630701_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ โพธิสัตว์ระดับ 7 จึงนับว่าเป็นสยังอภิญญา
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1t8BRmnvWyOJj5DpJ5TtGLrI9lBoMlcVJtWiOFveDGRc/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1GTU7mgupO4EBz475iYn2LfwxQLkd_ysi/view?usp=sharing
สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้เป็นวันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ที่จีนตอนนี้มีเชื้อไวรัสจากหมูติดมาสู่คนก็วุ่นวายกันอยู่ ได้ดูรายการร่อนทองจากกองขี้ คือไปรับซื้อขยะไม่เว้นแม้กระทั่งขี้จากบ้านได้ทำความสะอาดด้วยและได้ขยะมาขายด้วย
พ่อครูว่า…SMSวันที่29-30มิ.ย.2563
_ThienkhamPetch (เทียนคำเพชร)• สาธุคุณใบฟ้าที่เข้มแข็งขึ้น จนสลัดวิบากหลุดมาได้ สาธุ สาธุ สาธุ
_นภารัตน์ อิ่มรัง • กราบพ่อท่าน.กราบสาธุเจ้าค่ะ.ฟังทุกวัน.เริ่มกลับมาปฎิบัติลำบากมาก
_AnirutChaiyapong(อนิรุติ ชัยยะพงษ์) • ผมอยากถามว่าจักรวาลสิ้นสุดแค่ไหน
พ่อครูว่า…อาตมาว่าไปที่ NASA คบหากันกับนาซ่าแล้วถามเขาดูว่าจักรวาลสิ้นสุดแค่ไหน พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ควรจะทำเช่นนั้น ควรจะถามว่าดินน้ำลมไฟ ตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน อันเป็นที่สุดของโลก ดินน้ำลมไฟอันเป็นที่สุดของโลกตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน ควรจะทำอย่างนั้น มันก็มีคำตอบตอนนี้อยู่ใน พระไตรปิฎกเล่ม 9 ข้อ 348
โลกอยู่ในวงโคจรของจักรวาล มีดวงดาวอยู่ในจักรวาลน้อยนี้ 9 ดวง หมุนรอบพระอาทิตย์ ซึ่งจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อโลกทุกโลกแตกสลายไปจากพระอาทิตย์หรือพระอาทิตย์แตกสลายไปนั่นเอง แต่จะไปถามทำไม หากยังไม่สามารถปรินิพพานเป็นปริโยสานได้คุณก็ต้องไปอยู่ในอวกาศเป็นวิญญาณสัมภเวสีไป เข้าใจแล้วก็ไม่เอาแบบนั้นไม่จบ แสวงหาโลกลูกไหนอยู่ก็ไม่จบ ก็เลิกแสวงหา มาที่นี่ ก็จะสามารถจบ ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ จบ หรือจะให้โลกมันจบ จักรวาลมันจบ Galaxy ต่างๆจบได้อย่างไร พระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถทำให้ หากจะให้จบทุกอย่าง เหลือแต่พระพุทธเจ้าและท่านจะอยู่อย่างไร ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะคิดเลย
สู่แดนธรรมว่า…ระดับจักรวาลต้องดับได้ที่สมุทัยของเราเท่านั้น
พ่อครูว่า…เราก็ดับสลายตัวเป็นอุทาหรณ์เลิกความจำความรับรู้ไม่ต้องเป็นชีวะอีกไม่ต้องเป็นดินเอาไปลงอีกแล้ว คุณก็จบของคุณ คุณก็จบคิด ไม่ต้องคิดอีกเลิกเลย 0 นี่คือวิธีดับของพระพุทธเจ้า คุณจะให้กาละเวลา การเคลื่อนที่ของดวงดาวการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ ทุกสิ่งที่เป็นจักรวาลมาหาเอกภพมันเคลื่อนที่หมุนเวียนไปตามระบบของมันอยู่ จะให้มันแตกสลายมีที่ดับที่ศูนย์ไปหมด คุณจะไปคิดแทนทำไม คิดแทนโลกมหาจักรวาลทำไม คุณควรคิดดับทุกข์ดับเหตุแห่งทุกข์ได้อย่างไร ทุกข์เพราะว่าเรายังมีขันธ์ 5 ภาราหเวปัญขันธา มีทรถ เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ในทุกข์ 10 ข้อ ทุกข์ต้องปวดขี้ปวดเยี่ยว ความทุกข์ที่ต้องเจ็บป่วยมีพยาธิทุกข์ ความทุกข์ที่จะต้องทำงานแสวงหาอาหารมาให้ร่างกายกินมันก็ทุกข์อยู่ที่เลี่ยงไม่ได้ถึง 6 ข้อ
จะหมดทุกข์สิ้นจริงๆคือ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน อรหันต์ก็หมดทุกข์ที่เลี่ยงได้แล้ว
ก. ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ (ทุกข์อันเกิดจากกาย) .
