630817_รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 4
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1OYvmYGwMv6zGUedT2U7RUuMtcPUPP7dpUkkV4ESZiYA/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1rUkzgA_LWrqMyDj7kbx4MyRQ-K1ex30j/view?usp=sharing
ยูทูปที่
สู่แดนธรรม…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้มีผู้ชมจากทางบ้านจากหลายประเทศมาเข้ารายการด้วย
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 16 ส.ค. 2563
_Revolution TH : กูเข้ามาดูผิดช่อง มีแต่พระที่ปล่อยวางไม่ได้ วิจารณ์มั่วๆ ไม่ได้จรรโลงจิตใจเลย.
พ่อครูว่า…ก็ขออภัย แต่อาตมายืนยันว่า ไม่ได้มั่ว
_Thinger Thinger : หยุดหากินกับคำว่าประชาธิปไตยได้แล้ว ถ้าจะอยู่ฝ่ายอำนาจนิยมก็อยู่ไป การเอาหลักการประชาธิปไตยไปบิดเบือนมั่วซั่วนอกจากจะทำให้สาวกหลงผิดในหลักการแล้ว ระยะยาวก็คือศรัทธาของอโศกที่จะเสื่อมลง
ยกเว้นข้อ9 ที่เหลือถือว่าอยู่สอดคล้องกับคุณสมบัติที่ดีของนักการเมืองหรือข้าราชการทั่วไป
พ่อครูว่า…อาตมาไม่ได้หากินกับประชาธิปไตย อาตมาทำตนเป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยแล้วมั่นใจว่าประชาธิปไตยคืออะไร อาตมาทำประชาธิปไตยแนวเดียวกับพระพุทธเจ้า เป็นประชาธิปไตยที่มีกระบวนการองค์ประกอบผลลัพธ์ตามที่พระพุทธเจ้าพาเป็น ตั้งแต่บัดโน้นจนถึงปัจจุบันนี้ อาตมาก็ทำตรงตามที่พระพุทธเจ้าท่านพาเป็นทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจะบอกว่าหากิน อาตมาไม่เคยอาศัยประชาธิปไตยหากิน
ในชีวิตพฤติกรรมจิตวิญญาณอาตมาไม่ได้มี ฝ่ายอำนาจนิยม เขาคงคิดว่าเราไปเชียร์นายกตู่ เชียร์รัฐบาลในปัจจุบันนี้ ก็เลยหาว่าเป็นฝ่ายอำนาจนิยม ปัจจุบันพลเอกประยุทธ์เป็นฝ่ายอำนาจนิยมเผด็จการทหารอะไรอย่างที่คุณเข้าใจ อาตมาก็อธิบายอยู่ พยายามอ้างอิงหลักฐานต่างๆนานาในที่สุดว่า พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ทำการปฏิวัติ เป็นแต่เพียงมารับลูกต่อจากประชาชน อันนี้คือสภาวะจริง แต่พฤติการณ์บัญญัติมันเหมือนว่า พลเอกประยุทธ์บอกว่าผมขอยึดอำนาจ เป็นแค่เพียงบัญญัติ มันรวม เป็นสิริมหามายา คำว่าผมขอยึดอำนาจนี้เป็นภาษาสิริมหามายา เป็นภาษาที่ทำให้เกิดสิทธัตถะ ทำให้เกิดสิ่งที่จริงที่สุด เนื้อแท้ที่สุด แต่คนเข้าใจสิริมหามายานี้ไม่ได้ เพราะว่ายังไม่พ้นจากกรอบของมายา ไม่หลุดจากกรอบของมายาจึงเป็นสิริมหามายาไม่ได้
ก็มีแต่พวกคุณไม่เข้าใจประชาธิปไตย เอาเถอะ ก็ดูกันไปก็แล้วกัน อาตมาก็ไม่บอกว่า อโศกจะแข็งแรงหรือยังยืนอย่างไร อาตมาตั้งใจจะอยู่อีกนานไป 151 ปี คุณก็อยู่ดูก็แล้วกัน
ข้อ 9 นักการเมืองคือผู้มีอิสระอย่างแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม นักการเมืองต้องเป็นอริยบุคคลต้องเป็นพระอรหันต์ แสดงว่า เขายอมรับข้ออื่น
แต่ละคนมีสิทธิ์จะเข้าใจอย่างไรก็ได้ พิสูจน์สัจจะไป
_สติพล จนพัฒนา · คิดไม่ดีเพียงนิด..ก้อเป็นมโนทุจริตแล้ว!!.
พ่อครูว่า…ใช่ ทั้งทางกายวาจาใจเป็นกรรมทั้งนั้น
_คอยใคร กราบเคารพพ่อครูครับ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาผมเห็นมีคำถามเกี่ยวกับคำว่า อุปัชฌาย์ ผมจึงนึกในใจเล่นๆว่า ถ้าผมมาศึกษาธรรมอยู่ที่บ้านราชแบบธรรมะเจาะลึก และทำตามกฎกติกาของการเตรียมตัวบวชเป็นสมณะจนได้รับความเห็นชอบว่าให้บวชเป็นสมณะได้
คำถามคือว่าผมจะเลือก อุปัชฌาย์ เองได้หรือไม่ครับ ถ้าเลือกได้ผมจะขอเลือกท่านอุปัชฌาย์เดินดินเป็นผู้บวชให้ผมครับ เพราะท่านเดินดินได้ตั้งชื่อใหม่ให้ผมว่า คอยใคร ฉะนั้นถ้าผมจะเป็นคนใหม่ผมจึงอยากให้ท่านเดินดินเป็นผู้ให้กำเนิดชีวิตใหม่ผมครับ
ส่วนพ่อครูก็คืออาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แก่ผมครับ และท่านดินไทก็ยังเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาจากโลกียะสู่โลกุตระครับ กราบขอบพระคุณพ่อครูเป็นอย่างสูงครับ หนึ่งคำถามต่อหนึ่งอาทิตย์ครับ
