630830_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ประชาธิปไตยแนวใหม่ที่ใครๆก็ไล่ไม่ทัน
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/14ays–TUs2Iy1jLuBdODJROoITXPHlrL-I7HAAMlrBw/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1EoFkEJwcd1gqkXsH1ZcN6pxYhqHL0yEe/view?usp=sharing
และยูทูปที่
สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้สถานการณ์โควิดทั่วโลกก็ยังแย่ลง ที่ใกล้ๆประเทศไทย มีประเทศพม่าโควิดก็กำลังระบาด ประเทศไทยจึงต้องระวังมากเพราะจะมีคนจากพม่ามีเข้ามาประเทศไทยตามช่องทางธรรมชาติได้
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 28-29 ส.ค. 2563
คนวรรณะ 9 คือคนสุดยอดนักประชาธิปไตยแท้
_แก้วตะวัน พวงบุบผา : น้อมกราบนมัสการพ่อครูค่ะ..กราบชื่นชมลุงจำลองที่ปฏิบัติตนเป็นคนวรรณะ 9 อย่างเด่นชัด แม้มีตำแหน่งสูง ก็ยังปฏิบัติแบบเดิมเสมอต้นเสมอปลาย คนดีที่เข้าใจเรื่องวรรณะ 9 ก็ชื่นชม …อยากเรียนถามพ่อครูว่า ถ้าปฏิบัติได้เป็นบางข้อ (1-2 ข้อ)จะเรียกเป็นคนวรรณะ 9 มั้ยคะ หรือต้องปฏิบัติให้ครบทั้ง 9 ข้อ ถึงจะเป็นคนวรรณะ 9..กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า…ก็ได้เป็น เป็นน้อยๆ ข้อ 1 สุภระ ข้อ 2 สุโปสะ ข้อ 1 เป็นผู้เลี้ยงง่าย กินอยู่หลับนอนง่าย ไปง่ายมาง่าย ไม่ดื้อไม่ขัดแย้ง ไม่ทำอะไรให้วุ่นวาย ทีนี้ถ้าเผื่อว่าพากเพียร ขยันพัฒนาให้เจริญงอกงาม เจริญในด้านต่างๆขึ้นมาก็เรียกว่า สุโปสะ เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย คือทำให้เจริญได้ง่าย
อันที่ 3 กล้าจน อัปปิจฉะ ชอบแต่มีน้อยๆ ในความน้อยที่สุดคือ 0 เอา 0 ไม่เอามากกว่า 0 แต่ไม่เอาน้อยกว่า 0 มันจะติดลบ ตัวจบคือ 0 คนที่อยู่ในระดับ 0 ได้ จนอยู่ในระดับ 0 อย่างเช่น ชาวอโศกสบายแล้ว เป็นมนุษย์ที่ได้พัฒนามาจน มีคนเอาคุณธรรมระดับคุณวิเศษ เป็นได้ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าเลยในวรรณะ 9
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
เป็นผู้ใจพอ ใจพอ ไม่ใช่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ถ้าไปถามบิลเกตเขาจะพอใจในทรัพย์สินที่ตนเองมีอยู่ไหม เขาก็พอใจ หรือแม้แต่คนที่รวยที่สุดในโลกไปถามเขา เขาก็จะพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ 500 ล้านล้านหรือว่า 5 ล้านล้านล้านอะไรอย่างนี้เขาก็พอใจอยู่ เพราะฉะนั้นแบบนี้แปลตีกิน เบี้ยวบาลี
สันโดษ แปลว่า ใจมันพอ แล้วก็สนับสนุนที่ว่า มักน้อย คือน้อยก็พอ แต่มากแล้วพออันนี้ไม่เข้าท่า แต่น้อยอย่างไม่ทรุดโทรม เจริญได้
ในหลวงร.9 เอาคำว่า พอ มาตั้ง คำว่า เศรษฐกิจพอเพียง เดี๋ยวนี้ก็ยังทำความเข้าใจกันไม่ค่อยได้ทั่วโลก ผู้บริหารได้รับอันนี้แล้วเอาไปใช้เป็นของตัวเอง คำว่า พอเพียง ภาษาไทย บาลีก็คือ สันโดษ ที่จริงพอเพียงก็ยังอนุโลม ที่จริงๆแล้วสันโดษมันคือพอ หยุดมันไม่เอามากกว่านี้ ไม่เอากว่านี้ มันพอจริงๆ มันอิ่มเต็มที่แล้ว ใส่เข้าไปนี้อ้วกออกมาแน่ ใจมันหยุดใจมันพอ มันเป็นความประเสริฐของมนุษย์จริงๆ มันยืนยันความประเสริฐของมนุษย์ที่รู้จักพอ ใจพอ เพราะฉะนั้นยิ่งมีน้อยก็พอ นี่เป็นเรื่องของเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งกำลังต้องขยายความเลย ซึ่งเขาไม่เข้าใจสัจจะพวกนี้ แล้วปฏิบัติไม่ได้ จึงต้องแย่งกันเพราะมีกิเลส แต่ผู้ที่มามีคุณธรรม คุณวิเศษ มีใจพอ นอกจากใจพอแล้ว เงื่อนไขมีข้ออื่นๆต่อไปอีก เสร็จแล้วก็มาขัดเกลาตัวเองอีก ยังมีอะไรบกพร่องก็ขัดเกลาตัวเองทั้งกายวาจาใจ ด้วยหลักเกณฑ์ศีล สมาธิ ปัญญา
