630914_รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 8
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/19WpMaP2brC4aB5N1K83b7e3pcRYqf8_NkOzPI3zGZx4/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1HBWWWM-GLHrsVvlBY8NutXy2UNTJ8pCq/view?usp=sharing
ยูทูปที่
สู่แดนธรรม… วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563 ที่บวรราชธานีอโศก
พ่อครูว่า …
_ฟ้ารัก :
พ่อสอนลูกพ้นวัฏฏะละสังสาร.
พระผู้ผ่านสยังอภิญญาช้าสมัย.
นำลูกหมาย ผลอรหัตต์ เป็นฉัตรชัย.
บวรไข พุทธพจนา สาราณียธรรม.
ขอน้อมกราบคารวะ นมัสการพ่อครู ด้วยความเคารพสุดเศียรเกล้า…
_คนบ้านราช : กราบนมัสการค่ะ พ่อครูที่เคารพอย่างสูงยิ่ง
๑) แต่ก่อนพ่อครูพูดถึงเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและแบบบุญนิยม ดิฉันก็พอเข้าใจถึงข้อแตกต่างของทั้งสองแบบ แต่ก็ยังไม่ชัดเจนลึกซึ้ง
แต่พอพ่อครูพูดประโยคสั้น ๆ ว่า “ความเจริญทางเศรษฐศาสตร์ของคุณ คือแบบเอามากๆ หรือเสียสละล่ะ” ดิฉันจึงเข้าใจชัดเจนมากขึ้น คือ
เศรษฐกิจดีในความหมายของนายทุน ที่มีความโลภมาก มีความเห็นแก่ตัวมาก ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของคนอื่น เป็นแบบ “มือใครยาว สาวได้สาวเอา” ใครได้เปรียบมากก็ถือว่าเศรษฐกิจดี ใครเสียเปรียบและขาดแคลนก็ถือว่าเศรษฐกิจไม่ดี เมื่อมีคนรวยมากที่สุด ก็มีคนจนมากที่สุดเช่นกัน
แต่เศรษฐกิจดี คือแบบอาริยะชน ผู้มีจิตใจสูง มีใจเสียสละ คิดถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเมตตาธรรม ไม่เห็นแก่ตัว ไม่สะสมกักตุน แต่แบ่งแจก เสียสละ เอื้อเฟื้อแบ่งปันกัน
ดังนั้น จึงไม่มีใครรวยล้นฟ้า และไม่มีใครจนเหลือหลาย ทุกคนมีอยู่มีกิน อุดมสมบูรณ์เสมอหน้ากัน
พ่อครูว่า …จะให้คนไปรวยเท่ากันจะได้อย่างไร แต่ถ้ามาลดให้คนจนเท่ากันอย่างนี้ทำได้ จะให้ไปรวยเท่ากันอย่างนั้นเมินเสียเถิดอย่าคิดถึง การไปทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มันเป็นความโง่หรือความฉลาด อาตมาทำเศรษฐกิจของชาวอโศกสำเร็จแล้ว เรียกว่าพัฒนาเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์แบบพุทธสำเร็จแล้วทุกวันนี้สบาย เป็นเศรษฐกิจสาธารณโภคี สร้างที่จิตใจ ให้จิตใจมีวรรณะ 9 จิตใจมีความมักน้อย อัปปิจฉะ จิตใจมีใจพอ สันตุฏฐิ มีน้อยๆไว้ คนไหนน้อยมากได้ คนนั้นเศรษฐกิจดีแล้วอยู่ดีกินดีสบาย แล้วมีใจพอ ไม่สะสม อปจยะ ด้วย วิริยารัมภะ ยอดขยัน ปรารภความเพียรอยู่ตลอดเวลาสร้างสรร นี่คือเศรษฐกิจดี
การเข้าใจเศรษฐกิจดี คือการไม่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ถ้ายังมีความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวเรียนให้ตายพัฒนาเศรษฐกิจให้ตายก็ไม่มีทางสำเร็จ เป็นสมบัติผลัดกันชม มันไม่จบไม่หยุดหรอก แต่การมาพัฒนากันเป็นคนจนเฉลี่ยกันทั่วถึงได้ จะมีพอทั่วถึงกัน แต่การแย่งกันรวยไม่มีทางพอทั่วถึงกัน
๒) ตามที่พ่อครูกล่าวว่า
“ชาวอโศก เป็นตัวอย่างนักประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ที่สุดของโลก” นั้น
ดิฉันเห็นจริงตามนั้น ชาวอโศกพยายามดำเนินรอยตามอย่างพ่อครู ซึ่งไม่มีอัตตาตัวตน รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ให้อิสระทางความคิดแก่ทุกคน ไม่ใช้อำนาจเผด็จการกับใคร ทุก ๆ กิจกรรมที่พ่อครูพาทำก็เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนเป็นสำคัญ ตามคำจำกัดความที่ว่า “ชาวอโศกเพื่อมวลมนุษยชาติ”
หมดเนื้อที่ /กราบนมัสการค่ะ/คนบ้านราช
