630823_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เศรษฐศาสตร์แบบผู้รับใช้จะทำให้ไทยเป็นมหาอำนาจ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1PCX-DfbmKsluuItMneID1nBOtw3p81yFCOKXnrpJirc/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1PXjxALWcWeiPwfMHV0qg60BuzvnYsNfy/view?usp=sharing
และยูทูปที่
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ขณะนี้ประเทศไทยก็มีภัยรอบด้าน คนเห็นทุกข์มากขึ้น แนวโน้มมาหาด้านคุณธรรมมากขึ้น มาหาความพอความมักน้อย เศรษฐกิจพอเพียงมากขึ้น
พ่อครูว่า…เรื่องความเป็นอยู่ของสังคมที่เรียกว่าเศรษฐกิจ เศรษฐกิจยอดเยี่ยมคือเศรษฐกิจสาธารณโภคี ซึ่งเราก็ยืนยัน อาตมาก็มั่นใจว่าเป็นสิ่งที่จะกอบกู้โลกได้
SMS วันที่ 21-22 ส.ค. 2563
ขอให้คนอื่นแข็งแรงจะเป็นไปได้ไหม
_ปัณฑริกา น้อยเจริญ : กราบนมัสการพระคุณเจ้าค่ะ วันนี้หนูดีใจที่สุดได้เห็นพ่อครูทาง Facebook เพราะหนูเพิ่งจะหัดใช้ ขอให้พระครูมีอายุยืนยาวนะเจ้าค่ะ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ของพวกหนู ขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรง กราบนมัสการหน้าเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…ขอให้อาตมาแข็งแรงก็มีคนมาขอเยอะ ขอได้ก็ดีสินะ มีคนขอมากคนเข้าก็แข็งแรงเลยไม่ต้องทำอะไรเลยนะ เราจะทำสะเปะสะปะอย่างไรของเราก็ได้ เพราะมีคนขอให้มันก็ได้สิมันก็ดีสิ ..ก็ต้องช่วยกันก็ดีแล้วมีน้ำใจ ขอให้นี้ มันเป็นลักษณะหนึ่งของมนุษยชาติ ที่เป็นศาสนาเทวนิยมเขาก็จะต้องขอพระเจ้าให้ช่วย ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยดลบันดาลอะไรอย่างนี้ ซึ่งไม่ใช่เป็นศาสนาพุทธที่มีกรรมวิบากเป็นของตัวเอง แต่ไปพึ่งอะไรอย่างอื่นที่เป็นธรรมชาติมันมีเยอะ คนที่อ่อนแอคนที่อวิชชาอ่อนแอ ก็จะต้องพึ่งสิ่งที่คิดว่าสิ่งนั้นเป็นฤทธิ์เดชเป็นอำนาจ แล้วก็ขอให้เป็นอย่างนั้น คนเราจะเป็นอย่างนั้นมาก่อน เพราะสังคมมันเป็นสังคมทาสมาก่อน สังคมบริวารสังคมทาส มาแต่เดิมเหมือนกัน ไล่มาตั้งแต่ยุคโบราณ ตั้งแต่มีหัวหน้าเผ่าก็เป็นอำนาจเผด็จการ ทุกคนก็เป็นลูกน้องสั่งการสั่งฆ่าก็ได้ เพราะว่าเป็นระบบทาสแท้ๆ ไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน เป็นสังคมสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็เป็นเช่นนั้น แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีอย่างนั้นแล้ว มันเป็นสังคมอีกอย่างหนึ่ง สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นสังคมทาส
เดี๋ยวนี้ทุกคนมีสิทธิในตัวเอง เป็นสิทธิมนุษยชนเต็มที่เป็นของตน จนเลยเถิด ไปมีสิทธิเป็นของตัวเองจนกระทั่ง กูนี่แหละใหญ่กว่าใครเลย ไม่เคารพแม้กระทั่งพ่อแม่ ใครที่มีคุณค่าประโยชน์ไม่มีความเคารพเลย กูนี่แหละใหญ่ กูนี่แหละมีสิทธิอย่างนี้ เด็กๆเดี๋ยวนี้กำลังถูกครอบงำทางความคิดอย่างนี้ไป บอกว่าเป็นสิทธิเท่าเทียมกันทุกคนอย่างนี้เป็นต้น
สมณะฟ้าไท…มีเด็กสมุนพระรามบอกว่า เอ๊… ทำไมเด็กที่นี่ทำงานเยอะกว่าผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ที่นี่ทำงานน้อยจังเลย ผมก็เลยถามเขาว่า ผู้ใหญ่เขาทำงานมานานแล้ว แล้วเธอทำงานมานานเท่าไหร่
พ่อครูว่า…ก็อธิบายเขาสิว่า ผู้ที่ทำงานมากมีผลประโยชน์มากแล้วเอาไปแจกจ่ายได้มากก็นั่นแหละเป็นคนน่าภาคภูมิใจเป็นคนประเสริฐ ให้เขาเข้าใจความจริงอันนี้ เรามีสิ่งที่เสียสละในเรี่ยวแรง ความสามารถความขยันของเรา ทำอะไรได้มากๆ รับใช้คนอื่นได้มากๆ เราเป็นคนมีประโยชน์ เราเป็นคนมีคุณค่าไง เราจะไปทำให้ตัวเองเป็นคนด้อยค่า ลดค่าทำไม เราก็ไม่ได้โง่อย่างนั้น คนที่มีประโยชน์ต่อคนอื่น ขยัน สร้างสรร เสียสละ ต่อผู้อื่นกับคนที่จะเอาเปรียบคนอื่น รอเกาะกินผู้อื่น แล้วก็ไม่มีคุณค่าประโยชน์อะไร อันไหนมันดีกว่ากัน ก็ถามย้ำเขาเข้าไป เขาก็จะชัดเจน มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย มันเป็นเรื่องสัจจะเป็นเรื่องง่ายๆ ก็ค่อยๆอธิบายกันไป
