630828_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมบรรยายอัมพัฏฐสูตร ตอน 15
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/19JikHhGLLIG2spkc-ldiQUA3Bx74kcESM8305dCxg14/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1tJI-8t6760UYyV2TrwYEnZhpzdc0FRQR/view?usp=sharing
และยูทูปที่
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก เป็นวันขึ้น 10 ค่ำเดือน 10 ปีชวด วันนี้เราก็มีญาติธรรมที่เป็นที่เคารพนับถือของพวกเราคือลุงจำลอง เดินทางมาจากโรงเรียนผู้นำ มาบ้านราชฯ เป็นกรณีพิเศษ เพราะว่า ได้ปรึกษาหารือกับป้าศิริลักษณ์แล้ว ความเห็นสอดคล้องกันว่าน่าจะเอาเงินที่ฝากไว้ในธนาคารออมสินในช่วงสุดท้ายของชีวิตมาถวายพ่อครู ให้ใช้ในกิจการของวัดชาวอโศก ก็ได้เห็นอย่างหนึ่งว่า สุดท้ายของลุงนอกจากจะมีศีลเคร่งครัด ยืนหยัดหลักการที่จะถือศีล 8 ได้อย่างมั่นคง มีญาติธรรมเขาประเมินว่า จะมีคนไหนที่สามารถถือศีลได้เคร่งครัดสะอาดบริสุทธิ์ผ่านโลกธรรมมาเยอะแยะ แต่ก็ยังมั่นคง พระพุทธพจน์ที่บอกว่า สุขายาวชราสีลัง ศีลย่อมนำสุขมาให้ตราบเท่าชรา ก็ได้เป็นจริงกับลุงจำลอง ชีวิตที่จนลง แต่กลับภูมิใจมากยิ่งขึ้น ยืนหยัดยืนยันปฏิบัติธรรมมา 30 ปี 50 ปี สิ่งที่เห็นแล้วน่าภาคภูมิใจ น่าอนุโมทนากับวัตรปฏิบัติของลุงที่ทำได้อย่างเคร่งครัด
พ่อครูว่า…เราพูดถึงวรรณะ 9 ซึ่ง จริงๆแล้วในพระไตรปิฎกมียืนยันว่าอย่างนั้นจริงๆ แต่ผู้ที่ศึกษาผู้รู้ทั้งหลายท่านก็ไม่ได้สะดุดใจอะไรหรอก ว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ เป็นหลักฐานที่จะยืนยันเป็นมาตรฐานเครื่องชี้บ่งที่จะบอกว่า ฐานะของมนุษย์ ฐานะของสังคม มีคุณสมบัติ มีคุณธรรม มีพฤติกรรมจริงในความเป็นวรรณะ 9 ซึ่งมีลักษณะ 9 ชนิดนี้
๑. เลี้ยงง่าย (สุภระ)
๒. บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
๓. มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . .
๔. ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)
๕. ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)
๖. เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)
๗. มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)
๘. ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ๙
๙. ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
เป็นคนขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์ผลผลิตแจกจ่ายเจอจาน โดยตัวเองไม่ต้องสะสมอะไรเลย คุณสมบัติพวกนี้เป็นคุณสมบัติของคนในสังคมเหนือโลกโลกีย์ธรรมดา แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่เรื่องสุดโต่งที่เป็นเรื่องเพ้อฝันอะไรแต่เป็นเรื่องจริง และเป็นไปได้อย่างเป็นหมู่กลุ่มปฏิบัติได้รวมกันมากเป็นหมู่กลุ่มเป็นปึกแผ่น รวมตัวกันอยู่ในนี้ส่วนใหญ่ทำได้ จิตใจของคนที่ทำได้แล้วซักไซ้ไล่เลียงดูว่าไม่ได้ฝืนใจอะไรเป็นเรื่องจริง เรื่องเหล่านี้อาตมามั่นใจว่าคนเราทำได้ อาตมาไม่ได้มาไม่ได้มาครอบงำทางความคิด แต่เป็นเรื่องที่เห็นด้วยปัญญาเข้าใจด้วยจริง ชัดเจนในตัวเองว่าฝึกฝนจนตัวเองเป็นได้บรรลุเข้าถึงได้ ไม่ใช่เรื่องเลาะแหละ แต่เป็นเรื่องจริงที่ตั้งมั่นยืนยันไม่เปลี่ยนแปลง อวิปริณามธัมมัง ไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่น แม้จะมีอะไรมาหักล้าง ก็อสังหิรัง ไม่เปลี่ยนแปลง
_สืบเนื่องจากคำถาม วันจันทร์ที่ผ่านมาที่มีคำถามถึงการรุกรานพ่อครูในเถรสมาคมต้องการจับสึกแล้วถามคำถามว่าเป็นคฤหัสถ์แล้วหรือยัง พ่อครูตอบแบบอัตโนมัติโดยปัจจุบันปราศจากการเตรียมการใดๆ ซึ่งลูกๆก็ได้เห็นได้ยินชัดเจนว่าพ่อครูไม่ได้หวั่นเกรงใดๆ แม้จะถูกเชิญไปเข้าคุก แถมยังต้องเปลี่ยนชุดกะทันหันก็ด้วยปฏิภาณไหวพริบทั้งสิ้นโลกก็ได้จดจำไว้ในการเอาไว้ฝ่าฟันอุปสรรค