-
สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร เกิด แก่ เจ็บ ตาย
-
นิพัทธทุกข์ ทุกข์อยู่เนืองนิตย์ คือ หนาว ร้อน หิว กระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ
-
อาหารปริเยฏฐิทุกข์ ทุกข์ในการหากิน-การทำงาน .
-
พยาธิทุกข์ อวัยวะเจ้าการทำหน้าที่ไม่เป็นปกติ
-
วิปากทุกข์ ทุกข์เพราะผลกรรม เลี่ยงวิบากเก่าไม่ได้
-
ทุกขขันธ์ ทุกข์รวบยอดเพราะการประชุมแห่งขันธ์ ๕ อันยังอาศัยมีชีวิตอยู่
ข. ทุกข์ที่เลี่ยงได้ (เจตสิกทุกข์ อันสามารถดับเหตุได้แท้)
-
ปกิณกทุกข์ (ทุกข์จรแห่งกิเลส คือ โศก ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ เมื่อพรากจากคนที่รัก หรือพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นต้น)
-
สันตาปทุกข์ (ทุกข์ คือ ความร้อนเผาใจ อันนื่องมาจากกิเลสไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ แผดเผา)
-
สหคตทุกข์ (ทุกข์ไปด้วยกันกับโลก เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข)
-
วิวาทมูลกทุกข์ (ทุกข์มีสงครามวิวาทะเป็นรากเหง้า) อย่างพวกเราก็ยังมีวิวาททุกข์อยู่ในใจยังมีเล็กๆน้อยๆ คุณจะเอาไว้ทำไมพิจารณาให้ดีๆ ใครจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา เขาจะยึดติดเขาจะมีโทสะราคะ จะพยาบาทเราทำร้ายเรา เราก็เลิกทั้งหมดหนี้กับใครทั้งหมดเสีย ไปวิวาทกับใครทำไมให้เป็นมูล ให้เป็นเค้า ปม เงื่อนจิต จิตเราเป็นมูล ไปยึดไว้ทำไม มันก็หมดวิวาทมูลทุกข์
อาตมาไม่มีจิตวิวาทมูลทุกข์ อาตมาไม่ได้มีกับใคร ใครทำร้ายอาตมา แต่อาตมามีบารีบ้าง คนจะมาทำร้ายถึงขั้นถีบ ตบ อาตมาชาตินี้ก็ไม่มีที่จะโดนตบหน้าหรือทำร้าย แต่โดนแก๊สน้ำตา เรามีวิบากไปรับเสียไม่มี หลายคนพวกเราก็โดน
สรุปจบที่เรา ก็จะจบ
_Marisa Melo (มาริสา เมโล) • กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพค่ะ. มีชีวิตเปลี่ยนแปลงที่ดีในวันนี้ได้เพราะคำสอนพ่อท่านจริงๆค่ะสาธุ รับฟังจากออสเตรเลีย ภาพและเสียงชัดเจนดีมากค่ะ ขอบคุณค่ะ
_เลิศศักดิ์ สิทธิเวช • เมื่อไหร่จะเป่านกหวีดอีกครับ.จะได้ไปด้วย
พ่อครูว่า…คงจะไม่เกิดง่าย เพราะเรารู้ตัวแล้ว เรารู้แกวแล้ว และขณะนี้สภาพบ้านเมืองก็ไม่ใช่สภาพที่จะไปชุมนุมกันได้มีแต่พวกที่หาเรื่อง แฟลชม็อบ พยายามปลุกปั่นแต่ไม่ขึ้นหรอกเพราะคนไทยรู้ลึกซึ้งถึงประชาธิปไตยได้ดีกว่าประเทศอื่นในโลกแล้ว ซึ่งเป็นสัจจะเป็นประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า แบบพระพุทธเจ้า เมืองไทยก็เป็นประชาธิปไตยแบบของพระพุทธเจ้า