_บัวดาว พรมเลิศ : เขาน่าสงสารนะที่มาว่าพ่อครู ทำให้เขามีวิบาก
พ่อครูว่า…พวกเราก็มองเห็นความจริงอันนี้อยู่แต่เขาไม่รู้จักหรอก ต่างคนต่างเห็นไปบังคับความรู้ บังคับความเข้าใจ บังคับให้คนฉลาดไม่ได้
กรรมที่ส่งผลในชาตินี้อย่างพิสูจน์ได้
_ประดับ อินทร์แป้น : กราบนมัสการพ่อครูครับ อยากให้ท่านยกตัวอย่างกรรมที่บวกลบคูณหารกันในชาตินี้ ขอบพระคุณครับ
พ่อครูว่า…ก็จะไปยากอะไร กรรมในชาตินี้คุณลองพิสูจน์ดูก็ได้นะ คุณเกิดการเขม่นคนนี้ขึ้นมา เกลียด ชังน้ำหน้าขึ้นมา คุณก็คิดแล้วคุณก็ลงมือทำ ตีหัวมันเลย เกลียดชังมัน ดีไม่ดีให้มันตายเลย เสร็จแล้วตายเสร็จ คุณก็ทำผิด ตำรวจเข้ามาจับ จับแล้วก็พิพากษา คุณทำร้ายเขาผิดกฎหมายคุณก็เข้าคุก นี่ไงล่ะกระบวนการบวกลบคูณหารของกรรมกิริยาที่คุณทำ เป็นไงเข้าคุก ไม่เชื่อลองสิ บวกลบคูณหารให้ฟังแล้ว มันมีหลายอย่างนะเกิดความไม่ชอบใจเกิดความคิดจนกระทั่งลงมือทำตามความไม่ชอบใจ ทำเสร็จแล้วเป็นผลสำเร็จด้วยนะ อาจจะดีใจด้วยคุณอาจจะดีใจเป็นผลสำเร็จ ตีหัวแตกหรือตาย ดีใจด้วย เสร็จแล้วคุณก็จะต้องถูกจับและคุณก็จะต้องเข้าคุกหรือไม่ คุณก็จะต้องหนีออกนอกประเทศไปหัวซุกหัวซุน เหมือนอย่างกับคนที่หนีคดีอย่างนั้นน่ะ ก็ลองดูสิบวกลบคูณหารในกระบวนการง่ายๆ
ความอึดไม่ใช่กิเลส
_สุรภา ลิ้มวรรณเสถียร : กราบขออภัยที่ทำให้งงค่ะ ได้ฟังสม.กล้าข้ามฝันพูดถึงปะดาวบุญว่าเป็นคนที่อึดในการทำงาน หนูอยากทราบว่ามันจะเป็นกิเลสมั้ยคะ
พ่อครูว่า…ก็พูดไปแล้ว จริงๆแล้วจะว่าเป็นกิเลส มันไม่ใช่หรอก ความอึดเป็นความอดทน ถ้าคุณอึดในทางเลวมันก็เลว อึดในทางไปสั่งสมพลังให้มันเกิดสภาพแข็งแรงสภาพอดทนต่ออะไร ที่จะให้ชำนาญสั่งสมให้มากเข้า คุณก็อดทนอึดคุณก็ได้ ถ้าจะเรียกว่าเป็นกิเลสมันก็เป็นทางไม่ดี แต่ถ้าอึดมาทางทำสิ่งที่ดี ทำได้อดทนดีในทางดี มันก็เป็นกุศล มันควรทำก็ดีมันเป็นสภาวะ คำว่าอึด ถ้าประกอบไปด้วยปัญญา มันก็จะมีผลเจริญได้ดี เจริญได้ 2 ด้าน ถ้ามันมีปัญญาประกอบ แต่ถ้ามันอึดโดยไม่มีปัญญาประกอบ คุณก็ได้เหมือนกัน ได้ความสั่งสมประเภทศรัทธาหรือเจโต สมถะได้ ก็เป็นสภาพสองง่ายๆ
สู่แดนธรรม…บางคนไม่อึด แต่ทำได้ด้วยความคล่องแล้ว ก็ดูยากนะครับ
พ่อครูว่า…เป็นเรื่องของความจริงของผู้ที่สั่งสมให้มี มุทุธาตุ มุทุจิต
อีกคำ ที่อาจจะเข้าใจยากคือคำว่า อนุสัยเป็นการสะสมอยู่ในก้นบึ้งของจิตเลย แต่ถ้าคนทั่วไปก็เป็นอนุสัยทางอวิชชา เป็นอนุสัยทางโลกีย์ มันก็เลยตกผลึกแข็งแรงตั้งมั่นเป็นอวิชชา ตกลงในก้นบึ้งของจิตก็เรียกว่าอนุสัย แต่เมื่อใดเปลี่ยนแปลงแล้วสั่งสมสภาวะจิตใหม่ เป็นจิตที่เป็นโลกุตระเป็นจิตที่ดีก็ตกผลึกเหมือนกันสั่งสมตั้งมั่น แต่ในโลกุตรธรรมนั้นไม่มีการยึดมั่นถือมั่น ไม่ได้ติดยึดว่าเป็นเราเป็นของเราจึงไม่เหมือนกับโลกีย์ โลกีย์ตกผลึกตั้งมั่นเป็นอนุสัยแล้วก็แก้ไขไม่เป็น เปลี่ยนแปลงไม่เป็น ปรับปรุงไม่เป็นมีแต่แข็ง แต่แรง มีแต่พลังงานที่จะให้ออกมาทำงานตามอวิชชา ส่วนวิชชาไม่ได้ยึดมั่นเป็นตัวตนเป็นเราเป็นของเรา แต่มันก็สั่งสมตกผลึกแน่นได้เหมือนกัน คือ แน่นได้ ปล่อยได้ ยึดได้ วางได้ อย่างเร็วอย่างไว มันเป็นภาวะที่คล่องตัวทั้งสองด้าน มันมีปัญญารู้ทั้ง 2 ด้าน ไม่ยึดถือเป็นตัวเป็นตน แต่ทำให้แข็งแรงได้นี่เป็นภาษาสิริมหามายา เปลี่ยนภาษาแล้วจะบอกว่ามันได้หรือไม่ได้ มันได้แต่มันไม่ติดยึด มันปล่อยก็ได้วางก็ได้เร็ว ด้วยเป็นมุทุภูตธาตุ ยึดอย่างแข็งแรง ใช้ก็ได้ปล่อยวางก็ได้อย่างเร็วด้วย มุทุภูตธาตุ ศึกษาไปเรื่อยๆแล้วจะได้รายละเอียด
_สติพล จนพัฒนา : ได้ฟังท่านมือมั่นแล้ว ทำให้เห็นว่าพระอาริยะบุคคลมีหลายภูมิหลายระดับจริง ๆ เลยครับ!!
พ่อครูว่า…ดีก็ค่อยๆเข้าใจขึ้นมา
กายกับรูปต่างกันอย่างไร
_2860 : พ่อครูครับ กายกับรูปต่างก้นอย่างไรครับ? กายนี้คือกรรมเก่าคืออย่างไรครับ?