ในอดีตที่ท่านผู้นำอิหร่านได้ส่งรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมและคณะติดตามมาขอสัมภาษณ์พ่อท่านว่า มีหลักฐานการคิดและแนวทางปฏิบัติอย่างไร จึงสามารถผ่านพ้นเหตุการณ์ความขัดแย้งทางศาสนาโดยไม่มีการนองเลือดใดๆเหมือนในอิหร่าน แม้แต่สำนักวาติกันจากกรุงโรมซึ่งส่งคณะบาทหลวงนับ 10 ท่านมาในครั้งนั้น แท้จริงแล้วพ่อครูไม่ได้เป็นที่รู้จักแต่ในประเทศเกาหลีใต้เท่านั้น อีกหลายประเทศเฝ้ามองดูและติดตาม หนังสือพิมพ์ฟาร์อีสเทอร์น หนังสือพิมพ์ Time ยักษ์ใหญ่ของอเมริกาก็เคยมาสัมภาษณ์น่าจะนำภาพเหล่านี้ มาใช้ย้อนให้คนรุ่นหลังได้รับทราบบ้างค่ะ วกกลับมาในเหตุการณ์เดือนที่แล้วมิถุนายน 2562 ซึ่งเป็นเดือนที่ขายที่ดินควรธรรม พร้อมโรงปุ๋ยและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด ผู้ซื้อได้วางมัดจำในวันที่ 6 พฤษภาคม ตอนที่วางมัดจำใหม่ๆ ภรรยาผู้ซื้อได้ให้ลูกสะใภ้ขับรถมาดูที่ดินที่สามีได้ตกลงซื้อและวางเงินแล้วเกือบ 4 ล้าน มาสอบถามว่าทางเราซื้อมาเท่าไหร่ ดิฉันก็ไม่ตอบ เพราะผู้ที่จะตอบได้ชัดเจนที่สุดคือ หมอปาน ขณะนี้เขาไม่อยู่ค่ะ อีกสองวัน ผู้ซื้อก็มาคนเดียว ขับรถป้ายแดงมาจอดหน้าศาลา ดิฉันจำได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เขาพาลูกชายที่เป็นผู้จัดการร้านโฮมเซ็นเตอร์มาที่ศาลาและผู้ซื้อก็ชี้บอกว่า นี่รูป คือรูปพระโพธิรักษ์ ตอนนั้นสีหน้าจะดีกว่านี้ ดิฉันก็ต้อนรับเพราะไม่มีใครอยู่เลย เขาบ่นเบาๆว่า ผมยังงงอยู่เลยว่า ผมซื้อทำไม ดิฉันเดาได้ว่าภรรยาของเขาต้องไปพูดอะไรบางอย่าง เพราะสถานที่ของเราไม่ได้สวยงามหรูหราเหมือนอย่างที่คนทางโลกต้องการ จะดูเป็นที่รกและมีบ้านไม้เก่าๆไม่สวยงามเหมือนกับราคา 36 ล้านครึ่ง เพราะว่าใกล้ปั๊มปตท. ดิฉันก็ได้พาเขาเดินไปรอบๆศาลาแล้วบอกเขาว่า เราก็ไม่ได้เป็นหนี้และไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน แต่เราต้องการรวมพลัง พ่อท่านโพธิรักษ์ต้องการรวมคนและกำลังเงินไปที่ราชธานีอโศก เพื่องานศาสนาที่จะเจริญรุ่งเรืองต่อไป และคงมีโอกาสดีๆในชีวิตที่จะได้ถวายเงินพ่อท่านถึง 36 ล้าน 5 แสน โดยไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน และพ่อท่านโพธิรักษ์ก็ให้ที่ดินสวยๆแก่คุณเป็นการตอบแทน 1 แปลง มันจะต้องมีอะไรดีๆเกิดขึ้นในชีวิตคุณแน่ แล้วสีหน้าเขาก็ดูแช่มชื่นขึ้น เขาก็ขับรถออกไป
หลังจากนั้น 2-3 วันก็จะมีรถเก๋งราคาแพงป้ายแดงมาจอดอีกหลายคัน มีคนบอกว่าเพื่อนๆนักธุรกิจที่ร่ำรวยของท้องถิ่นรวมตัวกันตั้งบริษัทใหม่ ดำเนินการบริหารจัดการที่ดินแปลงนี้ให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่า กราบเรียนพ่อครูผู้เป็นแบบอย่างในการคิดบวกและตัวอย่างในการใช้ไหวพริบปฏิภาณ ด้วยความเคารพยิ่ง
อุบาสิการินอุรา
พ่อครูว่า…เป็นเหตุการณ์เกิดตั้งแต่พ.ศ.อะไร ผ่านมาแล้วเงินทองก็ไม่เหลือแล้วไปดุจสายลม ทำอะไรต่ออะไรไปแล้ว ก็เป็นเหตุการณ์ที่มีการบันทึกจดหมายเหตุเป็นความจำเป็นเรื่องราวก็จะเป็นประวัติ เป็นตำนานของชาวอโศกต่อไป เป็นสิ่งจริง อาตมามั่นใจในสิ่งที่ทำไป เหมือนกับชีวิตของพระพุทธเจ้า ชีวิตของท่านก็เป็นชาดกต่างๆเล่าสืบกันมาเป็นตัวอย่างให้ยืนยัน เป็นเครื่องวัดเปรียบเทียบดำเนินชีวิตของมนุษย์แต่ละคนเป็นกรรมวิบาก ก็เอามาพูดทวนย้ำให้พวกเรารู้จักกรรมวิบาก รู้จักสิ่งที่เป็นจริงของมนุษย์ หลายอย่างเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่ก็เป็นไปได้ ก็ค่อยๆศึกษากันไป
_ไพฑูรย์..ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต
ขอกราบเรียนถามว่า…เห็นธรรมคืออะไร เห็นตถาคตคืออะไรครับ
