630720_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 100
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1KwAu2iY2Z714rKJEchUUc-Ola80IoOUIQu8XbkfjrRk/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1NNL4n7NR_8ANPiP3PNSM07A9we6f3A_I/view?usp=sharing
พ่อครูว่า…จ๊ะเอ๋ มาแนวใหม่ เจอกันอีกแล้ว สำมะปี๋ครั้งที่ 100 พอดิบพอดีเลย ของราชธานีอโศก
สู่แดนธรรม…วันนี้ตัดสำมะปี๋ออนไลน์ออกกลับมาเป็นเหมือนเดิม
พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 1 ค่ำเดือน 9 (ตามปฏิทินจีน แต่ของไทยวันนี้แรม 15 ค่ำเดือน 8 )
เริ่มต้นเลยนะ เสียงเด็กหกล้ม พ่อครูว่า…เป็นไงเจ็บไหม? เสียงเด็กถีบจักรยานล้ม
SMS วันที่ 19 ก.ค. 2563
_สติพล จนพัฒนา · คนที่มีวิบากบาปมากๆๆก็จะไปเกิดในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่มีเทวนิยมจ๋าและมีความยึดมั่นถือมั่นเหนียวแน่นจนพูดกันไม่รู้เรื่องเลย..นี่แหละผลจากวิบากบาปมากครับ.
พ่อครูว่า…เทวนิยมจ๋า คือ เทวนิยมลึกไม่รู้จักอเทวนิยมได้ง่ายๆ คนที่มีวิบากบาปมากๆก็จะถูกซัดไปไกล จากมนุษย์ที่มีโลกุตระหรืออเทวนิยม มันเป็นสัจจะเลยทั้งสถานที่บุคคลพฤติกรรม แม้แต่ที่สุดจิตวิญญาณหรืออารมณ์นี่แหละเป็นตัวพาเราไป แบบนี้ไม่ต้องพูดกันเลยหรอกอีกหลายชาติอีกเป็นร้อยชาติพันชาติ เป็นหมื่นชาติมานิดเดียว ในกาละของมหาจักรวาลคือเวลาที่เดินทางไป ชีวะของมนุษย์ หรือชีวจิตวิญญาณอัตภาพของมนุษย์มันเกิดวนเวียนในมหาจักรวาล มันไม่ได้ดับได้ง่ายๆเลย มันจะต้องตายเกิดเกิดตาย ถ้าจำได้นี่คุณตายแน่ ถ้าคุณจำระลึกชีวิตคุณได้ โดยที่ไม่มีภูมิธรรม แต่ถ้ามีภูมิธรรมก็ไม่กลัว แต่ไม่มีภูมิธรรมนี้กลัว จะสับสนเลยจะยุ่งมาก เพราะฉะนั้นธรรมชาติที่ทำให้คนอยู่ได้ หรือสัตว์มันจำชาติก่อนไม่ได้ ถ้าจำได้ ตาย สัตว์มันก็ตาย ถ้ามันจำชาติก่อนๆได้ แต่มันจำไม่ได้ จนกว่าจะมีภูมิปัญญาพอที่จะรู้ว่า ชาติเกิด ชาตินี้ชาตินั้นเป็นอันนี้วนเวียนอย่างไร จึงจะพอควบคุมการไม่ยึดติด ถ้าจำได้นี่ลูกของเราพ่อของเรา แม่ของเรา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ไม่เคยมีใครไม่เคยเกิดเป็นพ่อเป็นลูกเป็นแม่กันที่เกิดมาแล้วมาเกี่ยวข้องกัน ไม่มีใครไม่เคยเกิดมาเป็นลูกเป็นพ่อเป็นแม่กันไม่มี เกิดวนเวียนกันซับซ้อน นับไม่ถ้วนหรอก เราก็ไม่ต้องไปติดใจเรื่องเหล่านั้น
เราติดใจที่คุณธรรม คุณธรรมของเราอัตภาพเรา เราทำได้แค่ใด เราทำได้เจริญไปถึงขั้นสูงขั้นสุด และคุณจะถึงขั้นเป็นอรหันต์ เมื่อเป็นอรหันต์แล้วคุณจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นพระอรหันต์มีสิทธิมีความรู้ที่จะตายแล้วแยกธาตุอัตภาพเป็นอุตุดินน้ำไฟลมได้เลย คุณจะตายอย่างนั้นไหมเท่านั้นเอง ถ้าคุณตายอย่างนั้น คุณจะไม่เกิดอีกก็ได้ ก็มีพระอรหันต์ไม่น้อยที่เห็นทุกข์แล้วก็ไม่ยินดีที่จะสืบสาน ไม่ยินดีจะทำอะไรต่อไปแล้ว เพราะฉะนั้นชีวิตที่เกิดเป็นอรหันต์แล้ว กว่าจะตาย ก็มีชีวิต ถ้ายิ่งไม่ตั้งจิตที่จะมีชีวิตต่อไป ในภูมิธรรมของพระอรหันต์ก็จะมีกตัญญูกตเวทิตา ศาสนาพระพุทธเจ้าก็จะขยันหมั่นเพียรทำงานสร้างสรรค์ให้แก่โลกแล้วตายก็ไม่ตั้งจิตต่อ ตายแบบปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเลย ก็เป็นสิทธิของท่านผู้นั้นเป็นได้
ส่วนผู้ที่อยากจะศึกษาต่อควรจะกตัญญูกตเวทิตาต่อ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ความทุกข์มันก็ไม่มีแล้วมันก็ลดลง ทำได้แล้วเป็นได้แล้ว ทำได้แล้วอยู่ก็อยู่ไปสิ ทำงานช่วยไปตายเมื่อไหร่ก็ได้ ตายไปแล้วก็เลิกก็สูญสลายอัตภาพธาตุของเราไปเลยได้ จบไปแล้วไม่มีเหลือก็ไม่เกิดอัตภาพนั้นอีกไม่อยู่ที่ไหนอีกแล้ว อย่างนี้เป็นต้น เขาก็จะรู้ว่าควรจะเลิกหรือไม่ หรือเขาจะไม่เลิก เพราะฉะนั้นอาตมาจึงได้เคยพูดไว้ว่าพระอรหันต์ ผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์จริงแล้วถ้าไม่มีวิบากอะไรพอที่จะต้องตาย ไม่ใช่วิบากหรอกมันมีจิตที่จะต้องเอาแต่ตัวเอง ไม่เอาแล้วตายแล้วก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานดีกว่า ผู้นั้นก็จะไม่ตายเป็นชาตินั้นชาติสุดท้ายเลยทันที ของอรหันต์แต่ละองค์ จะรู้สึกว่ามันก็น่าจะกตัญญูกตเวที แล้วอรหันต์ท่านจะรู้ว่าท่านเกิดอีกแล้วท่านจะเหลืออะไรที่ควรจะเกิด เกิดมานี่ท่านควรจะเกิด เกิดมาแล้วท่านจะมีอะไรที่ชูใจให้มาเกิดนอกจากกตัญญูกตเวทิตาแล้ว จะได้รู้โลกที่มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอีกมีการปรุงแต่งอีกหลากหลาย ก็จะรู้ว่าเราเกิดมาในชีวิตนี้เป็นพระอรหันต์จะตายสูญได้แล้ว เราก็เจอแค่นี้แหละ คนอื่นเขาเจออีกไม่รู้กี่กระบวนท่า มันก็จะเป็นไป
เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องคิดดีกว่า ถึงเวลาแล้วเราก็จะรู้ภาวะที่อาตมาพูดนี้เอง เพราะอาตมาผ่านมาแล้ว เป็นอรหันต์มาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติแล้ว คุณก็จะรู้เอง อาตมาพูดได้เพราะอาตมาเคยเกิดเคยผ่านเป็นมาแล้วก็เอามาพูดให้ฟัง จะเข้าใจได้หรือเข้าใจไม่ได้แค่ไหนก็ลองดู
(มีเด็กชายธรรมะกับเด็กชายธัมโมมาถวายดอกอัญชันหลวงปู่)
พ่อครูว่า…เราจะรู้จักจัดสรรอัตภาพของแต่ละคน ตามวิบาก กัมมังสัตเตวิภัชติ กรรมจำแนกสัตว์ กัมมุนาวัตตติโลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมของตัวเอง กัมมโยนิ กรรมพาเกิดพาเป็นไป
_สติพล จนพัฒนา · ทางสายฤษีเขาก็ทำจิตให้เป็นอุตุพีชะได้นะครับแต่เขากดข่มเอาครับ…คนที่ไม่รู้จึงเข้าใจว่าเป็นพระอรหันต์
พ่อครูว่า…ก็ขออธิบายคุณสติพลฟังให้ดีๆ ฤาษี ไม่มีสิทธิ์ทำธาตุจิตให้เป็นอุตุหรือเป็นพีชะได้ แต่คุณสติพล แต่เข้าใจว่า ธาตุอุตุคือธาตุหยุดธาตุสงบ มันจะไม่เกิดแล้ว ที่จริงมันยังเกิดอยู่มันจะไม่เกิดไม่ได้ มันไม่ได้แยกธาตุนั้นให้เป็นธาตุที่มีคุณสมบัติที่เป็นอุตุ เป็นธาตุดินน้ำไฟลมจริงๆ เทวนิยมไม่มีปัญญา ไม่มีความรู้ ไม่มีธาตุรู้ที่จะแยกจิต เจตสิก รูป นิพพาน หรือจะแยกเวทนาในเวทนา 108 ทำลายเคหสิตเวทนา โดยทำลายเหตุที่ตัณหาลงไปได้ แล้วทำให้ตัณหาดับลงไปจริงๆ จิตมันจึงจะเป็นธาตุอุตุ
แต่ก่อนจิตเรามีชีวิตินทรีย์ อยู่กับสิ่งที่เราติดยึด ทีนี้ การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้ามีรูป 28 หรือ อุปาทายรูป 24 ก็อ่านจิต ปฏิบัติแยกแยะจิตตัวเองในขณะสัมผัสจริงเกิดจริง แล้วก็เห็นจิตของเราขณะนี้มีชีวิตินทรีย์ แล้วมันมีความมีชีวิตของธาตุชีวของจิตตัวสัตว์เดรัจฉานตัวนี้ ของกิเลสตัวนี้ อยู่ จึงสามารถทำให้กิเลสตัวนี้ตาย
ตัวกิเลสตัว สักกายะ กิเลสของตนนี่มันเห็นอยู่หลัดๆ แล้วก็มีพลังปัญญา ทำลายคือเผาเลยนะ พลังปัญญา คือฌานนี่แหละ เผาจนกระทั่งถึง ปุญญะ ถึงขั้น สำเร็จ กิเลส ตาย ปุญญะ คือ กิเลสตาย จนกระทั่งปุญญะ ทำให้กิเลสตาย จนกระทั่งสั่งสม ผล อนุรักขนาปธาน
จนมันตายแบบไม่มีสิทธิ์จะเกิดอีกเลย ตายแล้วตายอีก ปฏิบัติซ้ำๆๆ ให้รู้ว่ามันตายสนิท ตายด้วยการ ย้ำซ้ำทำความตายให้มันตาย มันจะเกิดอีก จนไม่เหลือจะมีพลังงานเกิดและ 2 มีพลังงานปัญญา รู้ว่าไม่เหลือพลังที่จะเกิดอีกแล้วเด็ดขาด จึงใช้คำว่า นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
ซ้ำซ้อนไปเลย ยืนยันเลยว่า นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน Forever) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
นี่คือสัจจะตัวแท้ตัวจริงของความจริงและความรู้ ที่รู้จักธาตุที่สังขารปรุงแต่งกันและทำให้มันไม่ปรุงแต่งกันเลยเป็นอุตุธาตุ หรือให้เป็นพีชธาตุได้ แม้เราทำอุตุได้ แต่ เราให้เป็นพีชธาตุได้ เพื่อใช้เป็นประโยชน์ก็รู้ตัวที่ไม่เป็นประโยชน์เลย ไม่ต้องอาศัยไม่ต้องมาเกิดด้วยกันอีกเลยก็ไม่ต้อง ตัวไหนทำเป็นอุตุได้แล้วเราไม่ต้องใช้เลยก็ไม่ต้อง จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ให้อาศัย ถ้าสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ตัวเองที่จะต้องอาศัยอยู่ดินน้ำไฟลมเป็นต้น เป็นสังขารร่างกายมีธาตุดินน้ำลมไฟกับจิตวิญญาณ สังขารสังเคราะห์กันอยู่ ก็ใช้ไป ใช้ไปแล้ว มันก็จะเสื่อมเป็นธรรมดา ถึงเวลามันก็จะสูญ
สำหรับอาตมานั้น รู้ว่ามันเสื่อมแล้วก็พยายามเพื่อรู้ว่าพลังงานที่มันทำให้เกิด อุปจยะ พลังงานนี้สร้างความเกิด อาตมาจึงทำงานสร้างตัวตนของ อุปจยะ การเกิดให้มันเก่งขึ้นให้มันสามารถรู้และให้มันสร้าง อุปจยะ สังขารร่างกายตัวเองขึ้นไปอีก
ถ้าจะให้อาตมา อธิบายต่อก็ได้แต่วันนี้คงไม่เหมาะ อาตมาจะอธิบายรูป 28 หรืออุปาทายรูป 24 ที่จะต้องรู้ธาตุตัวใด พอมา หทยรูป แล้วเกิดชีวตินทรีย์หรือชีวิตรูป รูปของชีวะ แล้วรู้จักอินทรีย์ ความเป็นพลังงานของมัน เราจะต้องรู้อันนี้แหละว่ามันจะมีอะไรเป็นอาหาร อาหารที่จะให้หล่อเลี้ยงชีวิตินทรีย์ ให้มันไปได้อีกๆๆ เป็นอาหาร
-
อาหารทางกาย อาตมาก็บอกแล้ว อาหาร 8 อ. ก็ทำให้ได้สมดุล
-
วิญญาณาหาร จะเป็นตัวประธาน ก็ถึงทำได้จริงทั้งรูปและนาม สร้างให้มันมีชีวิตต่อไปๆ ไม่ใช่พูดด้วยปากเปล่าพูดเล่นๆ แต่มันรู้จริงเป็นจริงทำจริงมันก็เป็นจริงได้ อาตมาเอาตัวเองเป็นตัวพิสูจน์ ว่า อาตมาอยู่ไม่ถึงขนาดนี้หรอก ตายไปแล้ว แต่อาตมารู้จักการสร้างพลังงานอันนี้ ให้รู้จักรักษาขันธ์ 5 นี้ได้มาถึง 87 แล้วก็จะสร้างไปอีกทำไปอีก ตั้งตัวเลขไปให้ถึง 151 ก็ลองดู ว่า อาตมานี้ โพธิสัตว์ระดับ 7 จะทำได้ไหม 7 ของอาตมาจะทำได้ไหม ก็ลองดู ซึ่งมันไม่ได้เก่งเท่าไหร่หรอกระดับ 7 ซึ่ง 8 ก็จะเก่งกว่านี้ หรือ 9 ก็จะเก่งกว่านี้อีก