เป็นประชาธิปไตยมา 70 กว่าปี ถ่ายทอดกันมาอย่างดีที่สุดแล้ว เข้าใจ มันเป็นประท้วงต่อต้านแบบใหม่ความเข้าใจลึกที่ตัวเองยังไม่ประสีประสาแต่มันเป็นทิฐิ เป็นที่จิตแล้ว เป็นการแสดงออกยืนยันอย่างดีว่าถ้าจะบอกว่าในหลวงทรงงาน 70 ปี ท่านก็รับใช้ประชาชน ทั่วประเทศเลย ในหลวงรับใช้ประชาชนเห็นได้เป็นรูปธรรม แม้แต่พระราชินีพระพันปีหลวงก็ไป เป็นความรู้ความซาบซึ้งของประชาธิปไตยของมนุษย์ มนุษย์มีสัมมาทิฏฐิคนไทยมีสัมมาทิฐิมากกว่ามิจฉาทิฏฐิ ในเรื่องของประชาธิปไตย ยังมีคนที่หลงยุคเป็นคนไทย เข้าใจประชาธิปไตยแบบอเมริกาแบบฝรั่งเศส
คิดว่าไม่น่าจะได้ออกไปนอนกลางถนนอีก เราเคยไปตั้งแต่ปี 49 อาตมาถ้าเดินไปที่สนามหลวงและพาไปที่นั่นประเทศเลย อาตมาเป็นหัวหน้าคณะชาวอโศก ชาวอโศกฝังร่างอยู่ที่สนามรบสนามปฏิวัติรัฐประหารเลย แล้วเป็นการรัฐประหารอย่างสงบไม่ใช้อาวุธไม่ใช้ความรุนแรง ปฏิวัติอย่างสันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ ความลึก แม่นประเด็น ตอนนั้นใช้คำว่า NEO PROTEST
มีที่ไปเจอกับผู้การแต้มเรานั่งสงบจนผู้การแต้มยอมแพ้ไป
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…
พ่อครูว่า…
_Tone Jack (โทน แจ๊ค) • กราบพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ครับ อยากให้มีเผยแพร่ทางFMด้วยครับ
พ่อครูว่า…มีวิทยุทาง internet
วัดคืออะไร
_PisitPoomnam(พิสิต ภูมินำ) • กราบนมัสการพ่อครูครับ กระผมขออนุญาตสอบถามพ่อครูครับ ว่า “พระ” นั้นคือใคร ทำอย่างไรจึงจะเรียกว่าพระได้ และ “ผู้ปฏิบัติ” คือปฏิบัติอะไร ต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะเรียกว่าผู้ปฏิบัติได้ และ “วัด” คือที่ใด ต้องมีอะไร ต้องคอยู่ที่ใดจึงจะเรียกว่าวัดได้ขอรับ ด้วยความเข้าใจนั้นยากยิ่งที่จะแปลความหมายเหล่านี้ได้ครับ ขอบคุณครับ
พ่อครูว่า…พระ หมายถึงผู้เจริญผู้ประเสริฐทางโลกีย์ก็เรียกพระ ประเทศไทยใช้คำว่าพระนำหน้าคนที่เจริญ แต่ก่อนมีชื่อยศศักดิ์เช่นคุณพระ มี ขุนหลวง พระยา เจ้าพระยาสมเด็จเจ้าพระยา อย่างนี้เป็นต้น นักบวช เอาคำว่าพระ มาจากรากศัพท์คำว่า วระ หรือแปลว่าผู้ประเสริฐเป็นพระ ใช้เป็นคำนำหน้า แทนที่คำว่าพราหมณ์
ตอนแรกเราบวชก็เรียกตามเขาว่าพระ หนักเข้าๆเราแยกนานาสังวาสมาเป็นชาวอโศก ตอนแรกเราก็ยังเรียกตัวเองว่าพระอยู่ แต่สุดท้ายเขาบอกว่าไม่ให้เรียกผิดกฎหมายจับ ก็เกิดเรื่องราวจับเราไปไม่ให้เราเรียกว่าพระ หาว่านุ่งห่มลอกเลียนพระ