พ่อครูว่า…ขอให้ความรู้ คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าพระอุปัชฌาย์คือผู้สำเร็จการบวช คืออุปัชฌาย์ให้ใครบวชก็สำเร็จได้เลยมันไม่ใช่ อุปัชฌาย์ไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้สำเร็จการเป็นองค์พระ อุปัชฌาย์ไม่สามารถทำให้ใครเป็นพระได้ ผู้จะเป็นองค์พระให้พระภิกษุได้ก็คือ หมู่สงฆ์รับเข้าหมู่ ไม่ใช่อุปัชฌาย์จะเอาคนนี้มาเข้าเป็นพระ ทำเหมือนกับพระพุทธเจ้าไม่ได้ อุปัชฌาย์ไม่มีสิทธิ์เหมือนกับพระพุทธเจ้า เป็นไม่ได้ ต้องให้องค์สงฆ์เป็นใหญ่ องค์สงฆ์รับเข้าหมู่ อุปัชฌาย์มีหน้าที่อบรมสั่งสอนช่วยเหลือ สัทธิวิหาริก ผู้นำบวช มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลแต่ไม่มีหน้าที่สั่งการให้เป็นภิกษุเป็นสงฆ์ นี่แหละคือความเข้าใจผิดของศาสนาพุทธทุกวันนี้นึกว่าอุปัชฌาย์เป็นใหญ่ นอกนั้นเป็นพระอันดับ สวดไป มันเป็นการทำจารีตประเพณีเฉยๆ สีลัพพตุปาทาน ทุกอย่างเหมือนแผ่นป้ายแผ่นกระดาษ ยูนิฟอร์มเฉยๆ นัตถิ 5 อามะ 8 เฉยๆ ก็ไม่ใช่ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่สัมมา มันวิบัติ คำพูดก็วิบัติ ไม่เป็นสมบัติ เป็นวิบัติ ก็เลยเป็นองค์สงฆ์ที่ไม่เต็มสงฆ์ เพราะเข้าใจไม่ถูกตามธรรม เช่นถามว่า คุณเป็นนาคใช่ไหม ก็ตอบ นัตถิภันเต แต่เขาไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร ถามว่าคุณยังรับเงินเดือนอยู่หรือเปล่า ก็ตอบเปล่าครับ ทั้งๆที่ก็รับเงินเดือนอยู่ครับ นิตยภัตอยู่ อย่างนี้เป็นการโกหก วิบัติไม่สำเร็จด้วยองค์สงฆ์ ทำไปตามจารีตประเพณีไม่รู้เรื่อง ทำไปทางขีดถูกขีดผิดเฉยๆ นัตถิ 5 อามะ 8 แค่ขีดถูก ก็ได้บวชเป็นพระได้แล้ว มันเป็นการกระทำที่ไม่ถูกไม่มีสติสัมปชัญญะไม่มีปัญญา
ที่พูดนี่ไม่ได้ไปดูถูกดูแคลนหรือกล่าวโทษใครแต่พูดอย่างวิชาการ พูดอย่างเป็นสัจจะให้กันฟังมันเป็นเช่นนั้น
_ชนิฉัตร ..การอยู่มันยากนะคะ กับเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน จะมีสักคนที่เข้าใจเราจริงๆไหม เอาง่ายๆคนที่เข้าใจตัวเรา จริงๆแล้วอาจจะไม่มีเลยก็ได้ ขนาดตัวเราบางทียังไม่เข้าใจตัวเองเลย ถ้าเป็นไปได้ ถ้าคนที่ควรคุยกันมีอะไรก็คุยกันพยายามพยุงกันไปให้ถึงม.6 แม้ว่าจะมีคนออกไปบ้าง อย่างน้อยก็ยังมีช่วงเวลาดีดีซึ่งกันและกัน มันคงจะเป็นเรื่องที่ดีมากเลยนะคะ
พ่อครูว่า…หนูคนนี้พยายามทำให้เกิดสิ่งดีขึ้น อาตมาก็อ่านตามที่เขียนมา ก็พอจะเข้าใจดีอยู่ แต่ว่า สื่อเป็นภาษาออกมามันตะกุกตะกักหน่อย สรุปคืออาตมาว่าเข้าใจดีแล้วล่ะพยายามต่อไปเถอะอย่างที่หนูเข้าใจนี่แหละ มันยังไม่สมบูรณ์ มันยังไม่เรียบร้อย ติดติดขัดขัด ทำไปแล้วเราจะรู้ ความเห็นต่างกันมากก็อยู่ด้วยกันได้ ความเห็นต่างกันน้อยก็อยู่ด้วยกันได้ มันอยู่ที่เรา เรารู้จักอนุโลมเราจะไปติดใจมากหรือว่าคนนี้ต่างจากเราก็ไม่เป็นเพื่อนกันเลยคบกันไม่ได้ อย่าคิดอย่างนั้นแม้จะต่างกันกับเราคนละขั้วตรงกันข้ามกันเลยก็อยู่ด้วยกันได้เขาคิดอย่างนั้นเขายึดถืออย่างนั้นก็ต่างกัน นานาสังวาสไป เขาต่างแล้วก็เข้าใจเขา เพราะเขาต้องยึดตามที่เขาว่าถูกต้อง ส่วนเราก็ทำตามของเราไป ต่างคนต่างทำ ก็อยู่รวมกันไม่ต้องทะเลาะกันเพราะเขาเห็นว่าอย่างนั้นมันถูก เขาถืออย่างนั้นจริงๆ เขาเชื่อมั่นว่าดี เราไม่ต้องไปบอกว่าเขายึดชั่วว่าชั่ว เรายึดดีว่าดี ไม่ต้องไปพูดอย่างนั้นก็ได้ เขาก็ต้องยึดของเขาว่าของเขาดี เราก็ต้องคิดของเราว่าของดี แต่มันก็ต้องต่างคนละขั้ว แต่เราก็ต้องเข้าใจเขาเห็นใจเขาว่าเขายังเข้าใจอย่างนั้นเชื่ออย่างนั้นอยู่ เราบังคับกันไม่ได้ ห้ามกันไม่ได้ แต่เราสามารถอยู่ร่วมกันได้ ต่างคนต่างยึดถือของแต่ละคน พระพุทธเจ้าท่านใช้คำสรุปตรงนี้ว่า ความเห็นของเธอกับความเห็นของเรา มันคนละอย่าง ก็จบ
_หมอเขียว จากดอยแพงค่า…ขอความเห็นพ่อครู ตอนนี้เขามีการชุมนุมปลดแอกกัน เขาก็มีบอกว่า ทางรัฐบาลเป็นเผด็จการ แต่รัฐบาลก็ให้โอกาสเขาในการแสดงความคิดเห็นไม่ใช้ความรุนแรง แต่ว่าตอนที่เราไปชุมนุมกันใน 9 ปีนี้ เขาบอกว่ารัฐบาลเป็นประชาธิปไตย แต่เราโดนแก๊สโดนระเบิดตลอดเลย ประชาธิปไตยของเขามันใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม แต่ว่า พอรอบของปลดแอก รัฐบาลที่เขากล่าวหาว่าเป็นเผด็จการกลับไม่ได้ใช้ความรุนแรงกับเขา ใช้การรับฟังและใช้กฎหมายไปแต่พอควรอย่างนี้เป็นต้น เราก็พยายามที่จะใช้ข้อมูลเหตุผลต่างๆ ทำตามที่เขาต้องการ โดยที่เท่าที่ฟังดู แม้จะปฏิบัติตามที่เขาต้องการ อย่างนั้นอย่างนี้ ต่อไปแล้วหลายปีแล้วจนกระทั่งพวกที่เขาฟังไม่ไหวก็มันไม่เข้ากับความต้องการของผู้คนที่นี่ก็ผ่านไปเองก็ได้ตามนี้แหละเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยเนี่ยจะมาก็บอกคำพูดว่าประชาธิปไตยและสม่ำหมายเนี่ยมันเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่เป็นประชาธิปไตยโลกุตระของประชาธิปไตย เช่นที่มาของสว. การยุบสภา จริงๆต่างประเทศก็ทำมาแล้วแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้แก้ปัญหา ไม่ได้พ้นทุกข์อะไร ก็วนเวียนกลับไปกลับมาเหมือนเดิม พ่อครูมีคนเห็นกับสถานการณ์อย่างนี้อย่างไรครับ
พ่อครู…ตอบไปหลายทีแล้ว จนเขาฟังไม่ไหว ก็ไม่เข้ากับที่เขาพูด เรื่องของความเป็นประชาธิปไตย อาตมาก็บอกก็พูดว่า ประชาธิปไตยที่อาตมาหมาย มันเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ เป็นประชาธิปไตยโลกุตรธรรม เป็นประชาธิปไตยที่คนโลกียยังรู้ได้ยากมาก เพราะมันเป็นโลกุตระ คือ ประชาธิปไตยที่เราพูดถึงนี้เป็นประชาธิปไตยที่ไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีอัตตาตัวตน พวกที่เขาบอกว่า เราเป็นเผด็จการ แต่เขามีตัวตนเต็มรูป เขาไม่เข้าใจว่าเราเป็นมีตัวตน แต่เขาไม่เข้าใจความมีตัวตน เขาจะยังไม่ประสีประสาเลย เขาแสดงออกมาเป็นตัวตนเต็มเหนี่ยวเลย เขาจะยังไม่รู้ตัวเองเลย เขายังไม่ได้ศึกษาสัจธรรมอะไร ก็เป็นโลกียธรรมดา 100% เต็มๆ เพราะฉะนั้นเราจะไปบอกให้คนตาบอดเห็นฟ้านี่ ชี้ให้ตายอย่างไร คนตาบอดก็ไม่มีสิทธิ์จะมองเห็นฟ้า ต้องทนเอาหน่อยว่า คนตาบอดพวกนี้ จนกว่าเขาจะมีแสงสว่างเข้าไปในตาบ้าง หรือเขาจะหมดแรงมาต่อต้านต่อสู้ ซึ่งเราก็จะพอไหวพอรับมือได้ มันต้องมีเราจะไปห้ามไม่ได้ ในสังคมประชาธิปไตยต้องมีฝ่ายค้าน เขาต้องเป็นฝ่ายค้าน
ยิ่งเขาแสดงออกให้เห็นว่า คนตาบอดนั้นบอดจริงๆ จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ คนตาบอดย่อมมองไม่เห็นฟ้า แน่นอน เราก็ต้องเข้าใจเขาจริงๆ จะพูดอย่างไร จะทำอย่างไรคนตาบอดก็เพราะเขาตาบอดจะไปเห็นฟ้าได้อย่างไร เอื้อมไม่ถึงฟ้า สายตาเขาไม่ดี เป็นเรื่องสัจจะ ก็เข้าใจได้ก็แล้วกันว่า อยู่ในโลกมี 2 ส่วน ส่วนความบวกกับความลบคู่กัน ถ้าเป็นหนึ่งเดียวมันถือว่าเป็นเผด็จการ ยิ่งใช้เบ่งอำนาจฝ่ายเดียวยิ่งเป็นเผด็จการใหญ่ เพราะฉะนั้นก็ให้เขาได้ออกความเห็น ออกกำลังออกอะไรต่างๆนานาไป แล้วก็มีหลักเกณฑ์ที่เป็นสากลซึ่งเมืองไทยนี้ก็ขอพูดอีกทีว่าเป็นประชาธิปไตยที่เป็นประชาธิปไตยที่เยี่ยมยอดที่สุดแล้ว ถอดแบบออกมาจากโครงสร้างกระบวนการของพระพุทธเจ้า ซึ่งโลกเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความรู้แบบเทวนิยม เขายังเข้าใจความเป็นเทวที่แปลว่า 2 ไม่ได้ โลกุตระของพระพุทธเจ้าเข้าใจความเป็น 2 และสามารถทำให้รวมเป็น 1 ในที่สุดทำให้เป็น 0 คนอื่นทำเป็น 0 ไม่ได้ก็ทำให้ตัวเองเป็น 0 ก่อน ซึ่งสุดยอดแล้ว
ผู้ที่ทำตัวเอง 0 ได้จึงเป็นคนที่ไม่มีตัวตน เป็นภาษาที่เป็นโลกุตระ เราไม่ได้ไปว่าเขา จะให้ตาบอดเห็นฟ้า มันเป็นไปไม่ได้จริงๆเลย มันเป็นสัจจะ มันต้องจำนน พลัง ยังไม่มีตังค์จะมากกว่า อาจารย์หนึ่งที่พูดเนี่ยมีตัวตนที่ค้างอยู่จะเป็นตัวต่ำ ก็บอกให้เพื่อนไปลองดูสิมันดีนะเพื่อนเพื่อนเพื่อนก็ไม่ต้องเครียด อย่างนั้น จนกว่าจะมียารักษาให้คนตาบอดมาเป็นตาดีได้ คุณช่วยเขาสิหายาดีๆมารักษาคนตาบอดให้ตาดีขึ้นมาแล้วก็จะสามารถ ถ้าคุณสามารถมียาดีจริงๆ เพราะยาของพระพุทธเจ้าคือธรรมะโอสถทำให้คนตาบอดเห็นได้ อาตมามีปณิธานทำให้คนตาบอดเห็นได้
_ส.โพธิสิทธิ์…ทางลานนาฝนตกครับ มีเด็กๆจะถามปัญหาพ่อครู…
ด.ญ.พอเพียง ป.3 …หลวงปู่คะ หนูจะทำอย่างไร ถึงจะเป็นคนดี หนูพยายามแล้วแต่ไม่ได้ค่ะ เช่น เชื่อฟังคำสั่ง ไม่เถียงผู้ใหญ่ ไม่ทะเลาะกับเพื่อน จะเสียสละ
พ่อครูว่า..หนูถาม ก็ถามตัวเองสิ ว่าทำไม เราเสียสละไม่ได้ เราจะอดไม่เถียงทำไม่ได้ ถามตัวเองว่ามันจะตายหรือ รับรองว่าไม่เถียงเพื่อนมันไม่ตายหรอก เสียสละก็ลองเสียดูสิ เสียสละอะไรบ้าง ก็คงจะเสียสละ ไม่ต้องถึงขั้นตัดแขนตัดขา อย่างเก่งก็แค่ข้าวของ ข้าวของมันก็อะไรที่จำเป็นเรายังให้ไม่ได้ก็บอกเพื่อน อันไหนที่พอให้ได้ก็ให้เพื่อนไปก็ลองดูสิ มันดีนะ เสียสละให้เพื่อน แล้วก็ไม่ได้เถียงกัน ตั้งใจดีๆ ที่ทำอย่างนี้มันก็ดี ส่วนคนที่อยากจะแสดงออกและอยากจะทำความเข้าใจ ถามมา แล้วอาตมาก็ตอบไป คนอื่นที่ฟังก็จะได้เข้าใจได้ด้วย และคนที่ถามเอง จะมี อัตราการก้าวหน้าไปในตัวไม่มากก็น้อย ถ้าไม่กล้าถามเลยแล้วไม่เอาถ่านเลยไม่สนใจ คนนี้เสียโอกาสและไม่เจริญ แต่ตั้งใจถาม ตั้งใจฟังนี้ดีแล้ว ไม่ได้มากก็ได้นิด
_ด.ญ.ดาวเพ็ญเพชร..หลวงปู่คะ มีอะไรที่มีข้อดีอย่างเดียวแต่ไม่มีข้อเสียเลย และมีอะไรที่มีข้อเสียอย่างเดียวไม่มีข้อดีเลย
พ่อครูว่า..สุดยอดเลยคำถามใครคิดให้นี่ หรือคิดเอง (คิดเองค่ะ) สุดยอดเลย อะไรมีอะไรที่ดีอย่างเดียวไม่มีเสียเลย อะไรที่เสียอย่างเดียวไม่มีดีเลย โอ้โห
