630622_รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์(สำมะปี๋ซี่วิต) ครั้งที่ 8 ลานนา ภูผา ส่วนป่านาบุญ USA
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1QXabXyJMncovoq7MU13WwtDp6xXMj6ebYBTCeLa_d-U/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1vx2slynsVUzdDrHLRnNiZAv4qFxbhmC9/view?usp=sharing
สู่แดนธรรมว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้มีคิวลูกๆจาก ภูผาฯ จากลานนาฯ จากดอยรายฯ จากสวนป่านาบุญ ปทุมธานี และจากอเมริกา
พ่อครูว่า…
SMS วันที่ 21 มิ.ย. 2563 (วิถีอาริยธรรม : พ่อครู)
_view6 view6 วิว6 วิว6: พระแต่มีครอบครัวได้จะเรียกพระไม่ได้ คงเป็นเพียงผู้ถือศีล /เช่นแม่ชีในพุทธ เรียกตัวเองว่าแม่ชี ทำให้คนไทยเข้าใจผิด มันก็แค่ผู้หญิงถือศีล /ซื่งต่างจากสิขมาตุของอโศก สูงกว่ามาก/แต่แม่ชีจริงๆหมดไปแล้ว
_STC by Metta เอสทีซี บาย เมตตา : ดูที่ยูทูปเสียงดีกว่าใน Facebook
_Samsung ซัมซุง: เคยได้ยินและเห็น พวกมันคายคำพูดจึงรู้ สวดภานยักษ์ จ้างคนล้มลงคนละ 1000 บาท แกล้งหลับตาปี๋ชักดิ้นพอถูกน้ำพรมฟื้นแกล้งโง่ใครมาถาม ตอบเป็นอะไรไม่รู้พวกที่เห็นก็ว่าคุณดิ้นร้องพวกรับจ้างทำได้เงินมีหลายคนหลอก
พ่อครูว่า…เรื่องพวกนี้อาตมาเล่นอาตมาทำมาเยอะแล้วเมื่อก่อน สวดภาณยักษ์ก็คือเอาคำบาลีมาร้อยเรียง จริงๆแล้วสวดภาณยักษ์ มันเป็นการสวดจะไปยึดถือกันว่าเป็นมนต์ขลัง สวดแล้วจะไปกระทบพวกที่เป็นผีเป็นยักษ์มาร จะถูกคาถานี้เข้าแล้วจะดิ้นชักดิ้นชักงอเข้าทรง การเข้าทรงหรือการที่เป็นอุปาทานของจิตต่างคนต่างของใครของมัน บางคนก็จะดิ้นท่านี้บางคนก็จะดิ้นท่านั้น บางคนก็จะมีร้องด้วย อะไรก็แล้วแต่สารพัดที่จะยึดถือ เป็นอุปาทานที่ยึดมั่นถือมั่น สร้างภพชาติติดยึดมา โดยไม่รู้ว่าเป็นอวิชชาติดยึดมากก็เป็น เสร็จแล้วมาเป็นเข้าก็แสดง จิตมันจะรวมนะคนที่เข้าทรง จิตมันจะรวมเป็นสมถะเป็นหนึ่ง ก็จะมีประสิทธิภาพ ประสิทธิภาพที่จะมีเดรัจฉานวิชา อาเทสนาปาฏิหาริย์อิทธิปาฏิหาริย์ได้ มันจะแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ได้เกินกว่าคนสามัญธรรมดาได้ คนธรรมดาบอกให้ทำไม่ได้ แต่ตอนนั้นให้ทำได้ก็ตามแต่ฐานะของแต่ละคน อาเทสนาปาฏิหาริย์ก็ทำได้พอสมควรตามแต่ละฐานะ หยั่งรู้จิตใจคนนั้นคนนี้ทายรู้ของหาย หาคนตายอะไรได้ สารพัดเป็นได้
อย่างน้อยเป็นอุปาทานที่คุณยึดไว้ อย่างมากก็เป็นจิตที่คุณปั้นมาเอง เป็นมโนมยอัตตา เป็นจิตที่สำเร็จที่สร้างปั้นมา มีรูปก็เป็นนิรมาณกายรู้ร่วมกับคนอื่นก็เป็นสัมโภคกาย แล้วก็เป็นอาทิสมาณกาย ต่างคนต่างไม่มีใครเห็นของคนอื่น เห็นแต่ของตัวเองเท่านั้น เสร็จแล้วก็มาร่วมพูดคุยร่วมเห็นด้วยกัน ก็เรียกว่าสัมโภคกาย ใครจะเห็นเป็นอย่างไรก็แล้วแต่นิรมาณกาย
จะล้างได้ด้วยปัญญา
_ตอนนี้ ยุคไหน : พระเทวทัต ในอดีด ก็รวบรวมพักพวก จะตั้งตนเป็นใหญ่เหนือพุทธเจ้า เหนือสงฆ์ทั้งหมดโดยการจะนำศีลและข้อบรรยัติ ให้ภิกษุทั้งหมดห้ามฉันท์เนื้อสัตว์ เธอเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า กำลังเดินตามรอยเทวทัต / เพราะภิกขุผู้ขอ ไปเดินบิณทบาตร เลือกไม่ได้ที่ ชาวบ้านจะใส่อะไรให้ในบาตร
พ่อครูว่า…ดีนะ ใครใส่อะไรมาใส่บาตรก็รับ แค่หากเขาเอาเหล้าใส่บาตรคุณก็ต้องดื่ม ขออภัยพูดให้ชัดเจนเขาเอาขี้ใส่บาตรคุณต้องกินหรือ..จะบ้าพาซื่อง่ายๆอย่างนั้นได้อย่างไร มันต้องมีวิจารณญาณทั้งนั้น เราก็อธิบายเขาได้ เขาเอาเนื้อสัตว์มาใส่เราก็อธิบายว่าเราไม่ฉันเนื้อสัตว์เราฉันมังสวิรัติ เขาเอาเงินมาใส่เราก็อธิบายได้ว่ามันไม่ถูกต้องนะ เอาดอกไม้มาใส่บาตรก็ไม่ถูกต้อง สิ่งที่เป็นวัตถุอนามาสเป็นสิ่งที่ไม่ถูกไม่ดี เราก็อธิบายเขาไป ไม่ต้องมาพาซื่ออย่างนั้น
เรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ตามใจพระเทวทัตที่พระเทวทัตให้ตั้งกฎระเบียบโดยให้ยอมรับ ธุดงควัตร 13 ข้อ ให้บัญญัติว่าให้เป็นอย่างนี้ ทั้ง 13 ข้อนี้เลย มันมีหมดทั้งไม่ฉันเนื้อ อยู่ป่า บิณฑบาตเป็นวัตร ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติของพระมหากัสสปะที่เคร่งครัด