พ่อครูว่า…คำว่าธรรมะคำนี้มันคือสภาวะธรรมที่เกิดที่เป็นขึ้นมา กายทางวาจาทางใจบทบาทขึ้นมาให้เห็นซึ่งมาจากใจเป็นประธาน ใจที่เป็นประธานสามารถทำให้ออกมาเป็นโลกุตรธรรม มันก็จะมีพฤติกรรมทางกายวาจา ก็เรียกว่าเป็นรูปธรรมเป็นนามธรรม เป็นสิ่งที่ปรากฏเป็นพฤติกรรม เป็นรูปธรรมเป็นนามธรรมเรียกว่าภาวะ 2 เป็นกายเป็นภายนอกกับภายในคู่กัน เมื่อประพฤติออกมาเป็นรูปธรรมที่เรียกว่ากาย คำว่า กาย คำนี้ จึงยิ่งใหญ่มากลึกซึ้งและซับซ้อน บางทีเป็นคำสิริมหามายา คนเข้าใจได้ยากต้องศึกษา อาตมาพยายามอธิบายและต้องอธิบายต่อไป ศึกษาให้ดีเถิด อยากจะให้เข้าใจได้ง่ายๆแต่มันก็ไม่ง่าย มันสลับซับซ้อนสลับไปสลับมาเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน
สิ่งที่เป็นภาวะ 2 คือรูปและนาม เป็นรูปธรรมกับนามธรรมประกอบกัน สังเคราะห์สังขารกัน เป็นสภาพก็เดี๋ยวก็เป็นรูปนั้นรูปนี้ บางทีในกาละนี้ก็สื่อสารอย่างนี้ ก็เป็นอย่างนี้อีกสภาวะหนึ่งก็เปลี่ยนไปได้ ดีไม่ดีจะขัดแย้งกันด้วย ไม่เป็นเรื่องบางทีที่คนก็จะหาว่าเหลาะแหละ ตลบตะแลงไม่อยู่กับร่องกับรอย เดี๋ยวก็ว่าดำเดี๋ยวก็ว่าขาว เหมือนนักมายาแต่เป็นสิริมหามายา เป็นสิ่งที่จริงไม่ได้มีเจตนาไม่ได้มีความคิดที่จะไปหลอกลวง เป็นความจริงทั้งนั้น แม้จะกลับไปกลับมาก็เป็นความจริง ที่จะสื่อให้เห็นให้รู้ได้ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่คิดตามยาก ทุททัสสา เห็นตามได้ยาก รู้ตามได้ยาก ทุรนุโพธา แต่ยากก็ต้องยืนยัน แสดงออก แล้วก็ทำกันไป เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่สุดยอด แล้วเป็นเรื่องของเทวะของเทพที่มันเหมือน ใช้ภาษาเรียกเทวปุตมาร แต่ไม่ใช่เทวปุตมารที่เป็นมารจริงๆ
เทวปุตร หมายถึงผู้ชายนะไม่ใช่บุตรของมารนะ เป็นเทพบุตรที่ไม่ใช่มาร แต่คนจะเห็นว่าเป็นมารปลอมตัวมาหลอก เหมือนอาตมา เขาหาว่าเป็นมารปลอมตัวมาหลอก อาตมาไม่มีความหลอก บอกตรงๆพูดความตรงด้วยซ้ำไป จนเขาหาว่าอวดตัวอวดตน พูดไม่มีอายอะไรเลยบอกว่าตัวเองเป็นคนสูงเป็นคนเก่งเป็นคนดี หน้าไม่อายยกย่องตัวเอง มันก็เลยยาก แต่ก็ไม่รู้จะหลีกเลี่ยงอย่างไร จริงๆอาตมาไม่ได้อยากจะยกตัวยกตน
กว่าที่จะมาบอกตัวตนอย่างนี้ ในยุคแรกๆ บอกว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ อาตมาก็ประมาณแล้วว่าสังคมยุคนี้ในเมืองไทยเถรวาท อาตมาว่าเป็นโพธิสัตว์นี้เขาไม่ติดใจเพราะเขาไม่นับถือโพธิสัตว์ ฝ่ายมหายานถึงจะนับถือพระโพธิสัตว์มากกว่าอรหันต์ ฝ่ายเถรวาทนั้นถือว่าพระโพธิสัตว์เป็นปุถุชนด้วย
คำว่า โพธิสัตว์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเมื่อเรายังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ถือว่ายังเป็นผู้ไม่ตรัสรู้ เขาก็ถือว่าโพธิสัตว์นี้ก็คือคนยังไม่บรรลุอรหันต์ ยังไม่ได้เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็ตรัสไว้ไม่ผิด พระโพธิสัตว์อย่างไรสูงขนาดไหน เถรวาทเขาไม่เข้าใจเขาไม่ค่อยรู้ลำดับของโพธิสัตว์
อาตมาในชาตินี้ต้องมาพูดให้เถรวาทเข้าใจ โพธิสัตว์ 9 ระดับ บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าเลย ลำดับที่ 9 ส่วนลำดับที่ 8 ก็สูงสุดเป็นมหาโพธิสัตว์ กว่าจะเป็นลำดับ 9 แม้ที่สุดอธิบายไปหมดแล้ว บรรลุเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะเป็น สยัสภู เท่ากับพระพุทธเจ้า แต่ท่านไม่ได้ประกาศศาสนาเป็นของตัวเอง จึงได้ชื่อว่าปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้แต่สัมมาสัมโพธิญาณของท่าน แต่พวกเถรวาทไปเข้าใจว่าปัจเจกนั้นสอนคนไม่ได้ ซึ่งจริงแล้วแม้แต่พระโสดาบันโพธิสัตว์ก็สอนคนแล้วผ่านมา กว่าจะมาเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สอนคนมาตั้งเท่าไหร่แล้ว เหน็ดเหนื่อยมากมายจนพระโพธิสัตว์พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละองค์ที่ท่านไม่คิดจะสร้างศาสนาเป็นของตัวเองสัก 1 ศาสนาขึ้นทำเนียบไว้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในโลกให้โลกรับรู้ ทั้งๆที่ท่านเองก็มีคุณธรรมเท่าเทียมมีสัมมาสัมโพธิญาณเท่าเทียมกันกับพระพุทธเจ้า แต่ท่านไม่ประกาศศาสนาก็ไม่มีใครรู้ว่าท่านบรรลุ สยัมภู แต่ท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานหายไปเลย
คำว่าพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็มีความหมาย องค์ใดองค์หนึ่งในทำเนียบ การที่ท่านไม่ประกาศตนเองเป็นพุทธเจ้าก็ไม่มีใครรู้จักท่านว่าเป็นพระพุทธเจ้า ท่านเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วท่านก็ไม่ได้แคร์อะไร ใครจะนับท่านเข้าทำเนียบหรือไม่นับท่านก็ไม่ติดใจอะไร ท่านไม่อยากจะประกาศให้คนได้รู้จะด้วยเหตุปัจจัยอะไรก็ตามใจ อย่างนี้ก็เป็นเรื่องอจินไตย
เพราะเป็นเรื่องอนิจจตา เป็นลักขณรูปตัวที่เกือบสุดท้าย เพราะไม่ใช่ปัจจุบัน ปัจจุบันที่เล็กที่สุดคือความเที่ยงแท้ งั้นเพราะฉะนั้นใครจะไปคิดว่าอะไรเที่ยง ท่านจึงจบด้วย อนิจจตา เป็นตัวรูป 28 ในลักขณรูป 4 สุดท่าย อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา เราอย่าไปยึดมั่นถือมั่น
ยิ่งอาตมาอธิบายสัจจะมีหนึ่งเดียว อะไรๆต่างๆไม่ใช่สัจจะทั้งนั้น แต่สัจจะนั้นมีหนึ่งเดียวก็คือนิพพาน ผู้ที่รู้จักความจางคลายผู้ที่รู้จักความละหน่ายทำให้กิเลสตับไปได้ทำให้เป็นนิโรธทำให้เป็นนิพพานได้ หมดนั่นแหละเป็นตัวที่ปฏิบัติทั้งมรรคและผลของศาสนาพุทธ ผู้ใดทำได้บรรลุสูงสุดตั้งแต่เป็นอรหันต์ขึ้นไป สัจจะมีเป็นหนึ่งเดียวตรงกันหมดทั้งพระอรหันต์ธรรมดา พระอรหันต์ไม่ได้มีความอลังการอะไรเลย เป็นแต่เพียงสามารถที่จะรู้จักสัจจะอันนี้สัจจะที่เป็นปรมัตถ์สัจจะโลกุตระ สามารถตายปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ เหมือนกัน อรหันต์ธรรมดากับอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทำได้เหมือนกัน เป็นสัจจะที่เป็นจริง
สัญญายนิจจานิ โลเก ในโลกนี้กำหนดอันนี้อันเดียวเท่านั้นที่มีจริง ถ้าจะบอกว่าอาจจะมีหนึ่งเดียวในโลกนั้นมีจริงอันนี้แหละ ถ้าหากผู้ใดได้ปรมัตถธรรมอันนี้ได้สภาวะธรรมอันนี้ก็หนึ่งเดียวตรงกันหมดไม่มีอะไรเป็น 2 ถ้า 2 ก็เถียงกันถ้ายังไม่ใช่อันหนึ่งอันเดียวกันก็ไม่ต้องเถียงกันเลยรู้จักกันนี่ด้วยกันแล้วเป็น 2 ทั้งนั้น แย้งกันทั้งนั้น มากหรือน้อยก็แล้วแต่เพราะมันเป็นสอง แต่ถ้ามันเป็นจริงอันเดียวกัน นี่คือสัจจะมีหนึ่งเดียวแล้วกำหนดรู้ได้ด้วยสัญญา สัญญาตัวนี้ก็เป็นสัญญาที่เป็นปัญญาซับซ้อนอยู่ในตัวเอง สัญญาซึ่งเป็นปัญญาสัญญากำหนดรู้ เป็นตัวที่ทำในปัจจุบัน ในปัจจุบันที่ตรัสรู้ด้วยสัญญาเวทยิตนิโรธก็ตาม เป็นสัญญายนิจจานิก็ตาม ก็คือตัวสัญญาที่กำหนดรู้และใช้งาน มันเป็นตัวสุดท้ายทั้งเริ่มต้นและตัวสุดท้ายสำหรับการใช้สัญญานี้ เพราะฉะนั้นท่านถึงไม่ใช้คำว่าปัญญาแต่ใช้คำว่าสัญญา
สัญญานั้นเป็นตัวที่ 5 ของเศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ เป็นตัวเจริญที่สุด เป็นตัวหัวขั้วของปัญญา พยัญชนะทุกตัว เมื่อผสมสระก็สื่อความหมาย เพื่อให้รู้จักสภาวะทั้งนั้นไม่ใช่สะเปะสะปะ ใครอยากจะผสมอย่างไรไม่มีความหมายตรงกันเลยไม่ได้ มันก็ต้องมีความตรงกัน ผู้ใช้สื่อแทนสภาวะไม่ใช่เรื่องเล่นแต่เป็นเรื่องจริง ที่อาตมาพูดอยู่นี่ก็เห็นใจ อาตมาเอาสภาวะเป็นหลักในเรื่องของไวยากรณ์ในเรื่องของพยัญชนะมันเป็นหลักการที่เกิดจากผู้มาเรียบเรียงที่หลัง เกิดที่หลังจากสภาวะ ซึ่งจะเป็นหลักฐาน เป็นตำราวิธีการเรียนรู้ชนิดหนึ่งแต่มันจะไม่สมบูรณ์เท่ากับสภาวะหรอก อันนี้เป็นสมมติบัญญัติ ไวยากรณ์เรียนรู้สมมติบัญญัติ แต่สภาวะนั้นเป็นปรมัตถธรรม เป็นสัจจะที่แท้
