630722_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทำงานหนักในอโศกคือใช้หนี้หรือสร้างบารมี
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1aFQKCqpjfYpclTVd3ZdE3UNq2zOcv0hIHefENsG_Qug/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1EVvkNumZT7XBN3PFGpskLAdDj-nwWP1m/view?usp=sharing
และยูทูปที่
สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้เป็นวันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก พวกเราชาวอโศกได้ฟังธรรมพ่อครูบ่อยๆ หลายๆครั้งแต่ก่อนทุกวัน เรารู้สึกว่ามีสิ่งใหม่ให้ฟังเสมอ ถ้าคนธรรมดาก็จะยาก คนฟังก็เป็นคนเดิมคนเทศน์ก็เป็นคนเดิม แต่พ่อครูพูดหัวข้อเก่าแต่ก็มีสิ่งใหม่ให้เราฟังเสมอ บางสิ่งก็ลึกซึ้งจนเราไปไม่ถึงก็ต้องค่อยๆฟังไป บางทีก็ที่เราสงสัยก็ค่อยๆกระจ่าง จิตใจเราก็เจริญขึ้นความเลื่อมใสต่อพ่อครูพระโพธิสัตว์ก็มากขึ้นเป็นไปตามลำดับ พวกเราจึงอยู่กับชาวอโศกยังไม่คลอนแคลนไม่หวั่นไหวไม่ไปไหนอยู่ที่นี่แหละ เสมอเสมอ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนอื่นเข้าใจได้ยาก ฟังอยู่ทุกวันท่านก็เทศน์ให้ฟังทุกวัน ความจริงถ้าเป็นเพลงคงจะเบื่อไปนานแล้วฟังซ้ำซาก แต่นี่มันมีแนวลึกมีสิ่งที่เรายังทำไม่ได้อีกเยอะแยะทั้งแนวลึกและแนวกว้างที่เรายังทำไม่ได้เราก็ได้เรียนรู้จากพ่อครูที่ท่านมีประสบการณ์มาแล้ว กี่ล้านชาติไม่รู้ แต่ก็รู้ว่านานมาก
พ่อครูว่า…ก็ต่อที่ท่านฟ้าไท ที่ทิ้งท้ายไว้ว่า เราเป็นคนจะต้องแสวงหาใฝ่หาสิ่งที่ดี เป็นคนนี่แหละประเสริฐสุดในสัตว์โลกไม่ว่าจะในยุคไหน กัปป์ไหนก็แล้วแต่ ที่มีโลกและมีสัตว์โลกเกิดอยู่ในมหาจักรวาลนี้ มนุษย์จะรู้จักทุกอย่างจนกระทั่งที่สุด รู้ตัวเอง จนกระทั่งรู้แจ้งในตัวเอง ซึ่งถ้าไม่รู้ในตัวเองแล้ว เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าตรัสรู้และศึกษาพิสูจน์ รู้รอบ รู้ครบแล้ว คุณก็จะไม่รู้ที่จะทำให้ตัวเองหมดสภาพจากความเป็น อัตตา หรือความเป็นมนุษย์ในโลกอีกต่อไป สูญหายไปเลย คุณจะไม่มี ทำไม่ได้ นอกจากทำไม่ได้แล้ว คุณก็ยังจะหลงงมงายอยู่ เป็นความหลงงมงายถาวร
ความหลงงมงายถาวรนั้นก็คือ จะหลงงมงายว่า โลกนี้เต็มไปด้วยสุข แม้มันไม่ได้สุขก็ต้องแสวงหาเอาความสุข แล้วเราจะได้ความสุข ได้จริงๆ มีวิธีมีศาสดาที่สอนเรื่องสุขนิยม สอนจนกระทั่งได้สุขมาก เสพสุขมาก เสร็จแล้วตายไปก็ไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้าอะไรอย่างนี้ นิรันดรแล้วก็จบ ความรู้จะไม่ต่อไปจากไปอยู่กับพระเจ้า เมื่อไม่รู้ความเป็นอยู่กับพระเจ้าเขาก็ไม่รู้ แต่จริงๆแล้วมันเป็นภาวะที่จากนั้นคุณไม่ได้อยู่กับพระเจ้าหรอก จริงๆแล้วพระเจ้าจะเป็นแหล่งที่อะไรไปสิงอยู่ มันไม่มีหรอก แต่เขาหลงว่ามีพระเจ้า แท้จริงไม่มี มีแต่กรรมกับวิบาก
ฟังตรงนี้ดีๆ ไขความตรงนี้ให้ฟัง พระเจ้าที่เป็นแท่งอยู่บนเวียงวังวิมานตายไปจะไปอยู่กับพระเจ้าให้พระเจ้าจัดการ พระเจ้าไม่ให้ไปลงนรกไม่ไปไหน ก็อยู่กับพระเจ้านิรันดร เป็นความเพ้อฝันไม่ใช่ความจริง มันมีไม่ได้เพราะทุกอย่างต้องวนเวียนไปด้วยกรรมวิบาก เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังไม่รู้เราก็จัดการวิบากที่จะหมดสิ้นกรรมวิบากเลย แล้วคุณก็สลายธาตุไปเลย คุณไม่มีความรู้คุณจะเป็นเทวนิยม เป็นพระเจ้า คำว่า เทวะ ที่แปลว่า 2 ก็แยกไม่เป็นแยกรูปนาม ก็แยกไม่ได้ ก็มีแต่ความดิ้นรนไปหาพยายามบำเรอกิเลสให้ได้สมใจ สุขๆๆๆ เป็นมายาหลอกตัวเอง พากเพียรให้ได้ก็เมื่อย มันมีวิบากตัดรอนก็ต้องพยายามให้ได้ก็ต้องพยายามกลบเกลื่อนต้องสู้ต้องแข่งขัน เหนื่อย
แล้วก็จะทำอย่างนั้นจนกระทั่งสักวันหนึ่ง เข็ดขยาด ก็จะหาทางแสวงหา แล้วก็ไปเข้าใจทางด้านเทวนิยมเหมือนกัน เขาบอกว่าไปปฏิบัติธรรม เสร็จแล้วก็ไปนั่งสะกดจิตได้ผลอีกแหละ ได้ผลสงบชั่วคราว นานจนนึกว่านิรันดร์ จนหลงว่าเป็นนิรันดร์ เพราะจริงๆแล้วความมีอยู่เป็นนิรันดร์ มันไม่มี มีแต่เปลี่ยนไปไม่เที่ยงแล้วก็หมุนเวียนอยู่อย่างนั้น มันไม่มีความเที่ยง มันไม่มี สุขนิรันดร์ก็ไม่มี