ก็อาจจะยากนิดนึง อะไรที่มีแต่ดีอย่างเดียวไม่มีเสียเลย อาจจะยากหน่อย สิ่งที่ดีอย่างเดียวไม่มีเสียเลยนั้นคือ นิพพาน นิพพานคืออะไร? นิพพานคือ คนเรียนรู้ รู้จักกิเลสของตนเอง กิเลสเป็นนามธรรม คนที่มีญาณปัญญา มีธาตุรู้ที่เรียกว่าปัญญา จะอ่านนามธรรมที่ไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตนนี้ แต่มีอาการ มีเครื่องหมายให้รู้ได้ ว่า มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี กิเลสเป็นสิ่งที่ไม่ดี เรียกต้นภาษาว่า กลิ มาเป็นกิเลส มันไม่ดี อ่านอาการไม่ดีนี้ออก แล้วก็มีวิธีทำ เรียกว่า มรรควิธี อาริยมรรค ของพระพุทธเจ้าสอนมาทั้งนั้น จรณะ 15 วิชชา 8 ศีล สมาธิ ปัญญา มาเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 ก็สามารถเข้าใจในทฤษฎีต่างๆแล้วก็ปฏิบัติ กิเลสถูกกำจัด จริงๆ เมื่อกิเลสถูกกำจัดแล้วกิเลสหมด เรียกว่าเป็นหนึ่งในโลก
การกระทำของคนสามารถทำให้กิเลสหมดได้นี้เป็นหนึ่งในโลก ไม่มีอะไรเทียบได้เลย อันอื่นของศาสนาไหนก็มีคู่ 2 ทั้งนั้น มีนิพพานอย่างเดียวแล้วก็ทฤษฎีที่จะทำให้เกิดนิพพาน นี่คือหนึ่งเดียว เอกัง หิ สัจจัง มีอันนี้อันเดียวเท่านั้นนอกจากอันนี้ไม่มี นี่คือดีอย่างเดียวไม่มีสองเลย
ทีนี้เสียอย่างเดียวไม่มีดีนี้ หายาก หลวงปู่ตอบไม่ได้ เสียอย่างเดียวไม่มีเสียอีกเลย ไม่มีใครดักดานถึงขนาดนั้นหรอก คนที่เลวขนาดไหนสามารถจะดีขึ้นได้ แต่คนที่ดีที่สุดไม่เลวอีกเลยนี้คืออรหันต์ขึ้นไป ดีที่สุดจบไม่มีเลวอีกเลย นี่คือดีอย่างเดียวไม่มีเลวเลย สัพพปาปัสสอกรณัง ไม่ทำชั่วไม่ทำบาปอีกเลย กุสลัสสูปสัมปทา ทำแต่ดีอย่างเดียว เพราะว่าจิตใจนั้นบริสุทธิ์ถึงความเป็นอรหันต์แล้ว
_ทำไมเราเกรงใจคนไกลตัว ถือสาคนใกล้ตัวมากกว่า
พ่อครูว่า…เราอย่าไปคิดถึงว่าไกลหรือใกล้ เราคิดถึงเนื้อเรื่องว่าเราเกรงใจอะไร โดยเฉพาะคนใกล้ตัวนี้ มันจะเกิดกระทบกัน เกิดปฏิกิริยากัน เพราะฉะนั้นเราจะต้องเกรงใจอันนี้ก่อน เนื้อเรื่องอันนี้สมควรที่เราจะต้องเกรงใจ เราก็ต้องเกรงใจ แต่เนื้อเรื่องอันนี้ ที่จริงเราจะไปเกรงใจเท่านั้น เกรงใจคือ เราไม่ไปขัดแย้งเราไม่ไปบอก ไม่ไปพูด ไม่ต้านอะไรเกรงใจเขาเฉยๆเถิด ปล่อยเขาไปเถอะ ถ้าเผื่อว่ามันไม่สมควรปล่อย เนื้อเรื่องนี้ ถ้าปล่อยไปเขาจะยิ่งแย่เราก็จะต้องค้าน แต่ถ้าเราเห็นว่าตัวผู้นั้นมีอะไรบกพร่อง ถ้าเราจะบอกเขาเตือนเขา ให้เขาฉุกคิดขึ้นมา รู้สึกว่ามันจะไม่มีผลดี แสดงออกไปแล้ว มันจะร้ายแรงกว่าเก่า อันนี้ก็ต้องจำนน ยอมให้เขา สมมุติว่าคุณถูกต้องนะให้เขาไม่ถูกต้อง หรือสิ่งนั้นควรให้เขาแก้ไข แต่เราจะช่วยไม่ได้ เพราะเราเกรงใจก็ปล่อยเขาไป เราก็ต้องจำนน ต้องปล่อยเขา เพราะว่าทำไปแล้วไม่ดีมันจะทะเลาะกัน ช่วยกันไม่ได้ต่อไปมันจะเสื่อม มันจะไม่มีประโยชน์มากกว่า มันจะเสียประโยชน์มากกว่า เราก็อย่าไปทำ ก็ต้องชะลอไว้ คงที่ ถ้าไปทำแล้วจะเสียประโยชน์มาก
_สู่แดนธรรม…ปัญหานี้เรียกว่าปัญหามีธรรมชาติของมันมีอยู่ว่า สิ่งที่มีคลื่นใกล้เคียงกันมันจะไม่ยอมกันง่ายๆ เช่น พี่กับน้อง ถ้ามีผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า อันนี้ก็จะเกรงใจ ล้วนแต่เป็นอย่างนั้นกันครับ พ่อครูให้พวกเรามีความเป็นพี่เป็นน้อง ซึ่งจะยอมกันไม่ได้ง่ายๆ ก็ต้องมาหัดยอม หัดไม่ให้มีปัญหา
พ่อครูว่า…ก็ต้องให้ผู้ใหญ่กว่า แม้ว่า จริงๆเราจะถูกนะ ก็ให้ผู้ใหญ่เขาผ่านไปก่อน เพราะเราเคารพเรียกว่าคุรุกรณะ เป็นการเคารพด้วยวัยวุฒิ เขามีวัยสูงกว่า โดยเฉพาะผู้ที่เป็นพ่อแม่ เป็นผู้ใหญ่กว่า ก็ต้องยอมก่อนไม่ว่าเขาจะผิดก็ตาม
_ศาลีอโศก…ส.ลือคม…ให้คุณกิ่งเพชรได้แสดงความเห็น….ลูกในนามตัวแทนชาวบวรศาลีอโศก ลูกๆทั้งหมดขอกราบเท้าพ่อครู กราบขอบพระคุณพ่อครูที่นำพาพวกลูกๆให้ได้พบธรรมะ ได้พบพระพุทธศาสนาที่ถูกแท้ หากไม่พบพ่อครูไม่พบหมู่กลุ่ม ก็ไม่รู้ว่ากิเลสจะพาลงนรกขุมไหน ไม่มีปัญหาค่ะ เก่งกันทุกคน
พ่อครูว่า…คือ จะพูดไปแล้วพวกเราชาวอโศกมันเหมือนคนที่ซื่อๆ อินโนเซ้นท์ เก่งกันทุกคนหน้าตาเฉย คือไม่ค่อยได้มีมารยาทสังคม มารยาทสังคมคนที่เก่งเขาจะไม่พูดว่าตัวเองเก่ง จะทำเป็นเต๊ะจุ๊ย แต่นี่ซื่อๆไม่เดียงสา มีความจริงใจอย่างไร ก็พูดความจริงใจออกมาซื่อๆ อันนี้เป็นสิ่งที่วิเศษ มันลอกเลียนยาก คนก็พยายามลอกเลียนกัน มันไม่ง่าย เป็นเรื่องซับซ้อนเป็นเรื่องยิ่งใหญ่
_ฉบับสุดท้ายก่อนนั้น (อีกแล้ว)…พ่อหนุ่มใจดี นี่คือยังมุ่งมั่น ถ้าเธอมีความมุ่งมั่น เธอจะไม่ถามว่าอีกไกลไหม แต่จะพูดว่าใกล้จะถึงแล้ว (หนังเกาหลี) สู้สุดใจทะยานสุดฝัน
_นะลก แปลว่าอะไรครับ?