พ่อครูว่า…คำว่า กาย นี้ พอถามว่า กาย กับ รูป
กาย นี่ มีรูป กับนาม ทีนี้ เวลาปฏิบัติท่านให้เน้นนาม กายจะเน้นนาม เพราะรูปมันหยาบ รู้ง่าย เป็นเบื้องต้น แต่ก็ไม่ทิ้งภายนอก ไม่ทิ้งความหยาบ แต่รู้เท่าทันจนเหนือความหยาบ เราจึงยืนเหนือสิ่งนั้น สิ่งนั้นครอบงำเราไม่ได้ มีอำนาจจิต ยังจิตให้อยู่ในอำนาจได้ วสวัตตี จิต
กายที่หยาบมาเรื่อยๆ การปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้น ทีนี้ กายที่เลื่อนไหลเข้ามาเรื่อยๆนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่ากายนี้คือ จิต มโน วิญญาณ ภาษาพยัญชนะกับสภาวะ ถ้าไม่รู้ถึงจุดหมายในองค์ประกอบหรือปริเฉทของสิ่งที่กำลังพูดถึงนี้ เข้าใจไหม เอาระดับไหนก็แล้วแต่ องค์ประกอบขั้นไหนแล้ว ขั้นหยาบภายนอก กลางหรือละเอียดลึกซึ้ง หรือขั้นที่รวมรูปวัตถุข้างนอกเลย หรือพ้นแล้ววัตถุภายนอก เหลือแต่ข้างใน ขนาดระดับกลาง ก็เหลือระดับในสุดละเอียดเป็นอรูป เราก็จะต้องเข้าใจไปตามลำดับ
รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ อาตมานิยามไว้ชัดเจนคือ คนเรามีธาตุรู้ที่จะเป็นสัญญากำหนดว่ารู้ ถ้าเราไม่มีตัวกำหนดรู้ ไม่มีสัญญาทำงานต่อให้คุณลืมตา แล้วคุณก็มีสติ เพ่ง อยู่ที่อันใดอันหนึ่ง อันอื่นๆ จะผ่านมาอย่างไรคุณก็ไม่ใส่ใจเลย ไม่มีสัญญากำหนดตามเลย คุณไม่รู้ไม่เห็นกับรูปนั้น คุณไม่ใช้สัญญาทำงานกับมัน คนที่เป็นอย่างนี้โดยไม่ต้องฝึกมันก็เป็นอัตโนมัติตามสัญชาตญาณมันก็มีอยู่ บางคนบางขณะเราก็เคยเป็นอย่างนี้ ฝึกเลยก็ยิ่งได้
อย่างพระพุทธเจ้าท่านฝึก ท่านไม่กำหนดรู้อันอื่นจากกำหนดรู้เฉพาะแต่ที่ท่านเดินจงกรมในโรงกระเดื่อง ไม่ว่าจะรูปเสียงกลิ่นรส ข้อกำหนดรู้แค่นี้ เพ่งสัญญากำหนดอยู่แค่นี้ เดิน อยู่ในนั้น ฟ้าผ่าลงมาเปรี้ยงควายตาย 4 คนตาย 2 อยู่ในระยะไม่ห่าง ท่านก็ไม่ได้ยิน เฉย ไม่มีสัญญากำหนดรู้ นี่เป็นประสิทธิภาพของความแข็งแรงมั่นคงของการกำหนดสัญญาหรือจำเพาะที่จะกำหนดมั่น เพ่ง ในจุดใดจุดหนึ่งของท่านสูงสุดถึงอย่างนั้น ศึกษาไปในรายละเอียดต่างๆ ตกลงสรุปแล้ว กาย อันนี้สำคัญมาก
รูปนี้ยังรู้ง่ายกว่ากาย รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ วัตถุรูปคือแท่งก้อนที่ใครมาสัมผัสก็จะรู้ว่ารูปนั้นคืออย่างนั้น รู้ได้ เห็นได้ รู้ตามกันเหมือนกัน ถ้าหากตาคุณไม่พิการ ตาคุณไม่บอดสี ตาคนไม่เพี้ยนอะไรก็จะเห็นเหมือนกันทุกคน อย่างเห็น ลูกน้ำเต้าสีเหลืองๆ ลูกแปลกๆ เมื่อวานมีน้ำเต้าลูกเบ้อเร่ออยู่ตรงนี้ เอาไปผ่าแล้วหรือ วันนี้ก็เอาลูกน้อยๆยาวๆก็เห็นเหมือนกัน ไม่แปลกแตกต่างอะไร จะเหมือนกัน พูดตรงกันหมด เห็นเหมือนกัน อย่างนี้เป็นต้น นี่คือการกำหนดด้วยสัญญา เป็นรูปที่ถูกรู้ เสียงที่ได้ยินก็เป็นรูปที่ถูกรู้ ได้ยินเสียงนั้นเป็นเสียงที่ถูกรู้ด้วยหูของเราเข้าไปสัมผัส คนต่างๆที่หูไม่พิการเหมือนกันหมด ก็ได้ยินเสียงเหมือนกันอย่างนี้ บางทีก็อธิบายให้กันยาก เสียงโป้งเสียงป้าง เสียงอื่นๆ เราใช้ภาษาไทยอธิบาย ส่วนภาษาอื่นก็อธิบายการสื่อสารให้กันดูได้ สื่อสารให้รู้สิ่งนั้นตรงกันพยัญชนะที่เราใช้ สื่อกันมา ตั้งแต่ปู่ย่าตาทวด ภาษาของแต่ละเผ่าก็สื่อกันไปต่างภาษา ก็ถูกรู้กันได้ด้วยสื่อ
สิ่งที่ถูกรู้ด้วยประสาทสัมผัสของเราทั้ง 5 ภายนอก หรือแม้แต่คุณไปกำหนดรู้อยู่ข้างใน ไม่มีใครเห็นกับคุณ แต่คุณก็สัญญากำหนดรู้ กำหนดภาพขึ้นมาในจิตใจ เป็นมโนมยอัตตา เป็นรูปที่สำเร็จด้วยจิต คุณสร้างคุณมีก็มีของคุณไป มันก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้เหมือนกัน
สู่แดนธรรมว่า… หากเรากำหนดรู้วจีสังขาร อย่างนี้ ถือว่าวจีสังขารก็เป็นรูปที่ถูกรู้เหมือนกันใช่ไหมครับ รู้พยายามเจตนา รู้ระงับ เจตนา สิ่งที่ถูกรู้เหมือนกันใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า..ใช่ ในนาม 5 มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ใช้งานมากร่วมกับรูป 28 พระพุทธเจ้าได้อธิบายให้ฟัง แต่ทุกวันนี้บกพร่องไปแล้วใช้ไม่เป็น เอาไปปฏิบัติไม่ได้
ใน นาม 5 สัญญา เป็นตัวทำงานหนัก กำหนดรู้เวทนา กำหนดรู้เจตนา แล้วจะรู้เวทนาได้จะต้องมีผัสสะ จะทำใจในใจได้ ก็จะต้องมีเวทนา เมื่อมีเวทนาแล้วคุณก็ทำกับเวทนา ในเวทนานี้แหละมันปรุงแต่งเป็นสุขเป็นทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ก็ตามในเวทนา 3