พระมหากัสสปะเป็นตัวอย่างของพระป่าที่ติดยึดมากนานมากตามประวัติ ซึ่งเป็นวาสนาของพระกัสสปะ ในที่สุดท่านรู้แล้วท่านมีสัมมาทิฏฐิสุดท้ายท่านก็ออกจากป่า จนปรินิพพานดับไปจนตายว่างั้นเถอะ พระกัสสปะก็อยู่ป่าจนตายก็มีลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นพระที่ถนัดแบบพระป่าก็ไปอยู่ด้วย พระมหากัสสปะก็ย่อมยังงั้น
พระพุทธเจ้าไม่ได้ทำตามพระเทวทัตเพราะในยุคนั้นคนก็ฉันมังสวิรัติเป็นปกติ ก็จะไปบังคับทำไม บางคนทำไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่บกพร่องของส่วนตัว แม้แต่ธุดงควัตรข้ออื่นๆพระพุทธเจ้าก็ปล่อยให้เป็นอิสระเสรีภาพของแต่ละบุคคลอย่างนี้เป็นต้น มาศึกษาให้ดีๆจะรู้ว่า แม้ว่าจะบัญญัติหรือไม่บัญญัติ แม้จะเป็นข้อที่ควรก็จะไม่ได้บังคับแต่ให้เป็นไปตามอิสระเสรีภาพผู้ที่มีภูมิธรรมถึงเขาก็ทำเอง เขายังไม่ถึง เขายังละเมิดอยู่ เขายังต้องทำ มันก็เรื่องของเขา อย่างพวกเราชาวอโศก รู้ว่าพวกเรามังสวิรัติกัน แม้แต่นมแต่ไข่ เราก็ไม่ได้รับประทานกัน แต่ผู้ที่เขายังไม่ไหวเขาจะทานนมทานไข่อยู่ เราก็ไม่ได้ไปละลาบละล้วงอะไรเขาก็เป็นแต่เพียงว่าก็ยิ้มๆ คนที่เขาศึกษากับพวกเราดีๆเขาก็รู้ว่าพวกเรามีอนุโลมปฏิโลม เพราะส่วนใหญ่เป็นมังสวิรัติที่ไม่มีแล้วแม้แต่นมแต่ไข่ อย่างนี้เป็นต้น ไม่ทานเนื้อสัตว์ไม่ทานเนื้อปลาไม่ทานนมทานไข่ ทานแต่ผักพืช เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วไป ก็รู้กันด้วยปัญญาว่าอย่างนี้สูงกว่าดีกว่าอย่างนี้ยังไม่ดีก็ทำให้มันดีขึ้นมา ผู้ใดที่เขาไม่เห็นว่าดีเขายังจะยึดถืออย่างนั้น ก็ตัวใครตัวมันบังคับกันไม่ได้ เอาตามแต่ละคนจะเห็นควร
_Thakrit Phimlamart ฐกฤต พิมลามาตย์: กราบนมัสการท่านพ่อครูและท่าน สมณะสิกขมาตุทุกรูป ด้วยความเคารพยิ่ง ติดตามชมและรับฟังธรรมมะ อันเป็นมงคลยิ่ง ผมได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมานานแล้ว พึ่งจะได้เข้ามาติดตามผลงานของท่าน ช่วงมาอยู่กับลูกสาวคนที่ 2 ที่บาร์เซโลน่า ช่วงที่2 เมื่อมีโอกาสคงได้กลับมากราบท่านที่ราชธานีอีกครั้ง กราบขอบพระคุณมากครับ
_สถานีวิทยุเสียงธรรมร่วมใจ : วัดป่าสวนธรรมร่วมใจ สัญญาณต้นทางก็ดีขึ้นมากแล้วครับ ที่ติดๆขาดๆ เป็นที่ปลายทางผู้รับหรือเปล่าครับ
_Walailak Dennis วลัยลักษณ์ เดนนิส : กราบนมัสการค่ะ เสียงชัดเจนที่ประเทศอังกฤษด้วยค่ะ
_Kaewnamphet Khamsri แก้วน้ำเพชร คำศรี : ชัดเจนในอาหารมังสวิรัติค่ะ เพราะมีสภาวะรับรู้ด้วยตัวเองว่า เนื้อสัตว์ไม่ใช่อาหารของเรา ก่อนที่จะมารู้จักอโศก และทำให้ปฏิบัติศีลได้บริสุทธิ์ขึ้นค่ะ
_หลวงตาแด่ธรรม ธัมมรักขิโต : อัสสาทะรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส กามคุณทั้งหลาย เขาก็เป็นของเขาอยู่อย่างนั้นในโลก จิตของพระอริยเจ้า ท่านไม่สุขไม่ทุกข์กับสิ่งเหล่านั้นแล้ว อยู่เหนือกิเลสทั้งหลาย
พ่อครูว่า…ไม่ใช่เราก็อร่อยอยู่แต่เราทำเฉยนะ อาการจิตเราก็ยังอร่อย แต่เราก็บอกว่าไม่ต้องไปยึดมั่นเป็นเราเป็นของเรา มันเป็นบัญญัติ คนที่สามารถถึงขั้นนี้ก็พอใช้ได้ ก็พอวางได้ มันก็เป็นของมันอย่างนั้น มันเป็นสมาธิแบบลืมตาเป็นสมถะทางบัญญัติ จริงๆ จิตของคุณยังมีรสอะไร รสที่มันกลางๆเป็นอย่างไร อร่อยคืออะไร ไม่อร่อยคืออย่างไร มันก็จะต้องอ่านอาการในจิตให้รู้จริงๆ ให้รู้ความจริงตามความเป็นจริง รสอันนี้มันหวานก็รู้ว่าหวาน แต่รสอร่อยมันแซมอยู่ในรสหวาน มันหวานมากหวานน้อยก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง เสียงอย่างนี้เป็นเสียงนี้ มันจะเรียกว่า เราก็เคยจำได้อย่างนี้เราเรียกว่าไพเราะ เราปรุงแต่งร่วมด้วยได้ เสียงแบบนี้เป็นอมตะ แต่สมัยใหม่ที่เขาปรุงแต่งกันเราไม่ค่อยรู้เรื่องเขา แต่ก่อนเราเคยสมมุติมันก็จำได้มันเป็นอย่างนี้ เสร็จแล้วเราก็บอกว่ามันก็อร่อยมันก็เพราะอย่างนี้ แต่เราก็เฉยเสียนี่มันซ้อนไม่ใช่นะ จิตของเราจะเห็นว่าเออ อย่างนี้มันก็เป็นสิ่งอย่างนี้แหละ มันไม่มีไพเราะอย่างเก่า มันจางคลายหายไปเลย มันกลางๆจริงๆ แต่คุณจะจำได้ว่าเราเคยติดยึด แยกให้ออกว่าอันนี้เป็นสัญญาเป็นความจำได้ ขณะนี้สัญญาก็ไม่มี สัญญาก็เป็นกลาง สัญญาก็เป็น 0 ไม่มีรส