แต่จะได้ไหม ซึ่งอาตมามั่นใจว่ามันต้องได้ประมาณหนึ่ง แต่จะขนาดไหน อย่าเพิ่งรีบตาย
สู่แดนธรรม..ผมเคยสงสัยว่า การทำสัมประสิทธิ์แบบพ่อครู คนทั่วไปทำไม่ได้ใช่ไหมต้องเป็นพระอรหันต์ขึ้นไปถึงทำได้ใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า…ใช่ ต้องเป็นพระอรหันต์จึงจะรู้จักพลังงานขั้นรูป 28 นาม 5 ที่จะปฏิบัติทำใจในใจมนสิการของใจตัวเอง ทำใจในใจตัวเอง สร้างใจในใจของตัวเอง ผลิตใจของตัวเองให้เป็นประธานที่จะมีชีวะ จะต้องรู้จุดของชีวิตินทรีย์ หทยรูปเป็นรูป ชีวิตินทรีย์เป็นนาม เป็นคู่ Static กับ Dynamic แล้วก็มีเหตุปัจจัยมีอาหารรูปต่อ
สู่แดนธรรม…ผมเห็นว่า ลูกๆชาวอโศกมีอิทธิบาทในระดับบวกหรือคูณเท่านั้นไม่สามารถทำให้ยกกำลังขึ้นได้ ก็เลยสัมประสิทธิ์นี้จึงเป็นหน้าที่ของพ่อท่านเท่านั้นที่จะทำ
พ่อครูว่า…ก็ต้องอธิบายไว้ โพธิสัตว์หรือผู้จะศึกษาต่อก็จะได้มีแผนที่ ต้องให้โครงสร้างให้ทฤษฎีไว้ แล้วผู้มีภูมิถึงก็จะทำได้ ศึกษาฝึกฝนพิสูจน์เอาเอง แล้วคุณจะรู้เองโดยไม่ต้องเชื่อใคร เชื่อสัจจะอันนี้เอง โดยไม่ต้องเชื่อใคร
สรุปอีกทีหนึ่งคุณสติพล รู้นะว่า เทวนิยมทำไม่ได้ ขนาดเป็นสายอเทวนิยม เป็นอรหันต์อย่างที่พูดไปแล้ว อรหันต์ธรรมดายังทำไม่ได้แล้วเทวนิยมจะทำให้เป็นอุตุเป็นพีชะไม่มีทางจะมั่วทำไม่เป็น แต่มันดูเหมือนว่า แล้วก็คนเข้าใจไม่ได้ก็ไปเข้าใจเอาเอง คุณสติพล ไปเก็งความจริง ไปประมาณเอาว่า โดยมีธาตุดี มีเจตนาดีและเข้าใจว่าเขาก็จะน่ามีสิ่งอันนี้ได้ มันไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ นี่คือสำนวนพระพุทธเจ้านะ ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ เขาจะไม่รู้รายละเอียดของจิต เจตสิก รูป นิพพานอย่างนี้ โดยเฉพาะยิ่งจะไปแยกธาตุถึงรูป 28 นาม 5 ไปทำงานไปจัดการอย่างนี้ No way station ไม่มีทางเลย
_แก้วตะวัน พวงบุบผา · ชาวอโศกเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นหนึ่ง…เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ
พ่อครูว่า…คุณแก้วตะวันก็ศึกษาตามไปเรื่อยๆ ก็เห็นจริงที่อาตมาได้ย้ำชาวอโศกนี่แหละเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้น 1 จนมีพฤติกรรมสังคมของชาวอโศกถึงขั้นสาธารณโภคี ชุมชนราชธานีอโศกก็มีสาธารณโภคี ไม่ได้เป็นของเล่นแต่เป็นของจริง ทุกคนไม่ได้สะสมเงินทอง ไม่มีใครเอารายได้ จากการทำงานในนี้ เอาเข้าส่วนกลางทั้งหมด สงสัยจะแอบแฝงก็เป็นของตนเอง มีตัวมีตนก็ทำไปตามฐานะความจริงของเขา จะเอาไว้มากหรือน้อยก็เป็นตัวเขาจริงๆ ส่วนผู้ที่ไม่มีตัวตนจริงๆ แล้วอยู่ในสาธารณโภคีอย่างสบายมาก สบม. ปกติ ปกต สบายมาก สบม หายห่วง หห จริงๆ จจ. ก็ทำได้ มชยลล ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
สรุปแล้ว ทำความเข้าใจให้ดีๆคุณสติพล เทวนิยมเขาทำไม่ได้หรอก นั้นมันเดาแล้ว คนจะรู้จัก อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม โดยสามารถทำให้จิตกลายเป็นอุตุ พีชะได้ แยกกายแยกจิต ตอนนี้เป็นธาตุ 2 ที่ปรุงแต่งกันยังเป็นวัตถุเป็นดินน้ำไฟลมไม่มีชีวเลยเรียกว่าอุตุธาตุ ทำได้ แยกได้ ตั้งแต่แยกกายแยกจิต ต้องรู้โครงสร้างหรือทฤษฎีกระบวนการของการแยกกายแยกจิต
พระพุทธเจ้าก็ให้อุปัชฌาย์สอนการแยกกายแยกจิตได้ รู้จักทฤษฎีรู้จักวิธีแยกให้แก่ลูกศิษย์ ก่อนที่จะออกไปเลย ก่อนที่จะลุกจากการบวชเสร็จนี้ ต้องสอนกรรมฐาน 5 นี้ให้ เรียกว่ามูลกรรมฐาน เพราะมันเป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาเพื่อนิพพาน 5 แยกกายแยกจิตไม่สัมมาทิฏฐิทำไม่เป็น ไม่มีสิทธิ์บรรลุอรหันต์ ไม่มีสิทธิ์เลย ทุกวันนี้ไม่รู้เรื่องแล้ว อุปัชฌาย์สอนอะไรกันต่างๆนานา ไม่รู้เลย ขออภัย อุปัชฌาย์ของอาตมา 2 รูป ธรรมยุตรูปนึงมหานิกายรูปนึง อาตมาบวชทั้งสองนิกายนะ ขออภัย เขาไม่เคยสอนอาตมาไม่เคยอธิบายอันนี้ให้อาตมาหรอกทั้งสองอุปัชฌาย์ แต่อาตมามีความรู้อันนี้มาเก่า มาแต่ปางบรรพ์มาแต่ชาติก่อนก่อนก็เอามาอธิบายให้ฟัง ขออภัยนะอาตมาต้องเคารพอุปัชฌาย์ ไม่ได้ดูถูกอุปัชฌาย์ ภิกษุทุกวันนี้ยากที่จะเข้าใจเรื่องการแยกกายแยกจิต กับมูลกรรมฐาน 5 ผมขนเล็บฟันหนัง แล้วก็แยกอะไรเป็นกายอะไรไม่ใช่กาย ไม่ใช่กายแล้ว แต่ยังเป็นส่วนที่ติดเป็นชีวะอยู่เช่นเล็บมันยาวไปแล้ว มันไม่ใช่กายแล้วแต่มันไม่มีเวทนา มันเป็นพีชะเท่านั้น ไม่ใช่จิตนิยามแล้วเป็นแต่เพียง พีชะ ไม่เจ็บ ผมขนเล็บฟันหนัง ส่วนที่มันเป็น พีชะ มันเป็นส่วนไหนคุณต้องแยกออกส่วนไหนเป็นจิตแล้วจะทำกรรมนิยาม ทำให้มันเป็นอย่างนี้ เกิดเวทนาอย่างนี้นี่ต่างหากที่จะต้องทำต้องรู้
