วยการปฏิบัติจรณะ 15 และวิชชา 8 ร่วมกัน ทำให้เกิดอธิจิตหรือฌาน หรือแม้แต่ไม่ถึงฌาน ก็เกิด ศรัทธา หิริ โอตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา ก็เกิดที่จิตใจ
ตั้งแต่ศรัทธาก็เกิดที่จิต หิริโอตตัปปะเกิดที่จิต พหูสูตรก็อยู่ในจิต วิริยะ สติ ปัญญาก็อยู่ในจิต ฌาน 1 2 3 4 ก็จิตทั้งนั้น แล้วมีปัญญาเข้าร่วมเป็นยาดำ เป็นตัวช่วยให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีวิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ
-
วิปัสสนาญาณ
-
มโนมยิทธิญาณ
-
อิทธิวิธญาณ
-
ทิพโสตญาณ
-
เจโตปริยญาณ
-
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
-
จุตูปปาตญาณ
-
อาสวักขยญาณ
สู่แดนธรรมว่า..ลูกศิษย์ท่านพุทธทาสก็จะเข้าใจว่า ฌาน เกิดปิ๊งขึ้นมาโดยที่ไม่มีเหตุปัจจัยอะไร จะเกิดความไม่ยึดมั่นถือมั่นขึ้นนี่แหละสุดยอดแล้ว
พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าสอนทุกอย่างมาแต่เหตุ อะไรที่มาอย่างไม่มีเหตุผลอย่างนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ ลัทธินอกพุทธ 3 ในติตถยตนสูตร ไม่มีเหตุ เกิดมาจากของเก่า แล้วกรรมเปลี่ยนแปลงไม่ได้
การปฏิบัติฌาน จะเกิด ฌานของพระพุทธเจ้าเกิดจากการปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ก็ได้ แต่มันยาก เพราะพยัญชนะยากกว่า เอาที่จรณะ 15 มีฌาน 1 2 3 4 อยู่
จะปฏิบัติให้เกิดฌาน 1 2 3 4 เกิดจากการปฏิบัติศีลเป็นตัวหลัก เป็นตัวที่จะเพิ่ม ถ้าศีล 1 ข้อก็เกิดฌานที่กำกับเกี่ยวกับสัตว์ อธิจิตจะเกิดอีกก็เกิดจากศีลข้อที่ 2 จะเกิดข้อที่ 3 เกี่ยวกับ กามคุณ 5 ก็มีนัย ควบคุมไว้ ศีลควบคุมคนละเรื่องคนละบริบท ศีลที่ปฏิบัติการและก็จะเกิดอธิจิต จะเกิดได้ต้องปฏิบัติตรงกับอปัณณกธรรม 3 หลักปฏิบัติที่ไม่ผิด 3 ข้อนี้คุณต้องปฏิบัติอย่างมีการสำรวมอินทรีย์ 6 นะ ตา หู จมูก ลิ้น กา ยใจ ต้องเปิดตารับรู้ไม่ใช่หลับตา ตื่นชาคริยานุโยคะอยู่ตลอด ต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวกับของกินของใช้
เกี่ยวกับของกินของใช้ มันจะเกิด กามหรือเกิดอัตตากับของกินของใช้ คุณก็ต้องเรียนให้ครบ เพราะฉะนั้น หากคุณไม่มีปัณณกะ เป็นอปัณณกะ ก็ผิด คุณไม่มี 3 ข้อนี้ในการปฏิบัติ คุณก็ผิดหมดเลยไม่ใช่ศาสนาพุทธ การจะนั่งหลับตาปฏิบัติ การที่ไม่มีการสำรวมตาหูจมูกลิ้นกายภายนอกเอาแต่สำรวมใจอย่างเดียว หรือไม่เกี่ยวข้องเลยกับสิ่งที่จะสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย จะเป็นของกินของใช้อะไรไม่เกี่ยว นั่งสะกดจิตเข้าไปเดี๋ยวปัญญาจะปึ๊งทุกอย่างจะโผล่ขึ้นมาเอง ปึ๊งปั๊งขึ้นมา หรือปิ๊งสว่างอย่างที่ท่านพุทธทาสบอก