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ล้วนเป็น 0 หมด กลางๆหมด อุเบกขาหมด นี่แหละ ความ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34) รู้ตามได้ยากขนาดศึกษากันมาขนาดนี้นะ
ผู้ที่ยังไม่รู้รายละเอียดก็บอกว่าตัวเองบรรลุมันรู้อย่างนั้นเหมือนกับมหาบัว ยังกินหมากอยู่ แต่ว่าตนเองมีมานะอัตตา มานะ อติมานะที่ว่าตัวเองยิ่งใหญ่หาเงินเข้าคงคลังได้เยอะแยะไปหมดเลย มีรูปธรรมมีคนเห็นจริงว่าเป็นคุณค่า มหาบัวช่วยประเทศชาติไว้อันนั้นเป็นความจริงที่ดีอยู่ ที่จริงมันก็เป็นเรื่องของประชาชนเพราะไม่ใช่มหาบัวคนเดียวมีองค์ประกอบนะ ถ้าไม่มีองค์ประกอบมหาบัวก็เรี่ยไรไม่ได้ขนาดนี้ ถ้าพูดมากไปก็คงไม่ดีมันมีความซับซ้อนลึกซึ้ง เรียนดูให้ดีแล้วก็จะรู้ว่า อย่างอาตมานี้ขออภัยที่พูดเรื่องนี้อีก เพื่อความเข้าใจชัดเจน มันเหมือนสูงแต่มันยิ่งต่ำ นี่คือสภาพสัจธรรม ที่เป็นสิริมหามายา
ที่อาตมาต้องพูดเรื่องนี้ อาตมาก็พยายามที่จะใช้บุคคล อย่างใช้ท่านมหาบัว แต่องค์อื่นไม่ได้พูดไม่ได้เขียนไว้มาก ไม่ว่าจะเป็นฤาษีลิงดำ แม้แต่อาจารย์มั่น อาจารย์เสาร์ แม้แต่ สายหลับตาอีกเยอะ ก็ไม่ได้ไปเขียน ไปพูดอะไรไว้เหมือนมหาบัว ซึ่งเขามีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ เพราะเหตุปัจจัยประกอบอะไรเยอะก็เลยมีคนตาม ก็เลยเอาอันนี้เป็นตัวอย่างที่จะมาขยายความอธิบายความ เป็นประโยชน์เรียนรู้ก็ขอบคุณมาหาบัว เหมือนกับเคยขอบคุณพระเทวทัตที่เป็นตัวอย่างให้ได้เอามาอาศัยอธิบายขยายความในพฤติกรรมของตนเอง
_ภูผาฟ้าน้ำ…อ.หมอเขียว…นำเรียนพ่อครูโดยสังเขป 5 ประเด็น
-
ดอยแพงค่าภูผาฟ้าน้ำ มีดินป่าน้ำปุ๋ยที่สะอาดฟรี
-
เราได้ทำธนาคารน้ำ แก้ปัญหาน้ำแล้ง
-
ที่นี่ได้ทำกิจกรรมถ่ายทอดสดทางหมอเขียวทีวี รายการสาระดีๆ และลิงค์รายการจากบุญนิยมทีวี มีผู้มาเห็นประมาณหมื่นกว่าคน คนชมก็สองพันกว่า-ห้าพัน บวกลบ ทางบุญนิยมทีวี สถิติก็ใกล้เคียงกัน
-
ตอนนี้เรากำลังดำเนินการติดตั้งไฟแดด 15 KW
-
ประสานกับภาครัฐในการออกเอกสารรับรองที่ทำกินให้สมบูรณ์ถูกต้อง
_ดอยรายปลายฟ้า…13 มิถุนายน ได้ต้อนรับ ท่านสมณะเดินดิน กับท่านสมณะดินไท ที่มาทำฟันกับหมอก้อง วันที่ 15 ทางสมณะดวงดี เดินทางไปจำพรรษาที่ศีรษะอโศก ชาวดอยรายฯอยู่กันในพื้นที่ 12 คน ญาติธรรมภายนอกก็ร่วมส่งเสบียงมาช่วย ทิดกลางดงก็มาช่วยงาน
พ่อครูว่า…ดอยรายปลายฟ้า ยังไม่ใช่พุทธสถาน เป็นอาวาสสถาน แล้วยังมีที่ที่เป็นของดอยรายปลายฟ้าอีกที่ อยู่บนดอยอีกเยอะ เป็นสัดส่วนสวยมากเลยอีกด้วย ผู้ใดที่ชอบอย่างนั้นและจะไปทำให้เป็นประโยชน์ขึ้นมา สนใจก็ไปร่วมกันที่สถานที่ดอยรายปลายฟ้าได้ ผู้ที่ชอบมีที่ดินอยู่บนยอดเขา ไม่ใช่ยอดเขาที่ทำขึ้นมาเอง นี่อาตมากำลังจะทำเป็นเขา ตะนาวศีล ไม่ใช่ตะนาวศรีนะ อันนี้ก็สร้างเองเป็นมนุษย์ทำ แต่อันนั้นเขาเป็นธรรมชาติของเขา
ลานนาอโศก…ส.บินบน..ขอรายงานสถานการณ์โควิด ที่เชียงใหม่ ตั้งแต่ 14 มิถุนายน ที่เชียงใหม่ไม่มีผู้ติดเชื้อ ส่วนผู้ที่ติดเชื้อแล้วก็รักษาหายจนหมด
สำหรับบวรภูผาฟ้าน้ำ มีการสอนพระวินัยตอนเช้า ส่วนของฆราวาสให้ ฟ้าเป็นคนรายงาน
เกร็ดรุ้งฟ้า…ที่บวรภูผาฯลานนาฯ เราอยู่กันอย่างสาธารณโภคี มีการฟังธรรม มีกสิกรรมไร้สารพิษ การ์ดก็ยังไม่ตก ยังมีการล้างมือ ใส่แมส กราบนิมนต์หลวงปู่ให้สัมมาทิฏฐิค่ะ