ทีนี้ธรรมกาย สิ่งที่ทรงอยู่เกิดจากสภาวะที่เรียนรู้ 2 อันคือ กาย คำว่า กาย จึงเป็นตัวต้นที่ใช้เรียนใช้ความเป็นเหตุปัจจัยธรรมะ 2 เมื่อได้แล้วทำได้แล้ว ทรงไว้ก็คือธรรมะ ผู้ใดรู้จักกายและรู้จักธรรมะตั้งแต่ สักกายะ จนถึงกายสูงสุด เป็นพรหมกาย เป็นกายที่แสดงสภาวะที่ป็นพรหม เป็นความบริสุทธิ์สะอาดเป็นพระเจ้าเรียกว่าพรหมกาย
พรหมกาย เป็นนามของตถาคต ธรรมกายเป็นนามของตถาคต คำว่าธรรมกายหรือคำว่าพรหมกายซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ใดเห็นธรรมผู้ใดเห็นความสะอาด พรหม กับ ธรรมะที่รู้จักกายอย่างสัมมาทิฏฐิ ผู้ใดเห็นธรรมกายเท่ากับเห็นพระพุทธเจ้า เป็นนามธรรมล้วนๆเลยเป็นคนวิเศษที่ยอดเยี่ยม
ธัมมชโยนี้เป็นคนมีปฏิภาณฉลาดเฉโก สูงมาก รู้ว่าคำนี้สูงก็เอาคำนี้ไปใช้หลอกมนุษยชาติเขาเอาไปทำการหลอกจริงๆหลอกบำเรอลาภยศสรรเสริญโลกียสุขใส่ตัวเอง ดั่งที่พฤติกรรมของเขาเองเป็นจริงวิบากบาปของเขาเป็นเช่นนั้น เอาธรรมกายเป็นคุณวิเศษของพระพุทธเจ้า แล้วคุณเอาธรรมกายของพระพุทธเจ้าไปหลอกคนหากินและมันจะบาปขนาดไหน ขณะนี้ธัมมชโย ไม่ใช่ถูกแผ่นดินสูบแต่ถูกอากาศสูบ ไม่รู้จะอยู่ที่ไหนแล้วเหลืออากาศหาไม่เจอยิ่งกว่าฝุ่น ตอนนี้เขาอาจจะหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ เขาพยายามจะตัดสื่อสารไม่ให้เขารู้มากเขาก็อยู่ได้เพราะคนจะสับสน
สู่แดนธรรม คำว่าแผ่นดินสูบคือ หาแผ่นดินอยู่ไม่ได้ใช่ไหมครับ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
_สมณะเดินดิน…คำถามที่เขาถามพ่อครูว่า ท่านสึกแล้วหรือไม่ ไม่ว่าจะตอบ yes หรือ no ก็มีปัญหาทั้งนั้น แต่พ่อท่านก็ใช้ปฏิภาณว่าไม่ขอตอบใดๆ เขาก็ว่า ถ้าอย่างนั้นก็จบกัน
พ่อครูว่า…เอาละ คิดว่าคุณไพทูรย์ก็คงจะเข้าใจ กายคำนี้ชัดเจน ต้องปฏิบัติเข้าใจและมีสภาวะความจริงเป็นความรู้ความจริงที่ลึกซึ้ง คำว่ากายนี้ยิ่งใหญ่ ทรงไว้ซึ่งการเป็นผู้ที่มีกาย อธิบายได้รอบทิศ ที่ยิ่งใหญ่ อาตมาจึงได้ขยายความคำว่ากายนี้ในหนังสืออีกหลายเล่ม ขยายคำว่ากาย คำว่าบุญ คำว่าเทวะ คำว่าฌาน คำว่าสมาธิ คำว่าปัญญา ต้องอธิบายสู่กันฟังกันอีกเยอะ เพราะมันผิดเพี้ยนไปจากศาสนาพุทธไปมากแล้ว มันจึงยากมากที่จะต้องพูดกันอธิบายกันจริงๆ
เราได้ห่างเหินอัมพัฏฐสูตรมานาน เดี๋ยวมันจะลืมเลือนไป
อาตมาก็ตั้งหลัก ง้างหมัดที่จะพูดตรงนี้ไว้นาน ยังไม่ได้ชกสักที
อธิบายศีลอันเป็นอาริยะ มา สรุปแล้วท่านก็เป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ คำว่า วิชชาและจรณะก็เป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้าจริงๆ แต่ต อนนี้เน้นหนัก และผู้จะยืนยันธรรมะพระพุทธเจ้า จะแย้งยาก อัมพัฏฐมานพก็ได้แต่ภาษาก็แย้งยาก เดี๋ยวนี้ก็เหมือนกันภิกษุของศาสนาพุทธทางพุทธศาสนาผู้รู้ก็ได้แต่พยัญชนะที่แปลขยายความกันมา เข้าไปสัมผัสสภาวะบ้าง แต่มันก็ไม่ใช่สภาวะที่ลงตัวถูกฝาถูกตัวกันอย่างเป๊ะหมดเลย มันก็ยังเอียงๆเพี้ยนๆสับๆสนๆกันอยูมันจึงยังยากทำความเข้าใจได้
พระพุทธเจ้าตรัสไว้กับ อัมพัฏฐมานพ ก็ตอนนั้น ศาสนาพุทธเพิ่งเริ่มจะเกิดท่านก็มาโปรดญาติของท่าน ตอนนั้นโปกขรสาติพราหมณ์ ได้ส่งศิษย์เอกคืออัมพัฏฐมานพมา ซึ่งลักษณะของพระพุทธเจ้านั้นตรงตามตำราของที่มีกันหมดว่าเป็นพระพุทธเจ้า เช่นตอนนี้ก็มีสำนักของพุทธวจนะหรืออาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์มีเยอะที่มีบัญญัติเก่ง แต่ไม่ได้รู้จักสภาวะธรรมจริง จึงได้มาแย้งกัน อธิบายยืนยันอ้างอิงจนสุดท้าย อัมพัฏฐะก็จำนน เขารู้แต่พยัญชนะ แต่ไม่รู้สภาวะของจรณะ 15 วิชชา 8 เขาไม่รู้ไม่ได้ปฏิบัติศีล อปัณกธรรม 3 ก็ไม่รู้ดีไม่ดีไปนั่งหลับตา ตามอาฬารดาบส อุทกดาบส ได้มิจฉามรรค มิจฉาผลไป