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
_สมณะเดินดิน…ทุกวันนี้ในยุคโควิด รู้สึกว่าสังคมเขาพยายามหาทางออกหาคำตอบกัน สิ่งหนึ่งที่ได้คำตอบก็คือว่า New Normal คือเป็นปกติใหม่ที่มันสบาย แต่ไม่น่าเชื่อว่าคำนี้ พ่อครูใช้มานานแล้วคือ สบม ธมด ปกต หห จจ มชยลล
เรามาอยู่ในระบบสาธารณโภคี เรามีความสบายมากอย่างนี้จริงหรือเปล่า การที่เราไม่ต้องมีอะไรเป็นของส่วนตัวมาก แต่รู้สึกว่าบ้านราชฯจะมีเครื่องทดสอบดี เพราะว่าเดี๋ยวก็มีน้ำท่วมมาทดสอบ ตอนนี้จะย้ายของจากชั้น 3 ไปขึ้นชั้น 2 แล้วจะรู้ว่าใครเป็น New Normal หรือว่า Old normal ถ้าหากเป็น New Normal ก็จะเป็น สบม ธมด ปกต หห แต่ถ้าเป็น Old Normal ก็จะไม่สบาย
ที่คุณแก้วตะวันว่า ที่ว่าชาวอโศกเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้น 1 (พ่อครูว่า…นักเศรษฐศาสตร์ชั้นหนึ่ง คือเป็นคนจนและของทุกอย่างเป็นของส่วนกลางสาธารณโภคี สบายที่สุดและสังคมก็สบายที่สุดก็สบาย มีเสนาสนะสัปปายะ มีบุคคลสัปปายะ อาหารสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ ครบ)
สมณะเดินดิน…แม้แต่ผู้อำนวยการสหกรณ์เขามาคุยกับพวกเราว่า สหกรณ์ที่พวกเราตั้งมาถูกต้องแล้ว ไปไกลยิ่งกว่าสหกรณ์ธรรมดา ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยประชาชน พวกคุณทำได้ดีมากจริงๆ เขาให้พวกเราทำนอกกรอบ เขาเข้าใจได้จริงๆว่าอันนี้เป็นประโยชน์เพื่อสังคมส่วนรวมไม่ใช่เอามาแค่ปันผลเฉพาะพวกตัวเอง เขาดูแล้วรู้สึกว่า (พ่อครูว่า…ของเราไม่มีปันผลด้วย)
ที่บอกว่า เป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นหนึ่ง คือต้นทุนของตัวเองมีน้อยมาก คนทั้งหมู่บ้านกินข้าวหม้อเดียวกัน รถก็ใช้ร่วมกัน สถานศึกษาที่เดียวกัน ทุกอย่าง พ่อครูว่าถึงแม้บางอย่างจะหลุดไปบ้างแต่ก็เป็นการประหยัดมากกว่าที่อื่น สรุปแล้ว สิ่งที่พ่อครูสอนพวกเราไว้เป็นสิ่งที่ทันสมัยใหม่เสมอ
พ่อครูว่า…ไม่มีเก่าเลย ใหม่เสมอ เก่าสมัย คือเก่าทันสมัย ไม่มีเก่า เป็นแต่เพียงว่าใครเข้าใจไม่ได้ทั้งนั้น คือมันใช้คำว่าเก่าก็เป็นแทนว่า อันนี้เคยอยู่มาก่อนนะ แต่เดี๋ยวนี้มันก็ยังมีได้และยังดีนำหน้าอยู่นะ คนก็ยังตามไม่ทัน ก็ค่อยเป็นไปก็ค่อยทำ
_สู่แดนธรรม…sms วันนี้รวมจะเป็นเรื่องสัตว์เลี้ยงทั้งนั้นนะครับ
พ่อครูว่า..ยังจะพูดกันอีกในเรื่องความเป็นเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจยังไม่จบหรอก จนกว่าอาตมาจะตายมั้ง อีกหลายสิบปี ก็ยังจะต้องพูดขยายความเรื่องเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจนี้อยู่แม้แต่เรื่องการเมือง ก็ยังจะต้องพูดกันอยู่ ยังไม่เข้าใจว่าประชาธิปไตยที่ดีที่สุดนี้เป็นอย่างไร เศรษฐกิจที่ดีที่สุดนั้นเป็นอย่างไร ก็ขอยืนยันว่าขณะนี้ ขออภัยนะ อโศกนี้มีเศรษฐกิจดีที่สุดนำหน้าโลก ชาวอโศก แม้แต่กลุ่มในประเทศไทย ก็เป็นกลุ่มชาวอโศกนี่แหละ มีเศรษฐกิจดีนำหน้าสังคมอื่น เศรษฐกิจของสังคมอื่นกลุ่มอื่น เช่น กลุ่ม CP ไม่ได้สู้อโศกได้ อโศกมีเศรษฐกิจดีกว่า CP เยอะ CP ยังมีระบบเศรษฐกิจที่ยังมีบาปอยู่อีกเยอะ และก็ยังกักตุนยังมีผลประโยชน์ส่วนตัวเยอะ แต่ชาวอโศกนี้ของอโศกนี้กินแต่พอน้อยไม่มีมากอะไรสะพัดออกเร็ว ไม่กักตุนเอาไปหมุนเวียนเป็นผลประโยชน์ส่วนตนให้แก่ตัวเองอีกก็ไม่ ค่อยๆศึกษามันซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อนเยอะ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเศรษฐกิจคณะอื่น ยกเศรษฐกิจกลุ่ม CP เป็นตัวอย่าง ก็ขอบคุณCP ที่เอามาเป็นตัวอย่างวันนี้โดยไม่ได้บอกกล่าว แต่เอามาขอเทียบให้เป็นการศึกษาเป็นตัวอย่างของการศึกษาในวิชาการ
สู่แดนธรรม..ที่พ่อท่านว่า เศรษฐกิจชาวอโศกดีเพราะมีปาฏิหาริย์
พ่อครูว่า…ความน่าทึ่งที่คิดได้ยากเป็นได้ยาก คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม ๙ ข้อ ๓๔)
ดีอย่างไรก็ค่อยตาม เพราะมันซับซ้อนลึกซึ้ง จน นี่แหละดี เขาก็บอกว่าจนนี่แหละมันจะไปมีกินมีใช้อย่างไร แต่เราก็บอกว่าจนนี่แหละมีกินมีใช้ เขาบอกว่ามีหรือจน มีกินมีใช้ เราก็บอกว่าเราจนนี่แหละยังมีแจกคนอื่นอีก จนแปลว่ามีน้อยใช่ส่วนตัวมีน้อย แต่ส่วนที่มีสิทธิ์อยู่ในส่วนรวมมีเยอะนะ มันซ้อนเป็นสอง ก็ไม่ได้อยู่คนเดียว หากอยู่คนเดียวอย่างศาสนาเชนคุณก็จนอย่างไม่มีอะไรไปให้ใคร หรือพวกศาสนาออกป่าเขา คุณก็จนแบบไม่มีอะไรให้ใครเพราะคุณไม่มีสิทธิ์จะไปละลาบละล้วงเอาของใครมา แต่ที่นี่ไม่ละลาบละล้วงเอาของใครมาแต่เป็นสิทธิของส่วนกลาง มีสิทธิ์ที่จะบอกส่วนกลางให้ส่วนกลางเห็นด้วยก็เอาไปใช้กับคนอื่นให้เขาได้ เราไม่เป็นของเราแต่เอาของส่วนกลางแต่เอาของส่วนกลางไปใช้กับคนอื่นได้ ไปให้คนอื่นได้ แล้วเราไม่ถือว่าเป็นของเรา แต่ที่จริงเรามีสิทธิ์ในส่วนกลางนี้ เป็นสาธารณโภคีซ้อน เราอยู่ในสาธารณโภคีและไม่มีเราในสาธารณโภคี สับสนไหม งงไหม