พ่อครูว่า …คนทั้งหลายในโลกโลกีย์นั้นน่าสงสาร พูดแล้วก็เหมือนหลงตัวเอง ศาสนาพุทธนั้นหมดโศกหมด เข้าใจยาก มันจะหมดความสุขได้อย่างไร ปรมังสุขัง มันคือยิ่งกว่าสุข นี้ เขาไม่รู้จัก อาการของจิตที่ยิ่งกว่าสุข ที่เป็นอาการอุเบกขา แม้แต่ศาสนาของศาสนาเทวนิยมก็ไม่รู้จักความหมดสุขหมดทุกข์ เขาจะไม่รู้จักอาการนี้ แล้วเหตุที่ไม่ต้องสุขต้องทุกข์คืออะไร ก็คือเหตุที่ต้องโง่และอวิชชา จิตที่ยังไม่รู้สมบัติโลก ไม่รู้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขในโลก ไม่รู้ความสุขความทุกข์ในโลก เมื่อดูอาการนี้อารมณ์นี้ของโลกที่มีความหลงความสุขความทุกข์อยู่ ดับความสุขความทุกข์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความสุขเป็นมายา เป็นความหลอก เป็นนักมายากล ตัวนี้ชื่อว่าทุกข์ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตัดหัวใจของเจ้าทุกข์ ฆ่าเจ้าทุกข์ให้ตายสิ้นไม่เหลือ ฆ่าหมดไม่เหลือไม่ฟื้นจึงหมดทุกข์หมดโศก
_ลานนาอโศก ดญ.ดาวเพ็ญเพชร…หลวงปู่รู้ได้อย่างไรว่า ตรงหน้าผากของพระพุทธาภิธรรมนิมิตอันนี้เป็นกระดูกของพระพุทธเจ้า
พ่อครูว่า…แปลภาษาว่ากระดูกพระพุทธเจ้าคือพระบรมสารีริกธาตุ ถ้าหากเขาบอกว่าอันนี้เป็นพระบรมสารีริกธาตุ เป็นกระดูกพระพุทธเจ้า แล้วเราจะมีกระดูกพระพุทธเจ้าเอาไว้เพื่ออะไร เราพิสูจน์ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่เรายอมรับว่าเป็นกระดูกพระพุทธเจ้าเพราะยืนยันว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เป็นสิ่งสมมติเหมือนเทวนิยมเป็นพระเจ้า พระเจ้าเป็นสิ่งสมมุติอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ไม่เป็นคน ใครก็ไม่เคยเห็นใครก็ไม่เคยรู้จัก มันก็เลยเป็นสิ่งที่ลึกลับ พระเจ้าเป็นสิ่งที่ลึกลับ สัมผัสไม่ได้ มันมีจริงหรือเปล่า คำสอนนี้มาจากไหน คำสอนของพระเจ้า
ความลับของชาวเทวนิยมคือจริงๆแล้วคำสอนต่างๆ เป็นของพระศาสดาองค์ที่เป็นศาสดา ไม่ว่าจะเป็นพระเยซู พระมูฮัมหมัด เป็นศาสดา คำสอนที่ว่านั้น ก็เป็นของพระเยซูเองสั่งสมบารมีมาไม่รู้กี่ชาติ คำสอนของพระมูฮัมหมัดก็เป็นคำสอนของพระมูฮัมหมัดเองที่ได้อบรมสั่งสอนมาไม่รู้กี่ชาติ แต่ศาสนาเทวนิยมเขาไม่รู้ความเกิดความดับ เขาไม่รู้เรื่องของกรรมวิบาก เขาไม่รู้เรื่องวัฏสงสาร เขาไม่รู้ เขามีความรู้สั้นๆ เขาก็รู้แต่ว่าคนเกิดมาชาติหนึ่งตายปุ๊บก็ไปอยู่กับพระเจ้าแล้วแต่พระเจ้าจะให้อยู่สวรรค์หรือลงนรก เขามีความรู้สั้นๆอยู่แค่วงวัฏฏะความเกิดความดับ การตายของชีวิตเพียงชาติเดียว นี่คือความอั้นตู้ คือความรู้ที่อยู่ในกะลาครอบอย่างแท้จริง ไม่ออกไปจากนั้นก็รู้อยู่แค่นั้นในชาตินั้น
เพราะพระศาสดาเองก็มีอวิชชาในตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาได้ไม่รู้กี่ชาติแล้วสั่งสมความรู้จนเรามีความรู้ในขั้นที่มีบารมีเป็นพระศาสดาของศาสนาหนึ่ง ที่เป็นเทวนิยมได้ เขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น เสร็จแล้วก็เสื่อมเพราะมันไม่เที่ยงมันไม่รู้จักเหตุแห่งความเสื่อม เขาก็จะวนเวียนไปอีกหน่อยก็จะเหลิงแล้วเสื่อม
เขาจะไม่รู้จักเรื่องของ กาม และอัตตา ศาสดาบางองค์ไม่รู้จักเรื่องของกาม ก็เขาจะปล่อยให้ศาสดามีการมีเมียหลายคนได้ อะไรต่างๆนานา เขายังไม่รู้ชัด
_ด.ญ.พอเพียง…ทำไมตอนเพื่อนอยู่หนูก็ทะเลาะกับเพื่อน ทำไมตอนที่เพื่อนไม่อยู่หนูต้องคิดถึงเพื่อนด้วย