สู่แดนธรรม..ลูกศิษย์ท่านพุทธทาสบอกว่าถ้าหากปฏิบัติตามบทต่างๆจะกลายเป็นความยึดมั่นถือมั่น จะต้องปฏิบัติแบบไม่มีแบบไม่มีแผน การมีแบบแผนก็จะไปยึดถือตามอาจารย์สอน เป็นความยึดมั่นถือมั่น
พ่อครูว่า…ไม่มีแบบแผนก็เข้าป่าเข้ารกไป ไม่มีที่ไปที่มาเลยก็เป็นมิจฉาทิฐิ 3 ข้อนี้เป็นลัทธิ 3 อย่างที่ผิด
1.ปุพเพกตเหตุวาทะ ถือว่าเหตุเก่าพาเกิด มาจากกรรมเก่าวิบากเก่า
2 อิสรนิมมานเหตุวาทะ สิ่งที่เกิดมานั้นเกิดมาจากพระเจ้าทั้งนั้นมีผู้ยิ่งใหญ่สั่งการเป็นลัทธิของพระเจ้า
-
อเหตุอปัจจยะวาทะ คือไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย ลัทธิเชื่อว่าทั้งหมดไม่มีเหตุปัจจัยเกิดปุ๊บขึ้นมาได้เลย
อันนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิทั้ง 3 จากพระไตรปิฎกเล่ม 20 ข้อ 501 (ติตถยตนสูตร)
อาตมาต้องยืนยันด้วยหลักฐานจากพระไตรปิฎกด้วยเป็นเรื่องใหญ่ แม้แต่ในของอรรถกถาจารย์ก็มีบ้าง แต่เอาของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก อาตมาไม่ได้ปฏิเสธของอรรถกถาจารย์หรือผู้รู้บ้างที่มั่นใจ ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐนี้บันทึกไว้ไม่หมด พระไตรปิฎกมีอีกหลายฉบับ อันนี้มีแค่ 45 เล่ม พระไตรปิฎกของมหายานมี 300 เล่ม มีคนเคยเอามาให้แต่อาตมาไม่ไหว 45 เล่มนี้ก็ยังอ่านไม่ค่อยไหว 300 เล่มนี้ก็ไม่ไหวมีมากเยอะแยะ เพราะฉะนั้นแค่ 45 เล่มนี้เราก็ใช้ประมาณหนึ่ง ไม่ต้องถึงครึ่ง ให้คุณมีสภาวะจริงเกิดขึ้นแล้วที่เป็นสัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติสัมมาปฏิเวธ รับรองว่าไม่ต้องถึงขั้นนั้น
สู่แดนธรรม…คือเรื่องนี้เรากำลังพูดถึง ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ท่านพุทธทาสก็สอนเรื่องเหล่านี้จนกระทั่งท่านเองสมัยก่อนท่านเคยพาให้กินมังสวิรัตินะครับ ตอนนี้ก็เลิกกินไป เพราะมันจะกลายเป็นความยึดมั่นถือมั่น อยากให้พ่อท่านวินิจฉัยอะไรที่เรียกว่ายึดมั่นถือมั่น
พ่อครูว่า…เพราะว่าสมณะโพธิรักษ์มาพาให้กินมังสวิรัติโดดเด่น
การยึดมั่นถือมั่น กับอีกอันหนึ่ง คือ ความยั่งยืนมั่นคง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) สิ่งที่เป็นเช่นนี้แล้วไม่แปรเปลี่ยน
สิ่งเหล่านี้เป็นคุณสมบัติอันยั่งยืนไม่ใช่ยึดมั่นถือมั่น แต่ผู้ที่มีความยั่งยืนไม่เปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่ว่าไม่รู้เราไม่รู้เขา เราไม่เปลี่ยนแปลงเราไม่อะไรเลยแต่เราอนุโลมปฏิโลมกับคนอื่นได้ อย่างนี้คือไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น ถ้าคุณยึดมั่นถือมั่นแต่คุณเลยแล้วคุณก็ไม่ยอมอนุโลมกับใครอื่นเลยคุณก็ไม่มีปัญญาที่จะอนุโลมปฏิโลม แสดงว่านั่นแหละคุณยึดมั่นถือมั่น ถ้าคุณไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วคุณจะรู้ฐานของคนอื่นเขากับเรามันคนละเรื่องกัน เราจะรู้ว่าเขาก็ยังทำไม่ได้ยังจะต้องเป็น พยายามหาสิ่งที่มันมีภาวะเขาอยู่ในฐานนี้จะต้องเป็นอย่างนี้ แต่ให้เขาเริ่มเพิ่มขึ้นก็ยังไม่ได้ จะให้เขาต่ำลงก็ยังไม่ดี เขาก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ก็เพราะเขายึดมั่นถือมั่นอยู่ตรงนั้น
แต่ไปเข้าใจอย่างท่านพุทธทาสอะไรก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ยังได้เช่นคุณไสว แก้วสมก็บอกว่ากินเบียร์อย่างไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยจิตว่าง เสพกามด้วยจิตว่าง ถึงขั้นว่า เมียคุณ คุณก็ไม่ต้องยึดถือเมียของคุณก็เอามาให้อาตมา พูดกันถึงขนาดนั้นเลยสมัยก่อน เขาก็บอกว่าหลวงพี่พูดอย่างนี้ก็ไม่ค่อยดีสิอะไรอย่างนี้
สู่แดนธรรม…ปี 2528 พ่อท่านให้ตอบหนังสือที่จะทำลาย ความยึดมั่นถือมั่นของท่านพุทธทาสหนังสือนั้นชื่อว่า จับให้มั่นคั้นให้ตาย มีเรื่องสีลัพพตปรามาส พ่อท่านว่าต้องถือให้มั่นจะได้ไม่บาดมือ
พ่อครูว่า..ไม่ใช่อย่างที่คุณอธิบาย สีลัพพตปรามาส กับสีลัพพตุปาทานต่างกัน
สีลัพพตุปาทานคือ ทำตามจารีตประเพณีไปทำตามคนอื่นไปโดยไม่ได้รู้เนื้อหาสาระไม่ได้รู้เป้าหมายในการปฏิบัติ ก็ทำตามๆไปเท่านั้น
ส่วนสีลัพพตปรามาส มีนัยละเอียดกว่า สีลัพพตุปาทาน เป็นการยึดมั่นถือมั่นอย่างมิจฉาทิฏฐิเป็นการยึดมั่นถือมั่นไปตามจารีตประเพณีทั้งนั้นอย่างนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลยคือศีลอย่างงมงาย
ส่วนสีลัพพตปรามาส มีความรู้แล้ว 1 พ้นจากสังโยชน์ข้อที่ 1 คือผลจากสักกายะทิฐิ รู้จักกาย องค์ประชุมของรูปนามของเวทนาสัญญาสังขารเข้าใจได้แล้ว ได้มีวิธี สีลพรต หรือข้อปฏิบัติ วิธีปฏิบัติที่จะละล้าง กาย ที่จะดับ กายกลิ กายที่เป็นกิเลส กายที่เป็นพลังงานไม่ดี ที่จับได้แล้ว เหมือนโจร คุณจะกำจัดโจร ต้องรู้จักตัวโจรให้ดีถึงจะจับโจรได้แล้วคุณต้องประหารมันให้ได้ แต่ทีนี้คุณจับโจรได้ รู้ตัวมัน ถึงตัวมันแต่คุณก็เล่นหัวกับมันลูบคลำมันอยู่กับมันไม่ได้ฆ่าโจรไม่ได้จัดการโจร เรียกว่านี้เป็น สีลัพพตปรามาส เหยาะๆแหยะๆลูบคลำ ไม่ทำลายกิเลส คุณมีภูมิ ผ่าน สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สองสังโยขน์แล้ว แต่ไม่ผ่านสังโยชน์ข้อที่ 3
ต้องจับให้มั่นคั้นให้ตายต้องลงลึกให้ชัด
สู่แดนธรรม..ตอนไหนที่จะเลิกจับมั่นคั้นตาย
พ่อครูว่า…ถ้าคุณทำสำเร็จแล้ว เราจะต้องไปคั้นไปเค้นทำไมเราพ้นแล้วคนอื่นจะมาว่าอย่างไรก็แล้วแต่ แต่เราสะอาดแล้วว่างแล้ว มีปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…หากเราไม่ยั่งยืนมั่นคงเราก็จะอนุโลม ปฏิโลม ให้เขาไม่ได้
_นักรบธรรม…คนฉลาดที่สุดของโลกเขาไปเรียนทางหลับตา เขาได้สภาวะอรหันต์ นิพพาน ผมก็เคยปฏิบัติอย่างนั้นก็คิดว่าเป็นสุดยอดของพุทธศาสนา แต่มันไม่ใช่ของจริง
พ่อครูว่า..สรุปแล้ว คุณอู๊ดเขาบอก สมัยก่อนคนก็ยึดมั่นถือมั่นแบบที่นั่งหลับตา ได้ผลของการนั่งหลับตามันมีผลของมันเป็นมิจฉาผล เพราะเหตุของเขาแบบนั้นก็ได้ผลแบบนั้นแต่ไม่ได้เป็นเหตุตามทฤษฎีพระพุทธเจ้าผลตามทฤษฎีพระพุทธเจ้าทั้งทิฐิทฤษฎีก็ไม่ใช่อันเดียวกันและจะได้ผลอย่างเดียวกันได้อย่างไรมันก็ไม่ได้ เอาไปปฏิบัติตอนนั้นก็ต้องได้ ฌานได้สมาธิแบบของเขา แต่เป็นฌานที่เป็นมิจฉาฌานมิจฉาสมาธิ ได้จริง อาตมาก็ทำได้ทำเป็น เคยหลงผิดแบบนั้นมา เคยเล่นไสยศาสตร์ก็ใช้ฌานแบบโลกีย์นี่แหละ
แต่มาได้ฌาน ของพระพุทธเจ้าจะรู้เลยว่ามันไม่ใช่ฌานแบบนั้น ฌานแบบนั้นเราก็ได้ ไม่แน่อาจจะได้ดีกว่าเขาด้วยซ้ำ สะกดจิตให้นิ่งให้เข้มแข็งเป็นสมถจิต เช่นทำให้หนังเหนียว อาตมาเคยลองกัน เอามีดโกนยิลเล็ต หรือเอามีดที่คมมาก โกนขนได้ ต้องเอามีดคมๆมาฟัน
ก็ฟันไม่เข้า หรือยิลเล็ต มาผ่านก็เหมือนเอาอะไรทื่อๆมาขีด มีขีดแดงๆ กดก็เจ็บ บางที่เป็นเส้นแดงๆ แต่มันไม่เข้า เพราะหนังเหนียว แต่ก่อนอาตมาขี่รถ โอเปิล คัปปิตัน มอเตอร์ไซค์ ก็ขี่ไปเชิงสะพานตรงกรมปชส.เก่า มีรถยนต์มาจากไหนมาชน มีสามล้อเห็นว่าอาตมาลอยไปเลย แต่ก็ไม่เป็นไร หม้อน้ำมันบุ๋มลงเป็นรูปขาอาตมาเลย เขาว่าพี่ลอยไปเลย หากไม่ลอยมันคงเหยียบพี่แน่ แล้วก็ไม่มีแผลเพราะคงกะพัน ตอนนั้นเล่นไสยศาสตร์ไม่มีเลือดเลย เพื่อนก็หามขึ้นรถส่งรพ.ส่งไปทีนี้มันก็บวม กางเกงถอดไม่ออก ต้องตัดขากางเกงออก หมอก็บอกมันบวมเขียว ก็ไม่ได้ผ่าตัด ไม่หัก ที่ไหนได้ข้างในแตก แต่ข้างนอกเหนียว เนื้อมันก็แตกแยกกัน แต่หมอบอกไม่เป็นไร ก็รักษาตามอาการ ก็ส่งให้กลับบ้าน ก็มานอนรักษาไป 2-3 เดือนกว่าจะหาย หายเสร็จแล้วขาบุ๋ม เดินก็ต้องใช้ไม้พยุง แต่ตอนนี้ปล่อยวางไสยศาสตร์ไปแล้วไม่หนังเหนียว เดี๋ยวนี้แม้แต่โดนหนามก็ทิ่มเป็นแผลได้
เรื่องพวกนั้นเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ เป็นกำลังของอุปาทาน เป็นได้สารพัด ทำให้หายจากโรคก็ได้ ทำให้เป็นโรคก็ได้ ไม่เป็นโรคก็ทำให้เป็นโรคได้ เป็น psychosis เป็นโรคทางจิต
เข้าสู่ ฌาน ฌานของพระพุทธเจ้าต้องเกิดจากจรณะ 15 หรือเกิดจาก ศีล สมาธิ ปัญญา หรืออธิศีล อธิจิต อธิปัญา อธิมุติ(การเจริญทางมุติ)
ฌาน คือพลังงานไฟ ในพจนานุกรมหลายเล่มแปลว่าไฟ แต่บางเล่มแปลว่า การเพ่ง
ของ เจ้าคุณอุดร กับของ รองศาสตราจารย์ดรจำลอง สารพัดนึก ก็มีแปลว่า ไฟ แต่ของท่านพุทธโฆษาจารย์แปลว่า เพ่ง หรือพินิจด้วยจิตที่แน่วแน่ มันเป็นสมถะมันไม่เป็นพลังงานปัญญา ที่เป็นความรู้ที่มีพลังงานวิเศษเหนือชั้นกว่าความโง่ เหนือชั้นกว่าความรู้ที่ยังไม่รู้เท่า พลังปัญญานี้เป็นความรู้ที่ยิ่งกว่าความรู้ที่เป็นโลกียะที่เป็นเทวนิยมจึงละลายหรือกำจัดความรู้ที่มันไม่รู้นี้ได้ มันเป็นความเหนือ เหนือกว่ากันจริงๆ มันเป็นนามธรรมทั้งหมดเลย