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสรู้อย่างนี้ มันก็เหนื่อยตายวนเวียนอยู่อย่างนี้ แล้วก็อยู่ในโลกมหาจักรวาลนี้หมุนเวียนอย่างนี้ตลอดกาลนาน ท่านก็ไม่เอาแล้ว การวนเวียนอย่างนี้ซ้ำซาก ซ้ำซาก ซ้ำซาก จนลืมของเก่าก็มาลงของอันนี้ปัจจุบันไป แล้วก็นึกว่ามันมีใหม่อีกๆ วนไปหาของเก่านั่นแหละ แต่จำไม่ได้ ก็วนอยู่อย่างนั้นแหละซ้ำซาก ไม่รู้จักจบ เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่รู้ความจริง ก็จะจมอยู่กับความหมุนเวียนซ้ำซาก แล้วก็ได้ใหม่ลืมเก่า ได้ใหม่ลืมเก่าได้ใหม่ลืมเก่า ได้ใหม่ลืมเก่า อยู่อย่างนี้
เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ความจริงแล้วจึงมีทางออก พระพุทธเจ้ารู้ทางออกก็เลิกก็หยุด หาทางปฏิบัติออกได้ จนค้นพบพลังงานจิตวิญญาณ ที่เรียนรู้ได้ด้วยรูปนาม มีผัสสะเป็นปัจจัยเกิดในปัจจุบัน ที่อาตมาเน้นมากเลย ภาวะแท้จริงนั้นเป็นปัจจุบันนิดเดียว แต่คุณให้นิดเดียวนั้นต่อเนื่องอยู่ได้ ถ้าไม่ใช่ปัจจุบันนี่นะ มันไม่ใช่ภาวะที่แท้ จำได้คุณอาจจะจำได้ มันไม่ใช่ตัวจริง มันเป็นเงาของตัวจริง คุณจะฆ่าตัวจริง คุณก็ได้แต่ ฆ่าเงาๆๆๆ แล้วเมื่อไหร่ตัวจริงมันจะตายเสียที เพราะมันไม่ใช่ตัวจริง จริงๆ สัจธรรมมันละเอียดมาก เหตุปัจจัยกระทบอยู่ตอนนี้ เกิดตัวจริงขณะนี้ พอผ่านอดีตไปแล้ว มันไม่ใช่ปัจจุบัน มันไม่ใช่ความจริงแล้วนะ มันเข้าใจไม่ง่ายเหมือนกัน เพราะว่าความจำมันก็จะนึกว่าเหมือนกันใกล้ๆกัน ความจำกับความจริงมันคล้ายมากเลย จำได้เมื่อกี้นี้ ยิ่งใหม่ๆก็จำได้ดี เมื่อผ่านปัจจุบันแป๊บเดียวไปแล้วมันไม่ใช่ปัจจุบัน ถ้ายังไม่ขาดช่วงมันยังมีสัมผัส อินทผาลัมต่อเนื่องอยู่ แต่คุณตัดรอบแล้วไม่มีอินทผาลัมที่สัมผัสอันนั้น คุณขาดตอนแล้วนะ เป็นความจำแล้วนะ กลับแล้วนะ แต่ถ้ายังต่ออยู่ก็ต้องมีสันตติ แต่มันยืดยาวเป็น ยามะ แล้วยาวเป็นยาวะ
ยามมะ อันนี้อาจจะ 5 นาที ยามะอันนี้อาจจะ 10 นาที อันนี้อาจจะ 1 ชั่วโมงอันนี้อาจจะ 3 ชั่วโมง หรือ 12 ชม.ก็แล้วแต่ ยามะ หรือ ยาม มันยังต่อกันไปเป็น ยาวะ คือยาวไปเรื่อยๆ ภาษาบาลี พอเปลี่ยนเป็นภาษาไทยก็คือยาว คือต่อไปอีก แต่ยาวนี่มีกรอบขอบ เท่านี้นะ อันนี้ชั่วโมงนึงนะ อันนี้ 3 วันนะ อันนี้ 3 ชั่วโมงนะ หรือ 12 ก็แบ่งสามยาม ยามละ 4 ชั่วโมงเป็นยาม 1 ยามสองยาม 3 ยามต้น กลาง ปลาย ก็เป็นการกำหนดกันเท่านั้นเอง
ธรรมะพระพุทธเจ้า อาตมาย้ำแล้วว่าเกิดมาเป็นอัตภาพ เกิดมาเป็นมนุษย์ มันสุดยอดศึกษาดีๆ สูงสุดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะเลิก ก็เอาพระอรหันต์ให้ได้ พอได้อรหันต์แล้วคุณรู้จักแยกธาตุ ทำลายกลายเป็นอรหันต์ตายด้วย สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อปณิหิตตนิพพาน แต่ผู้ใดจะทำต่อก็เป็นส่วนตัว
พระอรหันต์ตอนเริ่มต้น ยังอธิบายอะไรไม่ได้เท่าไหร่หรอก อธิบายภาวะอะไรยังไม่ได้อย่างที่อาตมาอธิบาย ไม่ได้หรอก ยังไงยังไงก็อธิบายไม่ได้ ไม่เหมือนอาตมา อย่างนี้เป็นต้น เอาสิ คุณพยายามจะอ่านหนังสือท่องมาสู้อาตมา รับรองคุณไม่ทันหรอก คุณคว้าจับเล่มนั้นเล่มนี้ต่อกันไม่ทันหรอก จำมาสู้ไม่ได้ อาตมานี่ไม่ได้จำมาก แต่มันก็มีแล้ว พยายามจำพยัญชนะเท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้ก็เฟื่องขึ้นเยอะ ได้เยอะเหมือนกัน รู้สึกว่าเฟื่องขึ้น ข่มริปูขึ้นเยอะแต่คนฟังจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่
SMS วันที่ 20 – 21 ก.ค. 2563
_Tone Jack โทน แจ๊ค · กราบพ่อครูสมณะโพธิ์รักษ์ครับ ขออนุญาตถามครับ การที่เราต้องกลับมาเกิดอีก มันเกียวกับสิ่งที่เรายึดติดเปล่าครับเช่น กลิ่น รูป รส เสียง
1.กลิ่นก็คือจมูกเรายังยึดชอบในกลิ่นหอมๆ ชังกลิ่นที่เหม็นๆ
2.รูป คือตา ยังอยากจะมองแต่สิ่งสวยงาม แต่ไม่ได้มองเห็นถึงการเกิดแก่เจ็บตาย
3.รสชาติ ยังยึดติดในของอร่อย ในรสของกามารมณ์
4.เสียง ยังอยากจะฟังเสียงที่ไพเราะ แต่ไม่ได้คิดถึงตอนที่โดนบ่นโดนด่า จึงจะต้องกลับมาเกิดอีก เกี่ยวกันหรือเปล่าครับ
พ่อครูว่า…ตอบง่ายๆว่าเกี่ยว …จบ เอาง่ายๆก่อน เกี่ยว ถ้าไม่เกี่ยวอาตมาไม่ต้องมานั่งอธิบายถึงขนาดนี้หรอก รายละเอียดมีเยอะตามเหตุปัจจัยมีอีกเยอะ เกี่ยว ต้องติดตามศึกษาดีๆ เอาล่ะตอบแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน ที่ต้องมาปฏิบัติธรรมเพราะมันเกี่ยว มันติดยึด อย่าว่าแต่รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส มีตัวตนบุคคลต่างๆนานา แม้แต่ลาภยศก็ติด
