ส.ค.262020ศาสนา630826_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เจาะลึกอุปาทานสุขทุกข์คือกระดาษแผ่นเดียวกัน ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1WEC4fHQYDpQMGv9Sik-TQtpQ721I8-E5YjNDHpnP5aM/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1fC50gCQzbVXt96zNV_6VsIf-Pwq90_5R/view?usp=sharing และยูทูปที่ สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้มีคลิปคุณโจชัว หว่อง ที่ฮ่องกงเดินไปกับแม่ แล้วมีคนมาประนามเขาบอกว่า เขาทำให้เยาวชนของชาติต้องติดคุก ประเทศชาติเสียหายไปไม่รอด เศรษฐกิจล่มสลาย เขาบอกว่าเขามีสตางค์ที่จะซื้อตั๋วเครื่องบินให้คุณโจชัว หว่อง เดินทางไปอยู่กับพ่อที่อเมริกา ตอนนี้ มีปรากฏการณ์ทัวร์ลงแก่ ดาราดัง ที่เป็นผู้แสดงออกถึงความรักสถาบัน ซึ่ง ใครเห็นต่างจากเขาที่บอกว่าเป็นพวกประชาธิปไตย คนนั้นก็จะถูกจัดการ พ่อครูว่า… _จากลูกศิษย์สายพระวัดป่า (โทรผ่านรายการพุทธชีวศิลป์) : กราบนมัสการค่ะ ยังคงได้ประโยชน์ จากการติดตามพ่อครูเทศน์ ขออนุญาตเสนอว่า กราบนิมนต์พ่อครูให้พักจิบน้ำตามระฆัง ที่คุณสู่แดนธรรมตั้งไว้ เพื่อจะได้มีสุขภาพที่ดีสอนธรรมะพวกเราไปนาน ๆ ค่ะ พ่อครูว่า…ขอบคุณ จะปฏิบัติตาม อุปาทานรสอร่อยคือผีที่ไม่มีจริง [email protected] แอล.มุ่ยหลี แอช ฮอทเมล์ ดอทคอม : ลูกจะขอถามปัญหา พอดีมีเพื่อนของลูกเล่าอาการที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมของเขาให้ฟัง ลูกอยากรู้ว่าสภาวะนั้นคืออะไรคะ เค้าจะท่องพุทโธ ดูลมหายใจเข้าออกตลอดเวลา แต่ถ้ามีการพูดคุยก็จะพูดคุย แต่พอไม่มีอะไรก็จะพุทโธ ๆ ๆ ต่อ จนเห็นลมหายใจของตัวเองตลอดเวลา แม้ยามหลับก็เห็นตัวเองเดินออกจากตัวเองที่นอนอยู่ และจะฝันทุกคืน และเห็นตัวเองมานั่งอยู่จากร่างตัวเองค่ะ แต่เค้าจะเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยพูดคุยกับคน เค้าปฏิบัติแบบนี้คือสภาวะอะไรคะ เขาทำมานานแล้วเป็นสิบปีค่ะ และเวลาเกิดการเถียงกันกับใครก็จะท่องอย่างนี้ค่ะ ลูกจะขอให้พ่อครูช่วยตอบถึงสภาวะนี้ด้วยค่ะ แต่เค้าจะชอบฝันเห็นพระค่ะ น้อมนมัสการค่ะ พ่อครูว่า…สายเจโตหรือสายศรัทธา ก็จะมีสายที่เข้าไปอยู่ในภพ นั่งหลับตาสะกดจิตแล้วสร้างภาพต่างๆ เห็นเป็นจริงเป็นจัง เห็นเป็นรูปร่างเห็นตัวเองนอนอยู่เห็นตัวเองนั่งอยู่ข้างๆตัวเอง แม้กระทั่งเห็นตัวเองนั่งสมาธิอยู่ แล้วก็ไปเห็นตัวเองนอนตายอยู่ข้างหน้าเลย เห็นตัวเองนอนเปื่อยเน่าต่อหน้าต่อตาตัวเองเลย ซึ่งเป็นอุปาทานจิตทั้งสิ้น เป็นมโนมยอัตตา รูปที่สำเร็จด้วยจิต คือภาษาวิชาการของพระพุทธเจ้า จิตมันสร้างมันเป็นมันมีมันก็มันยึดติดว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็กำหนดได้อย่างนี้ๆ จนกระทั่งเกิดมีจริงเป็นจริงอย่างนั้นเลย สิ่งอย่างนั้นเรียกว่าอุปาทาน เหมือนอย่างที่เรากำลังเรียนรู้อยู่ทุกวันนี้ ว่าสิ่งที่เป็นความอร่อยมันไม่มีจริงมันเป็นอุปาทาน ผู้ที่ยังไม่ได้ศึกษาลดละจะไม่รู้ว่าอร่อยคืออุปาทานแล้วลดละให้หายไปได้ เช่นเดียวกันเขาไม่เชื่อว่า รูปที่เขาเห็นมันเป็นรูปร่างตัวจริงยิ่งกว่ารสอร่อยเลย มันจะหายไปได้อย่างไร มันต้องมีจริง เขาจะรู้สึกอย่างนั้นเลย นี่คือจิตใจที่มันเป็นอวิชชา มันไม่เข้าใจ มันยึดมั่นถือมั่นและเป็นจริงๆ เพราะฉะนั้นอธิบายได้ สิ่งเหล่านี้ ขออภัยที่ต้องเอาตัวเองเป็นตัวตั้งพูดให้ฟัง สิ่งเหล่านี้อาตมาผ่านมาเคยโง่เคยหลงเคยเป็นอย่างที่เขาเป็นมานี่มาก่อนแล้วทั้งนั้น อาตมาทำมาผ่านมาเห็นมาเป็นมาแล้วหลงว่าเป็นจริงมา เคยหลงมาแล้ว ทำมาแล้วทั้งนั้น แต่พอมาปฏิบัติสัมมาทิฏฐิตามพระพุทธเจ้าแล้วจึงรู้ว่า อ๋อ..อันนี้เป็นมายา เป็นอุปาทาน เป็นสิ่งที่หลอกอยู่ในโลกมนุษย์ และก็ต้องมาศึกษาให้รู้ความจริงตามธรรมะพระพุทธเจ้า ตามสัมมาทิฏฐิจริงๆ จึงจะหลุดพ้นได้ เป็นการหลุดพ้นที่ไม่ง่าย พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าไม่ใช่ของง่าย มันยาก จะหลุดพ้นในนามธรรมนี้มันยาก แล้วนามธรรมไปปั้นเป็นรูปธรรม ซับซ้อนกลับไปกลับมา เขาเห็นจริงๆเขามีจริงๆนะ เขาเกิดต่อหน้าต่อตาเขาจริงๆเลย ไม่ใช่แค่หลับตา ลืมตาก็ยังเห็นเลย ปั้นจนกระทั่งเห็นได้เลยว่าทุกอย่างไม่ใช่ของจริงมันเป็นเนื้อหนังมังสาที่เปล่า เห็นเป็นโครงกระดูกเดินไปเดินมา เขาก็จะเห็นโครงกระดูก เห็นคนเดินนี่เขาจะมองเห็นโครงกระดูกก้าวเดินไปเหมือนกับเครื่องเอกซเรย์เลย ถ้าเขาเรียน Anatomy มา กระดูกชิ้นนั้นชิ้นนี้ ก็จะเห็นกระดูกทุกชิ้นเลยเดินไปเดินมาเลย ขนาดไม่เห็นก็จะปั้นได้ เขาจะเห็นอย่างนั้นจริงๆเลย แล้วจะไม่ให้เขาเชื่อก็ไม่ได้ เพราะเขาเห็นจริงอย่างนั้น เรื่องของอุปาทานจิตมันเป็นขนาดนั้นจริงๆ ถ้าใครเข้าใจได้ รูปรสอร่อยนี้ทุกคนเคยผ่านทุกคน เสียงไพเราะ มันสนุกสนานมันเป็นรสจริงๆเลยที่เคยมีกันทุกคน มากน้อยแล้วแต่ หลงติดมาทั้งนั้น แต่เมื่อมาปฏิบัติธรรมแล้วอย่างพวกคุณ เออ มันหายไป หลายคนยังไม่หมดเหลือน้อยๆ หลายคนก็หมดไปแล้ว เห็นสภาพพวกนี้ที่เคยดูเคยเห็น เคยสัมผัสอย่างที่เคยมีที่เคยปรุงแต่งอย่างนี้ เราก็สัมผัสอย่างที่เคย ดีไม่ดีมันยิ่งจัดจ้านกว่าเก่าด้วย เราก็ไม่เกิดอารมณ์ อารมณ์สุขอารมณ์ทุกข์ อารมณ์ชอบ อารมณ์อะไรอย่างนั้นเลย มันเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ ต้องมาดูได้ด้วยตนเอง เกิดความบรรลุธรรมที่รู้ว่า ความไม่มีหรือความมีที่เราเคยหลง ตอนนี้มันไม่มีแล้ว มันเกิดในจิตเราจริงๆแล้ว เราเองเป็นผู้ที่จะรู้เองได้ด้วย และเป็นความไม่มีที่สว่างแจ้งด้วยความจริงด้วยปัญญาอันยิ่ง สรุปแล้ว ถ้าเผื่อติดยึดงมงายหลงอยู่อย่างนี้ก็จะหลงไปอีกนานเลย เพื่อนของคุณที่ว่านี้ ศึกษาให้ดีๆแล้วค่อยๆบอกกันค่อยๆแนะนำเขา อย่าเพิ่งไปหักไปโค่นเพราะเขาเชื่อมั่นยึดถือดีไม่ดีมันจะทะเลาะกันก็อย่าให้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน ก็ค่อยๆพูดค่อยๆบอกกันแนะนำให้มาศึกษา ตอนนี้หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่มที่ 1 เปิดเผยอะไรไว้เยอะเลยนะ เล่มเก่าก็มี คนจะมีธรรมะได้อย่างไรเล่ม 1 2 3 ออกมาแจกหมดแล้ว หนังสือเล่มอื่นก็มีเนื้อหาธรรมะบอกไว้ แต่ถ้าจะเข้าหาธรรมะจริงๆก็คนจะมีธรรมะได้อย่างไรหรือเปิดยุคบุญนิยม เจาะเข้าหา คำว่าบุญ คำว่าฌาน คำว่าปัญญา เจาะจงเข้าไปหาพยัญชนะคำหลักสำคัญสำคัญของธรรมะ ของศาสนาพุทธ อ่านดีๆศึกษาดีๆค่อยๆศึกษาไป แล้วปฏิบัติศึกษา ปฏิบัติเรียนรู้ดีๆเบื้องต้นเป็นอย่างไร แล้วก็ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ก็จะเกิดผลลดละจางคลายเป็นวิมุติไป ศีลข้อที่ 1 2 3 ศีล 5 ข้อเป็นพื้นฐาน ทำให้ได้เสียก่อน มาศึกษาคุยกันกับพวกเราชาวอโศกที่ปฏิบัติแล้วมาคุยกันให้ดี เรายินดีที่จะคุยด้วย และอธิบายสู่ฟังให้ไปปฏิบัติ ขอให้กำลังใจ ติดตามดีๆ SMS วันที่ 23-25 ส.ค. 2563 _แก้วตะวัน พวงบุบผา : น้อมกราบนมัสการพ่อครูค่ะ ได้ฟังธรรมพ่อครูพอสรุปได้ว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีความลึกซึ้ง เป็นศาสนาแห่งกรรม เป็นอเทวนิยม การขอให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น ขอให้แข็งแรง ขอให้มีความสุข ขอให้ประสบความสำเร็จนั้น เป็นเทวนิยมไม่ใช่ศาสนาพุทธ เราต้องลงมือทำให้ถูกต้องเหมาะสมตามเหตุตามปัจจัย เราถึงจะได้ สิ่งที่เราตั้งธงไว้ ขอให้กันไม่ได้ แต่เราก็มักจะพูดติดปากว่า”ขอให้”. กราบเรียนถามพ่อครูว่า จะมีคำอื่นแทนคำนี้มั้ยคะ กราบนมัสการขอบพระคุณค่ะ พ่อครูว่า…คนเราเป็นเทวนิยมมาก่อนทั้งนั้น แต่ก่อนเคยอวิชชากันมาทั้งนั้น อาตมาก็เคยมาทั้งนั้น ขอให้เป็นตามที่ว่า แหมอวดเก่ง ขอให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อเป็นได้ก็เขื่องเลย เราเป็นคนศักดิ์สิทธิ์เลย ใครขอให้เป็นอะไรก็เป็นได้ เป็นวาจาสิทธิ์เลย มันจะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธนี้ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ เหตุปัจจัยทุกอย่างมาแต่เหตุ สร้างเหตุให้ครบก็จะเป็นผลได้ เมื่อดับเหตุได้ครบ สิ่งที่เป็นผลก็ดับไป คำอื่นก็คือ ก็อย่าขอ ไม่พูดขอให้ ใช้คำอื่นแทน คำอื่นจะแทนก็ใช้ว่า เรียนรู้และปฏิบัติจะเกิดเองเป็นเองเป็นไปตามลำดับ สู่แดนธรรม…น่าจะใช้คำว่าพึงได้ ได้ไหมครับ พ่อครูว่า…พึงได้ ก็เหมือนกับใช้ความศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน เราก็ให้ทำเลยเรียนรู้ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา เรียนรู้ฝึกฝนเหตุปัจจัยมันจะเกิดตามเหตุปัจจัยที่ครบสมบูรณ์อันนั้น _จักจั่นทิพย์ สว่างล้ำ : หนูว่าพ่อท่านตอนนี้หล่อและดูทรงพลัง กว่าตอนเป็นหนุ่มค่ะ พ่อครูว่า…ขอให้จริงเถอะ เอาล่ะใครจะมองยังไงก็มอง อาตมาก็พยายามจะเป็นอย่างที่คุณว่าเหมือนกัน _บัวดาว พรมเลิศ : หนังสือคนคืออะไร ต้องอ่านหลาย ๆ รอบ เพราะลึกซึ้งถึงนิพพานได้ พ่อครูว่า…อันนี้ก็จริง อาตมาจะบอกให้ในหนังสือเลยว่า ให้อ่านหลายๆรอบตรงไหนไม่เข้าใจก็อ่านวนซ้ำให้ดีๆ _ดวงใจ เจี๊ยบ : ที่พ่อครูแนะนำสาธารณโภคี มุ่งสู่ความจน มุ่งรับใช้ผู้อื่น ทั้งหมดนี้เพื่อการละทิ้งตัวตน ให้กายเรามีสภาวะอุตุธาตุและนิพพานในที่สุดใช่มั้ยคะ กราบนมัสการค่ะ พ่อครูว่า…ใช่ ตอบสั้นๆ สรุปธรรมะสั้นๆย่อๆถูกต้องหมด