ถามจริง งงไหม เราไม่มีในส่วนกลางแต่เราก็มีในส่วนกลาง งงไหม เด็กๆงงไหม …เด็กๆก็เข้าใจหรือ
_Surapa Limwannasathian(สุรภา ลิมวรรณเสถียร) · การเกิดโควิด19จะเห็นความโลภของคน และเห็นมนุษยที่มีเมตตาก็มีมากขึ้นคะ
พ่อครูว่า…โควิดนี้ถึงเวลาวาระ มาช่วยชาวอโศกนะตอนนี้ก็อย่าไปการ์ดตกไว้ใจไม่ได้ พวกประมาทคอยดูจะเห็นผลของเขา ไม่ใช่ไปว่าเขานะแต่น่าสงสารพวกเราประมาทจริงๆ ทำเป็นหยิ่งผยองอวดดีเดี๋ยวเถอะ แต่คนที่เรามัดระวังเอาไว้ ใครจะหาว่าเราขี้กลัวไม่เก่งก็ไม่เป็นไร เคยได้ยินไหมว่า คนที่เก่งกว่าคุณน่ะ เก่งจริงๆ เก่งกว่าคุณเยอะเลย เขาเก่งกว่าคุณจริงๆ แต่เขาตายไปนานแล้ว เพราะความเก่งของเขานั่นแหละ อวดดีอย่างคุณนี้แหละ คุณเก่งแค่นี้ไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวก็ตายเพราะคนที่เก่งกว่าคุณหลายรอบด้วยแต่เขาก็ตายเพราะความเก่งของเขานั่นแหละ ตายไปตั้งนานแล้ว
_หลวงตาแด่ธรรม ธัมมรักขิโต · อเมริกันชนส่วนใหญ่ ไม่มีวรรณะ 9 สักข้อ เพราะระบบทุนนิยมสอนให้เสพ แต่บุญนิยมสอนให้สร้าง
พ่อครูว่า…ไม่ต้องส่วนใหญ่หรอกอเมริกันชนทั้งหมดนั่นแหละทุกคนไม่มีวรรณะ 9
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
เขาไม่มีสัลเลขะขัดเกลากิเลสหรอก มีแต่ขัดขี้ไคลตัวเองให้ผิวงาม สะอาด แต่ไม่มีขัดเกลากิเลสหรอก อาการของอเมริกันชน จึงเห็นได้ว่าสำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล เห็นได้รู้ได้ว่าเขายังอีกไกล มันเป็นสัจจะความจริงอันหนึ่งว่า คนที่โลกหลงยกย่องว่า เจริญ อเมริกา ถือว่าเจริญทางเศรษฐกิจ เจริญทางวัฒนธรรม เจริญทางอะไรก็แล้วแต่ แล้วมันจะยืนยันได้ว่าจริงๆไม่ใช่เจริญจริงหรอกแต่มันเจริญหลอก เจริญซ้อนอยู่ในอำนาจนิยม เจริญซ้อนอยู่ในทุนนิยม เจริญซุ้มอยู่ในค่านิยมที่สร้างค่าขึ้นไปโฆษณาเผยแพร่เพื่อให้คนนิยมเป็นค่านิยมแฟชั่นนิยม ซึ่งมันไม่ใช่ของจริง ก็ค่อยๆศึกษาไป
_เจน ฮู เชอร์ · ???ไม่มีใครทีมาเปรียบเทียบพ่อครูได้เลยเจ้าค่ะ (พ่อครูสอนให้คนลดละกิเลสได้จริงเจ้าค่ะ)???
พ่อครูว่า…ก็มายกย่องอาตมาไปเรื่อยๆหากอาตมาไม่มีสติก็ลอยฟ่องติดไว้นานแล้วนะ คุณก็ชมมา โดยที่คุณเชื่อว่าอาตมาไม่หลงคำชมก็จริง ไม่มีใครเปรียบเทียบในยุคนี้ อาตมาว่าอาตมาเป็นไก่ตัวพี่นี่ก็อวดดีนะ อาตมาเกิดมาในชาตินี้เป็นไก่ตัวพี่ที่เจาะออกมาจากกระเปราะไข่ โลกียะคือเสมือนกระเปราะไข่ อาตมาเจาะโลกียะออกมาได้เป็นคนแรกในยุคนี้ เป็นโลกุตระบุคคลตัวแท้ คนอื่นไม่มีใครที่เป็นโลกุตระบุคคลตัวแทนออกเป็นแต่เพียงได้ยินมาแล้วมาพูดเท่ๆโก้ๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นคนโลกุตระที่รู้จักทฤษฎีรู้จักสภาพที่เป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่รู้จริงๆว่าเพราะไม่มีอวิชชาจึงไม่มีภพชาติอย่างนี้ โดยกระบวนการเหตุปัจจัยตั้งแต่สังขารวิญญาณนามรูปอายตนะเวทนาตัณหาอุปาทานภพชาติก็รู้สภาวะพวกนั้นทุกตัวแล้วก็ทำได้ทุกตัว เข้าใจว่า ตอนนี้มีอายตนะหรือยัง อายตนะไม่มีอยู่ในโลก จะมีเมื่อมีสภาพสองของสองสิ่งกระทบการสัมผัสกันจึงจะเกิดอายตนะ ก็สิ่งที่เนื่องกันขึ้นมาเรียกว่าอายตนะ ถ้า 2 ตัวนี้ไม่สัมผัสกันเมื่อไหร่อายตนะก็หายไปไม่มีอยู่ในโลกเลย มีอยู่ในปัจจุบันธรรมที่มีสองสิ่งสัมผัสกันแล้วก็เกิดอายตนะ แล้วอายตนะนั้นจะต้องเป็นวิญญาณเป็นธาตุรู้ ในฟิสิกส์ วัตถุธรรม ธาตุดินน้ำไฟลม ไม่ถือว่าเป็นอายตนะ มันเป็นพลังงานดูดหรือพลังงานผลัก ไม่เรียกว่าเป็นอายตนะ แต่ก็เป็นสิ่งที่เนื่องต่อกัน แต่ผลักมันไม่เรื่องกันแต่มันถีบออกแยกออกจากกัน แต่ตอนนี้จะต้องเชื่อมกัน
วัตถุที่ดูดกันก็เช่นแม่เหล็ก พีชะก็มีพลังงานแม่เหล็ก จิต แน่นอน มีแน่นอนแล้วก็มีกันจนกระทั่งดูดกันไม่ยอมพลาดร้อยชาติก็ไม่ยอมสลายพลังงานดูดพันชาติล้านชาติ ยังไม่ยอมสลายพลังงานดูดนี้เลยไม่ยอมปล่อยเลย นั่นก็เป็นความเป็นจริงที่จะต้องศึกษา แล้วก็จะรู้สัจจะความจริงพวกนี้ได้ ก็ค่อยๆศึกษาไปพลังงานอุตุ พลังงานพีชะ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา
_Kawwalee Bunsawat(เกวลี บุญสวัสดิ์) · กราบเจ้าค่ะ วันนี้ฟังประวัติพ่อครูจากหลวงตาแล้ว ดีใจที่สุดเลยได้เอาลูกไปปฐมอโศก สุดๆๆของใจหนูเลยค่ะ ???