_ชายพงไพร บุนิตระกูลพุทธ · กราบนมัสการครับสมัยรัอยปีก่อนเคยมีติดโรคตายไป 50 ล้านคน
/ถ้ากินมังสวิรัติแล้วจะรอดตายจากโควิดได้ คงเหลือพลโลกอย่างพอดีกับทรัพย์พยากรที่มีอยู่ ต่ออายุศาสนาครบ 5,000 ปีพอดีครับ
พ่อครูว่า…ไม่รู้ว่าหมดจาก covid พลโลก 7,000 ล้าน จะเหลือเท่าไหร่ มันยังไม่ได้หยุดนะ อินเดียตอนนี้มีปฏิภาคทวี สถิติวันนี้ จะนำหน้าไทยเราอินเดีย เพราะอินเดียเป็นพวกเจโต ทน ก็มีภูมิคุ้มกันแบบเจโต แต่พอติดเข้าแล้วก็อ่อนแอ อะไรหลายอย่างทั้งสุขอนามัยก็ไม่ดี ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เราไม่มีสิทธิ์จะไปช่วยเหลืออะไรเขาเลย ก็ได้แต่รับฟังข่าวคราว มันก็เป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ มันจะต้องเป็น มันก็ต้องเป็น
ก็ขอย้ำกำชับกำชาพวกเราอย่าการ์ดอย่าตก ยังไว้ใจไม่ได้นะอย่าไปทำ ทะล่อทะแล่ อย่าไปเห็นแก่ได้การ์ดตกไปไม่รอดตายนะ ยังรู้สึกว่าดีอยู่ก็ให้มันดีต่อไป ยังดีนะพวกเรามีวิธีการ รู้วิธีการป้องกันอย่างไรดีแล้ว ทำดี อย่าไปประมาท อย่าไปเหลาะแหละ
_โอ๋ บัวกรุ่นบุญ· น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งค่ะ ลูกรู้สึกประทับใจมาก ที่พ่อครูเน้นย้ำให้ชาวอโศก อย่าประมาท การ์ดอย่าตก และยังไม่เปิดชุมชน รู้สึกเห็นด้วยและเข้าใจอย่างยิ่งค่ะ เพราะถ้ามีเหตุให้ชาวอโศกเกิดเป็นโควิดขึ้นมา เอาอะไรมาแลกก็ไม่คุ้มค่ะ เราเห็นจากสังคมโลกว่า เขาการ์ดตกนิดเดียวก็มีปัญหาตามมาสารพัด ไม่คุ้มค่าเลยค่ะ เชื่อว่าพ่อครูมีญาณหยั่งรู้ ที่คมชัดลึก แม่นประเด็นจริงๆ ทุกเรื่องเลยค่ะ ???_
พ่อครูว่า…เราต้องไม่ประมาท คนที่จะมาจริงๆ มีเหตุปัจจัยต้องควบคุม 28 วัน 14 วัน ก่อน ไม่เช่นนั้นหลุดรอดมา ไม่รู้ตัว ไม่รู้เรื่องเลย ดีไม่ดีมันอยู่ที่ตัวผู้ที่ติด แต่มันยังไม่ออกฤทธิ์เราก็ไม่รู้กัน แต่มันระบาด มาระบาดในพวกเราแพร่กัน ตายเลย จาก 1 คนเป็นสิบคนร้อยคนพันคน อโศกยิ่งหายากอยู่ เฮ่ย เสียดายนะ ยิ่งหายาก มันไม่ใช่มีมาก มีไม่ได้ง่ายๆเพราะฉะนั้นรักษาไว้ ช่วยกัน สำทับเรื่องนี้พอสมควร
_Thai Asoke Asoke · ฝากบอกอาแป้งช่วยตรวจค่ะปีนี้เดือนก.พ.มี 29 วัน ปฏิทินบางสำนักมีวันพระไม่ตรงกัน ช่วงครึ่งปีหลังค่ะวันนี้(20 กรกฎาคม 2563) แรม15ค่ำเป็นวันพระค่ะ
_สติพล จนพัฒนา · มีบางคนเขาบอกว่า..คนที่ทำงานให้อโศกมาก เพราะเคยเป็นหนี้อโศกเลยต้องมาทำงานใช้หนี้ แต่บางคนบอกว่าเขากำลังสร้างบารมี..อย่างไหนถูกหรือเป็นความจริงกว่ากันครับ.
พ่อครูว่า…ปล่อยให้คิดไป 10 วินาที…ไขความ ถ้ามาทำงานใช้หนี้ ก็เรียกว่าใช้หนี้วิบาก แต่ถ้ามาทำงานสร้างบารมี ก็ไม่ใช่มาใช้หนี้ คำสองคำ คำว่าใช้หนี้วิบาก กับคำว่าสร้างบารมีแยกให้ชัด
แต่มันมีเหลื่อมกันอยู่นะจริงๆ ผู้ที่มาอโศก อาตมากันไว้แล้วด้วย ให้มาด้วยปัญญา เพราะอาตมาไม่หลอกล่อ ไม่เรียกร้องและเล็มเลียบเคียง คุณมาด้วยปัญญาของคุณเอง จะรู้ว่ามาทำงานอย่างนี้ คุณจะรู้มาที่นี่มาทำงานฟรีนะ ไม่ได้อะไรนะ ถ้าเผื่อว่า คุณเองเป็นหนี้ก็ทำงานใช้หนี้นะแต่มาทำงานไม่ได้อะไรเลยคุณจะได้อะไร … คุณสร้างบารมี
เพราะฉะนั้นคนที่มีปัญญาจะรู้ว่า ถ้าเรามานี่ แม้แต่คุณยังไม่หมดหนี้ คุณก็มาใช้หนี้ได้ มาทำงานใช้หนี้ได้ และก็ต้องมีปัญญารู้ว่ามันเป็นการทับทวีของการสร้างบารมีนะ
ผู้ที่ทำงานกับชาวอโศกนี่ มาเองนะ ใช่ไหม มาเอง มาด้วยอิสระของตัวเอง ไม่ได้ถูกหลอกลวง ไม่ได้ถูกครอบงำทางความคิด แต่รู้ว่า การมาเนี่ยเป็นยังไง มานี่ อโศกเป็นไง เขาอยู่ยังไง ทำอะไรอย่างไร คุณก็ต้องเข้าใจแล้ว ก็รู้ว่าทำงานไม่ได้อะไรตอบแทน ที่นี่พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ ต้องมีปฏิภาณปัญญาลึกซึ้งนะ ว่ามันหาสังคมอย่างนี้ไม่ได้ง่ายๆ สังคมที่จะพึ่งการเกิดแก่เจ็บตายกันได้ เขาไม่ได้เป็นญาติ สายเลือด แต่ช่วยกันนะ ไม่ใช่ญาติเขาก็ช่วย ช่วยกันจริงๆพึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้จริงๆ
เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่มาทำงานอโศก จึงคือ คนที่ยังใช้หนี้อยู่โดยแท้ ยังไม่ได้มาสร้างบารมี คนที่ยังไม่ได้มาทำงานในอโศก คือ คนหนี้ยังหนักอยู่ข้างนอก ยังใช้ไม่หมดเจ้าหนี้ยังไม่ยอมให้มา ยังมาไม่ได้ ยังเป็นคนที่ยังใช้หนี้อยู่โดยแท้ และ หรือ ยังไม่มีปัญญา ชัดไหม ว่า ในแดนอโศกนี่แหละ คือ ถิ่นที่สร้างบารมี