ธูตะ ปฏิบัติศีลเคร่งที่ทำให้เจริญขึ้นเรื่อยๆ ศีลที่ได้แล้วก็เป็นศีลที่สูง ที่เคร่ง แต่ผู้ที่ปฏิบัติได้แล้วก็จะไม่เคร่ง ปฏิบัติโดยไม่ยาก สบายมากปกติหายห่วง ทำได้แล้วก็มีศีลที่สูงขึ้นก็เป็น อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา สูงขึ้นไปได้อีก เท่าที่มันจะสูงที่สุดได้ จึงเรียกว่าเป็นผู้ที่เจริญไปตาม ธูตะ พอทำได้แล้ว อาการกาย วาจา ใจ ก็เจริญดีขึ้น เป็นอาการที่น่าเลื่อมใส ปาสาทิกะ ปาสาทิโก
แล้วก็เป็นตัวตัดสินอย่างดีเลยจากนั้น ไม่สะสม อปจยะ ตัวนี้เป็นเครื่องยืนยันเลย เป็นคนที่ถ้าพอจนถึงขีด 0 ได้แล้วไม่สะสมอีก คนนี้มี 0 ไม่สะสม ยิ่งมีระบบสาธารณโภคีส่วนกลางตัวเองไม่ต้องสะสมให้ลำบากเลย มีแต่ใช้กับกองกลาง ใช้เหลือก็เอาไปคืนกับกองกลาง เราก็ว่างสบาย สบายจะตาย ที่พูดนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นลิ้น ไม่ใช่พูดโก้ๆ แต่มันเป็นจริง ไม่สะสมแต่ยอดขยัน วิริยารัมภะ ตัวสุดท้าย ตัวที่ 9 แปลว่า ปรารภความเพียร ท่านประยุทธ์ท่านแปลว่า ระดมความเพียร คือมีความเพียรอยู่เสมอ อุตสาหะวิริยะ ไม่ดูดาย ขวนขวาย ถึงเวลาขยันก็ขยัน ถึงเวลาควรจะพักก็พัก
คุณสมบัติสูงสุดของมนุษย์ คือ สมรรถนะและความขยัน อันนี้เป็นคุณสมบัติคุณธรรม อันนี้แหละคือทรัพย์แท้ของมนุษย์ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ไปไหนก็อยู่ได้ดีเพราะมีความรู้ความสามารถและความขยัน คนที่มีแต่ความรู้ความสามารถแต่ไม่ขยันก็ไม่ใช่ทรัพย์ ขยันแต่ไม่มีความรู้ ขยันเลอะเทอะก็เสียหายอีก เพราะฉะนั้นต้องมีเงื่อนไขหลักคือมีความรู้ความสามารถจริงๆแล้วก็ขยัน อันนี้แหละคือทรัพย์สมบัติสูงสุด แล้วไม่ต้องสะสมอะไร มีระบบอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นศาสตร์ที่ครบบริบูรณ์ถ้วนรอบบริบูรณ์จบเลย
คุณสมบัติในวรรณะ 9 นี่แหละ เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ต้องให้ครบ 9 หรือเปล่าคนที่ถามมา ถึงจะเป็นวรรณะ 9 ก็ต้องครบรอบสิ ก็บอกอยู่แล้วว่า 9 จะมีวรรณะ 2 วรรณะ 3 วรรณะ 4 ก็ยังไม่ครบได้สิ จะต้องขยักเอาไว้ทำไม ปฏิบัติไปได้อันนั้นอันนี้ทีละน้อยแม้จะไม่เต็มที่ก็ไม่เป็นไร ฝึกไปก็เป็นไป ก็เจริญด้วยอาการที่น่าเลื่อมใสก็ดีขึ้น
ธูตะ สัลเลขะ ก็จะเจริญขึ้นตามหลักเกณฑ์ของ ศีล สมาธิ ปัญญา ธูตะ ส่วนสัลเลขะก็ประพฤติขัดเกลากาย วาจา ใจ ขึ้นไปให้ดีเรื่อยๆก็จะจบที่ อปจยะ วิริยารัมภะ
ยิ่งใหญ่จริงๆ สังคมคนแบบนี้อาตมาพาชาวอโศกทำได้ อาตมาพูดตรงนี้นิดนึง อาตมาพาคนทำได้ เป็นร้อยเป็นพัน ถ้านับทั่วประเทศก็น่าจะเป็นหมื่น เป็นแสนก็อาจจะถึง อาจจะเป็นประเภทเหยาะแหยะก็นับไปอาจจะได้ 50 ปีทำมาน่าจะได้ถึงแสนคน แต่มันเป็นเนื้อแท้ เป็นคุณวิเศษแท้ คุณธรรมแท้ของพุทธ ซึ่งไม่เหมือนสามัญมนุษย์ธรรมดา มันยิ่งกว่า สามัญชาวโลกีย์ที่เขาทำ เขาทำไม่ได้ ทำได้แล้วจิตใจก็ไม่ได้ฝืนไม่ได้ยากไม่ได้ลำบากใจ เป็นตัวจริงอัตโนมัติ เป็นตถตา เป็นสัจจะที่พิสูจน์ได้ มีคนทำได้จริงๆแต่มันยากจริงๆ ยากอย่างไรมันก็ทำได้
อาตมาถึงบอกว่าเหนื่อยๆ แต่เหนื่อยก็ต้องทำ เพราะมันจะเป็นการกอบกู้สังคมมนุษยชาติที่มันเลวมันแย่เต็มที จากอำนาจกำลังทุน กำลังอำนาจ กำลังอาวุธเพื่อที่จะล่าบริวารล่าพลเมือง พวกเราไม่ใช้อาวุธ ไม่ใช้อำนาจ ไม่ใช้เงินทอง ไม่ใช้อะไรที่จะไปทำเป็นเครื่องมือเป็นองค์ประกอบในการที่จะทำให้มนุษย์เกิดอย่างนี้ เอาปัญญาความจริงใจ เอาอิสระเสรีภาพ ความยินดีพอใจและปัญญาที่เห็นจริง ให้ไปแล้วให้คุณตัดสินทำเองและฝึกฝนจนคุณทำได้เองเป็นเอง มันจึงเป็นเรื่องศรัทธาที่แท้ถาวร มันไม่มีใครบังคับเลย มันเป็นอิสระและคุณก็เห็นด้วยปัญญาความฉลาดว่ามันดีจริงๆ ได้แล้วก็ดีจริงๆ คนอื่นเราก็เห็นได้ว่าดีมันเป็นความรู้ความฉลาด มันเป็นสิ่งดีที่ประเสริฐที่วิเศษจริงๆ เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ยั่งยืน เป็นเรื่องที่ถาวร ไม่มีเปลี่ยนแปลง ถ้าได้แล้วยิ่งสบาย ได้แล้วก็เป็นปกติแล้วได้โดยไม่ต้องฝืนเป็นอัตโนมัติเลย ใช้เจตนาแล้วก็ใช้พลังงานเกินกำหนด มันก็เป็นไปอัตโนมัติได้ ซึ่งมันเป็นคุณธรรมที่พุทธเจ้าตรัสไว้หมดแล้ว อาตมานำมาขยายความไปก็น่าจะหมดแล้วจะเหลือตกลงเป็นเศษเล็กเศษน้อยในรายละเอียดพวกนี้ แต่หลักใหญ่อาตมาอธิบายไปแล้ว