พ่อครูว่า…เอ๊ อนุบาล 2 หรือเปล่า? ก็ต้องพูดให้ถูก น ร ก
ฟังดีๆ นรก แปลว่า ในองค์ประกอบของที่เราจะตกอยู่ในตรงไหน ตรงนั้นอยู่แล้วเดือดร้อน อยู่แล้วไม่เป็นสุข อยู่แล้วทรมาน ตรงนั้นเรียกว่านรก เพราะฉะนั้น ถ้าคนนั้นไม่ฉลาดพอ เอาตัวเองไปอยู่ในกระทะน้ำเดือดๆ ร้อนลวกไหม้เลย ตาย นี่คือที่ยกตัวอย่าง ชอบยกตัวอย่างกันว่าเป็นนรก นรกเหมือนคนตกกระทะทองแดงต้มน้ำเดือด ร้อนมาก เดือดมากร้อนมากนี่เป็นรูปธรรมตัวอย่าง ยกตัวอย่าง หรือขึ้นต้นงิ้วก็มีหนามเต็มไปหมด ก็ให้ปีนป่าย หนามก็เสียบแทงผิวหนังตลอด เอาเนื้อตัวไปถูกหนามก็แทงที่เนื้อตัว พอมือไปถูกก็เสียบที่มือเจ็บปวด นั่นคือที่ที่เราอยู่แล้วเดือดร้อนอย่างนี้เป็นต้น
สรุปแล้ว นรก คือ สถานที่ที่เราอยู่แล้วก็เดือดร้อนมาก ร้อนใจร้อนกาย เดือดร้อนใจเดือดร้อนกาย ไม่เป็นสุขทางใจ ไม่เป็นสุขทางกาย นี่เรียกว่านรก แดนที่ไม่ค่อยน่าอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าเราทำบาปเราทำไม่ดี เราจะต้องไปตกอยู่ในแดนอย่างนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เหมือนกับคนในโลกที่เห็นได้ว่าเขาไม่อยากเป็นนะ แต่เขาต้องเป็น เหมือนกับถูกต้มอยู่ในน้ำร้อนเดือด เหมือนกับจะต้องไปขึ้นต้นงิ้วที่มีแต่หนาม เขาต้องเป็นอย่างนั้น เขาหนีกรรมวิบากไม่ได้ เขาพ้นจากกรรมวิบากที่เขาทำไม่ได้ อันนี้เป็นเรื่องที่เกินจะคิด เราคิดเอาเราไม่อยากเป็น แต่ถ้าเราทำกรรมชั่ว เราจะต้องเป็นอย่างนั้น เหมือนคนที่ตกอยู่ในนรกอย่างนั้น เขาตกอยู่ในนรกทรมานมาก คนที่ตกอยู่ในนรกหรือคนที่ถูกทรมาน ทั้งร้อนทั้งเจ็บปวด อะไรก็แล้วแต่ แล้วเขาก็รู้สึกว่าเขาไม่อยากอยู่หรอก ตรงนี้เขาเจ็บปวด เขาไม่อยากจะได้อาการนี้ อาการเจ็บปวดทรมานไม่อยากได้ เขาก็อยากจะหาทางออก อย่างนี้ก็เป็นผู้ที่สามารถจะพ้นนรกได้ เพราะเขาจะต้องพยายามดิ้นหาทางออก
ทีนี้ ตอบด้วยภาษาธรรมะ คุณจะต้องทำดีแล้วคุณจะหลุดพ้นจากนรกนี้ คุณต้องทำดีคุณถึงจะหลุดพ้นจากนรกนี้ นี่ก็เป็นภาษาง่ายๆ แล้วคุณจะต้องศึกษาว่าดีคืออะไร ที่นี้มีความซับซ้อน คนที่โง่ซ้อนแต่หลงว่าฉลาด คนที่โง่ซ้อนแต่หลงว่าตัวเองฉลาด คือ เราไปแย่งชิงเขา ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา เขาตายเขาสู้ไม่ได้ เขาได้เมียของผู้ที่เขาฆ่าตาย แล้วเขาก็ว่าเขาชนะ เขาก็หลงว่าเขาได้สุข แต่เขาได้ทำชั่วไปแล้ว เขาฆ่าคน เป็นวิบากที่มันจะต้องตอบสนองกันโดยไม่รู้
หรืออย่างนี้ก็เข้าใจง่าย คุณไปโกงทรัพย์สินของประเทศ คุณไปโกงได้แล้วคุณก็หลงในความฉลาดขี้โกง คุณโกงสำเร็จอย่างที่คนในประเทศไทยที่มีตัวอย่างให้เห็นยังอยู่ด้วย โกงชนิดที่เรียกว่าถูกพิพากษาแล้วว่าโกงจริงๆ แต่ตัวเองก็ฉลาดหนี ไม่ให้จับเข้าคุกไม่ให้จับมาลงโทษอย่างนี้ เป็นต้น คนนั้นแหละเป็นคนชาตินี้ เขายังไม่ได้รับวิบาก ชาติต่อไป ไม่ต้องกลัว เขาจะต้องตกอยู่ในสภาพเดือดร้อน เหมือนกับขึ้นต้นงิ้วหรือตกในกระทะทองแดงจริงๆ อย่างน้อยที่สุดเขาตายไปจิตวิญญาณของเขาจะตกนรกกระทะทองแดง เพราะเขาทำอะไรไม่ได้ เขาช่วยตัวเองไม่ได้ คนที่ตายไปแล้ว ธนบัตรเงินทองทรัพย์สินอำนาจช่วยเขาไม่ได้เลย จิตวิญญาณตายแล้วนี้ไม่มีอำนาจเงินอำนาจของคนนั้นคนนี้ของอะไรก็แล้วแต่ ช่วยเขาไม่ได้ เขาจะต้องรับวิบากนั้น เพราะฉะนั้นตายแล้วเขาจะต้องลงกระทะทองแดงจะต้องถูกหนามงิ้วแทงอย่างนั้นเลย แต่ที่มันเจ็บปวดนี้ไม่ใช่แค่ตกอยู่ในน้ำร้อนกระทะทองแดงหรือขึ้นแค่ ดีนะครับน้ำก่อนนะครับ ต้นงิ้ว มันมีอีกหลายอย่างที่จะทรมานเดือดร้อนเจ็บปวด เขาจะต้องเป็น สิ่งนี้เป็นอจินไตย คิดเอาไม่ได้ คุณไม่กลัวแต่คุณจะต้องตก คุณไม่กลัวเพราะคุณไม่รู้ ตายไปแล้วคุณไม่รู้ แต่จิตวิญญาณของคุณเป็นจิตวิญญาณคุณได้รับ ยิ่งทำไว้มาก คุณจะยิ่งจะตกแรง ร้ายและนาน นี่เป็นสัจจะ แต่เขาไม่รู้
เพราะฉะนั้นคุณจะต้องรับโทษอยู่ในนรกนั้นจนกว่าคุณจะรู้สึก เข็ด สัจจะจะให้คุณต้องเข็ด เมื่อสัจจะเห็นว่าขณะนี้คุณเข็ด คุณจะพ้นวิบาก ให้คุณรับนานเท่านั้นเมื่อคนพ้นมาแล้ว ถ้าคุณไม่เข็ดอีก มาทำชั่วซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อได้ขันธ์มาอย่างนั้นอย่างนี้ก็ทำชั่วอีกหนักกว่าเก่า แต่ถ้าคุณเข็ด คุณก็พัฒนาขึ้น อย่างนี้เป็นต้น
ทีนี้คำว่า นรก พยัญชนะว่า นระ มันมีคำว่าไม่อยู่ นระ แปลว่าไม่ แล้วนระ จะเพิ่มไปเป็นนลิ ก็แปลว่าไม่เหมือนกัน นรกะก็เป็นนรก นริยะก็เป็นนรก
แล้ว นรกะ เป็น static นริยะป็น dynamic เป็นพลังงานเคลื่อนเป็นความชั่วที่เคลื่อนไหวมากกว่า แต่นรกะ เป็นพนักงานชั่วที่จมนิ่งแข็ง เดือดร้อนก็ร้อนจมอยู่กับความร้อนอย่างนั้นแหละ ด่าน static
นริยะ เป็นทางเคลื่อน นริยภูมิ กับ นรกภูมิ เอาสภาวะตามพยัญชนะขยายความให้ฟังตามที่อาตมามีความรู้ในสภาวะเหล่านี้
สรุปแล้ว ทั้งนรก นริยะ นรกะ ไม่มีใครอยากเป็นหรอก อาตมามีสภาวะจึงยึดเอาเป็นพยัญชนะมาขยายความให้ฟัง
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สู่แดนธรรม…
สมณะเดินดิน…สภาพการต่อสู้ทางการเมืองเห็นพวกนักศึกษาที่ถูกหลอก คนเอาแอกมาใส่คอเขาแล้ว (พ่อครูว่า…เขานึกว่าแอกอยู่ในเมืองไทย แต่ที่จริงแอกอยู่ที่คอเขา) แต่ทั้งหมด เพราะว่าเขาถูกหลอก ทุกคนที่เป็นครูบาอาจารย์ หรือเป็นนักการเมืองมาหลอก ซึ่งแกนนำบางคนแม้จะติดคุกก็เขียนหนังสือพูดจาออกมาแสดงความเกลียดชัง ต้องการกระทบสถาบันสูงสุดโดยตรงเรียกว่า หมูไม่กลัวน้ำร้อน แต่คนปลุกปั่นจริงๆ พยายามบอกว่าเราจงรักภักดีอยู่ พวกนี้เขารู้กฎหมาย แต่ก็ยุแหย่ให้เด็กๆที่เขาไม่รู้เรื่องอะไร ไม่รู้ว่ากำลังเดินทางไปสู่อะไร พวกที่เป็นแกนนำรุ่นเก่าๆอย่างคุณสนธิคุณจตุพรเขาก็บอกเลยว่า ไม่ใช่จบอยู่ที่เรา แต่คุณกำลังจะไปจบที่ราชทัณฑ์ หรือจบที่นรกก็ได้ แต่เขาไม่รู้ แต่ก็มีมุมมองเหมือนกัน คุณเสรีสุวรรณภานนท์ ก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกังวลกับการเคลื่อนไหวของนักศึกษาเท่าไหร่ มันเป็นการออกจากห้องเรียนมาสู่สนามจริงของประชาธิปไตย เป็นประสบการณ์ในชีวิตของเขา ก็คงดีกว่าไปนั่งกดเกมเล่นเกมอยู่เฉยๆ ออกมาอย่างนี้ทำให้เขารู้ว่าอะไรจริง อะไรหลอก แต่เป็นความสวยงามของประชาธิปไตยไทย
พ่อครูว่า…ก็ขยายความประชาธิปไตย
คือ คำว่า ประชาธิปไตย ที่อาตมาพยายามยืนยันให้ฟังว่า ประชาธิปไตยต้องมี 2 ขาต้องมีจิตวิญญาณและองค์ประกอบต่างๆ ซึ่งรวมทั้งหมดตั้งแต่ ดินน้ำไฟลม พืชพันธุ์ธัญญาหาร หรือสัตว์ ซึ่งรวมถึงมนุษย์ องค์ประกอบทั้งหมดนั่นแหละ จะต้องมีทั้ง 2 ส่วน มีรูปกับนาม
ประชาธิปไตยจะมีแต่นามอย่างเดียวหรือรูปอย่างเดียวเป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้แต่เป็นไปอย่างที่ผิดสัจจะ เป็นประชาธิปไตยขาเดียว เป็นประชาธิปไตยที่พิการ
เทวะ แปลว่า 2 ในสิ่งที่เกิดมาเป็นจิตนิยาม เป็นชีวะ ต้องมี 2 ต้องมี Subject กับ object ต้องมีบวกกับลบ เมื่อมาเป็นชีวะเป็นนามเป็นธาตุรู้เรียกว่า วิญญาณ ก็ต้องมีรูปด้วย มีวิญญาณ แล้วต้องมีรูปที่ถูกรู้
วิญญาณหรือจิตที่สามารถศึกษาได้จนเป็นวิญญาณที่ใหญ่ยิ่ง วิญญาณที่ใหญ่ยิ่งยืนยันและพิสูจน์ได้ในความเป็นมนุษย์ ถ้าวิญญาณที่ใหญ่ยิ่งพิสูจน์ไม่ได้ ลึกลับอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เป็นบทบาทจริงหรือไม่จริงก็รับรองไม่ได้ เพราะวิญญาณนั้นไม่ได้แสดงตัวเองให้ดู วิญญาณนั้นไม่ได้เป็นมนุษย์จริง เป็นแต่เพียงบัญญัติ ลอยลม เป็นภาษาสวยงาม เป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ก็ไม่รู้ พิสูจน์ไม่ได้ด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว ภาษาก็มีที่ยังไม่รู้จริงรู้ไม่ได้ เช่นยกตัวอย่างว่า จิตวิญญาณนี้เป็นอนัตตา จิตวิญญาณนี้ไม่มีตัวตนสามารถแตกสลายแยกได้ และทาง
อเทวนิยมที่มีความรู้แจ้งในเทวะ ตีแตก แยกแยะ และทำลายเทวะได้ ทำให้มีได้ทำให้มีได้สูงสุด
อันนี้เทวนิยมจะฟังยาก ไม่ได้ดูถูก แต่เทวะไม่ประสีประสาในเทวะ ไม่เคยเรียนรู้ตัวเองโดยเฉพาะจิตวิญญาณตัวเองจิตเจตสิกรูปนิพพาน หรือ รายละเอียดของเวทนา 108 อย่างนี้เป็นต้น จะไม่รู้จักอาการของเวทนา 108 เกิดมาอย่างไร และอารมณ์ที่มันเปลี่ยนแปลงอย่างไร แม้แต่ อารมณ์สุข อารมณ์ทุกข์
อารมณ์สุขและอารมณ์ทุกข์เป็นมายาทั้งสอง แต่อารมณ์สุขที่เป็นโลกุตระยังดีกว่าอารมณ์ที่เป็นทุกข์ แต่ถ้าเป็นสุขของโลกียะเลวร้ายกว่าทุกข์ คุณรับทุกข์โลกียะเสียดีกว่า คุณจะเข็ดจะกลัว แต่สุขคุณจะหลงมันติดในสุสุข แต่โลกุตระนี้รู้เลยสุขนี้ร้ายกว่ว่าทุกข์
แต่ความสุขความทุกข์นั้นเป็นสภาวะ 2 เป็นมายาแยกกันไม่ได้ แค่คำว่าเทวะคือธรรมะ 2 ที่แยกกันไม่ได้อันนี้เทวนิยมก็เข้าใจกันไม่ได้ สุขกับทุกข์นี้แยกเป็น 2 ก็พอฟังรู้เรื่อง แต่คุณไม่เคยเรียนรู้เรื่องทุกข์เลย คุณหลงแต่ความสุขงมงายแล้วอยากได้แต่ความสุข แล้วไม่เรียนรู้ความทุกข์ความทุกข์คือซาตานคือความเลวความร้ายคือตัวชั่ว คุณไม่เรียนตัวชั่ว คุณรู้แต่ว่าเลวแต่ดี ทำแต่ดี ชั่วก็ช่างหัวเขาเอาแต่ดี อย่างที่ท่านพุทธทาสว่าอย่างนี้ไปใหญ่เลย
สู่แดนธรรมว่า..เขาไม่เห็นโทษของความสุข
พ่อครูว่า..แล้วเขาก็แยกความเป็น 2 นี่ไม่ออกอย่างนี้เป็นต้น ค่อยๆศึกษาไปอาตมารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆต้องค่อยๆไปเรื่อยๆแล้วปฏิบัติกับตัวเอง ถ้ามีสภาวะธรรมที่สูงขึ้นจะฟังรู้เรื่องมากขึ้นเรื่อยๆ อาตมามั่นใจว่าสัจธรรมที่อาตมานำของพระพุทธเจ้ามาเปิดเผยในยุค 2,500 กว่าปีนี้ มาถึงวันนี้ 2563 อาตมามาทำงานสายไป 13 ปี นี่ทำมาได้ 50 กว่าปีแล้วสายไป 10 กว่าปี แต่ไม่เป็นไร less is better than never.