ฌาน ก็เป็นฌานฤาษีเดียรถีย์ไปหมด วิชชา 8 ไม่ต้องพูดเลย ไม่มีสัทธรรม 7 ไม่มีฌาน ไม่มีวิชชา 8 เขาจะงง วิชชา 8 อย่างไร เขาก็เป็นเดียรัจฉานวิชชาไปเท่านั้นเอง มโนมยิทธิ ก็เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ เขามีเพชรชนะเหมือนกันแต่เขาเข้าใจเป็นรูปธรรม ไปหมด เหมือนที่อาตมาอธิบาย เดินบนน้ำก็เอาตัวไปเดินจริงๆอย่างนี้เป็นต้น เหมือนกับตั๊กม้อที่ไปเดินบนน้ำจริงๆ มันไม่ใช่นัยยะของอนุสาสนีปาฏิหาริย์เลย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เกินคิดที่คนเรามีที่ไหน เป็นแมงมุมหรือยังไงเดินบนน้ำได้ คนเดินไปก็ตกลงไปในน้ำเท่านั้นแหละมันเป็นไปไม่ได้หรอก จึงไม่ใช่เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์แบบนั้นมันไม่ใช่ แต่มันเป็นเรื่องสามัญของคนธรรมดาเหมือนกันนี่แหละ แต่เป็นธรรมะเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ได้ มันเป็นเรื่องประหลาดเหมือนกับขอมดำดิน เหมือนกับแมงมุมเดินบนน้ำ เป็นคนนะ แต่มันไม่ใช่เป็นรูปธรรมอย่างนั้น ไม่ใช่ดำลงไปในดินได้เหมือนกับไส้เดือน
ผุดดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำ เหาะไปในอากาศเหมือนนกได้ มันไม่ได้เหาะแต่มันมีความเบาไม่มีติดยึดอะไรไปไหนก็ไปได้ ลูบคลำพระอาทิตย์ด้วยฝ่ามือไม่ใช่ว่าเอามือไปยาวๆแล้วไปแตะพระอาทิตย์ไม่ใช่อย่างนั้นมันไหม้หมดเลย หมายความว่าคนจะเก่งขนาดไหนมีฤทธิ์มีแรงเหมือนพระอาทิตย์ก็พูดถึงขนาดเกินไปว่าลูบหัวล้านพระอาทิตย์ได้พระอาทิตย์ไม่มีสิทธิ์ที่จะตอแย เรามีสิทธิ์ที่จะลูบคลำพระอาทิตย์ได้เลย เหมือนมีฤทธิ์มีอานุภาพอย่างนั้นเลย ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้
ถ้าคุณไม่เข้าใจพรหมโลกคืออะไร มันคือความสะอาดบริสุทธิ์รอบถ้วนหมดเลยเป็นพรหมสี่หน้าหรือกี่หน้าก็แล้วแต่มีคุณสมบัติของความสะอาดครบหมดเลยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมดลูบคลำพระพรหมด้วยฝ่ามืออย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นสัจธรรมที่เป็นนามธรรมอย่างยิ่งไม่ใช่รูปธรรมพาซื่ออย่างนั้นเลยเป็นต้น
นี่คือสิ่งที่จะพิสูจน์ได้ อย่างน้อยพวกคุณก็พิสูจน์ได้ ใครๆก็พิสูจน์ได้เพราะเป็นนามธรรม อาจจะมีคุณสมบัติหรือคุณธรรมมากน้อยดีเยี่ยมหรือไม่เยี่ยมกว่ากันสูงมากน้อยกว่ากันเท่านั้นแหละ แต่มันเป็นนามธรรมที่เป็นคุณธรรมคุณวิเศษ อย่างเช่นเรามาจนซึ่งเขามาจนไม่ได้เขาก็คงเหมือนกับเรา พวกเรามาจนสบาย นี่เป็นการยกตัวอย่างมาร่วมกันอยู่อย่างไม่ใช่พี่ไม่ใช่น้อง แต่เราก็อยู่กันอย่างครอบครัวใหญ่ โอ้โห ครอบครัวใหญ่ กินใช้ร่วมกัน เงินกระเป๋าเดียวกัน ครอบครัวเดี๋ยวนี้เขาก็แยกกันผัวเมียพ่อแม่ใช้เงินคนละกระเป๋า แต่ของพวกเรากลับไม่ใช่เลยใช้ร่วมกันและแต่ละคนไม่ได้เจตนาจะมาแย่งชิงกันเอาเปรียบเอารัดใครได้มากกว่าใคร ใครเป็นคนที่เอาเปรียบใครไม่ได้เกี่ยงไม่ได้มานั่งคิดเล็กคิดน้อยอะไรอย่างนี้สบาย มีความละอาย มีเจตนารมณ์ มีความเข้าใจด้วยปัญญาว่าอะไรควรหรือไม่ควรอะไรดีหรือไม่ดี เราก็ทำแต่สิ่งที่ดี ในนี้เขาทำอะไรกันดีๆ เราทำไม่ดีก็จะมีความละอาย มีความสำนึก มีหิริโอตตัปปะจริงๆเลย ซึ่งเป็นสุดยอดแห่งความรู้ ซึ่งเป็นสุดยอดแห่งความจริง..เอาน่ะ..พากันให้พิสูจน์ต่อไป
สู่แดนธรรม…พ่อท่านเคยบอกว่าจะเข้าสู่อัมพัฏฐสูตรที่เข้าสู่ความเสื่อม 4 ประการ
พ่อครูว่า…พอพระพุทธเจ้าพูดกับอัมพัฏฐะจนเขาจำนนว่าจรณะวิชชาเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นในอนาคต จรณะวิชชานี้จะเสื่อม
ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ ๔
ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่
4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน?
- ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.
[164] 2. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สอง.
[165] 3. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้วบำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สาม.
[166] 4. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง ๔ นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม ฝเราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สี่.
ดูกรอัมพัฏฐะ ทางเสื่อมแห่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้มีอยู่๔ ประการดังนี้.
[167] ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์ย่อมปรากฏในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้บ้างหรือไม่?
ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากับอาจารย์เป็นอะไร วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมเป็นอะไร ข้าพเจ้ากับอาจารย์ ยังห่างไกลจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้.
2 ข้อแรกไปแสวงหาอาจารย์อยู่ในป่าเพราะเชื่อว่าอาจารย์ที่มีวิชชาและจรณะอยู่ในป่าเหมือนกับทุกวันนี้ที่เห็นว่าต้องเป็นพระป่าพระปฏิบัติ แม้ไปเจอผู้อยู่ในป่าแล้ว ก็ปฏิบัติอยู่ในป่า จะเจออาจารย์คนใดในป่าก็หลงอาจารย์คนนั้นและบำรุงอาจารย์คนนั้นอยู่ในป่าก็ไม่บรรลุ เมื่อไม่บรรลุอยู่ในป่าก็ต้องสร้างวิหาร สร้างเรือนโรงเรือน มุขสี่ด้านในทางสี่แพร่งเพื่อดักคนเลี้ยงตนเอง พร้อมกันนั้นก็บำเรอไฟจุดไฟ เหมือนกับผู้ที่หลงผิดไปมีอัคคียัญ สิญจนยัญ เหมือนพระป่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้ อาตมาว่าเหมือนทุกวันนี้เลย เขายึดมั่นถือมันอย่างนี้เลย เดี๋ยวนี้หนักกว่าสมัยพระพุทธเจ้าด้วยไปสร้างอยู่บนยอดภูเขาเลย คนเห็นก็รู้สึกทึ่งเลย มีพระที่มีบารมีมากสร้างได้ยากเย็นเลยนะนี่ ไม่มีบารมีสร้างไม่ได้นะ ยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์ใหญ่เลยสร้างมาอย่างลำบากลำบนอย่างนี้เป็นต้น เสร็จแล้วก็เหมือนกับเดียรถีย์ทั้งหลาย ใช้น้ำเป็นสื่อใช้ไฟเป็นเสื่อ แล้วประยุกต์ในการใช้ไฟ ในโบราณนั้นใช้แค่ควันกับเปลวไฟ ใช้น้ำมันเปลวน้ำมันเนยแล้วก็มีไส้จุดเป็นเปลวไฟ ควันก็ใช้กำยานโรยไปในไฟ หรือใช้ข้าวสารเผา ใช้ขี้เลื่อย แต่ตอนหลังนี้ก็ประยุกต์ เอาน้ำมันมาปั้นเป็นแทงเป็นเทียนจุดเปลว ส่วนควันก็เอาขี้เลื่อยเอาอะไรมาปั้นเป็นธูป มีทุกชนิดต่างๆธูปของคนจีนมีขนาดใหญ่เบ้อเร่อเลย มีพวกรดน้ำมนต์ก็ใช้น้ำเป็นสื่อ ก็ไปเข้าใจว่าวิญญาณเป็นอัตภาพที่ติดต่อกันได้ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่
สรุปแล้ว 2 ข้อหลังนี้เต็มรูปเลย ทั้งสร้างความเก่งความใหญ่ สร้างวิหาร ตึกสร้างอาคารเป็นนครวัดนครธม เป็นอะไรก็แล้วแต่ เข้าใจว่านั่นแหละคือพระโพธิสัตว์ต้องแสดงเรื่องใหญ่เรื่องยาก สร้างวิหารใหญ่เป็นบุโรพุทโธ นครวัดนครธมเป็นต้น คล้ายๆกับสร้างทัชมาฮาลอย่างนั้นเป็นเรื่องโลกีย์ไปเลย แต่อันนี้บอกว่าเป็นเรื่องของศาสนา พวกนครวัดนครธมสร้างปราสาท สร้างวิหาร บุโรพุทโธอะไรอย่างนี้เป็นต้น เพื่อให้คนทึ่งนับถือว่ามีบารมี ซึ่งมันก็ดูขลังเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ซึ่งมันไม่ใช่ง่ายเลยนะที่จะสร้าง ถ้าไม่มีเงินทอง ไม่มีความเชื่อถือศรัทธาที่จะใช้คนมากเพียงพอก็ทำไม่ได้ก็สร้าง แต่เสร็จแล้วคนเหล่านี้ไม่มีวิชชาไม่มีจรณะ เพราะว่าไม่มีวิชชาจรณะเป็นอาจารย์ที่อยู่ในป่า ทั้งสร้างวิหาร สร้างอาคารที่มีมุขสี่ด้านในทางสี่แพร่งจุดบูชาไฟ พากันทำไปเป็นเดรัจฉานวิชา ท่านเหล่านั้นเป็นอาจารย์ที่เสื่อมไม่มีวิชชาไม่มีจรณะ แต่ผู้ที่หลงผิดก็จะต้องบำเรออาจารย์ผู้นี้อยู่เท่านั้นแหละ
คำว่าบำเรอก็ดี สรุปแล้ว ทั้ง 4 ข้อเป็นความเสื่อมและความผิด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่ศาสนายังไม่เสื่อมเลยนะบอกไว้ก่อนว่า 4 ข้อนี้จะเป็นความเสื่อมต่อไปในอนาคตซึ่งเดี๋ยวนี้มีไหม สร้างมุขสี่ด้านในทางสี่แพร่งก็ธัมมชโยไง มีรถไปต้อนคนรับส่งคนเข้าไปเตรียมพร้อมหมด ทันสมัยหมด ใช้วิธีแบบสมัยใหม่เยอะด้วย