ในเวทนานี้ มันมีสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี หรือไม่สุขไม่ทุกข์ที่ยังอวิชชา แบบเคหสิตเวทนา มันเฉยได้เหมือนกัน แต่เอาไว้ก่อน มันมีความสุขทุกข์โลกีย์อย่างไรก็รู้ เราก็เรียนรู้ว่าความสุขความทุกข์มันเป็นอันเดียวกัน มันเป็นมายาหลอกเราว่าเป็นความสุข คุณไม่ได้ศึกษาความทุกข์ ความทุกข์มันเป็นมายาหลอกให้คนหลงความสุข คุณควรรู้ว่าความทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แท้จริงแล้วความทุกข์มันเป็นตัวชักใยความสุขอยู่ เป็นตัวการหมด พระพุทธเจ้าถึงให้ฆ่าความทุกข์ให้ตาย เมื่อฆ่าความทุกข์ให้ตาย ความสุขก็หมด ไม่มีตัวชักใยมันก็ตาย
จะฆ่าทุกข์ เพราะมันมีเหตุคือความโง่ ไปทำอยู่ทำไมให้เกิดความทุกข์ หรือก็คือความหลงความสุขนั่นแหละ ก็ต้องฆ่าเหตุที่ให้เกิดความทุกข์ ที่จริงคุณต้องการความสุขเพราะถูกหลอก คุณต้องการสุขอยู่ทำไม ก็ฆ่าเหตุนั้น หากฆ่าเหตุนั้นตายหมด สุข ทุกข์ก็หายหมด
เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธไม่มีสุขไม่มีทุกข์ อันนี้แหละยากมาก
สุข ทุกข์นี้ เรียกเป็นพยัญชนะว่าอุเบกขา ขยายความอีกทีว่าไม่สุขไม่ทุกข์ ก็เลยวนเวียนไปหาความไม่สุขไม่ทุกข์อีก ที่จริง มันไม่มีอาการของความสุขไม่มีอาการของความทุกข์ทั้งคู่และเป็นยังไง ก็เป็นอุเบกขา แล้วอุเบกขาเป็นยังไง ก็ไม่มีคำอธิบายก็คือมันไม่สุขไม่ทุกข์ แต่อาการความสุขไม่มีความทุกข์ก็ไม่มี คุณจึงต้องเข้าใจอาการความสุขความทุกข์ให้ดีเลย ว่ามันเป็นอาการอย่างไรของจิต อาการที่ไม่มีความสุขความทุกข์เลยนั่นแหละเรียกว่า อาการอุเบกขา ภาษาไทยไม่มี ต้องใช้พยัญชนะของพระพุทธเจ้า
สู่แดนธรรมว่า…อุเบกขาใช้กับเวทนาเท่านั้น ไม่ควรใช้กับอย่างอื่นใช่ไหม
พ่อครูว่า…อุเบกขา บอกว่าไม่เข้าข้างฝ่ายใดอันนี้ไม่ใช่อันนี้ เพราะว่าของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตรธรรมสุดยอด แล้วความจบของศาสนาพระพุทธเจ้า ความสุดยอดอยู่ที่สุขที่ทุกข์อยู่ที่อุเบกขา พอทำอุเบกขาได้เรียกว่า บริสุทธิ์จากกิเลส เรียกว่า
ปริสุทธา เมื่อทำได้แล้วคุณก็ทำอีกทำอีกก็สั่งสม ตกผลึกด้วย ปริสุทธา มีเหตุปัจจัยมากขึ้น มีเหตุปัจจัยก็ทำให้สะอาดมากยิ่งขึ้น มาลีลาอย่างนั้นอย่างนี้หลายเหลี่ยมอย่างไหน อย่างหลายเหลี่ยมหลายมุม หลายท่าหลายทางก็สู้ได้รับได้ทุกทิศ ยิ่งกว่าจอมยุทธ
คุณสามารถผสมจิตมุทุภูตธาตุได้ เหมือนหนังจีนเลยเก่งได้ คุณก็เอามาประกอบกรรม กัมมัญญา ทุกเวลาที่คุณประกอบกรรม มีมหาปเทส 4 สัปปุริสธรรม 7 อนุโลมปฏิโลมไปกับเขาได้จิตใจตัวเองไม่ได้หลงไปกับเขา แต่ไม่ใช่หลอกเป็นมายา แต่รู้ชัดเจนทุกอย่างว่าเราอนุโลมไปขนาดนี้ชัดเจน มีเจตนาดีปรารถนาดี มั่นใจว่าสิ่งที่ปรุงแต่งเป็นอภิสังขารเป็นกุศลเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ
สู่แดนธรรมว่า…
พ่อครูว่า..ที่อาตมาสอนนี้อย่านึกว่าเป็นความละเอียดสุดยอดแล้ว มันไม่ใช่ หลายอย่างอาตมาไม่ได้หยิบเอามาอธิบาย หลายอย่างยังไม่ได้ทำความเข้าใจให้ดี เพราะอาตมายังแค่โพธิสัตว์ระดับ 7 หลายอย่างยังมีอีก ยังมีพุทธพิสัยอีกเยอะแยะ
สมณะฟ้าไท…การฟังธรรมจะได้บรรลุธรรมต่างกันก็ได้ บางคนก็ได้เป็นพระอรหันต์ บางคนก็ได้เป็นพระโสดาบัน อยู่ในแวดวงเดียวกันอยู่ในที่เดียวกัน
สู่แดนธรรม…รูปที่พ่อท่านว่าคือสิ่งที่ถูกรู้ แล้วจิตเจตสิกก็เป็นรูปได้ แม้แต่ลหุตา ที่เป็นอุปาทยรูป สำนักอภิธรรมก็อธิบายเพียงรูปธรรม แต่หากพิจารณาตามพ่อครู ลหุตา คืออารมณ์ที่เราเคยเดือดร้อนมันเบาบางลงได้ เราต้องรู้มันให้ได้อย่างนี้คือรูปใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า…ถูกต้อง ค่อยๆเรียนรู้ไป
กายเป็นกรรมเก่าอย่างไร
ทีนี้มาขยายความ กาย นี้คือ กรรมเก่าคืออย่างไรครับ
พ่อครูว่า..คุณคนนี้คงหมายถึงร่างกายที่เราได้มาเป็นร่างกายเกิดจากกรรมเก่าของเรา มาถึงชาตินี้เราก็ได้เท่าที่เรามีบารมี ก็ได้สร้างสมบารมีมา ก็ได้มาเป็นร่างกายในชาตินี้ นั่นก็คือสิ่งที่เราสั่งสมบารมีมาแต่ปางบรรพ์ ก็ใช่ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีตัวแปร กรรมเก่าเป็นบารมีของเราก็มีก็ใช่ เราจะเป็นอย่างนี้ จะได้รูปร่างอย่างนี้ แต่กรรมใหม่คือพ่อแม่มี DNA มีอำนาจมีฤทธิ์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะมีส่วนของพ่อแม่ในชาตินี้ที่เป็น DNA ของพ่อแม่ ทำให้เราได้มีร่างกายตามพ่อแม่ได้ด้วย แต่ถ้าเรามีกรรมเก่าของเราเหนือชั้นกว่าพ่อแม่ เราสวยกว่าพ่อแม่หล่อกว่าพ่อแม่ แข็งแรงกว่าพ่อแม่ได้ เหมือนอย่างพระพุทธเจ้ามีสัปปุริสธรรม 7 มีมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ เหนือชั้นกว่าพ่อแม่ นี่คือกรรมเก่าก็มีฤทธิ์กรรมใหม่ก็มีผล แต่เราเกิดมายังไม่มีกรรมใหม่ มีแต่พ่อแม่เป็นอำนาจผสม จากนั้นกรรมใหม่ของเราก็จะมีฤทธิ์เดชมีอำนาจ เช่นว่าคุณเกิดมาแล้วคนก็ไม่ค่อยสวยไม่ค่อยหล่อเท่าไร ทำไปก็จะสวยจะหล่อจะผ่องใสขึ้นเท่าที่มันจะเปลี่ยนได้บ้าง ขึ้นไปได้