_ดิฉัน มีความสงสัยตลอดมาว่า ถ้าการอยู่ป่าไม่ดี แล้วทำไมท่านพระมหากัสสปะจึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้า ว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุต่างๆในด้านการถือธุดงค์ และสรรเสริญคุณแห่งการธุดงค์อีกด้วย (ยกเว้นพระศาสดาองค์เดียวเท่านั้นที่ถือธุดงค์ได้ประเสริฐเทียมเท่ากับพระสาวกรูปนี้)
พ่อครูว่า…ในโลกนี้โดยเฉพาะความเป็นศาสนาของพระพุทธเจ้าจะมีคนที่เป็นตัวอย่าง เรียกว่า อสีติสาวก เป็นตัวอย่างหนึ่ง เป็นตัวอย่างที่ จัดที่สุด เป็นเชื้อที่เข้มที่สุด คนที่หลงที่สุด แต่ก็หลุดได้เป็นที่สุดเหมือนกัน อย่างเช่นพระมหากัสสปะ หลุดได้ด้วยปัญญา แต่ตัวเองก็ยังอยู่ป่า เป็นสิริมหามายาเป็นภาษา 2 ไม่หลงป่าแล้วแต่ก็ต้องอยู่ป่า เป็นวาสนาของท่านเป็นสิ่งที่ท่านสั่งสมมาไม่รู้กี่ล้านชาติ หลงป่าติดป่ามา แล้วมาถึงยุคพระพุทธเจ้าก็พอดีจะต้องมาเป็นหนึ่งในอิสีติสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นตัวอย่างหนึ่ง ในตัวอย่างที่ยกมา อสีติสาวก สุดยอดแล้วหลุดพ้นมาได้ แม้จะทุกข์ทรมานอย่างมากก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง คนที่สูงสุดหรือลงต่ำสุด แต่ก็หลุดพ้นได้ เป็นตัวอย่างนี้เป็นต้นจะมี 1 และ 1 1 1 เป็นตัวอย่างอยู่ 80 อย่าง เป็นของแต่ละบุคคลเพื่อมายืนยันว่ามนุษย์เป็นเช่นนี้ได้นะ สุดโต่งไปจนสุดโต่ งแต่ก็หลุดพ้นได้ เป็นตัวอย่างความสุดโต่งแต่หลุดได้
ที่พระพุทธเจ้าท่านเทียบคือ ท่านจะทรมานเท่ากับคนคนนั้นได้แต่ท่านก็ไม่ทำ รายละเอียดอย่างที่คนอยากจะให้ ไปสุดโต่งอย่างที่คนคนนั้นชอบ ชอบอย่างไรก็อยากจะไปทำอย่างนั้น แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าแล้วแต่บารมีแล้วแต่วาสนาแล้วแต่คนจะเป็น ปล่อยเขาไปตามลำดับ ปัญญาธาตุรู้ของเขาจะเป็นตัวนำพาเขามาเอง จะนำพาเข้ามาหาความเป็นกลางที่สุด ความเหมาะสมที่สุด ความสมดุลที่สุด ความไม่ โต่งไปโต่งมาที่สุด นี่คือความหมาย คุณทำให้ได้ตรงตามความหมายนี้ก็แล้วกัน
เพราะฉะนั้นตัวอย่างที่ยกมาสุดโต่ง อย่างเช่นพระอรหันต์พูดคำหยาบพูดอะไรก็จะมีคำว่าไอ้ถ่อย ก็เป็น อสีติสาวก องค์หนึ่ง ก็ไม่รู้จะไปห้ามอย่างไร แต่ท่านก็หลุดพ้นได้ เป็นพระอรหันต์ได้อย่างนี้เป็นต้น แล้วคุณจะอยากได้มั้ยล่ะ..สิ่งที่มันทำได้ยากอย่าง นั้น เอามันอย่างสบายไม่ต้องไปหนักข้างใดข้างหนึ่งมันไม่ดีกว่าหรือใช่ไหม
_นอกจากนั้นดิฉันก็สงสัยว่า ทำไมทรงห้ามพระอุบาลีไม่ให้ไปป่าแต่พระมหากัสสปะท่านไม่ได้ห้ามไปป่า ดิฉันค้นคว้าได้คำตอบว่า..พระมหากัสสปะเป็นผู้ที่มีบารมีมากได้บำเพ็ญบารมีมาเมื่อมาบวชแค่เพียง 7 วันก็บรรลุเป็นอรหันต์และได้เป็นปัจฉาสมณะของพระพุทธเจ้า คอยติดตามพระพุทธเจ้า ท่านเป็นผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตนมาก พระพุทธเจ้าให้โอวาทแก่พระกัสสปะตอนบวช 3 ข้อ คือ
ธรรมอันใดที่เป็นกุศลเธอจงเงี่ยโสตสดับให้มาก (พ่อครูว่าแม้ฟังมากก็ได้น้อยเพราะเป็นเจโต จำเป็นจะต้องทำการสังคายนาเพราะท่านเองเป็นคนที่ไม่ได้มากจึงต้องมาช่วยกันบันทึกไว้เป็นผลงานที่ดูเหมือนประเสริฐแต่ถ้าท่านไม่ได้ทำอันนี้ดูเหมือนท่านจะไม่ได้มีค่าอะไรเลย ท่าพระสารีบุตรอยู่ก็น่าจะเป็นประธาน แต่มันไม่ได้หรอกมันเป็นอจินไตย ศาสนาของพระสมณโคดมจะมีอายุแค่ 5000 ปี ถ้ามันเป็นอย่างอื่นอาจจะมาก็จะไม่หนักมาถึงชาตินี้)
พ่อครูว่า…เมื่อกี้นี้ก็อธิบายไปแล้ว พระมหากัสสปะ หลุดพ้นได้ แต่ก็ต้องจมอยู่อย่างนั้นเป็นตัวอย่างหนึ่งเท่านั้นไม่จำเป็นต้องเอาอย่างหรอกมันสุดโต่ง พระพุทธเจ้าท่านเคยทำทุกรกิริยามาได้สุดโต่งทุกอย่าง ทรมานขนาดไหนทำได้หมด มันเป็นได้ในมนุษย์ มีวิบากขนาดนี้ก็ยังหลุดพ้นได้ แต่มันจะต้องไปเอาความสุดโต่งไปทำไมถึงจะหลุดพ้น
เพราะฉะนั้นคนจำนวนหนึ่งที่จะไปเป็นลูกศิษย์พระมหากัสสปะ ก็มีจำนวนไม่มาก แต่ส่วนรวมคือจำนวนมากเทียบไม่ได้หรอก พระกัสสปะก็มีคนไปปฏิบัติด้วยเป็นเพียงคนส่วนน้อย ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ สุดท้ายท่านก็ยังจะอยู่ป่า บรรลุแล้วท่านก็จะขอสอนคนจำนวนนั้นมันเป็นเรื่องอจินไตยอย่างหนึ่ง จะมีบริวารของท่าน ท่านก็ช่วยบริวารของท่านให้เข้าใจความหลุดพ้นว่าที่จริงมันไม่ถูกนะ เพราะฉะนั้นบริวารบางรูปของพระมหากัสสปะนั้น สุดท้ายก็จะไม่อยู่กับพระมหากัสสปะก็ไปอยู่กับที่เหมาะควรไม่อยู่ป่าแบบนั้นจะมี นี่คือสิ่งที่อาตมาพยายามอธิบายได้ คนที่ไม่รู้ก็สงสัยอย่างที่คุณคนนี้เขียนมา