พ่อครูว่า…เพื่อนกันก็ต้องมีทะเลาะกันบ้าง ทะเลาะกันไม่รุนแรง ผู้ใหญ่จึงพยายามสอนอย่าให้ทะเลาะกัน มีการกระทบกระเทือนกระทบกระทั่งกันบ้างนิดๆหน่อยๆเป็นธรรมชาติ เพราะว่าคนเรายังมีกิเลส ยังถือเนื้อถือตัว ถือศักดิ์ศรีถือความคิดความเห็นอะไรก็แล้วแต่ ก็จะต้องมีความถือดี แย่งกัน ทะเลาะกันนิดๆหน่อยๆเป็นธรรมดา ถ้าไม่บรรลุสูงสุดเป็นพระอรหันต์ก็ยังจะมีการทะเลาะกับคนอื่นอยู่ แม้แต่เป็นอนาคามีก็ยังมีเล็กๆน้อยๆ แต่ก็น้อย อนาคามี สกิทาคามี ยิ่งถ้าเป็นพระโสดาบันก็ปากออกเยอะ จิ้มคนนั้นคนนี้อีกเยอะเป็นธรรมชาติ ก็มาเรียนรู้ลดกิเลสแล้วจะได้ไม่ทะเลาะกัน ดีแล้วล่ะมาอยู่ที่นี่และได้ศึกษาเรื่องนี้ ศึกษาและปฏิบัติตนเราจะได้ไม่ทะเลาะ อยู่ด้วยกันอบอุ่น ยังชาวอโศกอยู่ด้วยกันแม้จะมีทะเลาะกันก็เล็กๆน้อยๆไม่เหมือนข้างนอกเขาทะเลาะกันเอากันตาย ทะเลาะกันรุนแรงแต่ชาวอโศกไม่ แต่เขารู้สึกว่ายังมีการทะเลาะกัน นี่คือความรู้สึกของพวกเรามันยังไม่สงบ ยังมีการทะเลาะกัน แสดงว่าเรามีปัญญา
เป็นเพื่อนกันก็ต้องคิดถึงกัน มีการทะเลาะกันบ้างเป็นธรรมดา จริงๆแล้วการทะเลาะกันก็ได้ประโยชน์ แต่พูดแล้วเดี๋ยวจะเป็นการส่งเสริมการทะเลาะกัน มันก็จะเป็นการรู้ เป็นการเรียนรู้ในตัว ทะเลาะกันแล้วจะเกิดอะไรที่เสียหาย ทะเลาะรุนแรงทำร้ายกันก็เสียหาย แต่ทะเลาะกันขัดแย้งกัน ทะเลาะกันลดน้อยลงก็เป็นการขัดแย้ง แล้วก็ถกกัน สูงขึ้นก็ใช้คำว่าเถียงกัน ถกกัน อะไรดีกว่าอะไรไม่ดีกว่า อะไรไม่ดีกว่าก็ควรยอมแพ้ อะไรดีกว่าก็ควรจะเป็นผู้ชนะก็เป็นธรรมชาติ ไม่เช่นนั้นก็เลือกเป็นสิ่งที่ดีกว่าไว้เสมอเสมอไม่ได้ ก็จะไม่เกิดปฏิภาณปัญญาไหวพริบ
_ด.ญ.ลลิตา..ทำไมคนเรายิ่งโตยิ่งดื้อล่ะคะหลวงปู่
พ่อครูว่า..ดื้อดีไหมล่ะ ไม่ดี ก็ไม่ดี คนไปทำไม่ดีอยู่ก็คือคนโง่ ก่อนอื่นเลยมันต้องรู้ให้ดีอย่าดื้อ อย่าดื้อ มันดื้อมันโง่เราจะเป็นคนโง่หรือคนฉลาด อย่าไปดื้อ เป็นคนว่านอนสอนง่ายเป็นคนที่ไม่ต้องไปดึงดันทุรังอย่างนั้น
_ศาลีอโศก…ส.ลือคม…คราวที่แล้วเสียงขัดข้อง
_น้องอาม ถามว่า ทำไมต้องมีพระอาทิตย์พระจันทร์ ถ้าเป็นธรรมะจะหมายถึงอะไร
พ่อครูว่า…เอาอย่างนี้ทำไมหนูถึงมีพ่อมีแม่ โลกมันต้องมีสิ่งที่จะเกิดมา แล้วสิ่งที่มีเกิดมาคู่นี้นะ เรียกว่า 2 มีทั้งพระอาทิตย์พระจันทร์ มีพ่อมีแม่ มีผู้หญิงมีผู้ชาย มีถูกมีผิด มีดีมีชั่วมีโลกียะมีโลกุตระ สุดยอดละ เรียกว่าเทวะ ชาวอโศกสอนเรื่องสำคัญพวกนี้จะเข้าใจความเป็นเทวะ
คำว่าเทวะนี้เป็นคำเดียวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในมหาจักรวาล ใครเข้าใจคำว่าเทวะได้มากคู่ มันเป็นคำที่มี 2 อย่าง ใครเข้าใจได้ดี ว่าโลกเป็นของคู่ แล้วเข้าใจว่าเป็นเช่นนี้ ผู้หญิงกับผู้ชายมีดีกับชั่วมันต้องเป็นเช่นนี้ ก็ต้องเลือก แล้วเราก็ต้องเป็นได้สิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่ควรจะเลือก ควรจะพัฒนาไปสู่จุดที่ดีกว่า นี่คือความเจริญความยิ่งใหญ่
_ป้าเพียรเพชร …หลักประชาธิปไตย 10 ข้อของพ่อครู สามารถเทียบอธิปไตย 3 ข้อไหนได้บ้าง
พ่อครูว่า…ต้องลองมาจับดู ประชาธิปไตย 10 ข้อนี้ ถามว่าเหมือนหรือรวมกันได้กับอธิปไตย 3 ของพระพุทธเจ้า สรุปง่ายๆว่ามันเหมือน ขยายความอาจจะต้องอธิบายยาวจึงชัดเจนอธิปไตย 3 ก็ขออ่านอธิปไตย 10 ข้อ
-
งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล มีปัญญา
-
นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้
-
นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น)
-
นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว
-
นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ
-
นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน .
-
งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ .
-
นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ ๔) . .