พวกเราอยู่อย่างสาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา
พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ
เราใช้น้อยได้ยิ่งดี ไม่ได้คิดว่าเราเสียเปรียบเลย เราไม่ได้เป็นผู้ที่เปลืองผลาญ แต่ไม่ต้องทรมานตนเองให้เสื่อมสุขภาพ เสื่อมแรงงานคุณภาพ ก็ให้มันได้เต็มที่ตามสมควร อย่างได้สัดส่วนดีมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นสังคมมนุษย์ เป็นพฤติกรรมมนุษย์ที่เป็นจริงเกิดจริงอยู่ในโลก
สาธารณโภคีก็จะมีหลักเกณฑ์ที่จะเจริญขึ้นไปเป็นปลายเปิดเป็นศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา สองหลักใหญ่ วรรณะ 9 กับสาราณียธรรม 6 เอาไปตรวจสอบความเป็นมนุษย์ได้เสมอ ทั่วโลกเลย มีหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบ คุณจะเรียกในชื่อของระบอบประชาธิปไตยแบบเผด็จการหรือว่าระบอบคอมมิวนิสต์ อันนี้คลุมหมดเลย คุณสมบัติอันนี้ได้หมด เป็นคอมมิวนิสต์อย่างสุดยอดคอมมิวนิสต์ เป็นประชาธิปไตยอย่างสุดยอดประชาธิปไตย เป็นเผด็จการก็สุดยอดเผด็จการ โดยไม่ต้องไปทำอะไรกับเขา ควบคุมบังคับตัวเอง คิดได้แล้วไม่ต้องควบคุมบังคับ มันเป็นอัตโนมัติ เป็นเอง นั่นแหละจบ
ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์มีเป้าหมายสูงสุดเหมือนกัน ก็คือเพื่อมวลประชาชน เพื่อสังคมคอมมูน ก็คือมวลชน ประชาธิปไตยก็ใช้พยัญชนะ 2 อย่าง 2 คำ อย่างเช่น ประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ มันก็เหมือนกัน ความต้องการหรือเป้าหมายสำคัญทั้งการอยู่ร่วมกันด้วยประชาชนที่อยู่กันอย่างสงบสุข ซึ่งมันมีสัจจะความจริงว่า คนทุกคนแต่ละคน 2 คนขึ้นไปมันมีอะไรเท่ากัน มันมีมากมีน้อยเท่านั้นมันต่างกันหมด แต่ความน้อยความมากเรานั้นต่างคนต่างมีข้อด้อยของตัวเองแล้วอย่าให้มันรับไป
ต่างคนต่างตีความด้วยความฉลาดของตนว่าเอาอะไรมาสร้างมาอาศัย มากิน มาใช้ แล้วเราก็ทำก็สร้างกันอยู่อย่างนี้ เราก็ทำให้มีขึ้นมาอาศัยเกิดขึ้นแล้วก็มีตั้งอยู่แล้วก็มีดับไป เสื่อมไป มันก็หมุนเวียนในวัฏฏะอยู่ 3 ข้อนี้เป็นหลักของไตรลักษณ์
ในคน หากรู้รวมรู้จบอย่างที่อาตมาพูดไว้ มันเป็นความเจริญความสบายความประเสริฐ ซึ่งทุกคน อาตมาว่า ถ้าเขาทำได้ ถ้าเขามีปัญญา มันต้องมาเอาอันนี้หมด แม้ว่ายังทำไม่ได้แต่มีปัญญา มีความฉลาดรู้อันนี้เขาก็จะพยายามมาเอา ทำได้แล้วแม้ไม่มีปัญญา คุณอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก คุณทำได้แล้วไม่ยอมมา ดีไม่ดีคุณต้องปฏิบัติน้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน แม้ว่าไม่รู้ภาษาสมมุติ แต่มันรู้ว่าอย่างนี้ทำได้อย่างนี้ ทำแล้วมันสบาย ก็จะมาอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่เรื่องยาก
อาตมาว่าอาตมาได้นิยาม คำว่า ประชาธิปไตย เอาไว้นานแล้ว จนถึงทุกวันนี้ นิยามไว้แล้วแต่ก็ยังเข้าใจกันไม่ค่อยได้และทำกันไม่ค่อยได้ไม่เป็นไร ให้พิสูจน์ความจริงไปเรื่อยๆ
ประชาธิปไตยสูงสุดก็คือ บรมภาวะสุดประเสริฐ 5 ประการ อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ
ฝรั่งเศสเขามี อิสระเสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ เขามี 3 มันไม่ครบหรอก
อิสระเสรีภาพ ไม่มีใครบังคับใคร เป็นประชาธิปไตยสุดยอด และก็ไม่ใช่อิสระเสรีภาพที่มีอัตตาเป็นตัวขับเคลื่อนเป็นของเสียหาย ไม่ใช่ อิสระเสรีภาพไม่ใช่แบบมีตัวกูของกู แต่เป็นอิสระเสรีภาพที่ไม่มีตัวกูของกู ภราดรภาพก็เป็นผู้น้อย สันติภาพเป็นความสงบไม่ใช่เงียบอย่างซื่อๆไม่รับรู้อะไร แต่สงบอย่างไม่มีตัวกวนคือกิเลสมาวุ่นวาย อยู่กันอย่างอบอุ่นสนุกสนานอย่างดีทีเดียว