อย่างอาตมานี่ แต่หนุ่มๆไม่ได้หล่อขนาดนี้ เดี๋ยวนี้หล่อกว่าเดิมเยอะ จริงๆพูดอย่างนี้ก็คือ ในส่วนนี้คำว่าหล่อก็คือว่า สมัยหนุ่มหนุ่มจริงมันมีเนื้อหนังมังสา โครงสร้างมันแก้มตอบนะ หลายๆอย่างมันไม่ดูอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้ดูว่าโหงวเฮ้งมันดูเต็มดี แต่มันก็มีความเหี่ยวไม่ตึงเหมือนหนุ่ม นัยยะหนึ่งมันก็ดีกว่าอีกนัยยะหนึ่งมันก็ไม่ดีกว่า สรุปแล้วค่อยๆศึกษาไปก็จะรู้องค์รวมที่เรียกว่ากาย ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปได้ด้วยกรรม
กรรมเก่าคุณไปเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้หรอกคุณทำไปแล้ว ฉะนั้นคุณจึงต้องทำกรรมใหม่ให้ดี กรรมเก่าแล้วไปแล้ว คุณอย่าเอามาขยำเล่นเหมือนขย้ำขี้ไม่เอา ทำกรรมใหม่ รู้กรรมเก่าว่ามันบกพร่อง ต้องเปลี่ยนแปลง อันไหนดีแล้วทำให้แข็งแรงดีขึ้นยิ่งกว่าเก่า กรรมเก่าที่ทำไปแล้วดี ดีกว่านี้มีอีกไหม สอุตตรังจิตตัง ดีกว่านี้มีอีก จนถึงอนุตตรังจิตตัง ดีที่สุดแล้วดีกว่านี้ไม่มีอีก ให้มันไม่ได้ขนาดนั้นเลย
แต่ละคนถามมา อาตมาชื่นใจนะมีคนรับรู้รับร่วมมาซักไซ้ไล่เรียงไต่ถาม
_ผมรู้สึกเห็นใจถูกใจคุณแม่ลูกสองอยากสมัครใจคบคุ้น หลวงปู่มีคำชี้แนะหน่อยครับ
พ่อครูว่า..มี อย่าหาเรื่องอย่าหาเหาใส่หัว ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างพากันปฏิบัติธรรมไป ให้คบกันเป็นเพื่อน แล้วก็มีอะไรก็เป็นเพื่อนกันไป อย่าไปหาเรื่อง ให้มีกามผสม มันพาทุกข์ ถ้าเผื่อว่าเป็นเพื่อนยังมีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี มันเจริญ
หากว่าอาตมาไปส่งเสริมให้แต่งงาน อาตมาอาบัติสังฆาทิเสสเชียวนะ พระพุทธเจ้าห้ามเอาไว้นะ การไปส่งเสริมการแต่งงานกันเข้าไปมีคู่ ผู้ที่ไปส่งเสริมทำหน้าที่ส่งเสริม ทุกวันนี้เห็นพระ,เจ้าไปช่วยส่งเสริมอวยพรคู่บ่าวสาว อาบัติสังฆาทิเสส ไม่รู้เรื่องเลย คือมันเป็นทุกข์ พระพุทธเจ้ามีพระวินัยอันนี้ห้ามไว้ อย่าไปส่งเสริม เพราะฉะนั้นก็บอกให้เขาเข้าใจให้เกิดความเบื่อหน่าย อย่าไปทำเลยก็ได้ก็ดี ก็ใช้ศิลปะในการบอก
เศรษฐศาสตร์แบบผู้รับใช้จะทำให้ไทยเป็นมหาอำนาจ
พ่อครูว่า…จะพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจยังไม่พูดเรื่องการเมือง เพราะตอนนี้เขายึดถือกันแรงกำลังหน้ามืด ปล่อยให้เขาหน้าเมื่อยก่อน ถ้าหากหน้ามืดมันก็ยาก ถ้าหากหน้าเมื่อยมันก็จะพูดกันง่ายหน่อย ถ้าหน้ามืดอย่างนี้พูดอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะไปทำอะไรได้ ต้องรอหน่อย ซึ่งคิดว่ามันคงไม่รุนแรง เพราะมันมีจำนวนน้อย แต่เขาพยายามยุแหย่ เขาพยายามยุแหย่ผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ เขาก็เลยยุแหย่เด็กน้อย ดีไม่ดีอีกหน่อยระวังอนุบาลตุ๊กติ้วนะ เดี๋ยวเขาแพร่เชื้อมาครอบงำความคิดเด็กไปหมด คือมันไม่มีทางแล้ว จึงเก็บเอาเศษเล็กเศษน้อยมาใช้ คือมันจะสิ้นไร้ไม้ตอกแล้ว จะไม่มีทางไปก็ปล่อยให้เขาเล่นไป โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้ยังมีผู้ใหญ่ที่ตกยุคหลงโลกอยู่บ้าง แต่มีน้อย เห็นได้เลยว่า โดยรวมแล้วผู้ใหญ่ที่ตกยุคก็มีอยู่บ้าง แต่ก็ตื่นรู้กันแล้ว ตื่นรู้กันดีมาก
พลเอกประยุทธ์ บริหารประเทศต่อเนื่องกันมาตั้งแต่คนเข้าใจว่าเผด็จการทหาร เพราะเข้ามายึดอำนาจ ซึ่งอาตมาจะอธิบายว่ามารับไม้ต่อจากประชาชน เพราะว่าอำนาจที่ได้มาคุณไม่ได้ออกแรงอะไรเลย คุณมาบอกว่ายึดอำนาจแค่นั้น คุณก็ได้ไปแล้ว ซึ่งมีหลักฐานยืนยันอาตมาไม่ได้โมเม ไม่ได้พูดเล่น ทุกอย่างมันจบแล้ว ประชาชนปฏิวั ติประชาชนรัฐประหารให้เรียบร้อยแล้วไม่รู้กี่รัฐบาล ก็ยังพูดอยู่เลยว่า ทำไมพลเอกประยุทธ์เพิ่งมาออกเอาตอนจบเกมแล้ว ยิ่งลักษณ์คนสุดท้ายแล้ว แต่เอาเถอะมันเป็นเหตุปัจจัยที่ต้องเป็นเช่นนั้น