-
นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม (นักการเมืองต้องเป็นอาริยบุคคลหรือเป็นอรหันต์)
-
งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยไม่ใช่งานเพื่อตัวเราเพื่อครอบครัวเพื่อหมู่พวกเพื่อพรรค แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมืองเพื่อประชาชนทั้งมวลเพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเองพ้นไปจากครอบครัวพ้นไปจากหมู่พวก แม้แต่พ้นไปจากพรรคของตน
_หมอเขียว…ตอนนี้ การพ่อครูวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองอย่างไรบ้าง
พ่อครูว่า…มันไม่มีอะไรมากหรอกเขาก็ต้องดิ้นไปตามประสาเขาหาเรื่อง ไม่อย่างนั้นเขาก็จะไม่มีประเด็นที่จะโชว์ออฟ การแก้รัฐธรรมนูญที่ 1 เสียเวลาเสียแรงงาน เหน็ดเหนื่อย
รัฐธรรมนูญไม่ได้มีปัญหามากหรอก ร่างมาฉบับไหนก็ดีทั้งนั้นแหละ ทำให้ดีตามที่รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับร่างไว้ ทำให้มันดีเถอะ จะให้ดีสมบูรณ์แบบนั้นมันไม่มีหรอกในโลก มันเป็นกิเลสเท่านั้น ถ้าจะมาถึงชมเชยอินเดียเขา รัฐธรรมนูญของเขา ก็ร่างไว้ ฉบับเดียวตั้งแต่เริ่มเป็นประชาธิปไตยของอินเดีย ดร. เอ็มเบ็ดก้า ร่างไว้ ฉบับนี้ฉบับเดียว ใช้มาตั้งกี่ปีแล้ว จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้เขาไม่เห็นเดือดร้อนเลยพลเมืองเขาเป็นพันกว่าล้าน แต่ประเทศที่ไม่ได้เรื่องคือประเทศไทย มันเป็นเรื่องของความไม่ฉลาด เป็นเรื่องของความอยากใหญ่อยากเด่นอยากดังหาเรื่องไป มันก็เลยไม่ได้เรื่องอะไร เพราะฉะนั้นเอาเวลานี้มาส่งเสริมกัน
ทุกวันนี้อาตมาก็พูด เรื่องของการเมืองไทยนี้มันลงตัวเรียบร้อย มันดีมากแล้ว ฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่ค้านไป ไม่ต้องไปดันทุรังแก้ไขรัฐธรรมนูญ คัดค้านในเรื่องเนื้อหาสาระสิ อันนี้เป็นหน้าที่ฝ่ายค้านในประชาธิปไตย ไม่ใช่คัดค้านเพื่อหาเรื่องทำลาย ถ้าอย่างนั้นไม่เจริญสักทีหรอกไปทำลายสิ่งที่มันเป็นโครงสร้าง เป็นหลักเกณฑ์แล้ว แล้วจะไปแก้ใหม่เรื่อยๆเมื่อไหร่จะได้ทำงานกันสักที คุณก็ค้านในเนื้อหาสาระการบริหารสิ อย่างนั้นถึงจะเจริญ
ผู้ที่ไม่ประสีประสาในเรื่องการเมืองประชาธิปไตยพวกที่ออกมาตอนนี้ หาเรื่องขุดค้นอดีตหาเรื่องเก่ามาพูดเละ ไม่รู้จัก status quo ของสังคม
ในยุคนี้พฤติกรรมการเมืองของไทย เรื่องเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ก็ดี มันเป็นอย่างไร มันจะดีกว่านี้อย่างไร ก็ต้องคิดถึงคำว่าเศรษฐศาสตร์ คำว่ารัฐศาสตร์ก็ตาม รัฐศาสตร์คือการบริหาร การบริหารดูแลปกครอง เพื่อที่จะให้เกิดความสงบ อยู่ดีกินดี
ก็มาอยู่ดีกินดีหมายถึงเศรษฐศาสตร์ ประกอบกับของรัฐศาสตร์ก็ทำอยู่ ที่นี้เศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจ ประเทศไทยก็ตามรัฐศาสตร์หรือการเมือง อาตมาก็ขอบอก พูดไปไม่รู้กี่ทีว่าลงตัวแล้ว การเมืองไทยทุกวันนี้เป็นประชาธิปไตยที่ดีเยี่ยมของโลก ลงตัวแล้ว ตั้งแต่คนยังไม่เข้าใจ พูดไปแล้วก็เหมือนกับเรารื้อฟื้นเอาดีใส่ตัว เพราะอาตมาไปร่วมเป็นประชาชนทำรัฐประหารประเทศไทย ทำรัฐประหาร ประเทศไทย พูดอย่างชัดเจนดูเหมือนใหญ่จริงๆ ประหารรัฐบาลทักษิณ รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยิ่งใหญ่มาก ประหารด้วยความสงบเรียบร้อยไม่ใช้อาวุธ ใช้ความจริง ใช้ความใจเย็น ใช้ความยาวให้เป็นเย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ ตามวิธีการประเสริฐของประชาธิปไตย จนชนะมาหมดเลยเรียบร้อย ลงท้ายเอาพลเอกประยุทธ์มารับหน้าที่บริหารปกครองจากประชาชน ประชาชนมาปฏิวัติรัฐประหารเรียบร้อยหมดแล้ว พลเอกประยุทธ์มารับหน้าที่ แล้วคนไม่รู้จักรัฐศาสตร์ไม่รู้จักประชาธิปไตย ไม่รู้จักการปฏิวัติของประชาชน ก็ไม่รู้ว่าประชาชนปฏิวัติแล้ว พลเอกประยุทธ์มารับไม้ต่อ เข้าไปบริหาร ประชาชนก็ไม่ได้ประท้วงพลเอกประยุทธ์