ก็จะไม่ได้ขยายความต่อนะ เดี๋ยวจะอธิบายธรรมะก็จะเข้าสู่สิ่งเหล่านั้นทั้งนั้น นิพพานังปรมังวทันติพุทธา อธิบายอะไรไปก็จะไปหานิพพานเป็นที่สุด นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ทั้งนั้น ไม่เป็นอื่นหรอก การลดศีลพรตต้องทำอย่างไร _ก้าวหน้า สํานึกดี : กราบนมัสการพ่อครู ลดศีลและพรตหมายความว่าอย่างไรครับ ถ้าเราตั้งศีล ปฏิบัติแล้วสู้กิเลสไม่ได้ ใจยังทุกข์อยู่ แล้วขอยอมพักยก พักใจแล้ว ใจกลับโล่งโปร่งสบายแบบนี้ถือเป็นลดศีลและพรตไหมครับ กราบขอบพระคุณครับ พ่อครูว่า…ถือ มันอาจจะหนักและยากเกินไปไม่เหมาะสมกับฐานะตัวเองก็ได้ ก็ลดลงเบาลงหน่อย แต่อย่างน้อยคุณก็ต้องมีฐานศีล 5 ตั้งแต่ หยาบๆ จนละเอียดสูงขึ้น คุณก็ต้องเข้าใจว่า อธิศีลเป็นอย่างไร ก็จะสูงไปเรื่อยๆ ไม่ฆ่าสัตว์ ก็ไม่ลงมือฆ่าทางกาย วาจา ใจ ไม่ฆ่าทางกายได้แล้วดีแล้ว ทางวาจาก็ไม่ต้องไปบอกให้คนฆ่า ก็เนียนก็ไปหากายวาจาใจหรืออาการของจิตของคนมีความอยากให้เขาฆ่า กำหนดหมายให้ดี การรุนแรงกับสัตว์ รุนแรงกับคน รุนแรงกับใครเขา มันลดความรุนแรงของตัวเองลง เขาก็สัตว์เขาก็ชีวิตเราก็ชีวิต หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ เกื้อกูลกันเอ็นดูกัน ได้ช่วยเหลือกันแม้เขาจะทำชั่วทำผิดก็พยายามอย่าให้ทะเลาะกัน อย่าให้ปะทะกัน อย่าให้ทำร้ายกัน ให้เขารู้ ให้เขาเข้าใจ ว่า เราเป็นมนุษย์ด้วยกันได้ช่วยเหลือกันเกื้อกูลกัน พาให้กันเจริญมันดีกว่ามาอาฆาตมาดร้ายทำร้ายกันและกัน ซึ่งมันไม่ใช่ความรู้ลึกซึ้งอะไรมากมาย เป็นความรู้สามัญ ค่อยๆทำกันจริงๆ ปฏิบัติธรรมและความเจริญของจิตก็จะมีอยู่จริง เกิดจริงใจ จะมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขามันจะเกิดเห็นใจผู้อื่น เห็นใจสัตว์โลก มันไม่อยากทำร้ายกัน อาตมาเคยย้ำและอธิบายเสมอว่า ตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียวขึ้นมา เขาก็เป็นสัตว์แล้วเป็นจิตนิยาม ก็อย่าไปทำอะไรเขา มันจะเป็นวิบากกรรมและกันมันเป็นจริงๆเลย แม้ว่าทำดีแก่กันและกันก็เป็นวิบาก แต่เป็นวิบากที่ดีช่วยเหลือกัน แต่วิบากที่ไม่ดีไม่เอาไม่ควรทำ ก็ต้องละเลิกให้ได้ มันเป็นจริงทำแล้วก็เป็นอันทำ ของพระพุทธเจ้ากรรมเป็นอันทำ ทำกรรมแล้วไม่มีทางที่จะไม่ได้รับ บอกว่าไม่ใช่ของฉันมันไม่มีทางปฏิเสธได้เลย ปฏิเสธไม่ได้อย่างนี้เป็นต้น ต้องรับ มันก็เป็นของของเรา เราเป็นคนทำ กัมมสกตา กัมมทายาโท คุณต้องเป็นทายาทของกรรมตัวเอง พระพุทธเจ้าให้พิสูจน์เลย ท่านไม่ได้บังคับ จะว่าท้าทายก็ท้าทาย ให้พิสูจน์ความจริง แล้วคุณก็จะได้เจริญขึ้นตามลำดับ ศีลพรต ทำแล้วลดลงก็ต้องรู้ตัวเอง ทำแล้วเจริญจริง ต้องดูว่าอาการมันเจริญ มันเจริญอย่างไร มันเป็นประโยชน์คุณค่าอย่างไร _พวงบุปผา หนูรัก : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ขอกราบเรียนถามพ่อครูค่ะ ซึ่งเป็นคำถามที่สงสัยตัวเองมานานที่ไม่รู้จะถามใคร เมื่อก่อน( 20 ปีก่อน) เคยคิดจะตามหาพระเกจิอาจารย์ที่จะถามคำถามนี้ แต่ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน เมื่อเจอพ่อครูแล้วก็ไม่กล้าถามอีก วันนี้จึงตัดสินใจถามค่ะว่า ทำไมตนเองนั้นชอบสงสารแต่คนอื่น โดยยอมให้คนอื่นทำให้เราเจ็บได้ แต่ถ้าทำให้คนอื่นเจ็บเมื่อไหร่ เรากลับทุกข์ใจ ทุกข์มากกว่าทุกข์ที่เห็นเขาเจ็บ ชีวิตจึงต้องหลีกเลี่ยงที่จะเอาชนะใคร หรือแข่งขันกับใครค่ะ (ยอมแพ้ดีกว่า) จะได้ไม่ทุกข์ เหมือนคนขี้กลัว กราบสาธุค่ะ ขอให้พ่อครู มีอายุยืนยาว เจ้าค่ะ พ่อครูว่า…อาการเช่นนี้มันคือนัยยะที่ดี คือดีแล้วมาลงที่ตัวเอง จะทุกข์แต่ให้คนอื่นพ้นทุกข์เป็นผู้ยอมก็ดี จะต้องทำการศึกษาที่ตัวเองทุกข์ว่าความทุกข์คืออะไร คุณไม่รู้จักความทุกข์ คุณก็ไปยึดถือความทุกข์ คุณทำดีกับเขา แล้วคุณยกตัวอย่างว่าแต่ถ้าทำให้คนอื่นเจ็บเมื่อไหร่เราก็ทุกข์ใจ มีความทุกข์มากกว่าที่เห็นเขาเจ็บ ก็เลยหลีกเลี่ยงไม่เอาชนะเขา ไม่แข่งขันกับเขา แล้วคุณไปทำให้เขาเจ็บหรือเปล่า ถ้าคุณเองไปทำให้เขาเจ็บ คุณไม่เอาชนะเขา ไม่แข่งขันเขา เราไม่ทำดีกว่าก็ดีแล้ว เพราะฉะนั้นคำว่า ยอมแพ้ คำนี้ยิ่งใหญ่มากเลย อาตมาก็บอกว่าอาตมาอยู่ได้เพราะการแพ้ นี่แหละ ชีวิตปางนี้เป็นสมณะโพธิรักษ์หรือนายรักษ์ รักพงษ์มา อยู่ได้เพราะแพ้ เราแพ้แต่ไม่เป็นผู้ผิด คนเขาจะเอาชนะเรา ก็ให้เขาชนะไป สุดท้ายเมื่อพูดความจริงแล้ว ความจริงแล้วคนผิดควรเป็นคนแพ้ใช่ไหม แต่คุณไม่ยอมรับตัวเองว่าตัวเองผิด ตัวเองจะเอาชนะๆๆๆ แล้วก็รุกรานจนจะมาทำร้ายเรา เราก็บอกว่าให้คุณชนะไปเถิด ยอมให้คุณชนะ คุณก็ชนะ ซึ่งที่จริงแล้วมันไม่ดีหรอกมันโหดร้าย