สุดท้ายเราก็หลุดมาตามธรรม ได้คำเรียกเป็นสมณะ เขาก็ได้คำเรียกเป็นพระ มันเป็นวิวัฒนาการของภาษากับสภาวะ แต่เดิมเป็นสมณพราหมณ์ ต่อมาก็ผิดเพี้ยนไปแล้วก็กลับมาสู่สิ่งที่ถูกต้องอีก เป็นสัจธรรมจัดสรรเป็นตัวอย่างดีเลย
ศาสนิกของศาสนาใดก็ปฏิบัติตามหลักการของศาสนานั้น ของเราก็ปฏิบัติให้ตรงตามคำสอนทั้งฆราวาสและนักบวชให้ไปสู่สัมมาทิฎฐิถูกต้องตามคำสอนพระพุทธเจ้าอย่างไร ศีล สมาธิ ปัญญา จรณะ 15 วิชชา 8 อย่างไรเป็นแกนหลักเลย สุดยอดของพระพุทธเจ้าแล้วศีล สมาธิ ปัญญา เราก็เรียนรู้ไปและปฏิบัติไปจากการบรรลุธรรม ปฏิบัติอะไรเข้าปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาและต้องรู้ว่าศีลของเราขนาดใดสมาธิของเราขนาดใด อธิจิต แล้วปัญญาซึ่งไม่ใช่เฉโก แต่ปัญญาคือความสะอาดแบบโลกุตระเป็นความฉลาดแบบ genius เลย เป็นความสุดยอดเฉลียวฉลาดใด จบที่หลุดพ้นจากกิเลสเป็นวิมุติ อธิวิมุติ หลุดพ้นมีวิมุติ วิมุติญาณทัสนะ
ปฏิบัติอย่างไร ก็ปฏิบัติอย่างที่อาตมาบอกอยู่บอกทั้งหมดที่เดียวไม่ได้ ต้องค่อยๆบอกไป ศีลสมาธิปัญญาเป็นหลัก ศีลข้อที่ 1 2 3 เป็นอย่างไรแล้วก็ขยายความเป็นกายกรรมมโนกรรมแล้วก็ขยายในข้อของศีล ที่เกิดอธิจิตเกิดปัญญาในแต่ละเรื่อง เป็นเหตุปัจจัยที่รวมกันอยู่และก็ขยายก้น เป็นองค์ประกอบกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์นี้
แล้ว วัด คือที่ใด วัดมันหมายถึงสัปปายะสถานที่ที่มีคุณธรรม โดยเฉพาะเป็นคุณธรรมของพระศาสดา ที่ๆมีสัปปายะ 4 พร้อมตรงนั้นเราเรียกว่าวัด อย่างชาวอโศกไม่ได้แยกว่าตรงนี้ที่วัด ตรงนี้ที่ฆราวาส แต่อยู่กันได้ดี แต่ของพวกเขาอยู่กันจะปนกันไม่ได้ ต้องแยกกัน เขายังหาว่าพวกเราอยู่รวมกันไปเดี๋ยวก็จะเกิดลูกเณร ซึ่งถ้าภูมิมันไม่ถึงจริงก็จะมีจริงอย่างนั้น ตอนนี้เราก็พิสูจน์แล้ว 40-50 ปีแล้วก็ไม่ได้เกิดกรณีอย่างนี้ให้เขาว่าได้ เพราะจิตใจมันเป็นจริง จิตใจมันเป็นจริงแล้วไม่ต้องมีกฎเกณฑ์ข้อบังคับอะไรก็ได้ เหมือนสามัญปกติได้ แต่ขนาดนั้น เราก็ไม่ได้ประมาท เราก็มีกฎเกณฑ์พอสมควร เราก็ไม่ได้ละเมิดกัน จิตมันก็แม้พ้นจากกฎเกณฑ์แล้วมันก็ไม่เกิดหรอก แต่ถ้าพ้นแล้วไม่คลุกคลีอีกหรือมีกฎเกณฑ์อีกมันก็ยิ่งดีเพราะฉะนั้นอย่าประมาทในกฎเกณฑ์ ให้ระมัดระวังสังวร ประมาทจะเสียได้ พวกเรารักษามาได้ถึง 40 50 ปีก็อย่าให้เสีย อย่าให้บกพร่อง ก็รักษาไว้ แต่มันก็นานๆไป แน่นอนถึงวาระเสื่อมก็เสื่อม แต่ให้อาตมาได้ไปสัก 1000 ปีค่อยเสื่อมก็แล้วกัน
_กทมคลื่น FM 107.75 มีที่ลานนาอโศก เชียงใหม่ สีมาอโศกก็มี ทะเลธรรมจ.ตรังก็มี ปฐมอโศก ศาลีอโศก สุรินทร์อโศก