แต่ถ้าพลเอกประยุทธ์บริหารต่อไม่ดี ยกตัวอย่างอภิสิทธิ์ก็ตาม เขาก็จะประท้วงอีก หรืออย่างเช่น ยิ่งลักษณ์, สมชาย, สมัคร แน่นอนเขาก็ประท้วงกันแน่ แต่นี่พอดีพลเอกประยุทธ์มาบริหาร ก็เข้าตาประชาชน ทุกวันนี้ 5-6 ปีแล้ว พลเอกประยุทธ์บริหาร โพล ก็ยัง 80% อยู่นั่นเอง วันนี้ดูหนังสือพิมพ์คนก็ยังยอมรับพลเอกประยุทธ์ดีแล้ว แต่ที่เย้วๆๆ คือพวกเด็กอมมือ เด็กไม่เดียงสา ดิ้นไปด้วยความโง่ความไม่เดียงสา มันก็เป็นธรรมชาติอย่างนึงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมันก็ต้องเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นมันลงตัวแล้ว นี่คือความสงบเรียบร้อยของประชาธิปไตยที่มีความขัดแย้งอันพอเหมาะ ดีที่สุดแล้ว
_พิมพ์เพชรรุ้ง ..เมื่อวานได้ฟังพ่อครูบอกว่า พ่อครูได้รับสืบทอดจากพระพุทธเจ้ามาให้สืบทอดพระศาสนา ลูกมีความเห็นว่าเป็นความจริง ไม่ได้เชื่ออย่างงมงายแต่เป็นองค์ประกอบที่มีเหตุผลทำให้เชื่อ เชื่อโดยไม่ต้องเชื่อใครว่าเป็นจริง (อปรปฺปจฺจยา ญาณเมวสฺสเอตฺถ โหติ ฯ) พ่อครูว่ามีทีมงานมาช่วยงานพ่อครูด้วย พ่อครูถามว่าใครจะร่วมทำบ้าง คนก็ยกมือกัน
_ใบฟ้า …พ่อครูเคยบอกว่า ชาวอโศกมีความเป็นประชาธิปไตยสูงสุด พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) แต่ขณะเดียวกันคือต้องมีสาราณียธรรม 6 วรรณะ 9 แต่มีผู้ชมทางบ้านท่านหนึ่งบอกว่า น่าจะให้ชาวอโศกออกเผยแพร่ แต่พ่อครูว่า กาละนี้ ปริมาณชาวอโศกน่าจะไม่เพียงพอ
พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้า จะไปเอาอย่างพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ เพราะท่านพร้อมทุกอย่าง พอท่านได้พระอรหันต์ 60 องค์แรก ท่านก็บอกเลย เธอจงไปประกาศศาสนา อย่าไปซ้อนกัน แม้แต่ในที่หนึ่ง 2 รูป เพราะท่านเป็นอรหันต์หมดแล้วก็ไปได้ แต่ทีนี้ของอโศกไม่ได้อย่างนั้น ถึงแม้อโศกจะเป็นอรหันต์ จะปล่อยให้ไปเดี่ยวๆแบบนั้นไม่ได้ ต้องเอาองค์ประกอบในยุคสมัยในบารมีสู้พระพุทธเจ้าไม่ได้ แม้เราจะมีอรหันต์ แล้วส่งไป ถึงไม่ส่งไปเราก็ทำอยู่แล้ว เท่าที่บารมีจะมี เพราะฉะนั้น ที่พูดว่ายังส่งไปไม่ได้เพราะว่าเราทำที่เรานี่แหละ เป็นแหล่งสร้างอริยบุคคล สร้างโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ แล้วแต่ละคน ถ้าถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติสัมมาปฏิเวธมีผลจริง คนก็จะเป็นอริยบุคคลจริง เมื่อเป็นอริยบุคคลจริง ก็จะมีปฏิภาณปัญญารู้ว่าควรหรือไม่ควร เราควรจะช่วยหรือไม่ช่วย แล้วก็จะค่อยๆช่วยกันคนละไม้คนละมือไม่แย่งกัน แล้วก็ไม่เสียผล แต่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็พอเป็นไปไม่ต้องไปจัดสรรมัน
_ด.ช.ภูมิพุทธ…ทำไมเด็กๆต้องถือศีล 5 หรือครับ
พ่อครูว่า..ศีล 5 หลวงปู่จะตอบนะ แต่คำตอบของหลวงปู่จะถามย้อนไปก่อน ศีล 5 มีอะไรบ้าง..เด็กๆของชาวอโศกต้องรู้จึงจะถือศีล 5 ได้
ภูมิพุทธ…ไม่รู้ครับ
พ่อครูว่า..ศีลข้อที่ 1 คือห้ามฆ่าสัตว์ เคยได้ยินไหม (เคยครับ) นี่ ลืมไป พอพูดแล้วก็นึกขึ้นได้ ห้ามฆ่าสัตว์ เป็นศีลข้อที่ 1 เอาตัวอย่างข้อที่ 1 ไว้ก่อน
ถ้าเธอว่าเราต้องถือศีล 5 เราต้องปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้า