เมื่อพลเอกประยุทธ์ยึดแล้ว คนก็ยังเข้าใจว่าเป็นเผด็จการทหารมายึดอำนาจ พลเอกประยุทธ์ก็แสดงออกต่อ แสดงไปแสดงไปจนกระทั่งสุดท้ายมีการเลือกตั้ง เลือกตั้งแล้วพลเอกประยุทธ์ก็ไม่ได้ลงเลือกด้วย แต่สุดท้ายก็รวมกัน โหวตแล้วเอาพลเอกประยุทธ์ขึ้นมาเป็นนายกอีก มันแสดงให้เห็นถึงว่า เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ถามว่าพลเอกประยุทธ์ไปซื้อพรรคต่างๆไปซื้อมือพวกออกเสียง ยกคะแนนให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกหรือเปล่า มีหลักฐานไหมว่า พลเอกประยุทธ์ไปใช้อำนาจบาตรใหญ่อะไร ก็ไม่มี นี่คืออำนาจประชาธิปไตย จนที่สุดเมื่อเลือกตั้งเลย ทีนี้เลือกตั้งแล้วพลเอกประยุทธ์ก็ได้เป็นนายกอีกทำมาเป็น 6 ปีแล้ว ตอนนี้มันนานไปหน่อยคนไทยนี้เป็นพวกขี้เบื่อ เบื่อง่าย พลเอกประยุทธ์ก็ถามตรงๆเลยซึ่งอาตมาชอบตรงนี้ พลเอกประยุทธ์มั่นคง แม่นชัดในประเด็นของพฤติกรรม ว่าพลเอกประยุทธ์วันนี้ ได้กระทำสิ่งที่เจริญสิ่งที่ดี พาให้ประเทศเจริญมาดีขึ้นมา ใครได้ยินบ้าง คนอื่นเขาถามแกตอบว่าถ้าเอาผมลงแล้วใครจะขึ้นมาบริหารแทน ใครทำได้อย่างผมนี้มีไหม อย่างนี้ใช่ไหม
แสดงว่าพลเอกประยุทธ์มั่นใจว่าเรื่องจริงใจสองทำได้มีคุณภาพมีหลักฐานยืนยันมีข้อมูลต่างๆไม่ได้พูดอย่างหลงตัว แต่ก็มีข้อมูลเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้วใครทำได้อย่างนี้บ้าง เพราะฉะนั้นคนที่ขี้เบื่อคนที่ใจร้อน อยากให้มันดีเร็วไวยิ่งกว่านี้ ปัดโท้มันไม่ง่ายอย่างที่คุณคิด ทำมา ๆ พวกที่รุกเขาก็ยังรุกอยู่ไม่จบ ยิ่งพลเอกประยุทธ์อนุโลมให้เขา พวกที่รุกก็ยิ่งได้ใจ มันก็เลยรุกแรงขึ้น เพราะพลเอกประยุทธ์ไม่อยากทำรุนแรงมันมีความซับซ้อนหลายชั้นหลายเชิงเลย เพราะฉะนั้นถ้าดูองค์รวมด้วยคนมีปัญญาจริงๆแล้วบวกลบคูณหารจริงๆจะรู้เลยว่า ประเทศไทยกำลังไปได้ด้วยดี เพราะฉะนั้นพวกที่ วอกแวกไม่แม่นคม ไม่มีสัญญายนิจจานิที่กำหนดได้คมชัดพวกไม่มั่นคง ไม่มีการกำหนดอะไรได้เที่ยงแท้แน่นอนมั่นคงแล้วอย่างไม่มีเปลี่ยนแปลงเลย เป็นสัญญาที่มีความสำคัญ ความเชี่ยวชาญเป็นสัญญาที่มีความรอบรู้ แล้วก็แม่นมั่นอย่างแท้จริงดีมากเลย เขายังมีไม่พอ เขาก็เลย เหลาะเแหละ ต้องคนมีสัญญามั่นจริงๆรู้จักโลก สัญญยนิจจานิโลเก องค์ประกอบของโลก ข้อมูลหลักฐานต่างๆรวมแล้วตัดสินได้ก็สรุปออกมาเป็นสัจจะที่เป็นหนึ่งเดียว ใช้สัญญาหนึ่งเดียวเป็นสัจจะนี้ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ นี่คือรายละเอียดของคำว่าสัจจะหรือ หรือสัญญายนิจจานิ นี่อธิบายแถมให้ฟังอาจจะสูงหน่อย ลึกซึ้งหน่อย เพราะว่ายากมาก จูฬวิยูหสูตร อาตมาก็ค่อยแถมให้เรื่อยๆ เอาเหตุปัจจัยจริงๆมาประกอบอธิบาย ให้คนไปคิดเอาเองจินตนาการไม่มีหลักฐาน มันซับซ้อน มันยากมากจะเข้าใจไม่ได้ ต้องอธิบายเพิ่มเติมไปเรื่อยๆ
สรุปแล้วไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ด้านการเมือง อาตมาดูแล้วว่า เศรษฐกิจก็ไปได้ดีใช้วิธีการใช้ความรู้หลายๆคนหลายๆพรรคช่วยกัน ทีนี้ อยากจะขยายคำว่าเศรษฐกิจเข้าไป ให้ยิ่งขึ้นไปอีกว่า เศรษฐกิจที่ดีที่สุดนั้นเป็นเศรษฐกิจต้องทำให้คนพากันมาจน ทำให้คนมามีวรรณะ 9 ไปศึกษาวรรณะ 9 ของพระพุทธเจ้าให้ดีๆ ให้เป็นคนเลี้ยงง่าย ให้เป็นคนพัฒนาบำรุงให้เจริญได้ง่ายๆ สุภระ สุโปสะ เป็นคนมักน้อย เป็นคนมีน้อยหรือว่าเป็นคนกล้ามาจน ไม่ไปเอาหรอกไปรวยมีมากๆ เราเป็นคนมีน้อยๆไว้ ในที่สุดก็เป็น 0 ไม่ใช่มีน้อยที่สุดคือไปเป็นหนี้ เราไปไม่เป็นหนี้ ผู้ที่จนมีชีวิตเป็น 0 ได้นี้สุดยอดและเป็นที่ตั้ง พวกเราชาวอโศกนี้ทำได้ มีผู้คนที่มีชีวิตไม่สะสมเงินทอง ใช้กับส่วนกลางนี่แหละ เมื่อมีความจำเป็นความสำคัญที่จะใช้ ไม่จำเป็นต้องไปแบ่งแยกออกมาจากกองกลาง เราใช้ให้น้อยด้วย ไม่ต้องไปรบกวนกองกลางได้มาก นั่นแหละคุณเจริญ เพราะอันอื่นมีที่จะขยายงานขยายผลได้อีกมันมีอยู่ เรามาเป็นแรงงานช่วยเสริม แล้วก็สร้างเสริมเพิ่มให้ ไม่เอาไปใช้เพิ่มอีกก็เป็นการซับซ้อนเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
เป็นคนมีวรรณะ 9 เป็นคนมักน้อย ใจพอ แล้วขัดเกลาสิ่งที่ยังบกพร่องของตัวเอง สัลเลขะ ขัดเกลา ทางวัตถุ ทางกายกรรมภายนอกที่ยังอยากจะฟุ้งเฟ้อหรูหรา ก็ให้ลดลงๆๆๆ ขัดเกลาทางกาย วาจา ใจ ขัดเกลาสิ่งที่บกพร่องทางกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมลงให้สำเร็จ ด้วยหลักการของศีล ก็ใช้ศีลเคร่ง อธิศีล เคร่งได้เป็นปกติ เรียกธูตะ แต่เคร่งนี้ผู้เคร่งได้แล้วนั้นจะรู้สึกสบาย แต่ผู้ที่ยังไม่ได้ก็จะรู้สึกว่าสุดโต่ง ที่จริงแล้วมีสูงกว่านี้อีก ธูตะ คือ ศีลที่เคร่งศีลที่สำเร็จแล้ว องค์แห่งศีลเคร่ง ธูตะ ที่ขยายความว่าพระกัสสปะมีความเป็นศีลเคร่ง มันโต่งไปทางเดียรถีย์ นอกพุทธ แต่เขาเอามายึดถือเป็นตัวอย่าง เช่น ธุดงควัตร 13 ข้อ ซึ่งเป็นบอร์เดอร์ไลน์ของพวกนอกรีต พวกชอบนอกเขต ถ้าเลยของพระกัสสปะไป ตกออกนอกเขตพุทธเลย เคร่งสุดขอบคือแบบของพระมหากัสสปะคือมันเคร่งเกินทั้ง 13 ข้อ