พ่อครูว่า..พูดกันอยู่ก็เป็นสัมมาทิฐิอยู่แล้ว สมาธิก็มีความลึกไปตามลำดับไม่ว่าจะเป็นสมณะ สิกขมาตุและผู้อื่นๆก็ได้บรรยายไล่เรียงกันมาเรื่อยๆ บางที พยายามทำความเข้าใจตรงที่ว่า ถ้าฐานที่ยังไม่สูง มันจะเป็นอย่างหนึ่ง พอสูงขึ้นไป จนกลับไปอีกรอบ ก็จะกลายเป็นเหมือนที่ต่ำขึ้นไปสูงและเหมือนอันที่สูงลงมาหาต่ำ อันนี้แหละเป็นเรื่องที่เราเรียกกันอยู่ว่าเป็นสิริมหามายา มันกลับไปกลับมา แต่ความจริงมันเป็นความจริง มันเหมือนก้นหอย วนไปวนมา ซ้ายขวา ซ้ายขวา ถ้าคนที่ไม่เจริญ มันก็จะซ้ายขวาอยู่กับที่ ซ้ายขวาและขวาก็มาซ้ายอยู่กับที่ หรือต่ำลงไป ซ้ายขวา กลายเป็นขยายความเสื่อมให้โตขึ้น เขาไม่รู้เขาก็จะซ้ายขวาแล้วลงต่ำ แต่ถ้าเผื่อว่าผู้รู้แล้ว มันวน แม้โลกก็คือวน แม้โลกโลกุตระก็วน แต่วนแล้วซ้ายขวามันมีอัตราการเจริญสูงขึ้น มันวนไปมาจริงแต่มันมีความสูงขึ้นมาด้วย สูงขึ้นมาเหมือนก้นหอย สูงขึ้นไปหาปลายก้นหอย ซ้ายขวาซ้ายขวา เป็นรอบใหม่ก็สูงขึ้นไปอีก เล็กลงเล็กลง เป็นนัยยะ ที่พอพูดกันเป็นรูปธรรมให้เราเข้าใจกันได้
ลักษณะที่เหมือนกับซ้ายขวาซ้ำซาก วนกลับไปกลับมา จึงเป็นลักษณะของภาษาที่เราใช้เรียกอยู่ว่าสิริมหามายากลับไปกลับมา เดี๋ยวก็มีเดี๋ยวก็ไม่มี เดี๋ยวก็ใช่เดี๋ยวก็ไม่ใช่ เดี๋ยวอาจจะมาซ้ายหรือขวาอย่างนี้แหละ แต่มันมีนัยยะสำคัญอยู่คือว่า มันเจริญขึ้น มันถูกต้องมันมีอัตราการก้าวหน้าที่เจริญขึ้นอย่างแท้จริง มันก็ต้องรู้จักสภาวะธรรมของความเจริญก้าวหน้าคืออย่างไร บัญญัติมันอาจจะต้องแค่นั้น ซ้ายขวา กลับไปกลับมา ดำขาว สูงต่ำ อะไรอย่างนี้เป็นต้น มีหรือไม่มีอะไรก็แล้วแต่ เป็นภาษาคู่ ภาษาเทวะ หรือเป็นภาษากายะ เรียกว่าเป็นธรรมะ 2 อย่างละเอียดลึกซึ้งติดตามให้ดีๆ
ตอนนี้อาตมาเขียนและบรรยายถึงพวกนี้เยอะ หนังสือก็คงจะได้ทยอยพิมพ์กันมาก็คงจะเสร็จแล้ว อีกเล่มนึงเป็นเปิดยุคบุญนิยมเล่ม 1 รวบรวมเปิดยุคบุญนิยมเล่ม1 กำลังจะเสร็จแล้วจะส่งให้พิมพ์กันได้ มีสองตอนก็ตรวจเสร็จแล้ว
แม้แต่เล่ม 1 อ่านให้ดีๆสัก 5 เที่ยว 10 เที่ยว จะชัดเจนจะลึกซึ้งขึ้น ใครจะรู้ดียังไงก็อย่าประมาท ควรอ่านอย่างน้อย 5เที่ยว อย่างท่านหนักแน่น กลางคืนก็ตื่นมาอ่าน ไม่นอนเท่าไหร่เลย อาตมาว่าไม่มีใครอ่านมากเท่าท่าน อ่านทั้งเล่มนะ ไม่ใช่อ่านแค่หน้าปกหลังปก ท่านอ่านแล้วได้ประโยชน์เข้าใจเพิ่มขึ้น จนจำได้ ว่าอันนี้อยู่หน้าไหนอยู่เล่มไหน อาตมาเล่มเก่าๆแก่ๆ ไปเก็บมาหมด ตั้งแต่ซีร็อกซ์ ท่านก็มีมา เราก็เขียนมาหมดบรรยายมาหมดแล้วทุกขั้นตอน เก่าๆชัดสั้นสำหรับฐานะนั้น แต่ตอนนี้มามันกลับกัน เราก็เข้าใจเหตุปัจจัยมันมีฐานต่างๆก็จะไม่สับสน จะไม่งง ก็จะรู้ ในบัญญัตินี้มันน้อยกว่าสภาวะ เมื่อเวลาบัญญัติสลับซับซ้อนเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนเป็นสิริมหามายา อันนี้แหละที่ถกเถียงกันอยู่ คนที่ไม่รู้ก็จะเถียง อาตมาก็เข้าใจ ก็จำนน ต้องค่อยๆอนุโลมปฏิโลมกับเขาไป
_สวนป่านาบุญ 3 …ขอรายงานสถานการณ์ช่วงโควิด เราประจำในศูนย์ ก็ยังปิดศูนย์อยู่ในการอบรม แต่ก็มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ แต่ขายในระยะไกล ไม่ได้ให้เข้าในพื้นที่ เราก็ทำกสิกรรมไร้สารพิษกัน ปลูกผัก เพื่อรับประทานเองในศูนย์ มีเหลือก็แบ่งปัน
พ่อครูว่า…พูดไปก็อยู่ในพฤติกรรมที่เราเข้าใจกัน และพยายามปฏิบัติ ประพฤติ ให้มันได้จริง เป็นจริง แล้วจะรู้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องไปเชื่อใคร อปรปฺปจฺจยา ญาณเมวสฺสเอตฺถ โหติ ฯ
_โอ๋ จากรัฐเพนซิลวาเนียอเมริกา ..สุกัญญา มโนบาล (ใจแสงธรรม) ยังไม่มีคำถามนอกจากรายงานความเป็นอยู่… ลูกจะขอเป็นคนมั่งคั่งในที่นี้คือการมีสุขภาพดี ไม่ใช่ร่ำรวยเงินทอง ยังจำได้ที่เคยมีคนถามว่า อยู่ไกลจะช่วยพ่อครูได้อย่างไร พ่อครูตอบว่าทำตนให้แข็งแรงก่อนจะได้มาช่วยอาตมาที่ราชธานีอโศก ทำกิเลสตนเองให้หมด เพื่อเป็นการตอบแทนพ่อครูและอาจารย์ด้วย
_จิตว่าง ไม่ใช่ว่างแบบเฉยๆ แต่มีปัญญารู้เท่าทันสภาวะนั้นๆ ตามความเป็นจริงไม่ผลักไม่ดูด จิตเป็นกลางๆ ภาษาก็จบกันอยู่ตรงนี้ พูดซ้ำพูดวนก็จบตรงนี้ มันไม่ผลักไม่ดูด จิตเป็นกลางๆ ถามพ่อว่าจิตเริ่มมีปัญญา เข้าใจเป็นอุเบกขาได้ไหมคะ?