ท่านห้ามไว้ว่าอย่าไปฆ่าสัตว์ ถ้าเราฆ่าสัตว์ ดีไหม …ไม่ดี เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็สอน แม้แต่เด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม ท่านสอนให้ทำดี การฆ่าสัตว์เป็นข้อที่ 1 เลยที่ว่าไม่ดี เพราะฉะนั้นผู้ใดทำความไม่ฆ่าสัตว์ได้ คนนั้นเป็นคนดีที่หนึ่ง เพราะงั้นเด็กก็ตามผู้ใหญ่ก็ตามคนแก่ก็ตาม เป็นคนที่ไม่ฆ่าสัตว์ เป็นคนดีที่หนึ่งได้
ข้อที่ 2 ไม่เอาของที่ไม่ใช่ของของเรา ไม่ลักขโมย ไปเอาของคนอื่นมาหรือไปลักขโมยคนอื่นมาดีไหม (ไม่ดี) เพราะงั้น ศีลคือสิ่งที่จะต้องปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าท่านห้ามไว้อย่าไปทำมันไม่ดี ลักขโมยก็ไม่ดีเอาของคนอื่นก็ไม่ดีที่ไม่ใช่ของของเรา หรือเราไม่มีสิทธิ์จะไปเอา เพราะฉะนั้นก็จะต้องปฏิบัติ ถึงจะเป็นคนดี ทำไมต้องปฏิบัติศีล? เด็กต้องดีไหม…ต้องดี
ที่ถามหลวงปู่มาเมื่อกี้ ทำไมต้องถือศีล เด็กต้องเป็นคนดีไหม
ภูมิพุทธ…ต้องเป็นคนดีครับ
พ่อครูว่า…นั้นคือคำตอบ เด็กจะต้องเป็นคนดีจึงต้องถือศีล น่าจะเป็นข้อ 1 2 3 4 5 ล้วนแล้วแต่เป็นข้อห้ามไม่ให้ทำไม่ดีทั้งนั้น ถ้าทำได้ทั้ง 5 ข้อนี้ก็เป็นพื้นฐานจริงๆ
_ด.ญ.กล้วย…หนูจะมาถามหลวงปู่ว่า กิเลสคืออะไรคะ
พ่อครูว่า…กิเลส มาจากคำรากศัพท์ ภาษา เริ่มต้นๆเลยว่า กลิ แล้วก็ พัฒนามาเป็นภาษาว่า กิเลส
กลิ คืออะไร กลิ แปลว่าโทษ ภัย แปลว่าไม่ดี
พระพุทธเจ้ารู้ว่าคนเราไม่ดีเพราะมีตัวเหตุ ที่เป็นตัวไม่ดี ก็ต้องจัดการกับตัวนี้ เพราะฉะนั้นตัวนี้จึงชื่อว่ากิเลส ตกลงกิเลสคืออะไรเข้าใจไหม (กล้วย…ความไม่ดีค่ะ) หนูเข้าใจได้ ผู้ใหญ่จะเข้าใจไหมนี่ ถ้าไปทำสิ่งที่ไม่ดีเป็นสิ่งที่เป็นกิเลสไม่ดีทั้งนั้น ถ้าตัวไหนที่หนูรู้ว่าเป็นตัวไม่ดีแล้วหยุดนะ
_น้องบัว…น้องบัวไม่อยากตายค่ะ ..
พ่อครูว่า…เรื่องนี้ต้องพูดกันดีๆหน่อยเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าหากคนกลัวตายเห็นความตายเป็นเทวทูต พระพุทธเจ้าเจอเทวทูต 4 แก่ เจ็บ ตายและสมณะ ไม่มีเกิด เพราะว่าตอนนั้นไม่เห็นความเกิด เห็นแต่คนแก่คนเจ็บคนตายแล้วก็สมณะ
ทีนี้ คนที่รู้สึกว่ากลัวความตายมันเป็นเทวทูตชนิดหนึ่ง หลวงปู่ก็เคยรู้สึกเช่นนี้ กลัวความตาย พระพุทธเจ้าก็เห็นเทวทูต 4 เห็นความตายกลัวความตาย เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องเป็นเช่นนี้ด้วยหรือเราก็จะต้องตายด้วยหรือ พระพุทธเจ้าจึงมาค้นหาว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ตาย ได้คำตอบให้แก่น้องบัวแล้ว ก็ต้องเรียนคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ดี ฟังธรรมะจากหลวงปู่จากพี่จากน้องจากพ่อจากแม่ให้ดี แล้วก็จะเข้าใจความตายว่าคืออะไร
คนที่กลัว กลัวอะไรก็แล้วแต่ คือคนนั้นยังไม่รู้ว่าอันนั้นคืออะไร ถ้าเรารู้ว่าอันนั้นดีก็ได้เราจะไม่กลัว น้องบัวต้องศึกษาจากเพื่อนๆจากพี่ๆน้องๆจากพ่อแม่จากสมณะ สิกขมาตุ แล้วเราจะรู้ว่าความตายคืออะไร เมื่อรู้ว่าความตายคืออะไร แล้วน้องบัวจะไม่กลัวความตาย เพราะคนเราต้องตาย เกิดมาต้องตาย ไม่มีใครไม่ตาย เพราะฉะนั้นเราก็จะรู้ว่า อ๋อ เราต้องตายเนาะ
เพราะฉะนั้นก่อนจะตายนี่แหละสำคัญ เราจะต้องทำสิ่งที่ดี ดีๆๆๆ เอาไว้ก่อนตาย แล้วเราจะมี นิธิ นี่พูดกับน้องบัวนะ นิธิแปลว่าสมบัติ เป็นคลังสมบัติ
ที่แวะอธิบายนี้ เผื่อผู้ใหญ่ หากไปเรียกนิธิ ว่าเป็นบุญ แล้วเอาคำว่าบุญนิธิ ไปใส่ในพระไตรปิฎก บุญ เป็นนิธิไม่ได้ บุญนัันสะสมไม่ได้ บุญเป็นสมบัติไม่ได้
ในบาลีไม่มีบุญนิธิ ไปใส่เอาเอง บุญเป็นวิบัติ แต่นิธิ แต่ว่าสมบัติ บุญเป็นนิธิไม่ได้