แต่มันเป็นเรื่องสุดวิสัย เขาก็จะเอาชนะเพราะเขาไม่ยอมแพ้ เพราะฉะนั้น การแพ้ คำนี้กับคำว่า ผิด มันจึงมีนัยยะสำคัญ อาตมาก็บอกว่าอาตมาแพ้ได้ แต่อาตมาไม่ผิด อาตมาขอยืนหยัดยืนยันความถูกต้องความจริงอันนี้ แม้จะเอาเราตาย ยืนยันตายก็ตาย แต่เราไม่ผิด ความผิดอยู่ที่คุณ เพราะฉะนั้นความผิดโดยสัจจะมันก็เป็นสัจจะ ใครทำกับเราผิดเขาจะต้องมีวิบากไป ไม่ได้สาบแช่งอะไรนะ แต่มันเป็นสัจจะ สู่แดนธรรม…พ่อท่านยอมแพ้ ก็เพราะไม่ให้เขาทำบาปไปมากกว่านี้ได้ไหมครับ ถ้าไม่ยอมแพ้เขาก็จะยิ่งทำต่อไปเขาจะยิ่งบาปต่อไปก็ให้เขาอยู่บ้าง พ่อครูว่า…แต่เขาก็ยึดติดเป็นอัตตาว่า ฉันชนะ ฉันดี แล้วไปเข้าใจว่า ผิดให้เป็นถูกอย่างนี้เป็นต้น มันก็จะหลงตัวเองไปอย่างนั้น มันสุดวิสัยก็ต้องจำนน อย่างที่อาตมายอมจำนนต่อเถรสมาคม สุดวิสัย แล้วก็ค่อยๆมาทำงานเพื่อขยายความถูกต้องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับอาตมามากมาย นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะฟ้าไท…หากเราอ่านชาดก จะพบว่าชีวิตพระโพธิสัตว์คือยอมแพ้ ถ้าเขามาแรงให้เขาชนะไป แม้แต่ชีวิตก็ยอมให้ แต่สิ่งที่พระโพธิสัตว์ไม่ยอมคือยืนหยัดในธรรมะ ตายก็ตาย แต่ยืนหยัดธรรมะที่จะต้องสอนคน _ตุลย์ ใยแก้ว : น้อมกราบนมัสการพ่อท่าน ท่านฟ้าไท ท่านสิกขมาตุ ญาติธรรมทุกท่านด้วยความเคารพยิ่ง ลูกกราบขอบพระคุณยิ่ง ที่ตอบขอสงสัยให้เข้าใจยิ่งขึ้น วันนี้ขอกราบเรียนถามว่า การที่เราแนะนำ ชี้แนะสิ่งที่เราคิดว่าสัมมาฯให้กับเพื่อน เราไม่รู้ว่าเพื่อนไม่รู้เรื่อง เป็นเวลากว่า ๓๐ ปี มารู้เอาเมื่อวันเกิดของพ่อท่านปีนี้ ลูกผิดศีลมากไหม กราบขอบพระคุณยิ่ง พ่อครูว่า…คุณจะผิดศีลตรงไหน? เขาไม่รู้เรื่อง คุณบอกเขาเป็นสัมมาจริงๆ ก็เขาไม่รู้เรื่องเท่านั้น คุณจะไปผิดศีลตรงไหน? สู่แดนธรรมว่า..พ่อท่านเคยบอกว่าเพ้อเจ้อหากพูดสอนธรรมะแต่เขาไม่รู้เรื่อง พ่อครูว่า..ไปสอนโดยไม่รู้ฐานะของคนฟัง สอนแล้วเขาไม่รู้เรื่อง ก็เป็นการเพ้อเจ้อ อย่างนายธัมมะ ธัมโม อาตมาสอนปรมัตถ์เขาก็ไม่รู้เรื่องก็เท่ากับสอนต้นเสา แต่ดีกว่าที่คนที่รับเป็นคนมีสัญญามีสิ่งที่เข้าหู ถ้าหากเด็กที่เขามีจิตใสๆ จิตเขาศรัทธาด้วย เขาก็จะจำคำไว้จำภาษาได้ แม้เขาจะทำสภาวะไม่ได้ สักวันหนึ่งเขามีสภาวะก็จะรู้ว่าอันนี้ใช่ ก็เป็นการบันทึกไว้ ที่เขาวิ่งไปวิ่งมาอยู่นี่อย่านึกว่าเขาไม่ได้อะไร เขาได้นะ เรื่องเล็กๆน้อยๆ เมื่อต่อไปเขาก็จะรู้ สิ่งเหล่านี้มันสูงสุด ท่านเรียกว่าเป็นการออสโมซิส มันซึมไหลเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว มันมีจริง เป็นจริง คนรวยนั้นไม่น่าริษยาอะไร _ปุญญพัฒน์ พัฒนกิจบดินทร์กุล : ข้าพเจ้ามีคำถามครับ อยากให้พ่อครูช่วยไข ข้าพเจ้าเป็นคนที่มักจะมีความอิจสาริษยาคนรวยที่เลว แต่กับคนที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบข้าพเจ้ากลับไม่มีความรู้สึกอิจสาริษยาเลย แต่กลับอนุโมทนากับเขาด้วยซ้ำ…คำถาม…จะทำอย่างไรจึงจะล้างความรู้สึก “อิจสาริษยา” ออกจากจิตได้ครับ…กราบนมัสการครับ พ่อครูว่า..คุณไปอิสสาเขา คุณก็คืออยากจะไปเลวอย่างเขา แม้คนรวยที่ดี สุจริตเราก็ไม่ต้องไป อิสสาเขา พูดภาษาอีสาน อิสสา คำนี้ถูกความหมาย แต่ อิจฉา คำนี้บาลี แปลว่าความปรารถนา ความต้องการธรรมดา ไม่ได้แปลว่าริษยา สรุปแล้วคุณก็ต้องดูสาระ อ่านจริงๆว่าเขาคนรวย แล้วรวยเลวด้วยนะ ยิ่งคุณสมมุติโจทย์มา รวยแล้วเลวด้วย จะไปทำเลวอย่างเขาแล้วก็รวยอย่างเขา ริษยาก็คือ เขาทำเกินหน้าเรา เกินหน้าด้วยอะไร อันนี้เกินหน้าด้วยความรวยที่เลว คุณไม่ต้องไปริษยาเขาหรอกมันเป็นเวรเป็นภัยเป็นโทษ ไม่น่าเป็นหรอก เขาน่าสงสารด้วยซ้ำไป ริษยาคือเราต้องการเป็นอย่างเขาไม่ให้เกินหน้านี้คือริษยา คุณเป็นคนรวยที่เลวหรือ แล้วเขาเป็นคนรวยที่เลวเกินหน้า คุณก็เลยริษยาเขาอย่างนั้นหรือ ไม่เอาน่าเอาให้มันแม่นให้ชัด แม้แต่คนรวยที่ไม่เลวเราก็ไม่ส่งเสริมหรือสนับสนุน ที่อาตมากำลังพยายามอธิบาย พยายามพาคนมาเป็นคนไม่รวย มาเป็นคนจนกัน แล้วเป็นคนจนที่ประเสริฐ เป็นคนจนที่มหัศจรรย์ เป็นคนจนที่ดี ซึ่งมันเป็นได้และเป็นความดีทั้งตัวเราและสังคมทั้งโลกเลย ทำได้แล้วเป็นประโยชน์ต่อคนทั้งโลกเลยไม่ใช่เป็นประโยชน์น้อยๆ แล้วเป็นความสบาย จะเรียกว่าด้วยความสุขเป็นคำอนุโลมก็ได้ มันไม่ได้ลำบากลำบนอะไรเลย ไม่ได้ทุกข์ทรมานอะไร สะอาดสว่างสบายดีศึกษาให้ดีธรรมะพุทธเจ้าเป็นเรื่องทวนกระแสโลกที่ยากจะเข้าใจ ปฏิโสตัง เป็น คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม ๙ ข้อ ๓๔) พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพรหมชาลสูตร ส. เสือ เป็นพลังงานเศษวรรคตัวที่ 5 พยัญชนะตัวกลางของ 9 เลข 9 มีบน 4 ล่าง 4 ตัว 5 เป็นตัวกลาง แต่เป็นพลังงานเกิด แม้เกิดอย่างที่สุด ก็มีอันตา หากกลางๆก็ไม่มีอันตาเลย หากมีปั๊บก็มีอันตา มีจนกระทั่งเป็นพลังงานระดับเศษวรรค คือ สันตะ หรือสันตา แต่มันก็ยืนยันความสงบ ไม่ใช่เรื่องสองเพศที่จะต้องทะเลาะกัน มีการขัดแย้งกัน ไม่ มันสงบ ซึ่งสูงสุดลึกซึ้งมาก มีสภาวะแล้วก็จะพูดกันเข้าใจ ถ้าไม่มีสภาวะฟังไปก็อย่างนั้นแหละ ไม่ได้ดูถูกหรอก แต่ก็ฟังไว้ก่อนได้ฟังไปเรื่อยๆ ปณีตา สุขุม ละเอียดมาก อตักกาวจรา ไม่ใช่เรื่องจะเดาเอา คาดคะเนเอา สมมุติเอา ไม่ใช่ นิปุณา มันละเอียดยิ่งกว่าสุขุม แต่ละเอียดขั้นไปหานิพพาน ผู้มีสภาวะนี้จะรู้ พูดแล้วเข้าใจกันได้ดี แต่คนไม่มีสภาวะก็ฟังไป เช่น เหลือนิดนึงกับหมด มันมีความต่างกัน อย่างนี้เป็นต้น มันละเอียด คุณก็จะรู้ว่าความเหลือนิด กับหมด ต่างกัน อันนี้สบายแล้วเหลือนิดก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร แต่มันยังเหลือก็ต้องทำให้หมดตัว ผู้ต้องการความบริสุทธิ์จะทำให้หมด แต่คุณอย่าประมาท ถ้าล้างไม่หมดสักวันหนึ่งมันก็สะสมขึ้นมาเล่นงานตัวเอง อย่าหาว่าไม่บอกนะ พระขโมยเงินเท่าไหร่จึงถือว่าปาราชิก _สำราญ สิงห์อาจ : กราบเรียนถามพ่อครู หมวดอาบัติ(ปาราชิก4)1.ขโมยเงินเกิน 5 มาสก สมัยนี้เป็นเงินกี่บาทครับ กราบนมัสการขอพระคุณครับ พ่อครูว่า…อาตมาบอกไม่ได้ ทุกวันนี้ 5 มาสก ควรเป็นเท่าไหร่ อาตมาว่าไม่ต้องเกินมากหรอก 5 มาสก นี่เกิน 500 บาทถือว่าปาราชิกได้ 5 มาสก แต่ก่อนนี้เขาเทียบ 1 บาท เดี๋ยวนี้จะเทียบเท่าไหร่? หรือไม่เอา 500 บาท เอา 100 – 300 บาทก็ยิ่งเข้ม หรือจะเอา 1,000 บาท ก็ไม่ได้มากมาย พูดถึงปาราชิกเรื่องเงิน ถ้าจะเอาจริงๆแล้ว แทบจะหมดพระ เจ้า ทุจริต รายละเอียดคือ แม้ทุจริตกรรม จิตอกุศลแล้วจับของที่จะเอา เคลื่อนจากฐานนิดนึงก็ถือว่าผลสำเร็จ ปาราชิกแล้ว อย่างธัมมชโยนี้โกงเขามาไม่รู้กี่ปี เสร็จแล้วเอาไปคืนเขาแล้วบอกว่ายกเลิก โกงไปตั้ง 900 ล้าน ปาราชิกแล้วแล้วก็เอาไปคืนเขา มันเหลือกินเลย อันนี้เรื่องจริงนะไม่ใช่เรื่องใส่ความ ธัมมชโยเขาทำอย่างนั้นจริงๆ ถูกฟ้องร้องถูกอะไร จำได้ว่า 900 กว่าล้านเอาไปคืนเขา แล้วศาลก็บอกว่า ไม่ผิด ไม่จับเข้าคุกด้วย กรรมนั้นสำเร็จผล แล้วขโมยสำเร็จผลแล้วเอาไปคืนก็บอกว่ายกเลิก นี่แหละมันเป็นเรื่องน่าเศร้าในสังคมประเทศไทย เป็นเรื่องไม่ซื่อสัตย์ ดังนั้นบาทเดียวก็อย่าไปทำเลย _บัวคลี่ แมคเคาลีย์ : กราบมนัสการค่ะ บางครั้งเครียด แต่พยายามมาฟังธรรมะแทน ช่วยได้ค่ะ พ่อครูว่า.. ดี เป็นยารักษาที่ดี คนบรรลุแต่ไม่รู้ตัวเป็นอย่างไร _Verayut kager (วีรยุทธ เคเกอร์) : โล้นนี้ ชอบคิดว่าตัวเองเก่งคนเดียว พ่อครูว่า…อาตมาขอยืนยันว่าอาตมาไม่ได้ชอบ แล้วก็ไม่ได้คิด แต่มันเป็นความจริงที่รู้ มันเป็นความรู้ไม่ใช่ความคิด มันเป็นความจริงเป็นความจริงที่รู้ไม่ได้คิด และไม่ได้ชอบไม่ได้ฟังสิ่งที่ตัวเองมี ตัวเองเป็น แต่ก็มีจิตใจยินดีมุทิตา ตามที่พระพุทธเจ้าสอนมา ก็เห็นอย่างนั้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นดีแล้วล่ะคุณมาฟังดีแล้ว พยายามอย่าเกลียดชังอาตมาเลยฟังไปเรื่อยๆ สิ่งที่คุณไม่ชอบสิ่งที่คุณไม่เห็นด้วยก็ตั้งใจฟังให้ดีๆ ใจเป็นกลางรับให้ได้ อย่าเอาอะไรมาต้าน ฟังบ้างแล้วเอาไปเปรียบเทียบไปตรวจสอบอ้างอิงตามหลักฐาน ทำความเข้าใจให้ละเอียดให้ดีๆ จะได้ประโยชน์นะ ก็ยินดีต้อนรับ สู่แดนธรรม..ผมเคยถามพ่อท่าน ว่า คนที่เขาว่าเขาฉลาดอัจฉริยะ เขาจะรู้ไหมว่าเขาเป็นอัจฉริยะ ฉลาดปราดเปรื่อง พ่อครูว่า..เขาก็จะทำตัวเองเป็นตามธรรมชาติ พ่อครูว่า…สภาพที่คนมีอัตโนมัติเป็นเอง เราก็ไม่รู้ตัวเท่าไหร่ อย่างเช่นอาตมาไม่รู้ตัวเอง จริงๆแล้ว บอกให้ฟังว่าอาตมาไม่นึกไม่ฝัน ไม่รู้ว่าเราเป็นคนที่มีภูมิธรรมขนาดนี้เชียวหรือ ใช่เราหรือ เราก็เป็นคนคนหนึ่งเกิดมาก็เป็นเด็กชายจนเป็นหนุ่ม ก็ทำงานอยู่กับทั้งโลกเขาแย่งชิงลาภยศสรรเสริญมา แต่ก็ไม่ได้จัดเท่าเขาเท่าไหร่หรอกแต่ก็ทำได้ เสร็จแล้วก็พอถึงวาระเวลาเมื่อมาปฏิบัติธรรม มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติถึงเวลาวาระ อาตมาก็ปฏิบัติธรรมซึ่งไม่ได้นานได้ช้าอะไร ก็เลิกทิ้งมาเลยทั้งทั้งที่ความเจริญทางโลกก็มีอยู่ จะต่อความเจริญทางโลกด้วยลาภยศสรรเสริญโลกียสุขก็ไปได้แน่นอนอาตมา ไม่ได้หลงตัวเองอะไรหรอก เป็นความสามารถโลกีย์ทางธุรกิจบันเทิง เดี๋ยวนี้เขาร่ำรวยทางมหาศาล อาตมาก็ต้องร่ำรวยได้อย่างนั้น