เพราะฉะนั้นบารมีของคนที่มีบารมี จึงเป็นคนที่มีปัญญา รู้จริงเลยว่า แค่คำว่าบารมีกับคำว่าใช้หนี้ ก็มีนัยชัดเจนแล้ว
เพราะฉะนั้นแม้จะมีปัญญารู้แล้ว มีบางคนเข้าใจ รู้แล้ว มีปัญญาว่าแดนอโศกนี่แหละคือถิ่นสร้างบารมี แต่แม้จะรู้แล้วก็ยังมาไม่ได้ ก็ต้องใช้หนี้วิบากอยู่ข้างนอกอโศก มีหลายคนก็โอดโอยๆอยู่ คนที่ไม่โอดโอยมันอาย เสียหน้าขายตาก็ทำเอง ถึงเวลาลืมตาอ้าปากได้ก็ค่อยบอก และที่สำคัญก็คือ การเข้าใจกรรม เข้าใจวิบาก
ไม่ต้องเอาอะไรหรอก ดีรัตนา นี่เป็นต้น มาอยู่หน่อเดียว รู้ทั้งรู้อยู่ ตั้งต้นด้วยกันทั้งนั้นแหละ อาจจะยกเว้นบางคนไม่มาคลุกคลีเท่าไหร่ แต่ที่คลุกคลีมาตั้งแต่นายเล็กก็ตาม แจ๋วก็ตาม ไม่มา เห็นไหม ที่จริงแล้วควรมายิ่งกว่า ศิริ นะ เห็นไหม นี่มันคืออะไร แต่เอาเถอะถึงยังไงเล็กก็ไม่ได้ห่างกันทีเดียว ถ้ายิ่งมาที่นี่ได้ก็จะดี
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…คนเป็นหนี้ก็จะมีอย่างนึง คือไม่เต็มใจหรือไม่ก็ถูกหลอกถูกบังคับทรมาน อยู่อโศกเขาไม่มีประเด็นเหล่านี้เลย ถูกหลอกก็ไม่ถูกหลอก เขาไม่ได้บังคับมา มีระเบียบปฏิบัติ แต่ก็ให้อิสระเสรีภาพ ไม่กดดัน อยู่ทางโลกเขาก็ถูกกดดันหากไม่ให้เงินลูกก็เกิดเรื่อง เรามีบริษัทมีลูกจ้างหากไม่มีเงินให้เขาก็มีปัญหา
อย่างพ่อครูทำงานหนักแต่ไม่เอาอะไรเลย จะเรียกว่าใช้หนี้หรือสร้างบารมี ท่านมาสร้างบารมีต่างหาก
พ่อครูว่า…ผู้ที่มาใช้หนี้หรือสร้างบารมี พวกเรา มันก็มีที่อาตมาอธิบายไปแล้ว พวกคุณจะต้องมีความเฉลียวฉลาดหรือมีปัญญาของตัวเอง ที่จะมา ตัวปัญญาหรือธาตุรู้ของแต่ละบุคคลเป็นตัวตัดสินตัวเอง คุณจะได้ฟังใครพูดจะได้ฟังอะไรอย่างอื่นแนะนำมาบ้างก็แล้วแต่ แต่การตัดสินใจมันอยู่ที่ตัวคุณเอง ตัวเราเองเป็นเจ้าของชีวิตของเรา เพราะฉะนั้นเราจะเป็นอย่างไรก็ตัดสินของเราเอง ถือว่าตัวตัดสินนั้น ที่นี้ตัวความรู้ ไหวพริบ ความเฉลียวฉลาด การตัดสินใจมาอยู่กับอโศก กับการตัดสินใจ ไม่เอา ไม่อยู่กับอโศก ต่างกันไหม …ต่าง
ก็เป็นเชิงความคิดของเขาแต่ละคน อย่างนี้นี่ง่ายๆ เพราะฉะนั้นผู้ที่ตัดสินใจมาอยู่กับอโศกจริงๆโดยความมุ่งมั่นหรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็ต้องมีตัวความเจริญ ความฉลาด ความรู้ของแต่ละคน
ทั้งๆที่ลึกๆแล้วคุณมาที่นี่โดยทางโลกแล้วคุณไม่มีได้เลย มีแต่ทำ โดยโลกโลกีย์คุณไม่ได้ คุณก็มีภูมิปัญญารู้อันนั้นใช่ไหม และที่ว่าทำนี้เป็นโลกุตรธรรม คุณได้อะไร คุณได้ความไม่ได้ ? แล้วเอาไปทำไม…ก็ไม่เอา…(ดี)
ได้ก็ไม่ได้ ก็คือไม่เอา ไม่ได้แล้วไปทำมันทำไม ก็คือไม่ได้ เพราะไม่เอา เอากับไม่เอา ใช่ไหม ไม่ใช่เล่นลิ้นตลกชวนชื่นนะ เอาอะไร? …เอาไม่เอา เราเอาความไม่เอา แล้วไม่เอาอะไร หากคนโลกีย์จะไม่รู้เรื่อง
คนที่มี อัญญธาตุ เป็นธาตุโลกุตระในจิต แต่มาไม่ได้เพราะมีวิบาก คุณก็ได้แต่ติดตามฟัง ค่อยๆปฏิบัติใช้หนี้ทางโน้นค่อยๆพัฒนาตัวเองไปจนกว่าจะหลุด หลุดๆๆ หนี้ หลุดที่มันเกาะเกี่ยวได้จนมาได้
ก็ป่วยการพูดถึงคนที่มาได้ อะไรก็ไม่ติดยึด อยากให้มาเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่มา อย่างนี้ก็แล้วไปเถิด หากคนไม่รู้จักคำว่าควรมา เขาก็ไม่มา การจะมาก็ต้องสมัครใจ มาเองอย่างอิสรเสรี จึงไม่ใช่ผู้มาทำงานใช้หนี้ มาเอง เราไม่ได้มาทำงานใช้หนี้ เรามาสร้างบารมี เป็นนัยสำคัญที่ชัดเจน เป็นเทวมาแล้วเราจะได้สร้างบารมีที่ยังมีวิบาก ที่มานี้ยังมีความทุกข์ยังไม่หมดจริงหรอกแต่ละคนมา ยังมีละเอียด แม้ในระดับนี้อาตมาว่าสังคมชาวอโศกนี้ เป็นสังคม อนาคาริกชน สังคมอนาคามีเชียวนะ เป็นโครงสร้างใหญ่ ส่วนย่อยของแต่ละคนจะมีแทรกอยู่ แต่คนส่วนใหญ่อนาคามี ไม่ต้องไปห่วงหาอาวรณ์อะไรแล้ว เพราะที่นี่มีอย่างบริบูรณ์ เสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะ อาหารสัปปายะ ธรรมะสัปปายะแล้ว ระวังแต่ว่า มาที่นี่แล้วจะเผลอ เป็นหนี้ซ้อนอยู่ในที่นี้ ระวังนะ บอกไว้ให้ไปคิดเอาเอง คิดให้ดีๆ ไม่รู้ตัวกลายเป็นเกาะกิน หรือมาสร้างหนี้ให้ที่นี่ เป็นหนี้ที่ราคาแพงนะ มาเกาะกินในกองบุญ กองกุศล กองสาธารณโภคี มันราคามันแพง เป็นนัยที่พวกเราฟังพอจะเข้าใจกัน แต่ข้างนอกนั้นยากอยู่ หลายคนก็จะเข้าใจ อรหัตตผล ของพระอรหันต์ อรหัตตผลของพระอนาคามี อรหัตตผลของพระสกิทาคามี อรหัตตผลของพระอรหันต์
พวกเรา ที่แม้ไม่มีสภาวะ ถ้ามันไม่มีสาเฐยจิตก็จะไม่ค่อยกล้าบอกหรอก แต่ถ้าเรามีของจริงแล้ว เช่น เรามีเงินอยู่ในกระเป๋า 10 ล้าน แต่เขาจะบอกว่าไม่มีเงินเราคลำอยู่ก็รู้ว่า 10 ล้าน ของจริงๆอยู่ในนี้แท้ๆไม่มีแบ็งก์ปลอมด้วย เราจะไปหวั่นไหวอย่างไร ถ้าเขาว่าเราไม่มี ไม่ได้ตกอกตกใจ เพราะว่าคนที่รู้จริงเป็นจริงชัดเจนจริงๆก็จะชัดเจนแล้วมันไม่มี สาเฐยจิต อยากอวดโอ่ คุณไม่มีจิตอยากอวดโอ่ คุณก็เป็นอรหันต์แน่ แม้เป็นอรหันต์ก็ไม่มีความอยากอวด แต่บางทีกิริยาไม่เหมาะดี คนก็ไม่รู้ว่าเป็นอรหันต์ด้วย แต่หากคนฝึกกิริยาวาจาดี ปาสาธิโก อาการที่น่าเลื่อมใสดี คนบอกว่าเป็นอรหันต์ก็จะเชื่อเลย แต่บางคน อาตมาบอกไปแล้วคนก็งงว่าอรหันต์อะไรวะ อาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ไม่ได้น้อยใจเสียใจ กิเลสพวกนี้ก็ไม่มี เพราะว่าชัดเจน จริงจังอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหาอะไร
สู่แดนธรรม..ลูกๆชาวอโศกมาบำเพ็ญบารมี พระพุทธเจ้าตรัสไว้มี 4 จำพวก
พ่อครูว่า…หากจะหาพระสูตรมาขยายความก็จะไปได้เรื่อยๆ
1.ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา (ปฏิบัติลำบาก ทั้งบรรลุช้า) .
2.ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา (ปฏิบัติลำบาก แต่บรรลุเร็ว)
3.สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา (ปฏิบัติสะดวก แต่บรรลุช้า)
4.สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา (ปฏิบัติสะดวก ทั้งบรรลุได้เร็ว)
(พตปฎ.เล่ม 11 ข้อ 248)
มีคน 2 จริต แบบที่ 1 ชอบแบบลำบากดี แล้วก็บรรลุช้า มันก็เป็นของตัวเอง ลำบากแต่ก็บรรลุได้ช้า
แบบที่ 2 ชอบแบบลำบากแต่บรรลุได้เร็วก็แล้วไป
ทีนี้คนที่ชอบแบบสบายๆ สุขาปฏิปทา เรื่อยๆมาเรียงเรียง นกบินเฉียงไปทั้งหมู่ แก้ตัวว่าทางสายกลาง ไม่โต่งไปมาก ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ตั้งตนอยู่บนความลำบาก กุศลธรรมเจริญยิ่ง กำชับกำชา แต่ไม่ยอมลำบาก
มีสุขาปฏิปทา คือไม่ลำบาก แต่ทันธาภิญญา บรรลุช้าอีก มันย้อนกับ ตั้งตนบนความลำบากกุศลธรรมเจริญยิ่ง
ปฏิบัติอย่างลำบากแต่เร็วก็มี แต่ถ้าหากไม่ปฏิบัติอย่างลำบากมันจะช้า
สุขาปฏิปทา ปฏิบัติไม่ลำบากแต่ช้า ก็ไม่ดี เอาเร็วหน่อย
แต่ผู้ที่ดีที่สุดก็คือ ปฏิบัติอย่างไม่ลำบาก แล้วก็ได้เร็วด้วย
คุณจะได้แบบสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา (ปฏิบัติสะดวก ทั้งบรรลุได้เร็ว) อยู่ดีๆจะเอามาได้จะไปซื้อตามห้างได้ไหม ใครก็อยากได้แบบนี้ เพราะฉะนั้นเรา ทุขาปฏิปทา ก็อย่าให้ลำบากจนเกินเลยก็แล้วกัน สรุปแล้ว อย่างที่พระพุทธเจ้าสรุปไว้ในพระสูตรนี้.. ตั้งตนบนความลำบาก กุศลธรรมเจริญยิ่ง เทวทหสูตร
_Sarayut Bunyago สราวุธ บุญญโก · ทำไมคนดีมักจะโดนเอาเปรียบ จริงรึเปล่าครับ
พ่อครูว่า…จริง .. คนดีคือคนเสียสละ แต่เสียสละด้วยความเต็มใจ แม้คนที่โดนเอาเปรียบโดยที่ตัวเองไม่เต็มใจ เขาก็ต้องเป็นผู้ที่เสียให้คนที่เอาเปรียบอยู่ใช่ไหม คนที่โดนเอาเปรียบโดยที่ตัวเองก็ไม่เต็มใจจะให้เขาเอาเปรียบหรอก แต่มันไม่เก่งเท่าเขา เขาเอาเปรียบได้ เราก็ต้องเป็นผู้ที่เสียให้แก่คนที่เขาเอาเปรียบนั้น
ทีนี้ พวกเอาเปรียบนั้น คือคนเลว เขาได้เปรียบเขาจะเอาเปรียบแต่เราสู้เขาไม่ได้แต่คนเอาเปรียบได้ดีหรือเลว … เลว ก็คือคนเลวอยู่นั่นเอง
เพราะฉะนั้นจะไปคิดทำไม สุดท้ายแล้วก็คือเราคือผู้เสียคือผู้สละ แม้คุณไม่เต็มใจคุณก็ได้เสีย เขาได้แล้วคุณเสียใช่ไหม ก็จบ เพราะฉะนั้นยิ่งเรารู้ด้วยปัญญา ว่า เรายอมเป็นผู้เสียเถิด เราก็จบของเราแล้ว ส่วนทางโน้น จะได้เป็นลูกหนี้จะได้เป็นวิบากยังไงก็ช่างเขาเถอะ อาตมาไม่แคร์คนที่มาเอาเปรียบอาตมา เขามาเอาเปรียบอาตมา อาตมาไม่แคร์ แม้พวกเรามาเอาเปรียบอาตมา อาตมาก็ยังเต็มใจให้
โดยสัจจะแล้วคุณเอาเปรียบคุณก็ควรจะเอาคืนไปบ้างก็ดีกว่าใช่ไหม เพราะว่าคุณเองยังไม่จบนะ หรือแม้จะจบแล้วเป็นอรหันต์แล้วก็ยังมีกรรมวิบาก ยังไม่ตายก็ต้องอาศัยอยู่ดี
รู้อะไรลึกซึ้งซับซ้อนขึ้นบ้างไหม แต่คนที่ไม่เข้าใจก็อาจจะไม่รู้เรื่องบอกว่าซ้ำ แต่พวกเราคงไม่สับสน
_Nong ploy น้องพลอย : ขอถามหลวงปู่หน่อยค่ะ? เราจะทำใจอย่างไรดีกับคนที่คิดว่าตัวเองทำอะไรก็ถูกเสมอ ความคิดของเขาถูกตลอดค่ะพ่อท่าน?
พ่อครูว่า..ก็เอาง่ายๆ เข้าใจว่าเขาคิดเช่นนี้ ก็ไม่ต้องไปทำใจหงุดหงิด ไม่ต้องไปชิงชัง ไม่ต้องไปรำคาญอะไร ก็เขาทำของเขาเอง ถ้ามันเป็นความผิดของเขาก็เป็นวิบากของเขา ถ้ามันเป็นความถูกของเขาแล้ว เราสิ เข้าใจเขาไม่ได้ ถ้ามันเป็นความถูกของเขาแล้ว เขาถูกจริงๆของเขา คุณต่างหากที่ยังโง่ ใช่ไหม เออ
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…พ่อครูเคยมีโศลก คนผิดทำผิด นั้นถูกแล้ว
พ่อครูว่า…คนผิดเขาก็ต้องทำความผิด แล้วจะไปโกรธเคืองเขาทำไม
_สว่างแสง ขวัญดาว · กราบนมัสการพ่อครูค่ะ หนูเคยเลี้ยงหมา ต่อมาหมาโดนรถชนตายหนูเป็นทุกข์มากเพราะรักมัน หมาตายหนูร้องไห้ จึงตัดสินใจว่า จะไม่นำสัตว์มาเลี้ยงอีกเด็ดขาด เลี้ยงแล้วก็รัก รักจนเป็นทุกข์ แต่ดูเหมือนหนูจะมีวิบากกับสัตว์ไม่หมดสิ้น พี่ชายเอาหมามาเลี้ยง แต่เขาไม่ดูแล หนูสงสารจึงเอาข้าวให้กิน จนทุกวันนี้ถึงเวลามันจะมานั่งรอกินข้าวทุกวันค่ะ เหมือนหมาตัวนั้นเป็นภาระของหนูเลย หนูเคยทำกรรมกับหมาตัวนี้ใช่ไหมคะ จึงต้องมาให้ข้าวมัน แต่หนูก็ไม่ได้รักหมาตัวนี้ เหมือนกับหมาตัวแรกที่นำมาเลี้ยงเอง กราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า…เออ ถือว่าเป็นกรรมวิบากก็แล้วกันนะ หรือกรรมวิบากกับพี่ชายก็ไม่รู้นะอาตมาไม่มีข้อมูลพอ
ตายก่อนหมาก็หมดกัน หมาตายก่อนก็หมดกัน หรือพี่ชายเอาหมาไปก็หมดกรรม
วิบากนี้มันนัวนังมากมาย
_NziGMbks Kzvnz อ่านไม่ถูก: มีศีลอยู่ที่ไหน ก็มีประชาธิปไตยแท้ๆอยู่ที่นั่น ขอยืนยันคำกล่าวนี้
พ่อครูว่า…คุณกำปั้นทุบดินลงไป ไม่ผิดหรอก ธาตุดินแน่ๆ
หากรัฐธรรมนูญออกมาให้มีศีล 5 เอาแต่ศีล 5 นั่นแหละเป็นรัฐธรรมนูญรับรองสบายมากเลย ใครผิดศีล 5 ผิดกฎหมาย แล้วก็ไปออกกฎหมายลูกไปตามขั้นตอนจากศีล 5
สู่แดนธรรม..ศีล 5 ธรรมาธิปไตย
พ่อครูว่า..ออกกฎหมายตามลำดับขั้นของศีล 5 จะมีนัยต่างๆ เกี่ยวกับสัตว์ขั้นไหนเกี่ยวกับข้าวของ เกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสขั้นไหน แล้ววิบากทางวจีกรรม มโนกรรม กฎหมายก็ให้อ่านที่เจตนา ก็ไปตั้งหลักเกณฑ์ตามกฎหมายได้ ก็ค่อยๆเข้าใจไปอีกหน่อยก็จะชัดเจนขึ้น ถ้าเกิดว่านักกฎหมาย รู้ความจริงของหลักเกณฑ์ที่เป็นศีลธรรมที่เป็นวินัยของพระพุทธเจ้าอย่างดี วินัยเป็นอย่างนี้ ศีลเป็นอย่างนี้ เมื่อคนไทยเจริญขึ้น ก็ไม่ผิดกฎหมายอย่างนั้นหรอก เดี๋ยวนี้ก็มีกฎหมายที่ออกมาเก่าๆแล้วไม่เอามาเล่นงานคน ก็มี กฎหมายออกไปแล้วแต่เราไม่ละเมิดหรอก ก็มี เพราะฉะนั้นคนไทยมีภูมิสูงขึ้นเยอะ เพราะฉะนั้นจึงไม่ยุ่งยากเท่าไหร่ ก็ไม่ต้องหาเอาเรื่องกันมาก
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท..คนไทยตั้งการ์ดเอาไว้ด้วยพรก.ฉุกเฉิน แต่ก่อนสมัยนายกชวนเขาเคยเชิญอาตมาไปออกกฎกระทรวงเรื่องของการศึกษา อาตมาบอกไปว่า เอาข้อเดียวคือให้ครูไม่มีอบายมุข 6 แค่นี้เขาก็ทำไม่ได้ก็เงียบเลย ข้อเสนอผมก็เลย แป๊ก เขาตอบกลับมาว่า ท่าน ปลัดกระทรวงยังกินเหล้าเลยซึ่งถ้านิสัยครูดีขึ้น เด็กไทยก็จะดีขึ้นอัตโนมัติ เพราะถ้าครูมีศีลธรรมจะสอนเด็กได้เก่งหรือไม่เก่งไม่เกี่ยว เหมือนเราอยู่กับพ่อครู พ่อครูดีไหม เพราะว่าพ่อครูดีพวกเราก็เลยดีตามไปด้วย เด็กมาอยู่กับพ่อเราก็เลยดีด้วย
_อําพร กันทะ : ได้ยินพ่อครูเทศเรื่องสัตว์และสมณะสิกขมาตุก็เอามาขยาย ที่บ้านไม่เลี้ยงสัตว์ค่ะแต่ไปส่งหลานไปโรงเรียน โดนหมากัดล้มพับเลย คิดว่าใช้หนี้เขาค่ะ
_พิศมัย ชำนาญคิด · โยมเชื่อเรื่องกรรมมาก อยากทำแต่กรรมดี แม้แต่ความคิดก็อยากคิดแต่ดี อย่างน้อยก็ทำให้เราสบายใจ และสุขภาพก็ดีด้วย กราบนมัสการพระคุณเจ้าทุกรูปด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ ขอบคุณคะ
_Boy Mungchomklang บอย มุ่งชมกลาง · กราบขอบพระคุณท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุทุกท่านครับ ท่านอธิบายวิธีการปฏิบัติ และ การตรวจสอบความเป็นศาสนาพุทธได้ลึกซึ้งมากครับ…ยิ่งตอนที่บอกให้สอนตัวเองให้ดี ท่านสอนชัดเจนดีครับ
_Eak Glasses เอก กลาสเสส · ผมขอสอบถามครับ ถ้าเราเลิกทานเนื้อสัตว์แล้ว แต่เรายังชอบดูรายการ youtubeที่พาไปทานอาหาร บางทีก็พาไปกินหมูกรอบ ข้าวขาหมู กุ้งเผา แบบนี้เราถือว่าผิดศีลหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า…จะถือว่าผิดศีลก็ได้ หากคุณตั้งไว้ หากตั้งไว้ อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับอาหารเนื้อสัตว์อย่างที่ว่ามา ถ้าคุณตั้งศีลไว้มันก็ผิดศีล แต่ไม่ตั้งศีลไว้ก็ดีคุณก็มีตั้งไว้ในใจแล้วตามที่คุณถามมาว่าอย่างนี้ มันไม่น่าจะทำ ไม่น่าจะไปเกี่ยวข้อง อ่านที่ใจคุณสิ อ่านใจคุณเอง คุณเห็นใน youtube เห็นเขากินข้าวขาหมู หมูกรอบ กุ้งเผา ใจของคุณไปยินดีไหม อ่านความรู้สึกอร่อยตามเขา มีไหม…ถ้าไม่มีก็ไม่มีปัญหาอะไร ก็เห็นได้เขาติดยึด ไม่ต้องไปลงโทษไม่ต้องไปย่ำยีไม่ต้องไปดูถูกดูแคลนเขา เขายังต้องอาศัยพวกนี้อยู่ เขายังไม่มีฐานไม่มีบารมีก็ต้องเป็นไป หากรู้จักกันพอช่วยกันได้ก็บอกกันไปหาวิธีช่วยกัน ถ้ามันบอกกันไม่ได้เขากินกันอย่างมูมมาม ไม่เกี่ยวอะไรกัน เป็นเหตุปัจจัยให้เราได้เช็คผลด้วย
มันมีอยู่ 4 ข้อ
-
มีศีลอันเป็นอริยะ
-
สำรวมอินทรีย์เป็นอาริยะ
-
มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอริยะ
-
มีความสันโดษอันเป็นอริยะ
ศีลข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ปฏิบัติแล้วอ่านจิตเป็น ไม่ใช่ทำแค่กายกับวาจา ต้องรู้ถึงจิตว่ามีความละอายมีหิริโอตัปปะ ปฏิบัติถูกต้องตามจรณะ 15 มีการสัมผัสจริง สำรวมอินทรีย์ 6 จริง แล้วก็มีของสัมผัสที่มีเครื่องกินเครื่องใช้ สัมผัสกับสัตว์ก็ตาม สัมผัสเครื่องกินเครื่องใช้นี่แหละตัวร้าย โภชเนมัตตัญญุตา
เวลาคนที่ปฏิบัติเรื่องของสัตว์แล้วเข้าใจแล้วตัดเลยไม่ต้องเกี่ยวกับสัตว์ ให้มันเป็นไปตามเวรกรรม ก็เอาเกี่ยวกับคนนี่แหละเป็นเหตุปัจจัยที่จะต้องปฏิบัติศีล ส่วนเรื่องของ โภชเนมัตตัญญุตาที่อยู่ในข้อหลักของ อปัณณกปฏิปทา 3 คุณสัมผัสแล้วหากไม่เข้าใจจริงๆคุณจะมานั่งนึก ที่จะมีหิริโอตตัปปะ หรือมีการรู้จิตของเรา มีอารมณ์ มีกิเลส เวทนาเก๊หรือไม่ ถ้ามีคุณก็ละอายต่อตัวเอง มีตัณหาเป็นอาการที่ให้รู้ได้มันมาจากอุปาทาน ที่เป็นตัว static ส่วนตัณหานั้นเป็นตัว dynamic อุปาทานเป็นตัวนิ่งไม่ค่อยรู้ง่าย แต่จะรู้ได้เมื่อเรายังยึดถืออยู่ มันออกมาเป็นตัณหา เป็นเหตุปัจจัยแก่กัน อาตมากำลังเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
สรุปแล้วตัวศีลก็ดีที่เป็นอาริยะ คืออะไร มันจะต้องมีจิตเจตสิก รูป นิพพาน จะต้องขยายโดยการมี จรณะ 15 มีเวทนา 108
บางทีมันไม่ได้ละอายถึงมากหรอก ก็หยุดแล้ว ก็คือหิริแล้ว ไม่ต้องไปถึงขั้นโอตตัปปะหรอก เราก็หยุดทันที มันเป็นคุณสมบัติของสัทธรรม 7 คุณก็ทำมันอีกเรื่อยๆสัมผัสมันอีกคุณก็ไม่ต้องไปหลบหลีกแล้ว ทางกายกรรมวจีกรรมไม่ทำแล้ว แม้แต่จิตมันมีอาการอยู่ก็ต้องปฏิบัติ
ศีลไม่ใช่ตัดรอบแค่ปฏิบัติกาย วาจา ส่วนมะโน คือไปปฏิบัตินั่งหลับตาสมาธิ แบบนั้นมันมิจฉาทิฏฐิ มันไม่ใช่ มันได้แล้วกายไม่มีอาการแล้วไม่แสดงออกให้เขาเห็นแล้ว ว่าคุณยังเกี่ยวข้องยังติดยึดยังอยากอยู่ไม่แล้ว ดูภายนอกเหมือนกับเป็นอรหันต์แล้ว แต่เขาไม่รู้ในจิตของเราที่มีโอตตัปปะ คุณก็ปฏิบัติต่อไปอีก รู้ว่ามันเป็นผีที่มันมาหลอก มันไม่ใช่ตัวจริง แค่เราพยายาม
พิจารณาอย่างนี้ว่า เราไปหลงกับสิ่งที่มันไม่มี แต่พอเราไปมี ไปหลงกับตัวที่มันไม่มี แต่เราโง่มี
เออ ก็มันไม่มีแต่เรามี ถ้าเรายึดแล้วเราก็ไม่มี อันนี้เป็นสภาวะที่ลงตัวสองเป็นหนึ่ง