น้องบัวไม่ต้องไปคิดถึงความตาย ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องคิดถึงความตาย เราพยายามที่จะร่าเริงเบิกบาน แล้วก็เรียนรู้ทำให้ดีๆสิ่งที่ดีๆ เสร็จแล้วไม่ต้องไปคิดถึงความตาย เราจะหาย เราได้สิ่งที่ดีๆและเราจะเกิดปัญญา จะรู้ว่าความตายเป็นสิ่งธรรมดาที่เราจะต้องเจอ ใครจะตายเมื่อไหร่ จะตายก็ตายถึงเวลาจะตายเราห้ามไม่ได้ เด็กก็ตายได้ผู้ใหญ่ก็ตายได้คนแก่ก็ตายได้ ต้องตาย เพราะฉะนั้นเราต้องจำนน รู้จักคำว่าจำนนไหม เราจะต้องยอมรับ น้องบัวรู้จักจำนนไหม (ดญ.บัว ว่า รู้จัก ค่ะ)
_ด.ญ.ดินสอ…หนูชื่อเฌอพัชญ์ หนูจะถามว่าหนูพูดไม่เก่งจะทำอย่างไรดีคะ
พ่อครูว่า…ถ้าอยากพูดเก่ง ต้องมาฟังธรรมะบ่อยๆ อ้าว ดินสอ น้องดินสอ หลวงปู่ขอถามว่า หลวงปู่พูดเก่ง …เก่งค่ะ ให้มาฟังหลวงปู่บ่อยๆ แล้วจะพูดเก่ง จบ
_การปั่นจักรยาน เป็นอุตุหรือพีชะ
พ่อครูว่า…การปั่นจักรยานเป็นกรรมกิริยาชนิดหนึ่ง เขาไปสอนให้ลิงปั่นจักรยานก็ได้ บางทีก็ให้ช้าง แต่ไม่ค่อยไหว
การปั่นจักรยานเป็นกิริยาชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นการปั่นจักรยานถึงจะต้องเกิดด้วยจิตหรือธาตุรู้ที่ต้องไปควบคุมกรรมกิริยาการปั่นจักรยาน เพราะฉะนั้นการปั่นจักรยาน อุตุเองปั่นไม่ได้หรอก อุตุ มีพลังงานในตัวมันเองก็ทำอะไรไม่ได้ มันไม่มีจิต การปั่นจักรยานต้องมีจิตนิยามเข้าไปร่วม เพราะฉะนั้นอุตุก็ไม่มีจิตเข้าไปร่วม พีชะก็ไม่มีจิตเข้าไปร่วม การปั่นจักรยานจึงเป็นอุตุไม่ได้เป็นพีชะก็ไม่ได้ การปั่นจักรยานจึงเป็นจิตนิยามทำเท่านั้น เป็นกรรมนิยามจริงๆ
_คนเราพอมีอายุมากขึ้นมีอาการหลงลืม จำอะไรไม่ได้เลย เมื่อถึงวันหนึ่งเขาเสียชีวิต ระหว่างที่เขาตายไปจนถึงเวลาที่เขาจะไปเกิด ระหว่างที่เขาตายไปจนถึงจะไปเกิด เขาจะมีอาการหลงลืมอยู่ไหม หรือว่าอาการหลงลืมสิ้นสุดเมื่อตอนที่เขาตายไปแล้วคะ
พ่อครูว่า…ถามลึกมากเลย ก็ตอบยากแต่พอตอบได้ คุณถามช่วงที่ระหว่างตาย ตายไปแล้ว ตอนก่อนตายอายุมากหลงลืม ตอนตายแล้วจะหลงลืมหรือไม่
ตอบ เขาจะไม่หลงๆลืม เหมือนตอนแก่ เพราะตอนแก่นั้นเขาใช้สรีระร่าง เพราะฉะนั้นมันสมองเขาเสื่อมเส้นประสาทเขาเสื่อม บางคนเป็นอัลไซเมอร์ สมองบางส่วนเสียจะเป็นอัมพาตเป็นอัลไซเมอร์ไป เป็นผลของความเสื่อมมันไม่คงที่ มีร่างกายมันก็เลยใช้ไม่ได้ เมื่อตายไปแล้วไม่มีร่างกาย จิตก็ทำงานของตัวเองเต็มที่ เพราะฉะนั้นความหลงลืมหายไป ความจำได้มีอยู่ จะแสดงอะไรออกมาทั้งกายกรรม วจีกรรมอะไรไม่ได้เลย ก็มีแต่จิต เพราะฉะนั้นก็เลยมีจิต ไม่หลงลืม มีเท่าไหร่ก็เท่าที่ของเรามี มา รีเซ็ตใหม่
ตอนเป็นๆ มันขึ้นอยู่กับร่างกายองค์ประกอบสรีระสมองของคนด้วย มันก็เลยใช้อุปกรณ์อันนี้ แต่เมื่อตายแล้วไม่ใช้อุปกรณ์พวกนี้มันก็เลยกลับไปเป็นมีเท่าไหร่ เราจะมีความรู้ที่ดึงมารู้ได้โดยไม่ต้องถูกพวกนี้ต้าน มาทำให้ใช้ไม่ได้ ก็กลับไปใช้เท่าที่มีได้เต็มที่เลย
_ถามว่า ใจเป็นประธานคืออะไรคะ
พ่อครูว่า…ความเป็นสัตว์เมื่อเริ่มต้นเป็นจิตนิยาม เป็นสัตว์ก็เริ่มมีใจเป็นประธานมีจิตเป็นประธาน เป็นจิตนิยาม จิตใจจะบงการตัวเอง เริ่มตั้งแต่เกิดมา จิตที่บงจิตที่บงการตัวเองนั้นคือตัวสัญญา ท่านเรียกเต็มๆว่าสัญชาตญาณ
ญาณ นี่แหละคือตัวรู้ของตัวเอง เป็นประธาน ญาณหรือจิตหรือสัญญา เป็นจิตทั้งนั้น ก็บงการตัวเอง เราไม่ต้องสงสัยเลย สัตว์ที่เกิดมาทุกวันนี้มันเป็นสัตว์ที่พัฒนาขึ้นมา ที่ยังไม่พัฒนาทำอะไรไม่เป็น ต้องไปดูสัตว์ใต้ทะเล ตั้งแต่เล็กจนถึงใหญ่มีหลายเซลล์ พูดไปแล้วเป็นเรื่องอจินไตย อธิบายไม่ไหว