ทีนี้ไปถามอุบาลี ว่าทำไมพระพุทธเจ้าห้าม ไม่เหมือนกับของพระมหากัสสปะ เพราะพระกัสสปะ สุดวิสัย ต้องปล่อยท่าน แต่ถึงอย่างไรพระมหากัสสปะ มีคนเข้าใจผิดว่า พระมหากัสสปะจะไปเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง
ก็ขอยืนยันความรู้ของอาตมาว่าพระมหากัสสปะจะไม่เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งดอก เป็นแต่เพียงว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญพุทธภูมิต่อไปหรือไม่ ยังสงสัย เพราะว่าสุดโต่งไปในทางดับ อาตมาประมาณได้ตามภูมิว่าพระมหากัสสปะปรินิพพานเป็นปริโยสานไม่ต่อภพภูมิ เพราะชอบอยู่สงบ ชอบจบ ไม่ได้ชอบต่อ พระกัสสปะ ชอบจบ ชอบหยุด ชอบนิ่ง ชอบสงัด ชอบสูญ เพราะฉะนั้นอาตมาพยากรณ์ได้ว่าไม่ต่อพุทธภูมิ ได้ของตัวเองสุดโต่ง เท่านั้นเอง
คนที่มีจริตที่จะชอบเดี่ยวๆไม่ต้องทำอะไรมากคือ คนขี้เกียจ คนเห็นแก่ตัว เจาะช่องน้อยแต่พอตัว ไม่เข้าใจว่า คุณสมบัติของคนที่ไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีตัวตนจะช่วยคนได้มาก เขาไม่มีปัญญามากขนาดนี้หรอก คนพวกนี้เขารู้จักตัวเองสั้นๆ เอาตัวเองรอดแล้วจบ พวกนี้เป็นคนสั้นคนเล็กคนน้อยคนไม่มีประโยชน์ สุดท้ายเขาทำตัวเองรอดได้ แต่ไร้สาระก็ไม่มีประโยชน์มาก
พระพุทธเจ้าเคยหลงเป็นลิงลมอมข้าวพองเข้าไปปฏิบัติในป่า และไปตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ ต้นอัสสัตถพฤกษ์ ที่จริงการบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่เหมือนกับคนอื่นบรรลุหรอกเพราะท่านบรรลุมาแล้ว แต่ท่านไม่รู้ว่าท่านบรรลุ ท่านตรวจสอบผู้มาทำของท่านท่านตรวจสอบแล้วว่าท่านบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณมาไม่รู้กี่ชาติชาตินี้ก็จะมาประกาศตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ท่านไม่ได้มาเพิ่มเติมความรู้ของท่านเองเลย
และขอบอกเลยว่า พระพุทธเจ้าสมณโคดมสอนอยู่แค่ 45 ปี ใบไม้กำมือเดียว ท่านก็บอก ท่า ท่านไม่ได้บอกใบไม้ทั้งป่าที่เป็นความรู้ของพุทธศาสนา แล้วก็บอกให้สาวกของท่านกระจายใบไม้เพิ่มจากกำมือเดียว อาตมาเป็นต้น หนักหนาสาหัสจากสมัยพระพุทธเจ้ามาถึงตอนนี้ ยาก แต่ท่านก็เป็นของท่าน ไม่ใช่ว่าท่านทำงานน้อย ท่านก็ได้ทำงานมามากผ่านในยุคที่ท่านมีงานใหญ่งานที่เป็นพระโพธิสัตว์ ทำงานเทียบเคียงใกล้กับพระพุทธเจ้ารับผิดชอบอะไรมาก อาตมาไม่ได้รับผิดชอบมาก เมื่อเป็นขั้นที่ 8 ขั้นที่ 9 ก็จะรับผิดชอบหนักมากขึ้นเหมือนกับพระพุทธเจ้าไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็พร้อมแล้วท่านก็ทำมาหมดแล้ว ท่านบอกว่าจบ ให้คนอื่นมาต่อเถอะ มันเป็นธรรมดาอันเดียวกัน แล้วก็ไม่ใช่มีคนเดียวหรอกมีตั้งเยอะคนรับผิดชอบกันไป
ท่านกัสสปะ เสียเวลาทางเจโตมานานมาก ลงทุนมาเยอะ แต่ก็ปรินิพพานไปสูญไป สรุปแล้ว ถ้าพระมหากัสสปะไม่ได้ทำพระไตรปิฎกเอาไว้ ที่ใช้อยู่เดี๋ยวนี้เป็นฉบับที่พระมหากัสสปะได้ทำสังคายนา ถ้าพระมหากัสสปะไม่ได้ทำพระไตรปิฎกอันนี้ไว้ ไม่มีค่าเลย พระมหากัสสปะจะไม่มีค่าอะไรเลย นอกจากไม่มีค่าแล้วยังเป็นตัวอย่างให้คนหลงป่าอีก เพราะโต่งไปทางป่า แม้แต่ทุกวันนี้พระป่าทั้งหลายก็ยังซวย อาตมาก็พยายามดึงออกจากนริยภูมิ พระป่าทั้งหลาย พูดไปแล้วก็เหมือนจะวน ไปว่าเขาอีก
_ส่วนพระอุบาลี เคยสั่งสมมาในชาติก่อนๆ แต่ชณะที่ขอไปป่า ท่านยังไม่บรรลุธรรมพระพุทธเจ้าจึงได้ห้าม
ขอถามว่าผู้จะไปศึกษาในป่าต้องมีกามราคะเบาบางแล้ว อย่างน้อยก็เป็นฐานพระอนาคามีใช่หรือไม่ (พ่อครูว่าใช่ แต่ก็ควรจะเป็นฐานอรหันต์ไม่งั้นอาจจะไปจมในป่าได้)
การไปอยู่ป่าคือการไปเอาแต่นั่งหลับตาทำสมาธิสั้นใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า..การไปอยู่ป่านั้นไม่ใช่กิจวัตรแต่เป็นแค่วัตรปฏิบัติ ไปเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เป็นการไปเช็คดู ว่าเราติดป่าหรือไม่ เหมือนชาตินี้โพธิรักษ์ได้ไปลองอยู่ป่า เมืองกาญ ไม่มีใครมากเลย มีแต่คนส่งข้าวส่งน้ำเท่านั้น แล้วอาตมาขึ้นไปอยู่บนยอดเขา
ไปอยู่ป่า 1. ไปเช็คผล หากมีเศษของกาม ก็จะฟุ้งเรื่องกามเพราะห่างกาม
-
เช็คว่าไปอยู่ป่าจะติดป่าหรือไม่ หากอยู่ป่าติดป่าก็ผิด หรืออยู่ป่าแล้วฟุ้งในกามก็ผิด ไปเช็คดูให้แน่ใจ แต่ถ้าคุณแน่ใจแล้วก็ไม่ต้องไป