เราทุกคนมีสมรรถภาพมี ความสามารถความรู้มีสิ่งที่เป็นพฤติกรรมของแต่ละคนไม่ใช่ คนอยู่เปล่าๆไม่ใช่ตัวตนคนขี้เกียจไม่ใช่งอมืองอเท้า ไม่ใช่มาแฝงเกาะกินอยู่กับเพื่อนไม่ใช่ แต่เป็นคนขยันมีสมรรถภาพทำอยู่ตลอด และเกิดความเจริญขึ้นก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆมีบูรณภาพ บูรณภาพตัวนี้เป็นปลายเปิด ที่มันเกิดในทุกๆปัจจุบันไปหาอนาคต มันเป็นเหตุปัจจัยที่ไม่เที่ยงทุกองค์ประกอบของ status quo สถานะปัจจุบันนานๆไปเรื่อยๆโลกก็ขับเคลื่อนไปเรื่อยๆ องค์ประกอบมันไม่ได้คงเดิมตลอดหรอก มันไม่เท่าเดิม มันอาจจะคล้ายกันมากๆก็ได้ในรายละเอียด เราจะต้องหมุนสมองให้ทันสมัย ต้องพร้อมที่จะบูรณะให้ดีขึ้นทุกๆปัจจุบัน ทุกองค์ประกอบ จึงเรียกว่า บูรณภาพ อาตมาเลือกคำอยู่นาน กับพ่อของคุณศิรินี่แหละ ก็ได้คำ integrity มาใช้เป็นคำบูรณภาพ
5 คำนี่แหละ คือเงื่อนไขหลักของความเป็นประชาธิปไตย อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ
สมรรถภาพเรามีไม่เสื่อมหรอก และมีบูรณภาพตลอดเวลาไม่มีตกต่ำ สันติภาพก็มีเงื่อนไขสำคัญว่ามันเรียบร้อยไม่ได้เดือดร้อนวุ่นวาย เป็นคุณสมบัติสำคัญในสังคมนั้นจริงๆ อิสระเสรีภาพก็เป็นของบุคคล ภราดรภาพก็เป็นส่วนรวมครบแล้ว ยังมีค่าเงื่อนไขอื่นถ้าจะเอาอีกถ้าเป็นประชาธิปไตยอาตมาเขียนมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว ในหน้าปกของเราคิดอะไรก็เขียนมาพูดมาแต่งออกเป็นกวีเรื่องประชาธิปไตยไม่รู้กี่บท ถ้าหยิบเอามาอธิบายก็จะอธิบายได้ตั้งเยอะ คำว่าประชาธิปไตยในความหมายที่อาตมารู้ ก็ยืนยันว่าอาตมาพาพวกเรานี้เป็นนักประชาธิปไตยตัวเอ้
พวกเราเป็นนักประชาธิปไตย ตัวเอ้ คือ นักประชาธิปไตยตัวสำคัญ อาตมาเองอาตมาภาคภูมิใจว่าพวกเรานี้แสดงความเป็นประชาธิปไตย โดยที่อาตมารู้อยู่กับตัวเองเป็นผู้ที่พาทำแต่อาตมาไม่ใช่เป็นตัว เบ่ง อวดใหญ่ยิ่งอะไร แล้วพวกเราก็ฉลาด พวกเราก็เข้าใจเต็มใจทำ ตั้งแต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดที่อาตมายืนยันจนทุกวันนี้ที่เขายังไม่เข้าใจ ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศไทย
ความเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่คือประชาชนปฏิวัติ ประชาชนทำรัฐประหาร ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจกันทั้งโลก แล้วประชาชนปฏิวัติประชาชนรัฐประหารอย่างไร ด้วยมือเปล่าประชาชน ไม่ใช้ความรุนแรงเลย ไม่ใช้อาวุธเลย ประหารรัฐบาล เราทำมาทางรัฐบาลทักษิณรัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย รัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เราไปร่วมทั้งนั้นแต่เราไม่เสนอหน้าไปเด่นดังขึ้นป้ายอะไร เหมือนกับตัวแฝงอยู่เท่านั้นเองแต่เราเป็นตัวหลักมาตลอด แล้วก็ยืนยัน นอกจากจะเอาความสงบและความไม่รุนแรงเป็นอาวุธธรรมาวุธสำคัญแล้ว อะไรอีก
ความจริง เอาความจริงมาเป็นธรรมาวุธสำคัญ ความจริงอะไร ก็คือรัฐบาลคุณผิดนะ คุณชั่วนะ คุณทำไม่ถูก คุณออกไป นั่นคือการประหารรัฐบาลออกไป จนเขาจำนนเอาหลักฐานเอาความจริงมาอ้างอิงยืนยัน ..ยาวให้เป็นเย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ.. สิ่งเหล่านี้อาตมาเป็นคนกำหนดภาษาพูดทั้งนั้น แม้แต่ในโบรชัวร์
_นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
_สมณะฟ้าไท…พ่อครูนำคนที่ต่างกันมาอยู่ร่วมกันได้อย่างเจริญดีด้วย