ฌาน ของพระพุทธเจ้าจึงจะเกิดได้ด้วยการปฏิบัติ มี การปฏิบัติที่ถูกต้อง ไม่ผิด 3 ข้อ คือ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค ถ้าไม่มี 3 ข้อนี้ปฏิบัติผิดไปจากศาสนาพุทธ 1 คุณมีชีวิตอยู่ในสามัญปรกติ ตาหูจมูกลิ้นกายใจเปิดได้รับ ก็มีการสังวรระวัง แล้วคุณก็เกี่ยวข้องกับของกินของใช้ โภชเนมัตตัญญุตา มันสัมผัสสัมพันธ์เมื่อไหร่ก็จะเกิดการปรุงแต่งในจิตเสมอและคุณต้องรู้ทัน จึงเรียกว่าชาคริยา ตื่น ไม่ใช่เผลอๆง่วงๆลืมๆ..ไม่ใช่..ต้องตื่นรู้ ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมก็มีสติเต็มรอบ รู้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคุณ นี่คือเงื่อนไขหลักของ 3 ข้อนี้
เพราะฉะนั้นผู้ที่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติตัดทิ้งทวาร 5 ไปเลย จบเห่เลย ไม่มีทางบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า เลิกเลย เพราะฉะนั้นกำกับว่าจะต้องมีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายอย่างนี้ แล้วเขาเข้าใจคำว่ากายก็ผิดอีก
หากเขาเข้าใจผิด เข้าใจกายคือภายนอก พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า คุณจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 แต่ไปเข้าใจว่าวิโมกข์ 8 คือนั่งหลับตาสมาธิอีกเรียกว่าสมาบัติ ถึงขั้นเข้าไปอยู่ในฌานในสมาธิอย่างนี้จริงๆ ต่อให้คุณเข้าใจผิดอย่างนี้อีก ท่านก็บอกว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย คุณเข้าใจคำว่ากายนี้คือภายนอกเท่านั้นก็ต้องมีแต่ภายนอกสิ เห็นไหมมันซับซ้อนกี่ชั้น ท่านกำกับไว้หมดทุกหมวดหมู่ แต่เขาก็ไม่เข้าใจฌาน
ของท่านพุทธโฆษาจารย์(ท่านประยุทธ ประยุตโต) แปลวิโมกข์ 8 คือ ความหลุดพ้น ภาวะที่จิตปลอดพ้นจากสิ่งรบกวน และจิตใจน้อมดิ่งเข้าไปในอารมณ์นั้นๆ อย่างปล่อยตัวหรือปลอดตัวหรือปล่อยตัวเต็มที่ ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนต่างๆ ไม่ใช่!
วิโมกข์ 8 คือธาตุพฤติกรรมของการปฏิบัติตั้งแต่ข้อ 1
-
ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ)
-
ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66) ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี . เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) . (*พ่อท.แปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)
-
ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ อธิมุตโต . โหติ, หรือ อธิโมกโข โหติ (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)