พ่อครูว่า…คนที่มีฐานจิตมีบารมี มีต้นทางของจิตที่มีเหตุปัจจัยก่อขึ้นมาพร้อมที่จะมารู้สิ่งนี้ด้วย พอมาถึงเหตุปัจจัยอันนี้เติมเข้ามาโอ้โห มันเข้าใจมันอื้อหือ เป็นพลังงานแรงที่รู้ชัดรู้จริง มันต้องพลังงานศรัทธา เต็มรูปมันเกิด มันต้องเอาเลย ก็ค่อยๆศึกษาไป
_Boy Mungchomklang(บอย มุ่งชมกลาง) · เรื่องสัตว์ที่เลี้ยงบางคนก็ว่า เลี้ยงสัตว์ด้วยความเมตตาสัตว์ แต่ลองทบทวนดูบ้างไหมว่า สัตว์บางอย่างเลี้ยงด้วยความเอ็นดูตอนเล็กๆ พอสัตว์เริ่มโตเป็นหนุ่มเป็นสาว รุ่นๆ หน่อย บางทีมีเพื่อนมีคนมาหา ก็วิ่งไล่จับมันมาฆ่า ตัดเอาส่วนต่างๆ ของสัตว์ มากิน มาใช้ ไม่รู้ว่าเขาจะคิดบ้างไหมว่าสัตว์มันจะเจ็บปวดทรมานแค่ไหน แล้วถ้าเป็นเราหละเราโดนกระทำแบบที่สัตว์โดน เราจะยอมมอบชีวิต ยอมมอบอวัยวะส่วนต่างๆ ให้กับผู้ที่กินด้วยความยินดี ความความเต็มใจ บ้างไหมหนอ …แล้วก็มีสัตว์บางอย่าง บางคนก็เห็นว่าผู้อื่นเลี้ยงแล้วมันน่ารักดี ก็เลยเอามาเลี้ยงบ้าง พอเลี้ยงไปเลี้ยงมาก็เบื่อ ปล่อยมันหากินเองตามยถากรรม โถ่เอย เมื่อก่อนมันก็หากินเองได้ พอเอามันมาเลี้ยงหาอาหารให้มันกิน จนมันได้แต่รอกิน…จนมันเสียนิสัย ทำให้สัตว์มันอ่อนแอ แล้วก็ทิ้งมัน นั้นมันใช่ความเมตตาจริงหรือ ลองคิดใคร่ควรดูเถิด …ยังมีอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับสัตว์บางที่เราก็คิดว่าเราเมตตา แต่พอทำจริงกลับทำร้ายสัตว์…กราบขอบพระคุณครับผู้รู้จริงที่อบรมสั่งสอนอย่างถูกตรง…
พ่อครูว่า…คุณก็เข้าใจความสัมพันธ์กับสัตว์ การเอาสัตว์มาเลี้ยงมันมีการหมุนรอบเชิงซ้อนปฏิสัมพันธ์มันมีทั้งรักและชังมันไม่ได้เป็นการเมตตาจริงๆ มันเป็นอารมณ์ชั่วคราวที่หมุนไปซับซ้อนไปมา เพราะฉะนั้นวิบากที่คุณทำกับสัตว์ที่คุณรักคุณเลี้ยงนี้ ยังจะเกิดมาทดแทนคุณกันในชาติต่อๆไปอีกหลายชาติ พูดไว้แค่นี้ก็แล้วกันมันเป็นเรื่องซับซ้อนลึกซึ้งมากเลยคนที่เกี่ยวข้องกันเกิดมาร่วมกันกว่าจะใช้วิบากหมดไปจากกัน 500 ชาติน้อยไปท่านจึงใช้คำว่าสัก 500 ชาติอีกเยอะในการเกิดมาใช้หนี้บาปเวรต่อกัน ที่จริงมันมากกว่า 500 ชาติเยอะ แต่คนที่ปฏิบัติธรรมไปศึกษาเลขตัวที่ 5 มันเป็นเลขที่รู้การถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง จาก 9 เป็นอาการเกิด 4 กับ 4 เป็น 2 ข้าง ส่วนเลข 5 เป็นเลขเกิดของ 4 รู้เจริญกว่าเลข 4 เป็นสังขยาเลข เช่น ใน เวทนา 5 มี โสมนัสโทมนัส มีน้ำหนักของเวทนาที่ต่างกัน มีองศาต่างกัน
_สิรภพ สุขพูล · ตัวผมเอง ตั้งแต่เด็ก มาถึงปัจจุบันนี้ เคยเลี้ยงสัตว์อยู่ครั้งหนึ่ง เป็นลูกสุนัข แต่อายุเพียงไม่ถึงปี สุนัขก็ตาย ผมก็เริ่ม เห็นทุกข์แล้ว ว่ามันเป็นภาระมากครับ ทั้งๆช่วงนั้นสมัยยังวัยรุ่นก็ยังไม่ได้รู้ธรรมะอะไรเลย แต่ใจลึกๆช่วงนั้น มันรู้สึกว่า ไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่
ขอถามพ่อครูว่า ผมได้สั่งสม ในเรื่องการเลี้ยงสัตว์นี้ มาหลายชาติ หรือเปล่าครับ
พ่อครูว่า..ใช่ คุณรู้จักความจริงว่าถ้าพรากก็รู้สึกทุกข์ ถ้าพบก็ดีใจ
_ข้อ 2 ขอถามพ่อครูว่าผมมีน้องสาวอยู่คนหนึ่งซึ่งเคยเลี้ยงเขามา เขาเลี้ยงสุนัขเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวไว้เยอะ พูดเท่าไหร่เขาไม่เข้าใจ แต่เห็นเขาทุกข์มาก ผมจะทำยังไงดีครับเพราะผมเองไม่มีบารมีพอจะพูดลักษณะไหน มุมไหน ให้เขาเข้าใจ และเลิกเลี้ยงครับ เพราะเป็นห่วงเขาครับ เพราะน้องสาวคนนี้ ผมเคยเลี้ยงเขามา ตั้งแต่เขาเป็นเด็ก (น้องคนเล็ก) ผมสงสารเขาครับ ที่เขาทุกข์และเหนื่อย กับการเลี้ยงสัตว์มากครับ
พ่อครูว่า…อาตมาก็ว่า คุณรู้แล้วคุณก็วางได้ ปล่อยได้ แล้วคุณก็เลิกไม่ไปเลี้ยงแล้วสัตว์ แต่คนที่เขายังติดยึดอยู่ คุณก็พยายามบอกแล้วก็ทำใจกลางๆ แล้วคุณก็พยายามใช้ศิลปะ ใช้ศาสตร์ความรู้ ค่อยๆพูดอธิบายไป อย่าไปหวังว่าน้องเขาจะเข้าใจ แต่ทำก็แล้วกัน ช่วยเขาได้ก็ช่วยไปตามควร อย่าไปยึดมั่นว่าจะต้องช่วยเขาให้ได้ มันจะเป็นทุกข์ ช่วยเข้าไปตามเจตนาโดยมีเมตตากรุณาช่วยกลับไป ช่วยเขาได้ก็จะได้มุทิตาช่วยเขา ไม่ได้ก็ไม่ได้มุทิตา ถือว่าได้ ช่วยเขาตอนที่เราจะทำหน้าที่ทำเต็มที่แล้วได้เท่าไหร่เท่านั้นเพราะว่าวิบากของคนมันยาก จะไปบังคับให้คนตาบอดเห็นฟ้า ไม่ได้ คนตาบอดมาแต่กำเนิดไม่มีทางจะเห็นฟ้าไม่มีทางจะรู้ว่าฟ้าคืออะไร เพราะว่าฟ้ามันอยู่ไกลเกินเอื้อม ถ้าว่าดิน หรือฟ้าตาบอดเอามือคลำก็รู้แล้ว แต่ฟ้าเขาสัมผัสไม่ได้คนตาบอดนี่นะ เพราะฉะนั้นจะบอกฟ้า อธิบายฟ้า สภาวะของฟ้าให้คนตาบอดรู้นี่นา เมินเสียเถิดอย่าคิดถึง เป็นไปไม่ได้ คมนะ คำนี้ เอาไว้ใช้เถอะ คุณอย่าไปอธิบายให้คนตาบอดรู้เลย คนตาบอดแต่กำเนิดไม่มีสิทธิ์เลย หมดหนทาง ฉันใดก็ฉันนั้น