ที่นี่ก็มีคนบอกว่าพระมหากัสสปะเป็นพวกนอกรีต คนก็จะไม่เข้าใจก็จะไม่เคารพพระมหา
กัสสปะ พระพุทธเจ้าก็ช้อนไว้ ว่าพระมหากัสสปะ เป็นคนที่เท่าเทียมกับเรา
เขาเข้าใจไม่ได้ว่าความเท่าเทียมคืออย่างไร พระพุทธเจ้าปฏิบัติได้อย่าง เข้มๆหนักๆ ทุกรกิริยา จัดๆ ท่านทำได้เท่ากัน กับพระกัสสปะ แต่ท่านไม่ทำแล้ว ท่านก็เลยช้อนพระกัสสปะ ประเดี๋ยวคนจะเกลียดชังพระกัสสปะ ท่านก็ช้อนช่วยพระกัสสปะ นี่คือนัยยะที่สำคัญที่คนไม่เข้าใจก็จะพูดกัน ต้องเข้าใจว่านัยยะท่านอนุโลมช่วยไว้ นัยยะนี้เอากลางๆแบบนี้
สมณะฟ้าไท…ภาษาพระไตรปิฎกจะมีข้อความยกย่องเช่นการแลกผ้ากับพระพุทธเจ้า
พ่อครูว่า…เพราะว่าพระไตรปิฎกฉบับนี้พระมหากัสสปะเป็นประธานในการเก็บรวบรวม เพราะฉะนั้นเขาก็มีเชิง เข้าข้างพระกัสสปะไม่มากก็น้อย ถ้าพระไตรปิฎกนี้ให้พระสารีบุตรรวบรวมก็จะไม่เป็นแบบนี้ หรือให้พระอานนท์มารวบรวมก็ไม่เป็นอย่างนี้ ก็ยังดีนะที่มีพระอานนท์ไม่น้อยในนี้ แต่พระสารีบุตรก็มีอย่างนี้เป็นต้น
ถ้าเผื่อว่าทำให้คนมีใจพอ มีความมักน้อยแล้วก็สันโดษใจพอ อาตมาก็ย้ำแล้วย้ำอีกหลายที พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องศีลเป็นอริยะ สำรวมอินทรีย์อันเป็นอริยะ มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอริยะ มีความสันโดษอันเป็นอริยะคือใจพอที่เป็นอริยะ ใจพอที่เป็นอริยะคืออะไร ก็คือน้อยแต่พอ มันจริง ใจมันพอจริงๆ ใจไม่ใช่เสแสร้างกดข่มไว้ มันพอเพราะมันลตกิเลสมันลดลด มีเท่านี้ก็พอ จริงๆมีมากกว่านี้มันเฟ้อมันเกิน จะมีมาก็ไม่ว่าอะไร มีมาก็สะพัดออกไป แค่นี้ก็พอแล้วกินเท่านี้ ใช้ตอนนี้ มีเท่านี้ พอ มากกว่านี้ก็ไม่ปฏิเสธก็ได้ แต่ก็สะพัดเป็น มีมาให้ก็สะพัดออกไปอย่างที่ควร เพราะฉะนั้นผู้ที่จบในความพออันนี้ มันมีอะไรมา มันก็สะพัดออกไป มันก็คือเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ แต่ทุกวันนี้มีมาก็บอกว่ามีอีกไหม แล้วคนเข้าเก็บเป็นของตัวเอง ดีไม่ดีเอาไปออกดอกออกผลไปหาเพิ่มอีก นั่นเป็นลักษณะของทุนนิยมสามานย์ มันก็ไม่จบ เพราะฉะนั้นให้ศึกษาจิตเป็นประธาน จิตจะเป็นอย่างนี้ต้องเป็นจิตที่เป็นจริง มาศึกษาเรียนรู้แล้วจิตจะเป็นได้
ชาวอโศกที่มาเรียนรู้ปฏิบัติธรรม จิตมันเป็น จิตพวกคุณเป็นจริงๆ แล้วจิตที่เป็นได้นั้นไม่ใช่กดข่มเป็นศรัทธาเท่านั้น แต่มันมีปัญญาที่เป็นได้แล้ว ทำจนกระทั่งจิตมันมีความเฉลียวฉลาด มีปัญญาเฉลียวฉลาด ชัดเจนเพียงพอว่า อย่างนี้ โดยที่มีความฉลาดนั้นถึงขั้น ไม่ได้เชื่อใคร เชื่อตัวเอง ไม่ต้องเชื่อใคร ไม่ได้เชื่อตัวเองอย่างงมงาย แต่เชื่อตัวเองอย่างเป็นปัญญาแล้ว นี่แหละสุดยอด อปรับปัจจยาญาณ เอเมสวัสสะ เอตถะ โหติ
สรุปแล้ว ถ้าคนมาเป็นคน เมื่อกี๊ ใจพอแล้ว นอกจากใจพอแล้ว สันโดษแล้ว ยังมีความขัดเกลา ยังมี ธูตะศีลเคร่ง ก็เป็นอาการที่น่าเลื่อมใส เป็นตัวที่ 7
คือ กายกรรมก็น่านับถือน่าเลื่อมใส ดีเหมาะสมดี อย่างนี้น่านับถือ กายกรรมอย่างนี้ วจีกรรมอย่างนี้ มโนกรรมอย่างนี้ ก็น่านับถือเป็นปาสาทิโก
อีกสองอันสุดท้าย 8 ,9 นี้ยิ่งยอดเยี่ยม เป็นคนไม่สะสม อปจยะ มีเท่าที่เป็นปัจจัยเป็นบริขารแค่พออาศัย แค่นี้เป็นเครื่องประกอบ นอกนั้นเกินก็สะพัดออกไม่สะสม นอกจากพอแล้วก็ไม่สะสม นอกจากไม่สะสมแล้วตัวสุดท้าย วิริยารัมภะ ขยันแล้วขยันอีกไม่สะสม ท่านประยุทธ์ท่านแปลว่า ระดมความเพียร เร่งรัดพัฒนาขยันหมั่นเพียรอยู่เสมอๆไม่ดูดาย ขี้เกียจไม่มีหรอกคนระดับนี้แล้ว มีแต่อย่าขยันเกิน จนสุขภาพเสียหาย มันควรจะทำพอแล้วก็ทำมากเกินจนไม่รู้ควรหยุดแล้วก็พอเสียทีเถอะ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท..เคยถามเด็กๆว่า หากเด็กๆอยู่กันยังไม่เคารพกัน ไม่ต้องมีพี่มีน้องไม่ต้องมีลำดับอะไรเลยจะดีไหม เด็กบอกว่าไม่เอาหรอก เป็นแบบที่เป็นนี้มันก็ดีอยู่แล้ว ซึ่งพ่อครูให้อิสรเสรีภาพแก่คนชาวอโศกสูงมาก ทำตามฐานะตัวเอง แสดงความเห็นได้ทุกอย่าง