สัจจะมีหนึ่งเดียว แต่สองคนก็ยึดสัจจะกันคนละอย่างเลยมี 2 อัน ต้องอ่านทำความเข้าใจ
กำลังเขียนหนังสืออยู่เขียนมาหลายรอบแล้วรอบนี้จะละเอียดยิ่งขึ้น หากอยู่ไปอีกหลายสิบปีก็คงจะได้เขียนละเอียดยิ่งขึ้นคงจะเก่งยิ่งกว่านี้ มันเหมือนเรื่องเก่า แต่มันมีความละเอียดลออใหม่ จะเข้าใจได้ลึกเป็นอานิสงส์แห่งการฟังธรรมมันก็จะมีจริง
สรุปอีกทีหนึ่ง ความเป็นอาริยะของ 4 ประเด็น ทีนี้สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 เป็นอาริยะ ก็หมายความว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ภายนอกมี 5 และ 6 คือจิต ก็จะรวมกันอยู่รวมกันอยู่เป็น 6
จาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ของเราเองเป็นตัวกลางตัวใหญ่ เพราะฉะนั้นตัวใจนี้ต้องสัมผัสใจด้วยจึงหักออกไป 1 จึงเหลือทวารนอกอีก 5 นับนอกใจ รวมกันเป็น 9 ใจมันร่วมกับทวาร 5 ภายนอกหมดเลย จะไปนับที่ใจอีกก็ไม่ได้ แต่ถ้ามันไม่มี 5 ไปนอกใจมันก็ไม่มีร่วม ก็ไม่เกิดอะไร แต่ถ้าเอาใจคุณไปร่วมใน 5 นี่แหละ มันก็เลยต้องเหลือแค่ 9 เพราะอธิบายในเรื่องรูป ไม่ได้อธิบายนาม รูปก็เลยเหลือ 9 เพราะไม่มีรูปของใจ ตัดใจออกไป
ตา หู จมูก ลิ้น กาย มีคู่ก็รวมเป็นเป็น 10 ถ้าเอาใจไปร่วมหมดก็เป็น 12 ใจก็มีใจของมันเองอีกคู่คือ ธรรมายตนะ กับ มนายตนะ
วิการรูป 5 ใน 5 นี้มี กายวิญญัติ วจีวิญญัติ แต่2 อันนี้ก็มี 2 ภายนอกอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงของ วิการรูป ขาดกายวิญญัติ วจีวิญญัติไม่ได้ ก็เลยต้องหักออก 2 เหมือนกัน หักออก 2 ก็จะเป็นรูป
สรุปแล้ว การสำรวมอินทรีย์ 6 ไม่มี นี่แหละมันเป็นตัวยืนยันว่า ศาสนาหลับตาปฏิบัตินั้นให้ตายอย่างไรก็ไม่มีนิพพาน หลับตามันตัดออกไปตั้ง 5 ทวาร สำรวมอินทรีย์ 6 ไม่ได้สำรองภายนอกเลย มันไปสำรวมแต่ใจอันเดียวอันใดอันหนึ่ง แค่เราอธิบายเป็น 9 เป็น 10 เป็น 12 ก็ยังยากเลยแล้วไปนั่งหลับตาอย่างเดียวมันจะไปรู้อะไร รายละเอียดความซับซ้อนแค่นี้ก็ยังยากแล้ว เพราะฉะนั้นจะยิ่งเห็นความจริงว่าการกระทบทางตาเป็นอย่างไร รูปเป็นอย่างไรหูเป็นอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นสรุปแล้วจึงไม่มีทาง พูดกันมีอะไรก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จะพูดกับเขาอย่างไร เพราะเขาไม่ได้ปฏิบัติเลย แล้วเขาก็มีของหลอก มันเป็นมโนมยอัตตาหลอกไปสร้างภพชาติสร้างรูปเรื่อง แล้วเขาไปสร้างเป็นนิรมานกายสร้างอุปาทานได้เหมือนกันอีก หลับตาเป็นนั่นมันง่าย แต่ลืมตานี้มันยาก ยังมีเกินกว่านั้น พวกสร้างหลับตาสร้างมโนมยาอัตตาได้เก่ง หรือสร้างภาพเนรมิตภาพเก่ง จนกระทั่งเห็นสิ่งที่มันไม่มี เช่นมี เห็นเป็นโครงกระดูกที่เดินไปเดินมาก็มี เนื้อหนังมังสาไม่มี มีแต่โครงกระดูกก็เดินได้ เพ่งจนเป็นอุปาทานเห็นคนไม่มีเนื้อเลยมีแต่กระดูก เห็นการเคลื่อนไหวของร่างกาย ก็เห็นเป็นโครงกระดูกเดิน หรือเห็นร่างกายของเราเปื่อยเน่าเสื่อมลงไป เขานั่งสมาธิแยกกายแยกจิตเห็นตัวเองนอนเน่าอยู่ ตัวเองนั่งอยู่อย่างนี้ แต่เห็นภาพตัวเองนอนเน่า น่ากลัวมันไม่เที่ยง มันก็เป็นประโยชน์บ้างนะ แต่มันไม่เข้าเหตุปัจจัยแท้ มันก็ได้แต่ ตรรกะ ได้แค่เหตุและผลชั่วคราวมันไม่ได้เข้าใจของจริง นี่พวกนี้ซับซ้อนยาก
ตกลง การสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6
-
เรื่องของศีล เขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องเลย 2. สำรวมอินทรีย์ เขาก็ไม่ได้ปฏิบัติให้สำรวมอะไร ยิ่งเป็นอาริยะก็ไม่ต้องพูดเลยคุณไม่ได้ทำเลย ที่นี้สติสัมปชัญญะอันเป็นอริยะ ก็คือความเป็นร้อย มีพลังมีกำลังที่เป็นอธิปไตย เป็นกำลังที่ช่วยในการตื่นรู้เรียกว่า ชาคริยา ทางกายก็ตื่น ทางตาก็ตื่น หูจมูกก็ตื่นเต็มไป(พ่อครู ไอ ตัดออกด้วย)