เพราะว่าทำมาตั้งแต่ยุคโทรทัศน์เป็นขาวดำ ออกมาจึงเริ่มมีโทรทัศน์สีช่อง 3 ซึ่งยังไม่เท่าไหร่เลยมีน้อย มีช่อง 4 กับช่อง 7 แต่ก่อนนี้ เมื่อรู้ตัวแล้วก็เดินทางมาทางนี้ 100% ไม่ได้หนี ไม่ได้วอกแวก มาทางนี้ทางเดียว จนกระทั่งอายุเลยอายุขัย ก็จะต่ออายุขัย เพื่อตั้งใจพิสูจน์อายุ ให้เกินกว่ากัป ก็พิสูจน์มา อาตมาก็พูดตามความจริงใจ ไม่ได้โกหก อาตมาว่าจะมาต้องตายตอน 72 ตามอายุขัย รู้ก่อนอายุ 72 ก็เลยเริ่มพัฒนา Coefficient จนผ่าน 72 มา ก็เห็นจริงว่ามันได้ จนมาผ่านอายุ 84 ซึ่งเป็นอีก 12 ปีอีก 1 นักษัตร แล้วก็เติมต่อไปอีก ผ่าน 84 มา ตอนนี้ 86 ย่างเข้า 87 แล้ว ก็จะไปเรื่อยๆ ก็มีคนบอก เห็นไหมเขาแกล้งพูดว่าหนุ่มกว่าเก่า เขาจะแกล้งพูดหรือไม่ก็แล้วแต่ เราก็พยายามทำ ซึ่งมันก็จะเห็นได้เป็นได้ ว่าเนื้อหนังมังสาอย่างนี้เป็นแท่งก้อนร่างกายอย่างนี้แล้วก็แสดงกายกรรมอย่างนี้ วจีกรรมขนาดนี้ มันสมอง หรือว่าความรู้ความจำอะไรต่างๆก็ยังคล่องแคล่วปราดเปรียว ทำได้ประมาณอย่างนี้แหละ คือมันก็เป็นความจริงที่เป็นอยู่จริง ที่คุณสัมผัสได้ใช่ไหม ก็จะต้องไปหลอกลวงโกหกทำไม คุณจะโกหกว่าคุณฉลาด คุณก็ทำสิทำความฉลาดนั้นแล้วคุณก็โกหกให้คนอื่นเขาเชื่อ อาตมาว่าอาตมาฉลาดน้อย อาตมาก็ไม่โกหกหรอก ดีไม่ดีอาตมาก็จะบอกว่าอาตมาไม่ฉลาดเท่าไหร่ด้วย ซึ่งไม่ได้ทำแบบเล่นลิ้น ถ่อมตนอะไรนะ ก็รู้สึกอะไรอย่างนั้นจริงๆ หลายครั้งสู่แดนธรรม ท่านฟ้าไท หรือสมณะอื่นๆมีความรู้มากเร็วกว่าอาตมา ก็ไม่เห็นเป็นไร แต่องค์รวมเรื่องธรรมะอาตมามีเยอะกว่า ก็ไม่ได้หลงตัวหลงตน ทุกวันนี้ก็เอามาแจก เอามาเผยแพร่ ซึ่งพวกเราก็ได้รับอยู่ มีหลักฐานอ้างอิงยืนยัน เห็นจริงจังได้ คุณก็เอาไปปฏิบัติให้แก่ตัวเองได้ ไปเรื่อยๆๆๆอยู่ ซึ่งไม่ใช่ของที่สูญเปล่า ของที่โมฆะ ของที่งมงาย ของที่ไม่เข้าท่า ดีไม่ดีของที่เป็นอุปาทาน เป็นของที่หลอกตัวเองไป มันไม่ใช่ทั้งนั้น แต่มันเป็นสัจจะที่จริง เพราะฉะนั้นก็พิสูจน์ไปอีก อาตมาไม่รู้นะพวกคุณที่อยู่ฟังนี้เป็นร้อยนี่ ทางบ้านมีอีกกี่ร้อยกี่พันก็แล้วแต่ คุณจะเชื่อเต็มหรือไม่เต็มอย่างไรก็แล้วแต่ อาตมาไม่มีปัญหา คุณเชื่อเต็มได้ เพราะคุณฟังแล้วเข้าใจแล้วไปปฏิบัติได้ผลสำเร็จเอง ได้ผลอย่างนี้เอง แล้วคุณก็สรุปได้ว่าอย่างนี้มันเข้ากับคำสอนพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริงตรวจสอบได้ตามหลักฐานพระไตรปิฎกมีให้ตรวจสอบ คุณทำความเข้าใจ อาตมาเอามาอธิบายขยายความคุณก็ทำความเข้าใจ เอาไปทำให้เป็นได้ด้วยตัวเองตามที่จะมีปฏิภาณปัญญารู้มันก็ใช่ แล้วคุณก็โดยเฉพาะอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส มันเชื่อด้วยตัวเองของตัวเอง โดยไม่ต้องเชื่อใคร อปรับปัจจยาญาณ เอเมสวัสสะ เอตถะ โหติ โดยไม่ต้องไปเชื่อผู้ใด เป็นความเชื่อที่พร้อมด้วยเหตุปัจจัย ด้วยปัญญา ครบพร้อมความจริง จนกระทั่งทุกวันนี้อาตมายิ่งทำงานไปยิ่งเชื่อตัวเองยิ่งเชื่อว่าสิ่งนี้ มันเป็นไปได้นะ เราก็เป็นอย่างนั้นจริง เป็นอย่างนี้จริง อาตมาก็ไม่อยากจะเอาอะไรมาเป็นเหตุปัจจัย เป็นสิ่งชี้ชวนให้คนมาหลงตามเชื่อตาม จะให้พวกคุณฟังแล้วเอาไปปฏิบัติพิสูจน์ แล้วมันเกิดผลจริง อันนั้น เป็นตัวที่อาตมาต้องการให้พวกคุณได้ _กินมัง ทั้งชีวิต _: ระบบเสียงที่ก้องสะท้อนของดอยแพงค่า น่าจะมาจากการตั้งตำแหน่งลำโพง และการหันหน้าลำโพงมาทางไมค์ที่กำลังพูด เพราะเวลาทดสอบจะไม่มีผู้ฟังและไม่ต่อลำโพงเพื่อกระจายเสียง เสียงขณะทดสอบจึงปกติ แต่เวลาถ่ายทอดจริงจะก้องดังกล่าวค่ะ เจาะลึกอุปาทานสุขทุกข์คือกระดาษแผ่นเดียวกัน _บุญใจ เพ็ญจันท์ : ทุกข์กับสุขอันเดียวกัน นี้เข้าใจยากจริงๆ พ่อครูว่า…ก็น่าจะจริงนะ มันไม่ง่ายที่จะเข้าใจ เพราะความทุกข์กับความสุขก็คนละอารมณ์ อารมณ์สุขก็อย่างหนึ่ง อารมณ์ทุกข์ก็อย่างหนึ่ง มันเป็นสัจจะที่ ขออภัยถ้าไม่มีอาตมาเอามาพูดเอามาเปิดเผย จะมีใครพูดขึ้นไหม (ไม่มี) ยกทั้งโลกนะ แล้วพวกคุณเชื่อหรือ? มันเชื่อเพราะว่าแต่ก่อนเราเคยมีความสุขความทุกข์เป็นคู่เป็นเทวะ เป็นสภาวะคู่ที่มันแยกกันไม่ออก คุณจะชัดเจนเพราะเทวมันเป็นพวกตีไม่แตก เขาก็จะเอาแต่ความสุข เขาก็เลยเป็นพวกสุขนิยม ซึ่งมันไม่ได้หรอก คนเอาความสุขความทุกข์ก็ติดไปด้วยมันเป็นคู่หูกันเป็นกระดาษแผ่นเดียวกัน คุณเอาหน้านี้ไปอีกหน้าหนึ่งก็ติดไปกับคุณ คุณไม่เอาไปไม่ได้ ยังไม่ชัดเจนไหม เอากระดาษหน้านี้ หน้า(หลัง)นี้ไม่เอาไม่ได้หรอก เพราะว่าหน้านี้มันก็ต้องไปด้วยกัน แล้วหน้านี้มันเป็นหน้าหลอกด้วยจริงๆแล้วไอ้ตัวทุกนั่นแหละเป็นตัวสำคัญ ความสุขนี้มันหลอกตัวเอง ความทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ความทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ความทุกข์เท่านั้นที่ดับไป พระอรหันต์ท่านก็จะพูดเช่นนั้น เพราะฉะนั้นคนจะรู้ได้ก็ต้องมาอ่านเวทนา เวทนานี่แหละเป็นแกนที่คุณจะต้องอ่านอารมณ์หรือความรู้สึกตัวนี้ เป็นตัวที่จะรู้เทวะ ที่ว่ามีความสุขความทุกข์ มันไม่มีที่อื่น ไม่มีตัวอื่น ไม่มีอาการอื่น พยัญชนะบอกว่าเวทนา ถ้าไม่มีเวทนาไม่มีฐานที่ตั้งแห่งการปฏิบัติ จะมีแต่ความแส่หาของตัณหา สัจจะมีหนึ่งเดียวคืออันนี้ นี่เป็นความหน่ายคลาย เป็นฐานนิพพาน นี่แหละหมดความสุขความทุกข์ นี่แหละคือสัจจะหนึ่งเดียว เอกังหิสัจจัง ผู้ที่สามารถรู้สภาวะนี้ของตัวเองแล้ว เราหมดความสุขความทุกข์ ไม่มีความสุขความทุกข์ (นั่งหลับตาสะกดจิต ไม่สุขไม่ทุกข์ได้เหมือนกัน นั่นยังเป็นเคหสิตอุเบกขาเวทนา ยังไม่ใช่เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา) อุเบกขาคือ ไม่สุขไม่ทุกข์ ขอยืมคำว่าไม่สุขไม่ทุกข์มาขยายคำว่าอุเบกขา คำว่า อุเบกขา เป็นพยัญชนะที่บอกสภาวะอย่างลึกซึ้งมาก ลึกซึ้งอย่างไร ท่านก็ขยายไว้ในธาตุวิภังคสูตร ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา สะอาดปราศจากกิเลส บริสุทธิ์ แม้จะมีการทำงานเกี่ยวข้องปรุงแต่งกระทบกับโลกก็ยังทำให้สะอาดได้อยู่ ปริโยทาตา จิตก็ยิ่งเก่งอยู่กับโลก ลเขาทำงานสัมพันธ์สร้างสรรค์กับโลก เขายิ่งเก่งกัมมัญญา ก็ยิ่งเจริญยิ่งประภัสราบริสุทธิ์ผุดผ่องแผ้ว ยิ่งปภัสสรา นี่คือคุณวิเศษของอุเบกขา พวกเรานี้ได้ฟังธรรมะได้ฟังอะไรต่างๆนานา ลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อยๆอย่างนี้ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะฟ้าไท… สั่งสมสมาธิพุทธด้วยสังกัปปะ 7 _มุ่ง ตรงธรรม : น้อมกราบคารวะพ่อครู ผู้สยังอภิญญา ลูกขอโอกาสเรียนถามพ่อท่านครับ เมื่อเราเห็นอาการแดนเกิดของหทัยรูป เมื่อเราเห็นอาการผุดขึ้นมาที่หทัยรูปในจิตเรา เมื่อแยกอาการ โลภ โมหะ โทสะที่มันติดมากับนามจิตของหทัยรูปนั้นแล้ว เราใช้สังกัปปะ 7 มาจับเทียบก่อนหรือสลายมันทิ้งเลย แล้วสลาย เราควรใช้อิทธิวิธีใดสลายครับ พ่อครูว่า… ตอบ เราต้องใช้สังกัปปะ 7 นั่นแหละมาปฏิบัติจัดการ คำว่าอิทธิวิธี คำว่าอิทธิวิธีคือวิธีปฏิบัตินี่แหละ แล้วเราจะเก่ง อิทธิคือเก่ง มันทำได้ สามารถทำได้ อิทธิวิธะคือทำได้หลายอย่าง มโนมยิทธิคือ ทำได้สำเร็จ แล้วความสำเร็จได้ มีหลากหลายขึ้นก็จะเก่งขึ้นมีมโนมยิทธิ คือเก่งในการทำให้กิเลสตายจากจิต ทำได้มากขึ้นๆ ก็เป็นจิตที่หลากหลายวิธี เรียกว่าอิทธิวิธี แล้ววิธีทำก็คือสังกัปปะ 7 สังกัปปะ 7 มีอะไร.. ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขารา คำว่า ตักกะ คือ เมื่อสัมผัสแล้ว มันก็จะเกิดภาวะที่จิตขึ้นมาทันที พอจิตเกิดขึ้นมาก็เป็นเหตุปัจจัยเป็นเหตุเป็นผล เหตุและปัจจัยสองสภาพเป็นสภาพโดยรวมขึ้นมาปรุงแต่งขึ้นมา เราเรียกว่าจิตนี้มันเริ่มเกิด เริ่มดำริ ขึ้นมาเป็นสังขารและทำปรุงแต่งขึ้นมา คุณก็จับตัวอาการของจิตนั้นที่เกิดและดำริมา เริ่มคิดเริ่มโผล่เป็นตัวตนขึ้นมา แล้วก็มาจับมันแยกให้ได้ จิตที่มาเป็นก้อนนี้ มันมีกามวิตก หรือมีพยาบาทวิตก มีตัวเหตุปัจจัย ของกามหรือของพยาบาท ปรุงแต่งมันมาไหม? มันมีไหมกามวิตกหรือพยาบาทวิตก ที่เป็นความคิดหรือเป็นอาการของจิตที่ร่วมเป็น เรียกว่า สสังขาริกัง ปรุงแต่งร่วมด้วย มันมีไหม แยกมันให้ออกจากจิต จากเจตสิก มันต้องแยกให้ออก เช่น แยกเวทนา เมื่อสัมผัสก็รับรู้ขึ้นมา เสร็จแล้วก็อ่านความรับรู้ที่มันมีการปรุงแต่งกันอยู่ มันเป็นเทวะเป็น 2 คุณก็ต้องแยกให้ออก ถ้าคุณยังมีกิเลสอยู่ ตัวนี้คุณก็ต้องแยกได้ แยกได้เป็น กามวิตกหรือพยาบาทวิตก จัดการไป อ่านตัวนี้แหละ ชี้หน้ามันเลย เอ็ง!ผีนะ อย่ามาหลอกข้า เอ็งเป็นของไม่จริง เอ็งเป็นของไม่เที่ยง เอ็งเป็นเหตุแห่งทุกข์ อย่ามาทำมามีตัวตนกับข้านะ อย่ามามีตัวตนกับข้านะ รู้หรือเปล่าว่าข้าคือใคร ต้องสาธยายและสนทนากับมันดีๆ ถ้าคุณเองมีปัญญา มีปฏิภาณเพียงพอ มีบารมีพอ กิเลสมันจะหายวับไปเลย แต่ถ้ากิเลสมันไม่หายวับ บารมียังไม่พอ พลังงานของปัญญา พลังงานของความรู้ความสามารถยังสู้กิเลสไม่ได้ จะไปเถียงจะไปแย้งอย่างโน้นอย่างนี้มันจะบอกอย่างนั้นอย่างนี้ คุณจะโง่กว่ามันก็แล้วแต่ คุณจะฉลาด ถ้าคุณยังมั่นคงแข็งแรงดีกว่าจับได้ว่ามันเป็นผี สรุปแล้วจนกระทั่งมันเห็นความจางคลายเห็นความไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงนี้มี 2 นัยยะ 1 ความไม่เที่ยงเพราะกิเลสโตขึ้นโตขึ้น 2 ความไม่เที่ยงเพราะกิเลสมันลดลง ลดลง