_สมณะเดินดิน…พ่อครูได้พูดถึงโควิด แล้วเตือนพวกเราว่าอย่าประมาท เพราะว่าสถานการณ์ทั้งโลกนี้ อาการติดเชื้อพุ่งสูง คนทั้งโลกติดเชื้อ 14 ล้านคนแล้ว ฮ่องกงระบาดรอบที่ 2 รอบที่ 3 นางเคอรี่ แหลม บอกว่าเอาไม่อยู่แล้ว ควบคุมไม่ได้ พ่อครูให้พวกเราไม่ประมาทไว้ดีแล้ว หมอสันต์มองระยะไกล อยากให้ชาวอโศกกินอาหารที่เพื่อสุขภาพ เพื่อให้พวกเราอายุยืนยาวจะได้ช่วยคนอื่นอีกมาก หลังโควิด ตอนนี้พวกเรารวบรวมกันอยู่จะค่อยๆทยอยไปเรียนรู้ การทำอาหารที่จะทำให้สุขภาพดีแข็งแรงเป็นอย่างไร พวกเราทำผัดทอดน้ำมันเยอะ ทำไมเส้นเลือดหัวใจอุดตัน จริงๆแล้วเขาบอกว่าใช้น้ำมันราดเพียงเล็กน้อยก็พอแล้ว
พ่อครูว่า…คนกับสัตว์นั้นจะเกี่ยวข้องกันอีกยาวนาน
พระพุทธเจ้าท่านตัดรอบให้ ในจุลศีล สรุปว่าอย่าไปเกี่ยวข้องกับสัตว์เลยในชีวิตนี้ สัตว์พวกมีพิษอะไรพวกนี้ปล่อยไปเลยอย่าไปเกี่ยวงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ที่นี้สัตว์ที่มีประโยชน์บ้าง ท่านยังแบ่งเอาไว้เป็นตัวอย่างในจุลศีลมี 3 หมวด
หมวดที่ 1 คือ แกะ แพะ อันนี้เป็นตัวอย่างว่าคนอาศัยอะไรของมัน คนอาศัยนมของมันอาศัยคนของมัน แกะ แพะ อาศัยสิ่งที่มันสร้าง ไม่ได้ไปฆ่ามันนะ ยกตัวอย่างมาเท่านี้ที่จริงมีอื่นๆอีกเยอะ อย่างไก่ เราอาศัยใครของมันกินยาไปฆ่าไก่ หรือนก หรือห่าน มียกตัวอย่างห่านทองคำ มันใครออกมาเป็นทองคำคนก็ตะกละ อยากได้ไข่ทองคำทั้งหมดในห่านตัวนี้ก็ผ่าท้องมาเลยเอาไข่ทองคำออกมาจากท้องเลย เลยมันก็ยังไม่เป็นทองคำเลยอยู่ในท้องก็เลยอดเลยแล้วห่านก็ถูกฆ่าตายสิ แล้วก็ไม่มี
สรุปคือหมวดที่ 1 คือสัตว์ที่เราต้องพึ่งพาสิ่งที่มันมีของมัน แล้วเราก็อาศัยมันเป็นขนเป็นนม
หมวดที่ 2 สัตว์ที่เราอาศัยกินเนื้อมันเลย เช่นไก่และสุกร ยกตัวอย่าง 2 สัตว์เท่านั้น ก็อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน อย่างเช่นแพะกับแกะ หรืออาศัยกินเนื้อมันเลย อย่างไก่และสุกรก็อย่าไปเกี่ยวข้องมัน เวรมณี เว้นขาด อย่าไปยุ่งไปเกี่ยวอย่าไปกินเนื้อสัตว์อย่าไปเอามากิน อย่าไปเอามาเลี้ยงไปเอานมมันหรือขนมันอย่าไปทำ แม้แต่อาศัยแรงงานของมัน
หมวดที่ 3 โค ช้าง ลา ม้า ..อาศัยแรงงานของมัน
ถ้าเข้าใจแตกฉานจะรู้ว่า พระพุทธเจ้ามีพระเจตนารมณ์อย่างไร ในการตั้งศีลแต่ละข้อแต่ละหมวด อาตมามีความรู้ก็เอามาอธิบายให้ฟัง เราก็จะได้หมดวิบากเกี่ยวกับสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ที่มีประโยชน์ถึงขั้นเป็นแพะชนแกะ มีประโยชน์ถึงขั้นเป็นไก่และสุกรมีประโยชน์ถึงขั้นช้างโคม้าลา ก็อย่าไปเอามา ให้เว้นขาด อย่าไปยุ่งเกี่ยว ไม่เอามาเป็นประโยชน์แก่เรา เมื่อไหร่ก็ไม่เอาทั้งนั้น ช่วยตัวเราเอง
เพราะฉะนั้นสัตว์ทุกตัวตามยถากรรมเถอะ แล้วจะเกิดอย่างไร สัตว์เดรัจฉาน ส่วนคนนี่แหละยังมีกรรมวิบากร่วมกันอีกเยอะที่เราจะต้องมาปฏิบัติร่วมกัน ใครที่ยังอยู่ไกลห่างยังไม่มาสัมผัสกันก็แล้วไป วิบากยังไม่เกี่ยวกันเท่าไหร่ แต่วิบากที่จะต้องเกี่ยวกันเกิดมาชาตินี้ต้องเจอกันบางคนก็ฆ่ากันบางคนก็รักกันบางคนก็ชังกัน นี่แหละมาจัดการสิ่งที่มันรักมันชังนี่แหละให้เลิกอโหสิให้ได้ จนกระทั่งคุณทำให้ทั้ง 2 ฝั่ง ต่างพรากกันด้วยดี หรือเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายช่วยกันรังสรรค์สังคม ไม่มีอะไรเกาะดูด ไม่มีอะไรผลักกัน อย่างเช่นชาวอโศกอยู่กันอย่างไม่ดูดไม่ผลักกัน ตายแล้วจะมีวิบากร่วมกันอีกก็มาช่วยงานกันอีก อย่างอาตมากับพวกเรามีวิบากร่วมกันมาก็มาช่วยงานกัน ไม่ต้องไปดูดไปผลักและทุกข์
สรุปแล้ว คุณคนนี้ที่จะช่วยน้องก็เกี่ยวกับสัตว์
_กราบนมัสการค่ะพ่อครูที่เคารพบูชายิ่ง
ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่เคยถูกกล่าวหาว่าไม่มีเมตตาต่อสัตว์เลี้ยง ทั้งๆที่ดิฉันไม่เคยทุบตีทำร้ายสัตว์เหล่านั้นเลย เพียงแต่ดิฉันไม่ให้ข้าวให้น้ำมัน และไม่ให้เขานอนในบ้านเนื่องจากว่าแมวบางตัวชอบกระโดดขึ้นไปนอนบนเตียงนอนของคน ซึ่งไม่สมควร(ตอนนั้นดิฉันยังอยู่นอกชุมชนอโศก)
ชาวอโศกทุกคนทั้งเด็กเล็กๆและผู้ใหญ่มีเมตตาทั้งต่อคนและสัตว์สูงมาก เราจึงไม่กินเนื้อสัตว์เพราะเป็นเหตุให้ต้องฆ่าสัตว์มากิน แม้ยุงมากัดเราก็ไม่ตบตี เพียงแต่ปัดเป่ามันไปเท่านั้น แล้วทำไมหนอคนที่ชอบเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวซึ่งอ้างว่ามีเมตตาสัตว์ จึงได้ทุบหัวปลาฆ่าเป็ดฆ่าไก่ ฯลฯ มากินอย่างอร่อยปากอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หรือจะอ้างว่าไม่ได้ฆ่าเองเพราะซื้อมาจากตลาด ก็ไม่พ้นบาปอยู่ดี ตกอยู่ในฐานะจ้างวานฆ่า “บาปจึงตกอยู่ที่คนทำและกรรมตกอยู่ที่คนกิน”
พระพุทธเจ้าสอนให้เรา “มีจิตเมตตาเอ็นดู หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง” ไม่ใช่เมตตาเอ็นดูเฉพาะหมาหรือแมวเท่านั้น
ดิฉันเคยได้พบหมาถูกรถชนนอนหายใจรวยรินอยู่กลางถนน จึงให้คนลากมันออกมาข้างๆถนน หาวิธีการช่วยเหลือเขาจนรอดชีวิต เจ้าของหมามารับกลับไปเลี้ยงตามเดิม
ครั้งหนึ่งดิฉันเคยเห็นเด็กๆนักเรียนชั้นประถมศึกษา 4-5 คนรุมกันทำอะไรอยู่กลางถนนในบ้านราช ดิฉันร้องถามเขาว่า “ เด็กๆพากันทำอะไร” เขาตอบว่า “จับปลาครับ”( ตอนนั้นเป็นฤดูฝน) ดิฉันจึงร้องบอกเขาว่า “อย่าไปฆ่ามันนะ” เขาตอบว่า “เปล่าครับ ผมจะพากันเอามันไปปล่อยครับ” ดิฉันรู้สึกทึ่งมากที่เด็กเล็กๆได้ซึมซับความเป็นผู้มีศีลและเมตตาจิตเช่นนั้น
อีกครั้งหนึ่งมีหนูมาออกลูกอยู่ในร้านขายของในบ้านราช ดิฉันเกรงว่าเมื่อโตขึ้นหนูจะกัดกินสินค้าในร้าน จึงบอกเด็กๆเอาไปปล่อยในป่า หรือที่ปลอดภัย(เด็กชั้นป 1 ป 2 ป 4)
เด็กทั้งหมดสุมหัวปรึกษาหารือกันอยู่พักหนึ่ง ก็ตกลงกันว่า จะไม่เอาไปปล่อย จะเอาไว้ในร้านตามเดิม
เหตุผลก็คือ เขาพากันกลัวว่า เมื่อแม่หนูกลับมามันจะหาลูกไม่เจอ ดิฉันตะลึงในความคิดของเด็กๆมาก เขาคิดได้ลึกซึ้งกว่าเราอีก
นิทานเรื่องหมาเรื่องแมวยังมีอีกมากมายเช่น พี่สาวของดิฉันเคยถูกสุนัขพันธุ์ดุที่สามีของเขาเลี้ยงไว้ 4-5 ตัวรุมกัดถึง 2 ครั้ง 2 ครา เดชะบุญเขาไม่ล้มลงและสวมกางเกงขายาวจึงไม่บาดเจ็บมาก
หลายปีก่อนมีข่าวว่า สองสามีภรรยาเลี้ยงสุนัขตัวหนึ่งเหมือนลูก โดยให้นอนบนเตียงเดียวกัน เมื่อมันตายลงก็จัดงานศพให้เหมือนคน
คนไปผูกพันรักใคร่สัตว์เดรัจฉานขนาดนั้นจะดีหรือ?
จบดีกว่าค่ะ
กราบนิมนต์พ่อครูให้สัมมาทิฏฐิเพิ่มด้วยค่ะ
กราบนมัสการด้วยความเคารพยิ่ง
“คนบ้านราช”
พ่อครูว่า..เอาล่ะ ค่อยๆพูดไปเรื่องเกี่ยวกับสัตว์นี่แหละมันก็คือโลก คนในโลก จะต้องเกี่ยวกับสัตว์ สัตว์เดรัจฉาน อาตมาก็อธิบายให้ฟังแล้วว่าพระพุทธเจ้าตั้งจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลมา 3 ข้อมี 3นัย สำคัญที่ได้ขยายความ
สรุปแล้วสัตว์ที่ไม่มีประโยชน์กับคนเลย คุณจะไปเกี่ยวกับมันเลย อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน ขนาดสัตว์ที่มีประโยชน์แล้วท่านก็แยกไว้ 3 อย่าง ประโยชน์ที่จะใช้ขนมัน นมมัน จะกินเนื้อมันจะใช้แรงงานมันมี 3 อย่าง ขนาดนั้นพระพุทธเจ้าท่านยังบอกว่าอย่าไปเกี่ยวข้องอย่าไปสร้างอีกจะไปเอาช้างมาใช้งานอย่าไปเอามามาใช้งาน อย่าไปเอาไก่เอาสุกรมากินเนื้อมันอย่าไปเอาแพะเอาแกะมาเลี้ยงเอาขนเอานมมันเลย กินพืชๆๆๆ กินผักผลไม้ เอาผักผลไม้เลี้ยงชีพเหลือแหล่แล้ว
เพราะฉะนั้นจุลศีล ทำตามพระพุทธเจ้าเถอะ วิบากจะหมดไป ไม่เช่นนั้นคุณจะมีวิบากอีกมากเลยถ้าคุณไม่ปฏิบัติตามศีล โดยเฉพาะ จุลศีล มีแค่ 26 ข้อ ปฏิบัติตามจุลศีล 26 ข้อนี้ให้ครบเท่านั้นแหละเป็นอรหันต์เด็ดขาด ขอให้คุณเข้าใจให้ดีๆ แล้วคุณก็อ่านเมื่อสัมผัสเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆได้จุลศีล 26 ข้อ คุณก็จะเรียนรู้ถึงการเกี่ยวข้องปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆใน 26 ข้อนี้ คุณจะอ่านกิเลสล้างกิเลสได้หมดเป็นพระอรหันต์ได้เลย
_หนูมีคำถาม 3 คำถาม
-
ทำไมสัตว์โลกจึงต้องมีเกิดแก่เจ็บตายด้วยคะ
พ่อครูว่า…ถามปัญหาอะไรยากขนาดนั้น เอาล่ะ ฟัง หลวงปู่จะตอบอย่างง่ายๆ ซื่อๆ เมื่อคุณได้ ธาตุจิต เรียกว่า จิตนิยาม ได้ธาตุรู้เป็นสัตว์เรียกว่าจิตนิยามมาแล้ว เมื่อใครก็ตามเป็นพีชะ ก็เริ่มมีธาตุรู้ แต่ไม่จองเวรจองกรรม ไม่มีบาป ไม่มีบุญ ไม่มีรัก ไม่มีชัง แต่เมื่อมาเป็นจิตนิยามแล้วมี พืชก็มีเกิดแก่ตาย แต่ไม่มีเวทนา ไม่เจ็บปวด ไม่จองเวรจองกรรม แต่สัตว์มีการอาฆาต เจ็บก็อาฆาต รักผูกพัน ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉาน ยิ่งเป็นสัตว์เดรัจฉาน น้อยเซลล์ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว ก็เริ่มมีการผูกพัน มีการทำลาย มันต้องร้ายแรงเหมือนจุลินทรีย์ เช่น โควิด มันฆ่าโดยไม่รู้ว่าใครหรอก จุลินทรีย์มันไม่ใช่จิตนิยามชนิดที่รักคนแต่มันฆ่าคนนะ จุลินทรีย์เหมือนอาวุธร้าย เพราะฉะนั้นสรุปตรงนี้ก่อนว่า อโศก การ์ดอย่าตก แข็งๆไว้ก่อนนะ สำทับ อโศกทุกแห่ง การ์ดอย่าตก แข็งๆไว้ก่อน สำทับอีกที
สรุปแล้ว สัตว์โลกที่เกิดเป็นจิตนิยามเป็นสัตว์แล้วต้องเกิดแก่เจ็บตาย แต่สัตว์เดรัจฉานมันไม่รู้จักเจ็บตายเกิดอะไรหรอก
-
แล้วถ้ามีแต่เกิดไม่มีตาย มนุษย์จะเป็นอย่างไร