เรื่อง วัด ต่อ..วัดของเรานี่ ธรรมะ ของเรามี บวร บ้านวัดโรงเรียนร่วมกันอยู่อย่างแยกกันไม่ออก แต่ก็มีการแยกกันอยู่ในสัจจะ ก็สังคมพวกเราอยู่ด้วยกันนี่แหละเรียกว่าบ้าน ทั้งบ้านวัดโรงเรียนอยู่รวมกันในนี้หมดเลยเรียกว่าหมู่บ้าน เป็นหมู่บ้าน วัดคือคุณธรรม โรงเรียนคือการศึกษา ทางการศึกษาคุณธรรมเทคโนโลยีเป็นเครื่องอาศัยที่จะเลี้ยงชีพ วัดคือเครื่องอาศัยที่จะให้คุณธรรมแก่ชีวิต ส่วนโรงเรียนคือศึกษาหาความรู้ที่จะเอามาใช้ทำงานเลี้ยงชีพ ก็เป็นคุณงามความดีของตัวเองอยู่ในตัวเป็นโลกียะ ส่วนวัด ความรู้ทางธรรมะเป็นนามธรรมเป็นการปฏิบัติลดกิเลส เผาด้วยฌาน จนไฟราคะโทสะโมหะ มอดหายไปเลยดับไปได้ มีพลังงานอย่างแท้จริง มีพลังงานที่เดาเอาไม่ได้ แต่ละคนจะรู้
ดับไฟราคะ ไฟกามได้ คุณก็จะรู้ตัวคุณเอง ดับโลกอบายได้ จนเหลือโลกกามก็ล้างต่อ เป็นพระโสดาบันชั้นสูงก็เป็นพระสกิทาคามีต่อไปจนหมดโลกกาม เรื่องโลกียสุขก็เฉยๆไม่มีแล้วเหลือแต่ข้างใน ดุ๊กดิ๊ก เป็นรูปราคะ อรูปราคะ ข้างใน ไม่แสดงออกมาข้างนอกเพราะว่าเหลือพลังงานกิเลสข้างในน้อยเช่น รูปราคะ อรูปราคะ จะรู้ได้เป็นปัจจัตตังแต่ละคน
ส่วนโรงเรียนเราก็สอนตั้งแต่ชั้น อนุบาล ประถม มัธยม อาชีวศึกษา ส่วนมหาวิทยาลัยเราไม่ค่อยอยากตั้งแล้ว ไปฝากที่อื่นเรียน เราไม่ต้องสอนเอง แต่ก่อนนี้พวกเราพยายามจะให้มีมหาวิทยาลัยของตัวเอง ก็ดูแล้วว่าหากเราไปเรียนวิชาทางโน้นวิชาทางโลกโลกีย์มันก็มีประโยชน์ เราให้ไปเรียนปริญญาตรีโทเอกต่ออีก เอาไปใช้เลี้ยงชีพ ซึ่งเรามีแกนของจิตแล้วไม่มีปัญหา เราก็เข็นกันให้ไปเรียนปริญญาโทเอก ก็ไม่ค่อยอยากจะไปเพราะเราก็เอามาทำงานฟรีอีก ไม่เหมือนกับทางโลกที่จะได้ลาภยศสรรเสริญ แต่ก็ควรทำ เพราะฉะนั้นหลายคนเข้าใจก็เลยไปเรียน ตอนนี้กำลังจะจบปริญญาเอกอีกคนหนึ่ง ปริญญาโทก็มีหลายคน
_ตอนนี้ ยุคไหน : ระบบโลกียะ ก็บุคคลจำพวก รักชาติ รักเจ้า นั้นแหละ คือสิ่งที่ล้วนแต่มีตัณหา ราคะ ฉันทะ
พ่อครูว่า…คงไม่วิจารณ์ต่อวิจารณ์ต่อมันจะยาว
_ผาแสง วงศ์คําจันทร์ : กราบนมัสการพ่อครู ..ชาวอโศกครับผม ลึกสุดใจ ล้มลุก คลานตามหมู่กลุ่ม มันทำไม่ง่ายตัดสุข กามให้สนิทใจครับผม / เข้าไปสัมผัสธรรมชาวอโศก เข้าใจพอสมควรครับ แต่ทำให้เป็นปรกติกับชีวิตตัวเองไม่ง่ายตามรู้..กราบนมัสการครับผม