สรุปแล้ว จิต ตั้งแต่เกิดเป็นสัตว์เป็นจิตนิยาม มันเริ่มต้นเป็นผู้บงการ บงการสรีระ ตั้งแต่มันเป็นจิตที่เริ่มเป็นพลังงานที่เป็นพืชยังไม่ใช่จิต พลังงานที่เป็นชีวะก็บงการในตัวมันเอง จนกระทั่งมาพัฒนาเป็นจิตนิยาม มันก็บงการใหญ่เลย เป็นจิตนิยามเป็นสัตว์ที่มันยังไม่ออกจากที่ จะเห็นได้ว่าสัตว์ใต้ทะเลหลายอย่างก็ยังไม่ออกจากที่ จนกว่ามันจะพัฒนาหลุดออกจากที่ได้มันก็เป็นอิสระ มันจะควบคุมตัวเองตั้งแต่มันไม่ออกจากที่ จนกระทั่งมันหลุดออกมาแล้วก็มีจิตเป็นประธาน ไปตามที่ตัวกิเลสเป็นตัวบงการเรียกว่าอวิชชา มันยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็ไปตามประสาของมัน มันมีตัวธาตุรู้ที่มันต้องการ แล้วมันก็จะค่อยๆวิวัฒนาการไป เป็นเรื่องอจินไตย สรุปแล้วตัวจิตเป็นประธานเพราะว่าเป็นตัวที่ควบคุมสัตว์ ตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียวเป็นสัตว์หลายเซลล์เป็นล้านเซลล์ คำว่าจิตเป็นประธานนี้ จึงเป็นพลังงานของอัตตา เป็นอัตภาพของแต่ละจิตนิยามตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวมา ไม่ใช่พระเจ้าเป็นประธานของจิตนิยามหรือของสัตว์ไม่ใช่ ตัวเราเองเป็นประธานของตัวเราเอง
_แซมดิน…ไมค์ไม่เปิด
_แบม มุกแสงธรรม…จากเยอรมันนี…เอาผลผลิต ข้าว และน้ำเต้ามาให้ดู ฟักทองด้วย
พ่อครูว่า…สนุกสนานกับการปลูกพืชผักให้เต็มโลกเลยเพราะอาหารเป็นหนึ่งในโลก
_แซมดิน…มีความเห็นที่ดีของดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ผมเลยขออนุญาตขยายต่อ
*สว. 250 คน มีสิทธิ์เลือกนายก
*คดีความ = ไม่มีวันหมดอายุ
*โกงกิน = ประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต
*ร่ำรวยผิดปกติ ฟอกเงิน = จำคุก 15-30 ปี +ยึดทรัพย์
*ห้ามโดยสารเครื่องบิน First Class ฟรี!
* บริหารประเทศเสียหาย = จำคุก 15-30 ปี
*เมื่อมีคดีความ = ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
_หนึ่งพุทธ…ผู้มีภูมิอนาคามี จะไม่กลับมาเกิดได้ยัง
พ่อครูว่า…มีได้ 2 นัย นัยที่ 1 หมายความว่า การเกิดเอาที่รูปร่างร่างกายตัวตน คนที่เป็นอนาคามี ตายไปแล้วตั้งจิตตัวเองว่าจะไม่กลับมาเกิดในร่างกายเป็นมนุษย์อีกได้ นี่ก็เป็นนัยยะหนึ่ง อีกนัยยะหนึ่ง เป็นโลกุตระ คือ ปัจจุบันนี้แหละผู้ที่เป็นอนาคามี คือผู้ที่เรื่องรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ที่เป็นกรรมกิริยา ภายนอก หรือโลกภายนอกหยาบๆ ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเป็นเรื่องความหยาบภายนอก โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา
ลดโอฬาริกอัตตา ภายนอกมาเรื่อยๆก็เป็นสกิทาคามี แม้แต่รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสภายนอก เราอยู่กับมัน เราอยู่กับสิ่งเหล่านี้มีอยู่สิ่งเหล่านี้ในโลก เราก็เผชิญกับมันอยู่ แต่กิเลสของพระอนาคามีไม่ขึ้นแล้ว ไม่วูบวาบ สัมผัสกามก็ไม่เกิดกิเลส ถูกลาภยศสรรเสริญโลกียสุขกระตุ้นก็ไม่เกิดกิเลสไม่มาแย่งชิงไม่มีเรื่องราวพวกนี้แหละ มีแต่จิตอยู่ข้างในนี่คือโลกุตระ เรียนรู้ตัวเองเป็นอนาคามีได้อย่างนี้ อนาคามีมีสิทธิ์ที่ตายทางร่างกายแล้วไม่ต้องเกิดอีกได้ แล้วแต่คนนั้นจะตายไม่มาเกิดด้วยวิธีใด
-
อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)
-
อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)
-
สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)
-
อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)
-
อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร หรือไม่เป็นน้องใครอีก แล้วปรินิพพานไว)