พ่อครูว่า..ตรงนี้แหละ คงต้องอธิบายกันอีกเป็นล้านเที่ยว ฐานอุเบกขาเป็นฐานนิพพาน อุเบกขา คือ วางเฉย เป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ เป็นโลกียะก็มี โลกียะเขาวางเฉยได้เป็นเคหสิตอุเบกขามันเข้าใจผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ เช่นดื่มเบียร์ด้วยจิตว่าง เป็นต้น เขาใช้ตรรกะ เป็นว่าง สมมุติอะไรไม่เข้าสภาวะไม่เข้าเรื่องอะไร สลับสับสนไปหมด
ทีนี้คำว่า ว่าง ขอขึ้นต้นด้วยคำว่า มัชฌิมาปฏิปทา คือ กลาง หรือ ความว่าง ว่างจากสองข้าง คือ อันตา ภาษาบาลี ข้างหนึ่งคือกาม อีกข้างหนึ่งคืออัตตา
ไม่ใช่เราเดินไปในทางกลางๆที่ มีกามกับอัตตาก็อยู่ระหว่าง 2 อันนี้แล้วจะไปถึงไหน มันไม่ใช่เอาแต่เดินเดินๆอยู่ทางสายกลางแล้วมันคืออะไร ที่จริงคำว่าทาง เป็นซินโนนีม เป็นไวพจน์กับคำว่า วิธีปฏิบัติ หรือพระบาลีบอกว่าปฏิบัติธรรม ปฏิปทา แปลว่า ทางเดินหรือวิธีปฏิบัติ ทีนี้ทางเดินหรือวิธีปฏิบัติ ก็คือทฤษฎีต่างๆ จรณะ 15 หรือว่า อปัณณกปฏิปทา 3 ต้องเข้าใจความหมายของสิ่งเหล่านั้น อย่างละเอียดดี ในกระบวนการกระบวนธรรมต่างๆ แล้วเอามาปฏิบัติให้ได้ เมื่อปฏิบัติถูกต้องเป็นสัมมา เข้าใจถูกเป็นสัมมาทิฏฐิ แล้วมาปฏิบัติก็เป็นสัมมาปฏิบัติอีก มรรคผลก็จะเกิด มรรคผลเกิดก็คือ เราละได้ มันจะมีส่วนสุดโต่ง หรืออันตาอยู่สองอย่าง ข้างนอกเรียกว่ากาม ข้างในเรียกว่าอัตตา
ทำข้างนอกที่หยาบ ลดกิเลสภายนอกคือกามาวจร ลดได้จนหมดกาม ก็จะเหลือแต่ข้างใน รูปาวจร กับอรูปาวจร
ตัวแรก คือ ราคะคู่กับกาม กามราคะ เรียกรูปราคะ อรูปราคะเป็นภวภพ เป็นกามภายใน กามราคะเป็นคู่ไวยพจน์
รูปราคะ ก็หยาบกว่า อรูปราคะ เราก็ต้องมาล้างรูปราคะ ในรูปราคะ เราก็ยังมีตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสอยู่กับภายนอกเรียกว่ากามภพ ยังมีกามาวจร แต่เรามีโลกุตตรจิต มีจิตอยู่เหนือ กามได้ แต่มันยังมีต่อเนื่องมาสู่ภายใน สัมผัสกับเหตุอันนี้แหละมันยังเขย่าจิตเราภายใน แต่มันไม่ออกไปหยาบสู่ภายนอก ข้างในเราเต๊ะท่ากดข่มได้ดี เหมือนอรหันต์เลยนะ แต่ไม่มีใครรู้กับเราอยู่ในจิต เราก็รู้เขาบอกเราก็ไม่ปดเขาบอกไป แต่ถ้าเขาไม่บอกแล้วก็วางท่าเหมือนไม่มีกิเลสเลย แต่จิตคุณมีกิเลสแต่บอกว่าไม่มีกิเลสนี่แหละเป็นการโกหกที่เรียกว่า ปาราชิก รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองผิด แต่ไปโกหกว่าตัวเองถูก นี่แหละตัวร้ายกาจมาก ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ผู้ที่โกหกทั้งๆที่รู้ ว่านั่นคือการโกหก ผู้นี้ทำชั่วอะไรที่ชั่วทั้งหลายแหล่ทำได้หมด ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ในความชั่ว มันร้ายกาจมาก มันสุดยอดแห่งตอแหลเลย ตัวนี้ ระวังเชียว อย่าไปทำเป็นอันขาด
เพราะฉะนั้นในสภาวะที่เป็น รูปราคะ เราก็ล้าง จนจิตเราไม่มีผลักไม่มีดูดในรูปราคะ เบาบางแล้ว มันก็ยังมีเชื้อกามหรือราคะอยู่ภายใน อันตา คือปลายข้างหนึ่งหรือฝ่าย มันก็หมดกาม เดี๋ยวก็มาหมดอัตตา หมดกามหมดอัตตา ภาษาว่ากลาง ไม่มีข้างกามข้างอัตตา นี่คือสภาวะเป็นกลาง ก็จะกลางไปเรื่อยๆ น้อยลงไปอีก ก็ทำตัวน้อยที่เหลือน้อยให้น้อยไปอีก จนหมดกาม เหลือรูปราคะ อรูปราคะ ก็ต้องรู้หยาบกับละอียด เป็นคู่กันไป อันตา ทีละคู่ ก็จะเล็กลงไปอีก จนเหลืออรูป จนหมดเลย แยกไม่มีกับน้อยที่สุด ยากมาก แต่คุณสูงมากแล้ว ฐานจิตคุณเหลือน้อยที่สุดกับจบที่ความไม่มี ก็ไม่เป็นพิษภัยกับใคร คุณจะตัดสินสุดท้าย ได้ไม่ได้ก็อยู่ที่คุณ คุณจะตอบตัวคุณเอง คุณทำไปจริงๆแล้วก็จะรู้ความจริงว่ามันวนอยู่ได้ เรานี่ ยังมีวนอยู่ในโลก เมื่อหมดโลกไม่วนอีกก็จบ มันก็สูญ ก็กลาง
เพราะฉะนั้น มัชฌิมา แปลว่า ความเป็นกลาง จึงไม่ใช่แปลว่าทางสายกลาง ไปตีความว่าเป็นทางคือวิธีปฏิบัติอยู่อย่างนี้เดินอยู่ในทาง แล้วจะไปไหนจ๊ะ ไม่รู้ทิศรู้ทาง ไม่รู้ที่จบไปอยู่ที่ไหน แล้วฝั่งนี้รู้ที่จบไปไหนก็คือที่จบไปตามลำดับของ 2 นี้ มันจะหมดไปเรื่อยๆ เมื่อหมดทั้ง 2 ข้าง มันก็ว่างก็กลาง จากหยาบก็เป็นละเอียดลงไป เห็นไหม แค่อธิบายนี้ก็ยังยากเลย
ตั้งหลักให้ดีๆ ที่อาตมาอธิบายตั้งแต่ต้นจนจบ อธิบาย 2 ข้าง แล้วมาหากลาง มันเป็นสภาวะธรรม ที่ละเอียดลึกซึ้ง คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม ๙ ข้อ ๓๔)
ถ้าไม่มีความจริงอย่างละเอียด จะพูดอย่างนี้ไม่ได้หรอก ถ้าไปแปลมัชฌิมาปฏิปทาแปลว่าทางสายกลางอย่างเดียว อาตมาก็เมื่อยที่จะแก้ปัญหาตรงนี้ (สู่แดนธรรมว่า ควรแปลว่าการปฏิบัติให้ถึงความเป็นกลาง) ก็อาตมาแปลเช่นนี้ ให้ปฏิบัติให้ไปถึงความเป็นกลาง มัชเฌ ไปสู่สภาวะความเป็นกลางก็คือปฏิบัติไปสู่อันนี้ ความสุขอยู่ที่ มัชเฌ กับวิธีปฏิบัติ หากไปติดอยู่ที่ทางสายกลาง แล้วความเป็นกลางคุณยังไม่รู้เรื่องเลยว่าคืออะไร
ความเป็นกลาง อาตมาก็ขอเปลี่ยนเป็นคำว่า อุเบกขา
อุเบกขา จะมีพยัญชนะที่บอกสภาวะ 1. บริสุทธิ์ อุเบกขาคือ ความไม่สุขไม่ทุกข์ ความเป็นกลางที่ไม่สุขไม่ทุกข์ อุเบกขา แล้วที่ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นกลางนี้ ไม่สุขไม่ทุกข์อย่างไรเพราะมันบริสุทธิ์ บริสุทธิ์อะไร บริสุทธิ์จากกิเลส นี่คือตัวที่ 1 ของอุเบกขา มันมี 5 ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา พยัญชนะ 5 ตัวนี้มีใน ธาตุวิภังคสูตร มีอยู่ในพระไตรปิฎกหลายเล่ม(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
พ่อครูว่า.. ตั้งหลักดีๆ อุเบกขาคือความว่างๆกลางๆ แล้วว่างๆกลางๆคืออะไรคือว่างเพราะมันไม่มี 2 ข้าง 2 ข้างอะไร 2 ข้างกิเลสคือกิเลสอะไร กิเลสนอก และกิเลสใน
กิลเสนอกคือกามภพ กิเลสในคือรูปภพอรูปภพ พอหมดภายนอกหมดกามภพก็เหลือแต่รูปภพอรูปภพ อย่าง กามราคะ ปฏิฆะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา อย่างอนุสัยก็มี 7 เป็น
อนุสัยมี 7
-
กามราคานุสัย (ความดึงดูดกำหนัดในกาม)
-
ปฏิฆานุสัย (ความผลักไส ขัดเคือง ขึ้งเคียด)
-
ทิฏฐานุสัย (ความยึดถือความเห็นเป็นตนของเรา)
-
วิจิกิจฉานุสัย (ความลังเลสงสัย ทำให้เนิ่นช้า)
-
มานานุสัย (ความถือตัวทั้งหลาย)
-
ภวราคานุสัย (ความใคร่อยากในภพละเอียด)
-
อวิชชานุสัย (ความไม่แจ้งในอริยสัจ)
(พตปฎ. เล่ม 23 ข้อ 11)
เราจะรู้ว่า ภวานุสัย มันละเอียดกว่าภวาสวะ
ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ เอา 3 คำนี้ ปริสุทธาคือ บริสุทธิ์จากกิเลส บริสุทธิ์จากกิเลส กาม บริสุทธิ์จากกิเลส อัตตา บริสุทธิ์แล้วคุณทำได้ บริสุทธิ์จนกระทั่งขั้นอาสวะไม่มี บริสุทธิ์ไม่มีอาสวะ คุณปฏิบัติจนกระทั่งรู้ตัวดับอาสวะ จิตของคุณก็จะบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นในวิชชา 8 มีวิชชา 5 คือ การลดกิเลสตามลำดับ ในเจโตปริยญาณเป็นวิชชาข้อที่ 5
เจโตปริยญาณ 16 จะพูดถึงการหมดกิเลส จนกระทั่งจิตอยู่เหนือมีจิตที่ดีที่สุดเรียกว่าอนุตรจิต จิตดีที่สุดมีอยู่สามเส้า อนุตรจิต สมาหิโต และวิมุติ
สมาหิโต ก็คือ สมาธิ แต่มันเป็นสมาธิที่หลังจากการทำสมาธิที่ดับอาสวะได้แล้ว เมื่อดับอาสวะได้แล้ว จิตก็จะสั่งสมความสะอาด และจะสะสมความสะอาดมากยิ่งขึ้นจนหมดอนุสัย
จิตสมาธิ เรียกเป็นคำกลางๆ สมาธิ จึงเป็นคำที่จิตสะอาด หลังจากสิ้นอาสวะ แล้วก็มาสะสมจิตสะอาด ก็จะมีสะอาดต่อไปอีก อันใหม่มาอีก ก็จึงสะอาดอีก แม้แต่จะเป็นกิเลสอันเก่า เหตุที่คล้ายๆอันนี้ แต่มันพิสดารกว่านี้หน่อย ก็สะอาดอีกสะสมอีก เหตุที่คล้ายกันไปแต่พิสดารอีก หรือจะเป็นสะอาดอันอื่นอีกก็ตาม จากเหตุด้านอื่นอีกก็ตาม ก็สะสมลงไป สะสมเป็นจิตที่สะอาดเรียกว่า สมาหิโต เป็น past perfect tense เป็นคำที่ผ่านอดีต สำเร็จแล้ว ได้แล้ว เป็นสมาธิแล้ว จิตตั้งมั่นแล้ว มีคำว่า “แล้ว” อยู่ในภาษาไทย กำกับไว้
เพราะฉะนั้น คำว่าสมาธิของพระพุทธเจ้า จึงไม่ได้ตื้นเขินว่าต้องมานั่งสะกดจิตว่าได้สมาธิแล้ว ได้ฌานได้สมาธิ แล้วสมาธิที่ได้ ได้อธิบายได้ละเอียดอย่างนี้ไหม และสมาธินั้นจะเกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 เกิดฌานแล้วเกิดอุเบกขา อุเบกขาคือ จิตสะอาดสะสม
ปริสุทธา จิตสะอาดก็ ปริโยทาตา คือ สั่งสมจิตสะอาดไปอีก
มุทุ จิตตัวนี้มันยิ่งเก่ง ยิ่งแคล่วคล่อง ยิ่งชัดเจน ยิ่งแข็งแรง ตัวนี้เป็นตัวแกนกลาง
กัมมัญญากับปภัสสรา เมื่อมีแกนที่แข็งแรงแล้ว ออกไปทำงานอย่างไรก็ยังแข็งแรง ขึ้นอยู่กับว่าจะมีจิตที่เป็นแกน แข็งแรงขนาดใดก็จะยิ่งหมุนได้เร็วขึ้น ทำงานได้มากยิ่งขึ้นเร็วยิ่งขึ้นมีสมรรถนะสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้ทำไปอีก ความเป็นจิตบริสุทธิ์ ก็จะยิ่งบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น เรียกว่าประภัสรา รู้จักคำว่า ปภัสรากับปริสุทธาไหม ตัวต้นกับตัวท้าย มีความต่างกันไหม
สู่แดนธรรม…กว่าจะมาเป็นมุทุ กว่าจะมาเป็นกัมมัญญาจะมีจิตรู้จักยืดหยุ่นอนุโลม เมื่อวานพ่อท่านถามเรื่องความยึดมั่นถือมั่นก็ยังมีคนมาถามผมอีก เขาจะหาจุดแยกแยะระหว่างคนที่ เฉโกที่ใช้คำว่า อย่าไปยึดมั่นถือมั่น เฉโกก็อ้างได้แต่สมาธิก็ใช้คำว่าไม่ยึดมั่นถือมั่นได้ด้วยความอุเบกขาที่เป็น มุทุ
พ่อครูว่า..ที่ว่าไม่ยึดมั่นถือมั่นคือไม่เอาตัวเราเป็นหลัก แต่เรามีความมั่นคงในตัวเราอยู่แล้ว เราเป็นหลักให้เขา เขายังเหวี่ยง แต่เราเป็นหลัก เราก็ช่วยเขาเพื่อให้เขาหยุดอย่าไปยึดมั่นถือมั่นเลยไปช่วยเขาอีกทีนึง ให้ความเข้าใจของเขาให้เขาทำความเข้าใจของเขาด้วยตัวเขาเองที่มีสภาวะของเขาเองให้รู้ว่านี่คุณยังยึดมั่นถือมั่นคุณยังไม่ปล่อยความยึดมั่นถือมั่นของคุณ คุณก็อยู่ที่เก่า ถ้าคุณหยุดยึดถือตรงนี้คุณก็ขึ้นที่ แล้วถ้าคุณเข้าใจ แล้วจะเคลื่อนที่ไปในทางสูงคืออย่างไร เคลื่อนที่ลงต่ำคืออย่างไร เคลื่อนที่อยู่เท่าเดิมคืออย่างไร คุณรู้แล้ว ว่าอย่างนี้อยู่ที่เก่าอย่างนี้อยู่ที่สูงขึ้น เคลื่อนที่ก็คือไม่อยู่ที่เก่า พยัญชนะภาษาที่บอกคุณเข้าใจไหมว่าอนุโลมบ้างเถอะ อย่างนี้ปล่อยไปเถอะอย่าไปยึดมั่นถือมั่นเลย ต้องให้เขามายึดถือตามเรา เขาไปถึงไหนแล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว แต่มันผ่านไปก็อาศัยยึดถือ แต่คุณก็มาว่าคนที่อยู่ที่นี่ยึดถือ ที่จริงเราไม่ได้ยึด มีอะไรต่ออะไรประดับประดาของอร่อยก็มีของสวยก็มีเราไม่ได้ยึด แต่เราทำบ้างไม่อย่างนั้นมันจะแข็งมันจะแล้งมันจะร้างมันจะจืด ก็มีอะไรบ้างสำหรับฐานของคนที่เขาใช้อยู่ ไม่ถึงกับจัดจ้านมอมเมา เอาแสงสีเอารสเอากลิ่นอะไรที่หยาบมาแล้วคุณก็เลยยิ่งติดไม่ใช่ ก็มีบ้างเล็กๆน้อยๆ เป็นสุนทรียศิลป์นิดๆหน่อยๆ พอจะเป็นเครื่องประกอบเล็กน้อยซึ่งไม่ได้พาแรงพาติดอะไรหรอก
สุนทรียศิลป์กับสารศิลป์ แต่ถ้าสุนทรียศิลป์มันมากไปมันเกินไปมันก็ดึงไปทางโลกหมด แต่ถ้าสาระมันมีอยู่มากเราก็รู้จักขั้นตอนให้เขาทำไปตามลำดับ คนที่ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะมาอยู่กับอโศกเรา คุณสมบัติคุณยังเข้ามาไม่ถึงหรอก เราก็บอกให้คุณปฏิบัติอยู่ที่บ้านก่อนข้างนอกก่อน ถ้าหากถึงเวลาเข้ามาได้พวกเราก็จะมีปัญญาช่วยมาตามลำดับมีขั้นมีตอน ก็น่าจะมีหมู่กลุ่มจากชาวอโศก หมู่กลุ่มของหมอเขียว หมู่กลุ่มของอื่นๆอีก มันจะมีอีกในอนาคตกลุ่มที่จะรองจากหมอเขียว จะมีจำนวนมากกว่าหมอเขียวอีก แต่ตอนนี้ยังไม่มีตัว ปรากฏ ถ้ามีมันก็จะเกิดของมันเองก็พูดไป ประเดี๋ยวผู้ที่จะรู้ตัวมันก็จะเป็นไปตามธรรม เพราะตอนนี้มันขนาดนี้มันก็เด่น ถ้ามันไม่เหมาะควร คนบางคนก็จะบอกว่าพ่อท่านพูดอย่างนี้ดีเราก็ตั้งตนเองเป็นเจ้าสำนักรองมาจากหมอเขียวหน่อย เดี๋ยวมันจะยุ่งมันจะเป็นไปเองตามเหตุปัจจัย ก็ไม่อยากจะชี้โพรงให้กระรอก ได้กระรอกเก๊มาเดี๋ยวมันจะยุ่ง
_สู่แดนธรรม…ยกเวลาให้พ่อท่านอธิบายต่อ
_จากรายการวิถีอาริยธรรม 21 มิ.ย. ที่มีผู้ร้องเรียนพ่อท่านว่า มีญาติธรรมพาคนนอกที่ยังไม่มีศีลมาอยู่ในชุมชน และสร้างความเดือดร้อนต่อคนในชุมชน ทำให้นึกถึงกรณีเมื่อ 4-5 ปีก่อน ที่มีการกระทำกิริยาวาจาไม่สมควรกับญาติธรรมหญิงหลายคน จนเรื่องถึงตำรวจ ท่านให้ความเห็นว่าเป็นมารศาสนา ถ้าไม่จัดการ คนอุ้มก็เป็นมารศาสนาด้วย แล้วที่นี่สร้างยากแต่จบง่ายนะ
พ่อครูว่า…ใครไปอุ้มคนผิดก็เป็นมารศาสนาด้วย ตำรวจไม่จัดการกับคนอุ้ม ตำรวจก็เป็นมารศาสนาอีก ที่นี่ไม่ได้จบ ถ้าไม่จัดการมันก็เป็นเรื่องของวิบากบาป ก็ติดค้างไปอย่างนั้นแหละ ถ้าหากจัดการไปถูกชำระความได้รับผิดแล้วรับวิบากเสีย อย่างนั้นอย่างนี้ คุณก็จะลดลงไปเอง มันจะบวกลบคูณหารกันไปตามลำดับของมันเอง
_ในการทำงานของชาวอโศกที่ต้องมีการจัดซื้อจัดจ้าง ทั้งเรื่องสร้างสถานที่หรืออุปกรณ์ต่างๆเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการทำงาน ขอเรียนถามพ่อครูว่าพฤติกรรมอย่างไรหรือจิตอย่างไร ที่เป็นสิ่งชี้บอกว่านี่คือการสร้างสัปปายะ หรือนี่คือการสร้างสวรรค์คะ
พ่อครูว่า…สัปปายะ กับ สวรรค์ แยกกัน สิ่งที่เรียกว่าสวรรค์ในเรื่องที่มีกิเลสร่วมก็มีการเสพย์รสของการใช้สถานที่ ใช้บุคคล ใช้ซึ่งอาศัยอาหารหรือใช้แม้แต่ธรรมะ เป็นสิ่งที่เสพย์รส ธรรมะก็มีรสนะทำให้ติด ฟังธรรมจะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร จะรู้ว่ามันสนุกมันฟังแล้วอร่อยเป็นรสธรรมะเป็นธรรมรส ก็ได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นรสโลกีย์ เข้าไปฟังคำว่ากันนะ เสร็จแล้วคนที่แสดงธรรมมาอย่างเช่นมหาสมปองก็สนุก ก็เป็นรส หรือยิ่งหยาบกว่านั้น พระแหล่กันมัน แหล่ตรงนี้แล้วก็บอกว่า โยมตอนนี้ยังไม่มีใครใส่บาตรเลยนะ
อธิบายให้เห็นแม้แต่พฤติกรรมของมหาบัว มีผู้คนยกย่องเต็มไปหมดแล้วมันซับซ้อนได้มาก็เอาเข้ากองกลางแต่ว่าอัตตามานะอติมานะเพิ่ม เข้าใจเพราะว่า กาม ก็ยังไม่ชัดเจนเพราะฉะนั้นอัตตามันละเอียดกว่ากรรมก็จะไม่เข้าใจ จึงมีแต่มานะอติมานะเต็มไปหมดแสดงท่าทีลีลาที่ จะเห็นได้เลยว่ามี ถัมภะ สารัมภะ จะเรียกว่าอุปกิเลสมีครบทั้ง 16 เลยตั้งแต่
-
อภิชฌาวิสมโลภะ (เพ่งเล็งอยากได้)
-
พยาปาทะ (ปองร้ายเขา)
-
โกธะ (โกรธ)
-
อุปนาหะ (ผูกโกรธ)
-
มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน)
-
ปฬาสะ (ยกตนเทียบเท่า, ตีเสมอท่าน)
-
อิสสายะ (ริษยา ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี)
-
มัจฉริยะ (ตระหนี่)
-
มายายะ (มารยา, มารยาทเสแสร้ง)
-
สาเฐยยะ (โอ้อวด, การโอ่แสดง)
-
ถัมภะ (หัวดื้อ, เชื่อมั่นหัวตัวเองมาก)
-
สารัมภะ (แข่งดี, เอาชนะคะคาน)
-
มานะ (ถือดี-ยึดดี จนถือสา)
-
อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน)
-
มทะ (มัวเมา)
-
ปมาทะ (ประมาทเลินเล่อ)