พ่อครูว่า…แต่รู้ให้จริง คนปฏิบัติสัมมาทิฏฐิแล้วจะลดละจางคลายได้ ทำใจในใจ วิราคานุปัสสี มันไม่เที่ยงหรอกมันมาหลอกอนิจจานุปัสสี เราจัดการมันได้ให้มันบางเบาลงเป็นวิราคานุปัสสี จนกระทั่งมันดับได้นิโรธานุปัสสี ดับตามแผนความดับได้มันไม่มีอาการอย่างนั้นอีก บางคนเป็นขั้นต้นก็ชั่วคราวจนแล้วก็กลับมาอีก จนกระทั่งนั่นเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา คุณก็จะรู้ว่ามันดับได้เพราะว่าคนปฏินิสสัคคานุปัสสี ทำแล้วทำอีกทำซ้ำอย่างที่เราทำได้นี่แหละทำไปเรื่อย อาเสวนา แล้วทำให้มากเป็นพหุลีกัมมัง ก็สั่งสมแต่ความไม่หวั่นไหวแนบแน่น ปักมั่น
มันหลงตัวเองก็ได้ แต่หลงแล้วมันจะฟื้นกลับกำเริบในอนาคต แต่ถ้ามันไม่กลับกำเริบมันจะเป็นไปตามลำดับจริงๆเลย เป็นโสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยต สัมโพธิปรายนะ เป็นลำดับของพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ไปเป็นลำดับชัดเจนอย่างมีของจริง
อาตมามั่นใจในของจริงพวกนี้แล้วอยากจะพิสูจน์จึงยังไม่อยากตายเร็ว ยังอยากจะอยู่ดูต่อไปอีกจากนี้ไปตอนนี้ 87 แล้ว อยู่สัก 151 ปีก็จะไม่เอาเกินกว่านั้นแล้ว หาก 150 ก็พอทำเนา ก็ดูท่าที มันก็ดูเข้าท่าอยู่นะ ก็ค่อยเป็นไป
_Nimarat (นิมารัติ) :สังคมทะเลาะกันทุกหย่อมหญ้า ยาบ้าเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ พ่อครูช่วยบอกรัฐบาลหน่อยครับ อย่าชมแต่ลุงตู่อย่างเดียว
พ่อครูว่า…ไม่จริงหรอกอโศกก็ไม่ทะเลาะกัน อโศกเราก็มีทั่วประเทศชุมชนอโศกไม่ได้ทะเลาะกัน ตำรวจไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลยกับเรา ไม่ต้องมาดูแลรักษาช่วยอะไรเลย แต่ถ้าเรามีงานก็ขอให้ตำรวจมาช่วยเขาก็มา
ที่นักข่าวมักจะนำเสนอก็คือข่าวทะเลาะกัน แต่พวกที่อยู่กันอย่างสงบนักข่าวไม่ค่อยนำเสนอเพราะมันไม่ปลุกเร้า ก็ควรปลุกเร้าความดี ให้ทำความดีตามกันไปได้ แต่ก็ไม่ค่อยประกาศ มันซ้อน หากอันไหนดีการจะช่วยกันโปรโมทไมค่อยทำ มีคนพูดว่า เรื่องริษยาประเทศไทยก็มีมาก อาตมาไม่แปลกใจ จะมีคนริษยาอาตมาอยู่ในสังคม ก็ไม่มีปัญหา อาตมาก็ทำงานสู้ๆ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท …
พ่อครูว่า…
ระดับการอยู่ร่วมกันของชาวพุทธ
_บ้านเราทีวี เรารักบ้านเรา : นอกรีต นอกกรอบ น้อมกราบนมัสการเจ้าคะ มีทางไหนมั๊ยที่จะทำให้พระพุทธศาสนาเมืองไทยเราเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ถ้าเรายังมองว่าต่างฝ่ายต่างก็ไม่ OK ในฐานะที่เราต่างเป็นคนไทยในแผ่นดินพุทธทุกรูปทุกนาม