เรียกว่าเป็น อนิจจานุปัสสี เรามีปัญญามีความฉลาด อยู่เหนือมันกิเลสมันแพ้กิเลสมันยอมอ่อนลง เรียกว่าเห็นความจางคลาย วิราคานุปัสสี กระทั่งมันดับไป ก็ตามเห็นอนุปัสสี นิโรธานุปัสสี แยกฉายหนังช้าให้ดู ขยาย 32 เฟรมต่อวินาทีเลย 74 เฟรมก็ได้นะ กิเลสมันก็ลด พอมันสู้ปัญญาเราไม่ได้ สู้ความรู้ความจริงของเราไม่ได้กิเลสมันก็จะจางคลายไปเป็นลำดับ คุณเองก็จะรู้ว่าปฏิบัติได้อย่างนี้ ชนะด้วยปัญญาอย่างนี้ ไม่ได้ไปข่มขู่ ไม่ได้ไปทำร้ายมัน กิเลสมันถอยเพราะความจริง เป็นความฉลาดจริงๆยังมีปัญญาอันยิ่ง มันแพ้เรา คุณก็ทำอย่างนี้แหละ ทำอย่างที่มันดับอย่างนี้แหละพิจารณาเห็นความจริงจาก อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ทำซ้ำทำทวน ปฏินิสสัคคานุปัสสี ทำซ้ำทำทวน อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง สั่งสมอเนญชาเป็นอนุรักขนาปธาน เพียรซ้ำมันก็จะได้ผล จิตสะอาดบริสุทธิ์ตกผลึกเป็นสมาธิ สมาธิเกิดตรงนี้ สั่งสมจิตที่สะอาดเป็นจิตที่ปราศจากกิเลสเป็นอุเบกขา ที่สั่งสมตกผลึก เพราะฉะนั้นสมาธิจึงไม่ใช่ว่าได้กันมาง่ายๆนะจ๊ะ นั่งหลับตาแล้วเป็นสมาธิเลย มันไม่ใช่ อย่างนั้นมันเป็นแบบโลกียะเดียรถีย์เขาทำกัน อาตมาก็ทำมาเยอะแยะแล้วหลงผิด สมาธิของพระพุทธเจ้าจึงเป็นเรื่อง อจินไตย ฌานเป็นเรื่อง อจินไตย ไฟปัญญาเป็นพลังงาน อุณหธาตุ มันเผากิเลส พลังงานไฟฌานปัญญา ฌานอยู่ที่ใดปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาอยู่ที่ใดฌานอยู่ที่นั่น ฌานที่ไม่มีปัญญาไม่มี นัตถิ ฌานัง อปัญญัสสะ ปัญญา นัตถิ อฌายโต ยัมหิ ฌานัญจะ ปัญญา จ ส เว นิพพานสันติเก ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นแล อยู่ในที่ใกล้นิพพาน (พตปฎ. เล่ม ๒๕ ข้อ ๓๕) ฌานคือพลังงานอุณหธาตุเผากิเลส เผาเสร็จเรียกว่าบุญ ปุญญะ คือพลังงานสุดท้ายของฌาน ฌานเผาเสร็จก็กิเลสหมดดับ ก็เรียกว่าตัวเสร็จ ตัวเผด็จศึก พอเสร็จแล้วก็จบ ปุญญะก็ไม่มี สู่แดนธรรม..เขากลับไปปฏิบัติหลับตา ขณะทำฌาน จะไม่ให้ปัญญามายุ่งเลย พ่อครูว่า…ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน แล้วฌานนี้เป็นของพระพุทธเจ้านะ ฌาน กับปัญญาเป็นของคู่กัน ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นแล อยู่ในที่ใกล้นิพพาน ปัญญาจึงไม่ใช่ของธรรมดา ปัญญาไม่ใช่ของที่จะมานั่งขบคิดด้วย เฉโก เป็นอัจฉริยะแบบโลกีย์ธรรมดา เยอะแยะผกผันความรู้มากมายมหาศาล ไม่ใช่อย่างนั้น ปัญญาคือความรู้โลกุตระปัญญาคือความรู้ที่ตัดกิเลสรู้จักปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า ให้กิเอลสหมดมันหน่ายคลายมาตามลำดับ จนกระทั่งกิเลสมันหมด พอจะอธิบายสังกัปปะยังไม่จบ ตักกะ พอเริ่มมาแล้วเราก็แยกกิเลสได้ กามวิตกหรือพยาบาทวิตก แล้ว พิจารณา ด้วยไตรลักษณ์ จนกิเลสดับ มันดับได้ก็สั่งสมเป็นสัมมาสังกัปปะ คือ ความคิดที่สำเร็จรูปด้วยการทำให้กิเลสออกได้ เสร็จ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เป็นหมวดหมู่ของการทำงานแบบไดนามิก เมื่อได้แล้วก็เอาไปสั่งสมไว้เป็น หมู่ อัปปนา เป็นความตั้งมั่น เป็นแกนตั้งกับแกนเคลื่อนที่ได้จิตใจที่ชำระกิเลสสะอาดสะสมไว้ใส่เซฟ เป็นอัปปนา พยัปปนาก็ทำได้มากขึ้นอีกสูงขึ้นไป สูงขึ้นเป็นอันที่ 3 เจตโสอภินิโรปนา ความที่จิตแนบอยู่ในอารมณ์ (อัปปนา) ความที่จิตแนบสนิทอยู่ในอารมณ์ (พยัปปนา) ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ (เจตโส อภินิโรปนา) จะสั่งสมทับทวีเป็นสมาหิโต เป็นสมาธิของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นอนุตรจิต อยู่ในหมวดท้ายของเจโตปริยญาณ 16 อนุตรจิตคือตรวจสอบว่าจะเป็นสมาหิโตหรืออสมาหิโต ตั้งมั่นหรือหลุดพ้นจริงไม่มีตกหล่นเด็ดขาด นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) แล้วไปสั่งสมพักไว้ที่วจีสังขารเป็นการอภิสังขารสำเร็จเรียบร้อยแล้วพร้อม ถ้ามีคำเรียกอยู่ในนี้ก็เป็นวจีสังขาร ยังไม่ไปเป็นวจีกรรม ปรุงแต่งเป็นตัว อธิวจนสัมผัสโส แต่ถ้ายังไม่มีชื่อก็เป็น ปฏิฆสัมผัสโส เฉยๆ แต่ถ้ามีชื่อคำเรียกแล้วก็จ่อไว้ที่ว่าจิตสังขารพร้อมที่จะออกไปเป็นวจีกรรมหรือกายกรรมภายนอกแล้ว สมณะฟ้าไท สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin26 สิงหาคม 2020Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:630824_รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 5NextNext post:630828_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมบรรยายอัมพัฏฐสูตร ตอน 15Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024