_นิมนต์จิบน้ำ
_สมณะเดินดิน…ค่านิยมชาวพุทธทุกวันนี้คนก็จะมีความนิยมสิ่งเหล่านี้อยู่ในจิตใจ ใครแน่จริงต้องไปอยู่ป่า เธอก็จะปรากฏในวิชาสมบัติและคณะสมบัติอันยอดเยี่ยมนี้หมายความว่าอะไร อาจารย์ ปรากฏในวิชาจะสมบัติเจริญนะสมบัติเด่นชัดแต่พยายามใช้พยัญชนะไม่ผิดแต่ฉันแปลกใจมากเลยแปล ฟังแล้วมันไม่ค่อยรู้เรื่องอย่างว่า อาตมาแปลคำว่า
พ่อครูว่า…
[167] ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์ย่อมปรากฏในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้บ้างหรือไม่?พ่อครูว่า…หากให้อาตมาแปล ก็จะแปลว่า เธอและอาจารย์มีวิชชาสมบัติและจรณะสมบัติอย่างที่ว่านี้หรือไม่ มันง่ายๆอย่างนี้ ตรงนี้ก็เลยกลายเป็นย่อมปรากฏ ปรากฏก็คือเห็น มีสภาวะจริงนั้นขึ้นมาปรากฏ แต่ท่านไม่กล้าแปลอย่างนี้เท่านั้นแหละ…
ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากับอาจารย์เป็นอะไร วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมเป็นอะไร (แปลตรงๆคือ ข้าพเจ้ากับอาจารย์ไม่รู้หรอกว่าวิชชาจรณสมบัติที่ว่านี้คืออะไร?) ข้าพเจ้ากับอาจารย์ ยังห่างไกลจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้.
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แหละ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น บ้างหรือไม่?
ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ และไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ จึงถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่า ด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บ้างหรือไม่?
ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้ๆ บ้านหรือนิคม แล้วบำเรอไฟอยู่ บ้างหรือไม่?
ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนไฟที่มีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่า ผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง ๔ นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง บ้างหรือไม่?
ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอกับอาจารย์เสื่อมจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ด้วย และคลาดจากทางเสื่อมของวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ๔ ประการนี้ด้วย.
พ่อครูว่า…สรุปว่าแม้ความเสื่อมทั้ง 4 อย่างคุณก็ยังไม่ปฏิบัติเลย ที่คุณเป็นพราหมณ์มหาศาลหรือยังต่ำกว่านั้นอีก
[168] ดูกรอัมพัฏฐะ ก็พราหมณ์โปกขรสาติอาจารย์ของเธอได้พูดว่า สมณะโล้นบางเหล่าเป็นเชื้อสายคฤหบดี กัณหโคตร เกิดแต่บาทของพรหม ประโยชน์อะไรที่พวกพราหมณ์ผู้ทรงไตรวิชาจะสนทนาด้วย ดังนี้ แม้แต่ทางเสื่อม ตนก็ยังไม่ได้บำเพ็ญ ดูกรอัมพัฏฐะความผิดของพราหมณ์โปกขรสาติอาจารย์ของเธอนี้เพียงใด ถึงพราหมณ์โปกขรสาติกินเมืองที่พระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทาน พระองค์ยังไม่ทรงพระราชทานพระวโรกาสให้เข้าเฝ้าหน้าพระที่นั่ง เวลาจะทรงปรึกษาด้วย ก็ทรงปรึกษานอกพระวิสูตร ดูกรอัมพัฏฐะ ไฉนเล่าจึงไม่พระราชทานการเข้าเฝ้าต่อหน้าพระที่นั่งแก่เขาผู้รับภิกษาที่ชอบธรรม ซึ่งพระราชทานให้ ดูเถิดอัมพัฏฐะ ความคิดของพราหมณ์โปกขรสาติอาจารย์ของเธอนี้เพียงใด.
พ่อครูว่า…โปกขรสาติพราหมณ์ นั้น เป็นพราหมณ์อยู่ในเมืองนะแล้วก็จะสรรเสริญการปฏิบัติแบบพระป่า แล้วก็เลยดูถูกพระพุทธเจ้าว่าไม่ได้ปฏิบัติแบบพระป่า
[169] ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงช้างพระที่นั่งหรือรถพระที่นั่ง จะทรงปรึกษาราชกิจบางเรื่องกับมหาอำมาตย์ หรือพระราชวงศานุวงศ์แล้วเสด็จไปประทับอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งจากที่นั้น ภายหลังคนชั้นศูทรหรือทาสของศูทรพึงมา ณที่นั้นแล้วพูดอ้างว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ตรัสอย่างนี้ๆ เพียงเขาพูดได้เหมือนพระราชาตรัสหรือปรึกษาได้เหมือนพระราชาทรงปรึกษา จะจัดว่าเป็นพระราชาหรือราชมหาอำมาตย์ได้หรือไม่?
ข้อนี้เป็นไม่ได้ พระโคดมผู้เจริญ.
ส.เดินดิน สรุป จบ