พ่อครูว่า…ตอบว่ามันทำไม่ได้หรอก อย่าว่าแต่อาตมาเลย เนี่ยมันก็ต้องมีอยู่อย่างนี้ไม่ธรรมดาธรรมชาติจะให้เป็นหนึ่งเดียวกันหมดเลยเนี่ยขนาดเป็นอย่างเดียวเลยว่า เอกีภาวะ มีความพร้อมเพียงภาษาเมื่อกี้ไม่รู้ว่ามันก็ยังงงๆหน่อยคงสวยที่สุดและอยู่อย่างที่ พระพุทธเจ้าอยู่ทางพระองค์ เมื่อท่านสร้างศาสนา ก็จะมีพวกที่เป็นกบฏในศาสนามีพวกฉัพพัคคีย์ มีพระเทวทัตอยู่ในนี้ มันก็ต้องมีอย่างนี้เป็นธรรมดาธรรมชาติจะให้เป็นอย่างเดียวกันหมดเลย ไม่ได้ ขนาดชาวอโศกเราเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นเอกีภาวะ มีความพร้อมเพียงกันไม่มีวิวาท มีความสามัคคีก็ยังมีการทะเลาะกันเล็กน้อย อาตมาว่าสวยที่สุดแล้ว
ความสามัคคีคือความขัดแย้งอันพอเหมาะ นี่คือนิยามความสามัคคีของอาตมา
ควรจะให้ราบเรียบไปเลยไม่มีสังคมไหนทำได้ ตอนพระพุทธเจ้าอยู่แท้ๆ ยังไม่ปรินิพพานเลย รังเกียจ ยังทำไม่ได้ ยังมีพวกแหกคอกพวกขัดแย้งแปลกๆ อ่านในพระไตรปิฎกก็มี ในพระวินัยปิฎก
สู่แดนธรรม…ก็มีหลักนานาสังวาสให้
พ่อครูว่า…จะมี ปาราชิก อัปเปหิ พรหมทัณฑ์ และนานาสังวาส
ปาราชิกคือ ตายจากศาสนานี้ไปทั้งชาติเลย แม้แต่เห็นพวกที่ปาราชิกแล้วมาอยู่ในเขตที่จะรับฟังธรรมะก็จะต้องหยุดแสดงธรรมไม่ได้ยินเลย ให้เอาออกไปเลยไม่ให้รับเข้ามา รังเกียจถึงขนาดนั้น
พรหมทัณฑ์ รองจากปาราชิก ให้อยู่ร่วมได้แต่ไม่สอนไม่บอก
รองจากปาราชิกคืออัปเปหิ คือขับไล่ออกไปเลย
_อัญชลี ชุ่มเชื้อ • ฟังพ่อท่าน..และอาจารย์หมอเขียว..แล้วได้สติกลับคืนมาตลอดค่ะ..แต่ยังอยู่ในกลุ่มที่ยังมีกิเลสเยอะอยู่ค่ะ.สาธุค่ะ.ย้อนมองส่องตนทุกวันค่ะ ที่จ.แพร่ชัดเจนดีค่ะ.
_อัญชลี ชุ่มเชื้อ • สาธุค่ะ.เราจะลงมือปฎิบัติเอง..โดยที่ไม่รอ..ไม่หวัง..ลงมือทำเลยค่ะ.
_Thai Ch ไทย ซีเอช….เรื่องอปัณณกปฏิปทานี่ท่านสะยังอภิญญาก็อธิบายของท่านไปตามที่ท่านรู้ครับ แต่พระพุทธพจน์ในมหาอัสปุรสูตรว่าไว้ดั่งนี่ครับ
“เราจะเป็นผู้สำรวมในอินทรีย์ทั้งหลาย(อินทรีสังวร) ได้เห็นรูปด้วยตา ได้ฟังเสียงด้วยหู ได้ดมกลิ่นด้วยจมูก ได้ลิ้มรสด้วยลิ้น ได้สัมผัสโผฎฐัพพะด้วยกาย รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้วไม่ถือเอาโดยนิมิต ไม่ถือเอาโดยอนุพยัญชนะ บาปอกุศลคืออภิชฌาและโทมนัสมักไหลไปตามผู้ไม่สำรวมอินทรีย์ใดเป็นเหตุเราจักปฏิบัติเพื่อปิดกั้นอินทรีย์เหล่านั้นไว้ เป็นผู้รักษาสำรวมอินทรีย์….
2.เราจะเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะอยู่เสมอ.(โภชเนมัตตัญญุตา).จักพิจารณาโดยแยบคายแล้วจึงฉัน ไม่ฉันเพื่อเล่น เพื่อมัวเมา เพื่อประดับตกแต่ง แต่ฉันเพียงเพื่อให้กายนี้ตั้งอยู่ได้ ให้ชีวิตเป็นไปเพื่อป้องกันความลำบาก เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ กำจัดเวทนาเก่าคือความหิว ไม่ทำเวทนาใหม่คือความอิ่มอึดอัดให้เกิดฯ….