พ่อครูว่า…พูดแล้วเหนียมๆเหมือนคุยตัว..แต่ไม่ใช่ อาตมาอยากยืนยันเป็นวิชาการว่านี่แหละคือความเป็นประชาธิปไตย แม้แต่ประเด็นที่อาตมาพูดว่าประชาชนปฏิวัติ ประชาชนไปทำรัฐประหารด้วยมือเปล่าไม่มีอาวุธ และชนะด้วยชนะคนมีปืนมีระเบิดมีอำนาจมีทุกอย่างเขาเป็นรัฐบาลเขามีกองทัพอยู่ในมือเขาสั่งได้อะไรต่างๆนานา แต่ประชาชนเอามือเปล่านี้ไปปฏิวัติได้คนก็ไม่เชื่อ ว่าเอามือเปล่าไปปฏิวัติคนมีปืนผาหน้าไม้ระเบิดมีกองทัพ มันเป็นเรื่องที่ทวนกระแสอย่างยากยิ่งเลย
ที่อาตมาพาทำมันใหม่มาก แปลกมาก มันเป็น Pioneer เป็นหัวเจาะ เพราะฉะนั้นจึงต้องพยายามใช้สันติอหิงสา ซื่อสัตย์บริสุทธิ์คมลึกแม่นประเด็น
เราเรียกว่า NEO PROTEST ปฏิบัติการชุมนุมประท้วงแนวใหม่
ประท้วงคือไปคว่ำคุณ คือกบฎหากแพ้ จนกระทั่งเราเคยไปถวายฎีกา เป็นเรื่องใหม่มาก หอบไปเอาเข้าวัง เจ้าหน้าที่ก็เอากลับมาอีก เงอะๆงะๆ เจ้าหน้าที่ก็ไม่เคยเห็นประชาชนปฏิวัติ เป็นฎีกาของประชาชนปฏิวัติมันมีด้วยหรือ ประชาชนทำรัฐประหารสำเร็จมันมีด้วยหรือ เจ้าหน้าที่เขาก็ไม่มีความรู้เขาก็จะเอาไปทูลเกล้าถวายอย่างไร พลเอกปรีชาเอาไป อยู่ที่หน้าวัดพระแก้ว เสร็จแล้วเอาไปเขาก็เอาคืนมา เราก็กลับไปนั่งชุมนุมประท้วงกันใหม่อีก และอำนาจเขาก็ฟื้นขึ้นมาอีกเป็นหลายนอมินี มีอีกหลายตัวแทนจนกระทั่งเราชุมนุมเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงามสุภาพ คนอื่นๆก็คงจะมีหลักฐาน เราก็มีหลักฐานแค่นี้ ใครมีหลักฐานก็เอามารวมกันหน่อย เราไม่มีรุนแรงเลย ไม่มีถึงขั้นตาย เริ่มตั้งแต่เราเข้าไปอยู่ในทำเนียบ แล้วก็พวกพันธมิตร แกนนำต่างๆ ประชาชนไปล้อมไว้ ฝนก็ตก จนกระทั่งค่อยๆขยับไป ปักหลักเข้าไปอยู่ในทำเนียบรัฐบาลเลย โอ้โห มีหลักฐาน ซึ่งมันเป็นพลังของประชาชน เป็นพลังของความจริงเป็นพลังของความถูกต้อง
ความถูกต้องชนะ เป็นเรื่องที่ยังยากที่เข้าใจว่า มือเปล่าเอาแต่ความจริง เอาแต่ความสงบจะเอาไปปฏิวัติปืนผาหน้าไม้กำลังทหารกำลังอาวุธต่างๆนานา พูดเหมือนกับตลก
_สู่แดนธรรมว่ามี sms เขาพูดมาต่อว่า…เฮ้อ ผู้ปฏิบัติธรรมจะไปเป็นเครื่องมือของเผด็จการทำไมไม่เข้าใจ?
พ่อครูว่า..ใครเผด็จการ เขาหมายถึงใคร? เราไม่ได้ไปทำให้ทหารยึดอำนาจ เราเป็นคนยึดอำนาจต่างหาก ถ้าคนนี้ไม่เข้าใจ แค่คำว่าเผด็จการคือใคร คืออะไร เขาไม่รู้ และการใช้พลังอำนาจประชาชน นี่คืออะไร ที่เขาพูดอาตมาว่ายังไม่เข้าใจภาษาคำว่าประชาธิปไตยหรือเผด็จการเลย ประชาธิป ไตยของเขาอยู่ที่ไหนยังไม่รู้ เขาคงมี concept ของเขา แต่ที่เรานิยามไป ประชาธิปไตยคือจะมี อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ
คุณสมบัติประชาธิปไตยเป็นเช่นนี้ ความไม่มีตัวตนนี่เป็นสุดยอดประชาธิปไตย มีความเสียสละด้วยตายเป็นตาย ไม่ได้กลัวชีวิตที่จะหมดไปเลย ไม่ได้เห็นแก่ตัวเลย มีแต่เห็นแก่ประชาชนและมีปัญญา ประชาธิปไตยต้องมีปัญญา มีปัญญารู้ว่าสิ่งที่ควรที่สุด ดีที่สุด สมควรที่สุดนั้นคือขนาดไหน ซึ่งอันนี้แหละมันอยู่ในฐานของสถานะปัจจุบันนั้นๆ status quo มันไม่คงที่มันไม่เที่ยง องค์ประกอบของสถานที่เวลามันไม่ได้เหมือนกัน แต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกันแต่ละคณะก็ไม่เหมือนกัน แต่ละกาละ โอกาสก็ไม่ได้เท่ากันเหมือนเดิมทุกอย่าง ต้องใช้ปฏิภาณปัจจุบันใช้ความฉลาดรู้ปัจจุบันรู้องค์รวม กับสิ่งที่มันเป็นพลังอำนาจของอธิปไตย
คำว่า อธิปไตย คืออำนาจ รวมแล้วกับของประชาชน ต้องเข้าใจองค์รวมของโลก เดี๋ยวนี้เป็นโลก globalization แต่เราต้องตัดกรอบเอาแต่ละปริเฉทไป ไม่ใช่เอาทั้งหมดเลย เรารู้ว่าเราจะทำขนาดไหน เราก็ทำอย่างของเราใกล้ๆขยายออกไปก่อน แล้วรูปร่างของความจริงที่จะเกิดขึ้น
บอกได้เลยว่า อาตมากำลังพาประชาชนคนไทยสร้างประชาธิปไตยอยู่เรื่อยๆขณะนี้ บอกได้เลย Neo ประชาธิปไตย เป็นประชาธิปไตยแนวใหม่ ที่คนยังไม่รู้จัก เป็นแนวที่อาตมาเข้าใจแล้วพาทำ แล้วยืนยันว่าชาวอโศกนี้คือสังคมประชาธิปไตย ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ยิ่งใหญ่แต่ตัวเล็กนะ คือมันยังมีน้อย แต่มันเป็นพฤติการณ์ของประชาธิปไตยของมวลชนชาวอโศก ซึ่งมี อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ อย่างจริง แล้วเป็นคนเสียสละอย่างจริงๆเลย และเป็นคนมักน้อยแล้วก็มีความไม่สะสมแต่ขยันหมั่นเพียรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่แค่ 5 เงื่อนไขหลักนี้อย่างเดียวและยังมีอย่างอื่น เราก็อยู่อย่างสงบสบาย เรื่องในชุมชนเราไม่มีเรื่องเดือดร้อนอะไร มีแต่เรื่องสุขสำราญเบิกบานใจฟ
_สติพล จนพัฒนา : คนสมัยก่อนผมตั้งข้อสังเกตที่เขาบรรลุธรรมง่ายเพราะเขามี”สัญชาตแห่งคนตรง”ไม่เฉโกตีกินเหมือนคนบางคนหรือหลายคนในสมัยนี้ครับ. /
พ่อครูนิยามประชาธิปไตยไว้
จุดถึงใจมีคุณธรรมนำประสงค์
มีหลักการที่สอดคล้องต้องจำนงค์
สรุปลงตรงที่มีน้ำใจและเสียสละ
พ่อครูว่า…น้ำใจกับเสียสละก็เป็นคุณสมบัติของประชาธิปไตยจริงๆด้วย
_ดวงใจ เจี๊ยบ : ขอถามพ่อครูดังนี้ค่ะ
1) แนวเทวนิยม ได้แก่การบนบานศาลกล่าวแล้วสมหวัง แล้วพ่อครูบอกประมาณว่าเป็นจริงได้แต่ไม่เที่ยง จึงไม่ใช่สัจธรรม ดังนี้แล้วเราสามารถอาศัยแบบไม่ยึดมั่นถือมั่น คือวางอุเบกขาได้ หรือว่าเราไม่ควรอาศัยมันเลยค่ะ_
พ่อครูว่า…ตอบว่าไม่ควรอาศัยมันเลย ของพุทธเจ้านี้จะต้องพึ่งตนเอง
2) พ่อครูบอกว่าเราไม่ควร “ขอให้” ให้กับใคร แต่เน้นให้ผู้นั้นปฎิบัติให้ถูกต้อง แล้วกรณีอหิงสกะ(องคุลีมาลหลังบวช)ได้ขอให้หญิงตั้งครรภ์พ้นภัย ถ้าเช่นนี้แล้วถ้าข้าพเจ้าจะขอให้ญาติของข้าพเจ้าพ้นภัยตามบารมีที่ข้าพเจ้ามีอันน้อยนิดบ้างจะมีผลบ้างหรือไม่ค่ะ กราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า…อย่าเลย อย่าไปริอ่าน อย่าไปเอาอย่าง ถ้าเราเองจะมีบารมีช่วยใครได้เขาเห็นว่าเราจะได้บารมีจากคนนี้ ซึ่งจริงๆก็คือการได้คุณธรรมทำความดีตามผู้นี้แล้วเราก็ได้ทำตามแล้วเป็นผลสำเร็จอันนั้นแหละคือบารมี แต่อันนี้มันไม่ใช่ ขอให้คนนี้ แล้วก็ไม่รู้ว่าคนนี้ช่วยอย่างไร คนนี้ก็เลยนึกว่าได้พลังงานพิเศษ อิทธิฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ อย่างนี้ศาสนาพุทธไม่ส่งเสริม
สู่แดนธรรม…พระองคุลิมาลก็ไม่ได้พูดว่าขอ แต่เขาแปลว่าขอหรือเปล่า
_วาส ทองจันทร์ : กราบนมัสการพ่อครูครับ เสียงพ่อครูชัดเจนดี แต่เสียงอาแป้งฟังไม่คอยรู้เรื่อง. สาเหตุคงจะเป็นเพราะเวลาพูดไส่แมสปิดปากนั้นเองครับ
_ฐปะนีย์ บุราไกร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพยิ่งเจ้าค่า ลูกไปพบข้อความว่า สัจจนิครนถ์ ยกตนข่มพระพุทธเจ้า ลูกจึงขอกราบอาราธนาพ่อท่านไขข้อความดังกล่าว ในแนวตื้นและแนวลึกด้วยเจ้าค่า กราบนิมนต์พ่อท่านเจ้าค่า
พ่อครูว่า…ในพาหุง 8 ก็พูดอยู่
สู่แดนธรรมว่า…สัจจกนิครนถ์ เขาเป็นคนหลงตัวเองว่าเป็นคนโต้วาทีเก่งแม้แต่เสาก็ยังสั่นไหวให้กับเขาเลย ก็เลยอยากจะมาวัดฝีมือกับพระพุทธเจ้าอีกก็เลยอยากจะไปท้าโต้วาทะ แต่เขามีความฉลาด อยากรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างไรก็ไปเลียบเคียงถามก่อน ไปถามลูกศิษย์พระตถาคต ถามว่าทุกสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมาโดยมากนั้น สอนทุกวันสอนว่าอะไร พระอัสสชิก็เลยตอบว่า อนิจจัง ไม่มีตัวไม่มีตนอะไรประมาณนี้ อนิจจังทุกขังอนัตตา
เขาก็เอาประเด็นว่ามีตัวมีตนไปเถียง
พระพุทธเจ้าก็โต้ตอบจนเขาไปไม่เป็น เช่น ถ้าหากเป็นตัวตนของคุณจริงต้องสั่งให้คุณไม่เป็นเจ็บป่วยไข้คุณสั่งได้ไหม สัจจกนิครนถ์ก็เลยไปไม่เป็น
_วันทิพย์ ปุญญาศิริโรจน์ : คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจคำสอนที่เป็นแก่นแท้ ๆ ของศาสนาพุทธ แม้แต่ตัวดิฉันเองก็เพิ่งจะเริ่ม ๆ ได้เห็น ได้ฉุกคิดขึ้นมาบ้าง ก็เพราะได้ฟังธรรมของอโศกนี่ล่ะค่ะ
พ่อครูว่า…จริงๆมันเป็นเรื่องใหม่แต่จริงๆมันก็เป็นเรื่องเก่าตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า แต่เขาไปยึดมั่นถือมั่นในเรื่องของโลกีย์มั่นแล้ว เราเอาสิ่งที่เป็นโลกุตระเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามคนละขั้วกับที่เขายึดถือเลย มันก็เลยนึกไม่ออก ทีนี้ เราอธิบายแต่เขาก็อาจจะเข้าใจได้แต่ถ้าไม่มีคนรองรับคนพิสูจน์ได้จริงเขาก็จะไม่เชื่อ ดีนะที่พวกเรามาปฏิบัติพิสูจน์จึงยืนยันได้ไม่ใช่แค่คนเดียว 2 คนไม่ใช่แค่ 5 คน 10 คนจะได้ร้อยคนพันคนหมื่นคนอะไรอย่างนี้ มันก็มากขึ้นต่อไปจะเป็นแสนคนล้านคนไปได้เรื่อยๆ คนก็จะต้องเห็นจริง อาตมาก็มั่นใจว่าสิ่งที่เราได้แล้วนี้
ถ้าอาตมาถามพวกคุณตอนนี้เลยว่า สิ่งที่พวกคุณได้แล้วเป็นคุณสมบัติ เช่นคุณมาจนคุณมากินมื้อเดียว ไม่ต้องมีเงินทอง และคุณก็ขยันสร้างสรรค์ สร้างอะไรได้ก็เอาไปให้เขาว่ามันดีนะ ดีกว่าเราเอาไปของเขามาแล้วไปเอาเปรียบเราได้เสียสละให้เขานี่มันดี มันชัดเจน จริงๆ เราได้เป็นผู้ให้มันดี ไปเอาเปรียบเขามามันเลว เป็นเรื่องชัดๆ ได้เปรียบเขามามากก็ยิ่งเลวมาก มันชัด อาตมาว่าพูดง่ายๆอย่างนี้ไม่เห็นจะยากอย่างไรเลย แล้วมันก็สบายเราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เราก็ขยันสร้างสรรค์ แม้เราจะเจ็บป่วย คนอื่นก็ร่วมสร้างสรรค์ไป เราก็พึ่งพาอาศัยกัน เราก็พึ่งพากันได้พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ ตายแล้วก็เผาให้กันได้ อันอื่นขึ้นมาทดแทนจะมีรุ่นใหม่ๆขึ้นมาเติม โดยมีคุณสมบัติเก่าอย่างนี้แหละ ยิ่งพัฒนาคุณสมบัตินี้ให้ดีมากยิ่งขึ้นด้วย มันมีพัฒนาการมีคุณสมบัติคุณธรรมที่วิเศษดีขึ้นเรื่อยๆ มันจึงเป็นเรื่องที่ยั่งยืน ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส อาตมาก็เอามาร้อยเรียงไว้ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
_ดี-เด่น ขนมไทยลูกชุบ : เฮ้อๆๆๆๆๆๆๆๆ ผู้ปฎิบัติธรรม จะไปเป็นเครื่องมือของเผด็จการทำไม ไม่เข้าใจ
พ่อครูว่า…เขาก็เข้าใจว่าเราส่งเสริมใครที่เป็นเผด็จการ แล้วเขาเข้าใจว่าตัวเขาเองเป็นประชาธิปไตย เขาบอกว่าเขาไม่เข้าใจ อาตมาก็บอกว่าใช่แล้วที่เขาไม่เข้าใจ เขาพูดเป็นคำเยาะๆเย้ยๆมา ก็คือใช่คุณคงอีกนานที่จะเข้าใจ อาตมาก็ไม่มีคำขยายความอะไรมากกว่านี้ เพราะมันแสดงอยู่แล้วว่าคุณไม่เข้าใจและคงไม่เข้าใจได้ง่ายๆอาตมาก็คงไม่ขอเสียเวลาที่จะอธิบาย
_นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
_ส.ฟ้าไท…ทหารที่ออกมาปฏิวัติ เขาเป็นตัวแทนประชาชน
_*จากรายการโสเหล่โลกุตระ* สม.เทียนคำเพชร : ในสังคมยุคปัจจุบัน พ่อครูได้นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาทำกับมนุษย์ยุคปัจจุบันที่เป็นชาวอโศกได้ ก็เพราะพ่อครูไม่มีส่วนได้ประโยชน์ให้แก่ตัวท่านเอง ท่านไม่มีตัวตน แล้วพาชาวอโศกให้มาลด ละ เลิก ความติดยึดในสิ่งที่ชาวเขาต้องการ(กิเลส) จนเป็นคนที่มีอิสระเสรีภาพ ไม่เห็นแก่ตัว จึงมารวมกลุ่มกัน ได้เสียสละแรงงานและภาษีให้ส่วนกลาง ๑๐๐% เพราะเขาศรัทธาในความมีคุณธรรมสุดยอดของพ่อครู จึงเป็นสังคมประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบที่สุด ที่ชาวโลกจะต้องมาดูเป็นตัวอย่าง แต่เขาจะมารู้มารับได้ตอนไหนไม่รู้ได้ อาจเป็น 100-200-300 ปีข้างหน้าก็ได้ แต่พวกเราโชคดี มารับได้ตอนที่พ่อครูมีชีวิตเป็น ๆ ได้ฟังโดยตรงจากพ่อครู
ดิฉันเคยทราบจากข้อเขียนของพล. ต. จำลอง ศรีเมือง เมื่อตอนไปเรียน ปริญญาโทที่อเมริกา แล้วอาจารย์สอนที่เป็นชาวอเมริกัน ถามนักศึกษาในชั้นเรียนว่า “ระบอบการปกครองแบบไหนดีที่สุด” แต่ไม่มีใครตอบถูกตามที่อาจารย์บอกให้ฟังว่า ระบอบการปกครองดีที่สุดคือ “เผด็จการที่มีคุณธรรม” ดิฉันใช้คำแรงไปไหม ที่เทียบกับการปกครองของพระพุทธเจ้าว่าเป็นการปกครองแบบเผด็จการที่มีคุณธรรม เพราะหลักการดูแลหมู่คณะของพระพุทธเจ้าต้องมีศีล มีวินัย มีข้อวัตรปฏิบัติ เคารพกันตามคุณธรรม แต่ก็มีลำดับภันเต อาวุโส วัยวุฒิ คุณวุฒิ ซึ่งศีลวินัยข้อวัตรปฏิบัติก็ออกมาจากพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่ท่านก็ทำเพื่อมวลมหาประชาชน(พหุชนหิตายะ) เพื่อความสุขของมวลมหาประชาชน(พหุชนสุขายะ)และเพื่ออนุเคราะห์โลก(โลกานุกัมปายะ) ทุกคนเลยยินดีเต็มใจที่ปฏิบัติตาม ซึ่งสังคมยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ท่านก็ทำได้ในสังคมสงฆ์
พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าท่านตรัสได้ในยุคของท่านเพราะท่านอยู่ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์สมัยนั้นใหญ่จริงๆ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านก็ต้องตรัส อย่างเกรงใจกษัตริย์ จะไปตรัสอย่างเอาตัวเองโดดเด่นขึ้นมาไม่ได้ ต้องเกรงใจ ท่านก็เลยตรัสเรื่องอธิปไตย แปลว่า แรง แปลว่า อำนาจ
ท่านจึงตรัสอธิปไตย 3 โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย ธรรมาธิปไตย อธิปไตย 3 นี่คือแสดงความเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ โลกาธิปไตยคืออำนาจของส่วนรวมภายนอก อัตตาธิปไตยคืออำนาจในตัวเรา แต่ทีนี้ อธิปไตยอำนาจของโลกอำนาจของศูนย์รวมข้างนอกเป็นหลัก ไม่ใช่อำนาจของตัวเราเองเป็นหลัก ถ้าเอาอำนาจของตัวเราเองเป็นหลัก มันก็เป็นเผด็จการมันก็เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่ตามเดิม มันไม่ใช่
ในสมัยพระพุทธเจ้าจึงใช้คำว่าธรรมาธิปไตยเป็นตัวกลางไขความ ตามหลักศีลสมาธิปัญญาให้คนมีคุณธรรม คุณสมบัติ โลกานุกัมปายะ รับใช้โลก พหุชนหิตายะ ทำประโยชน์ให้มวลชน พหุชนะคือมวลประชาชนเป็นจำนวนมากส่วนใหญ่
พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) นี่แหละคือความเป็นประชาธิปไตยคือการรับใช้ประชาชนสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนสร้างความสุขให้แก่ประชาชน
พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ไขความว่า จริงๆแล้วความสุขกับความทุกข์มันเป็นเทวะเป็นคู่ อาตมาเอามาใช้ในยุคนี้ ในยุคพระพุทธเจ้ายังพูดไม่ได้เต็มที่จะให้เขาละความสุขก่อนไม่ได้ แม้ทุกวันนี้ยังต้องใช้ภาษาอนุโลมเลย ใช้คำว่าวูปสโมสุข สุขอย่างสงบ เรียบร้อย เอาเถอะมันจะมีอะไรชูใจบำเรอใจหน่อย คือความสุขละเอียดมันยังไม่หายไป ที่อธิบายไปมันมีทั้งความสุขความทุกข์ แต่อุเบกขาเป็นจิตสะอาดที่ไม่มีสภาวะ 2 เป็นสภาวะที่อาศัยอุเบกขาเป็นกลาง ไม่มีข้างความสุขความทุกข์ เป็นกลางๆ อาศัยอันนี้อยู่ ยืมภาษามาใช้ว่า ไม่สุขไม่ทุกข์ แต่ความจริงแล้วมันยิ่งกว่าความสุขยิ่งกว่าความทุกข์ มันไม่มีสุขไม่มีทุกข์เลย มันยิ่งกว่านั้นอีก แต่พยัญชนะมันหยาบกว่าสภาวะ พยัญชนะบอกว่าไม่สุขไม่ทุกข์ อุเบกขานี้ละเอียดเป็นเนื้อสภาวะละเอียดกว่าไม่สุขไม่ทุกข์ แต่มันเป็นคำที่อาศัยคำนี้เป็นสภาวะที่อาศัยภาษานี้อยู่ ถ้าตัวพยัญชนะอุเบกขานี่แหละ ท่านก็อธิบายขยายความว่า คือความบริสุทธิ์ บริสุทธิ์จากกิเลส
กิเลสกาม กิเลสอัตตา ไม่มีทั้งสองข้างไม่มีทั้งคู่ อย่างที่หยาบกลางละเอียดก็หมด นี่คือบริสุทธิ์ แล้วยิ่งบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นในองค์ 5 ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา บริสุทธิ์แล้วบริสุทธิ์อีก บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น ปริโยทาตา มีเหตุปัจจัยมากระทบสัมผัสจะมีลีลาไหนมาด้วยมุมเหลี่ยมไหนมาด้วยความจัดจ้านแบบไหน มาอีกก็ยังสะอาดตามเดิม
มุทุ ตัวธาตุจิต ยิ่งกว่าอธิบายเป็นสภาวะยากมาก จิตมีสภาวะสอง 1 แกนตั้ง 2 แกนเคลื่อ่อน หรือบวกกับลบ Static กับ Dynamic อยู่ในหนึ่งเดียวกันมี 2 อันนี้อยู่ แข็งแรงเด็ดเดี่ยวเก่งทั้งสองอันเลย ขยายความ 2 อย่างก็คือ
-
Dynamic 2. Static