พ่อครูว่า…ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2534 เรื่องแบบคนจน ให้มาเอาแบบคนจน ท่านตรัสไว้กับรัฐมนตรีของเกาหลี บอกว่าประธานาธิบดีเกาหลีฝากมาถามว่าให้บริหารประเทศแบบไหน เกาหลีเขามีความลึกซึ้ง ผู้บริหารเขารู้มีความลึกซึ้ง เกาหลีนี้มีคนมาให้รางวัลเราแสดงว่ามีทั้งการเมืองทั้งทางด้านธรรมะนะ แต่ในทางที่มอมเมาคนก็ไม่น้อย มันก็มีจุดเด่นจุดด้อยอยู่ในตัว ในหลวงท่านตรัสแบบคนจน ซึ่งอาตมาว่าคนฟังแล้วหูหัก จะทำอย่างไรมาเอาแบบคนจน ประเทศมาเอาแบบคนจนแล้วจะอยู่รอดอย่างไร ขนาดจะพยายามรวยกันยังอยู่ไม่ได้เลย ก็เพราะว่าพยายามรวยนี่แหละมันถึงไปไม่รอด นี่แหละมันถึงยากอย่างนี้ มันเป็นไม่ได้ก็ตรงที่ว่า 1.มันไม่เข้าใจ 2.มันเป็นไปไม่ได้ เข้าใจว่ามันเป็นคนจนอย่างไร
จนคือไม่สะสมสิ่งของเข้าของ ก็มีของไว้น้อยมีกินก็น้อยใช้ก็น้อย สรุปเข้าหาของกินของใช้ที่เป็นของอาศัยในชีวิตมีน้อย ปัจจัยบริขารของชีวิต มีเท่านี้ก็พอทำประโยชน์ได้ อุปกรณ์ก็มีพอสมควร เห็นว่าเป็นบริการที่เป็นปัจจัยต้องมีปากกาต้องมีคอมพิวเตอร์ต้องมีแว่นตาต้องมีเครื่องมืออะไร สำหรับประโยชน์ตัวเองไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์หรอกสบายมาก แต่ที่นี้ต้องทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นก็ต้องใช้
เมื่อเข้าใจแนวลึกของธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วจริงๆ แล้วมาทำได้สำเร็จ เป็นคนจนที่มหัศจรรย์ เป็นคนจนที่แปลกประหลาด เป็นคนจนที่มีความ ขอยืมใช้คำว่าความสุขมาใช้ คิดถึงความสุขแล้วมันไม่มีหรอก มันเป็นความสุขที่ไม่สุขไม่ทุกข์ ความสุขความทุกข์เป็นคำสองคำที่เป็นเทว มันเป็นอย่างเดียว ที่จริงแล้วมันไม่มีทั้งคู่ มันเป็นอุเบกขา อุเบกขาเป็นอย่างไรก็คือไม่สุขไม่ทุกข์ไง ก็เอาภาษาไทยมาขยายคำว่าอุเบกขาอีก ไม่สุขไม่ทุกข์ คนก็งง มันไม่มี ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ทุกข์ก็ไม่ใช่สุขก็ไม่ใช่ มันเป็นอาการอีกอย่างนึง เป็นพลังงานของอาการจิต มันรู้อาการของความสุขเป็นเช่นนี้ อาการของความทุกข์เป็นเช่นนี้ แล้วมันก็ไม่มี ที่จะโต่งไปทางสุขก็ไม่มี จะโต่งไปทางทุกข์ก็ไม่มี จึงเรียกว่า อุเบกขา
สู่แดนธรรม..พ่อครูเคยแปล สุข ว่า ว่างนี่แหละดี
พ่อครู..ข แปลว่า ว่าง สุ แปลว่าดี ว่างๆนี่แหละมันดี สุขะ มันเป็นคำที่เปรียบเทียบไม่ได้แล้วไม่รู้จะเปรียบเทียบอะไรอีก เพราะเปรียบเทียบไปแล้วมันก็เหมือนกับไม่ได้พูด
สมณะฟ้าไท…พ่อครูเคยอธิบายไว้ในหนังสือคนจะมีธรรมะได้อย่างไร
พ่อครูว่า…เอาเล่มเก่าๆมาดู เราอธิบายไว้หมดแล้ว ไปอ่านของเก่าๆ เป็นคำสรุป ก็เลยง่าย เรารู้แล้ว นี่อธิบายเพื่อคนที่ยังไม่เข้าใจให้เข้าใจ เมื่อไปอ่านสิ่งที่สรุปไปแล้วมันจึงลัดเข้าเนื้อแก่นได้ ก็ต้องทำไว้ทั้งหมดทั้งสรุปและขยาย แล้วก็จะต้องขยายอีกไม่ใช่น้อย
เข้าสู่เรื่อง เรื่องเศรษฐกิจนี้ขอยืนยันว่าประเทศไทยกำลังพัฒนาเศรษฐกิจ ไปเรื่อยๆ เศรษฐกิจที่อาตมาอยากจะขอกล่าว ซึ่งได้กล่าวมาหลายทีแล้ว ขอกล่าวปรามไว้ อย่าไปหลงกับเศรษฐกิจที่ได้เงินจากคนข้างนอกที่มาท่องเที่ยว นั่น 1 มันเป็นเงินจากอบายมุขเป็นเงินจากการท่องเที่ยว ใครมาท่องเที่ยวก็อย่าได้ไปหาเงินจากเขา ให้เขามาพักผ่อนแล้วเขามาใช้ประโยชน์ ไม่ใช่ไปหาเงินจากเขาหรือไปขูดรีดจากเขา อย่าไปได้เงินจากนักท่องเที่ยว เมืองไทยนั้นใครมาจะต้องเลี้ยงดูตอนรับเขาด้วยซ้ำไป เป็นวัฒนธรรมไทย แต่นี่ใครมาจากต่างบ้านต่างเมือง ก็พยายามรีดนาทาเร้นเขา นี่ไปเลียนแบบที่อื่นมา มันไม่ดีมันเป็นความเสื่อม
-
รายได้จากการท่องเที่ยวไทยลดลงได้เจริญ จนไม่ต้องนะได้เงินรายได้จากการท่องเที่ยวเลย มีแต่จะช่วยเหลือคนมาเที่ยวที่นี่ ต้อนรับช่วยเหลือ เพราะฉะนั้นใครมาเที่ยวเมืองไทย ต่อไปในอนาคตกำหนดเหมือนกับภูฏานเลย กำหนดเลยให้เข้าเท่านี้คน ต้องมีเหตุมีข้อมูลต่างๆมีกฎเกณฑ์อะไรถึงเข้ามาได้ เข้ามาได้แล้วอยู่ได้เท่านี้เท่านี้อะไรต่างๆนานามีกฎเกณฑ์ไว้ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นเมืองเราจึงเป็นเมืองที่คนอยากจะเข้ามาเที่ยว เพราะเข้ามาเที่ยวถือว่าเป็นเกียรติอย่างนั้นเลย ไม่ใช่เข้ามาแล้วเราจะได้ล้วงตับกินไส้ล้วงกระเป๋าเขา ไม่ใช่ มันไม่ดี มันเป็นเรื่องชั้นต่ำ
-
2. เศรษฐกิจในการส่งออก รายได้ ได้จากเอาเปรียบจากสินค้าขาออก ไปขายแพงๆได้เงินดีขาเข้ามาแล้วเรียก GDP ซึ่งอาตมาขยายอธิบายว่า GDP อย่างนี้เป็นแบบกบฏ ผิดจากโดเมสติก ซึ่งเป็นของภายใน แต่ไปตีกินไปเอารายได้จากภายนอกที่เกินทุนด้วย ถ้าคุณไปขายเท่าทุน คุณก็ไม่ได้เอาเปรียบเสียเปรียบอะไร คุณก็ดี คุณขายขาดทุนให้ข้างนอกเขา นั่นแหละคุณเจริญล่ะ คุณขาดทุนจากข้างนอกได้เท่าไหร่ นั่นคือ GDP คุณเจริญเท่านั้น