3.เราจะตามประกอบในธรรมเป็นเครื่องตื่น(ชาคริยานุโยค) เราจักชำระจิตให้หมดจดสิ้นเชิงจากนิวรณ์ด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่ง ตลอดวันยังค่ำไปจนสิ้นยามแรกแห่งราตรี ครั้นยามกลางแห่งราตรีเราจักนอนอย่างราชสีห์ตะแคงข้างขวา เท้าเหลื่อมเท้า มีสัมปชัญญะในการลุกขึ้น ครั้นยามสุดท้ายแห่งราตรีเราลุกขึ้นแล้วจักชำระจิตให้หมดจดจากนิวรณ์ด้วยการจงกรมและการนั่งอีก..”
นี่ไงครับอปัณณกปฏิปทาจากพระโอษฐ์ ชัดเจน จับต้องได้ปฏิบัติตามได้ นั่งสมาธิเดินจงกรมบูรพาจารย์ดำเนินมาแล้ว.ไปพูดปรัชญาอะไรให้ยุ่งยาก.สรุปว่าการกำจัดนิวรณ์ทำให้จิตบรรลุฌานต้องด้วยการนั่งและเดินจงกรมเป็นหลัก.หรือท่านจะบอกว่านี่คือพยัญชนะไม่ใช่สภาวะตามที่ท่าน รู้มาเอง(สะยังอภิญญา)
พ่อครูว่า…จิตเขาไปมีอุปาทานยึดติดการนั่งหลับตา แต่อาตมาตีทิ้งเขาก็เจ็บ ก็ไม่ยอม ไม่ยอมก็จะต่อสู้ อาตมาก็ไม่สามารถไปห้ามไปบังคับไปเปลี่ยนแปลงเขาได้ เห็นอย่างนั้นก็เป็นอย่างนั้น ก็จะได้ผลตามที่คุณปฏิบัติอย่างนั้น คือ อาตมาก็ได้แต่สงสารคุณ หากคุณจะยึดติดอย่างนั้นแล้วก็เอาแต่นั่งหลับตาก็คงจะเป็นอย่างนั้น ก็ได้แต่สงสารคุณ สงสารหรือสังสารวัฏ แปลว่าโลก คุณก็จะได้แต่วนเวียนอยู่ในโลกแคบ ที่เกิดจากการนั่งหลับตาจะโลกอื่นที่ มีครบทุก 6 ทวาร คุณก็ไม่ได้สัมผัสคุณก็มีแต่ความมักน้อย ความมักน้อยไม่ใช่แค่นั้นมันมีความลึกซึ้งมากกว่านั้นอีก คุณเป็นพวกตัดช่องน้อยแต่พอตัวอยู่ในซอกหลืบเล็กของคุณ จะไปบังคับให้คุณเข้าใจจะบังคับได้หรือ อาตมาก็ได้แต่อธิบายขยายความไปนี่แหละ พูดมากเจ็บคอ ล้อเลียนโลกเขาหน่อย
ก็มาสรุป เหลืออีก 8 นาที สรุป ในเรื่องของธรรมะ อาตมาทำงานมากว่า 50 ปีตอนเป็นฆราวาสรวมบวชด้วย ก็เป็นเวลากว่า 50 ปีแล้ว อาตมาก็ชื่นใจในธรรมะอันที่รู้ได้ยากเห็นตามได้ยากลึกซึ้ง คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
สันตะ เป็นความสงบที่ครบพร้อมทั้งแนวกว้างแนวลึก เดาไม่ได้ ในการใช้เหตุผลตรรกะของคิดในเรื่องบัญญัติ ต้องบรรลุด้วยจิต ต้องทำใจในใจเป็น มนสิการ การทำใจในใจ เป็นข้อ 2ของมูลสูตร
มูลสูตร 10
1.มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) คือความยินดีความต้องการความประสงค์ความปรารถนาว่าอันนี้ดีนะ นำจิตใจเรา ไม่มีใครบังคับคุณหรอก
2.มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)(ยังไม่มีคำว่าโยนิโสฯนะ) ต้องทำใจในใจเป็น
3.มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย)
4.มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)
-
มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) สุ
-
มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .
-
มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด
-
มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
-
มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน.
-
มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน