พ.ย.12020ศาสนา631101_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ จิตวิญญาณความเป็นกษัตริย์กับธรรมะ อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1QmXayjyewITaxFqM9paDklRlSvfTo0XCIRdYP-1AwoI/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1wX6AMYn8mGyHAmJrB3cMQGj9kAEFAzGU/view?usp=sharing และยูทูปที่ สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2563 ที่บวรราชธานีอโศก งานมหาปวารณาเราจะมีประมาณวันที่ 4-8 พฤศจิกายน 2563 ในวันที่ 5-7 พฤศจิกายน 2563 พ่อครูจะมาแสดงธรรมตอนประมาณตี 5.00 น. ถึง 6.30 น. ผู้ที่สนใจติดตามก็ให้มาฟังธรรมกันทางสื่อบุญนิยมทีวี พ่อครูว่า…พ่อครูยกพริกสีแดงที่นำมาประดับฉากให้ผู้ชมได้ดู แสดงว่ามันมีเยอะ เก็บมา แต่เผ็ดแน่อาตมาแตะไม่ได้ อาตมานี่เผ็ดนิด น้อยนึงก็ไม่ได้ ก็มีพริกที่เขาชิมแล้วว่าไม่เผ็ดก็เอามาให้กิน ถ้าเป็นตอนหนุ่มๆก็กินข้าว 1 คำพริกขี้หนูสวน 1 เม็ด กลิ่นฉุยออกมาทางจมูก มันต้องมีกลิ่นและกรอบ รสมันอย่าบอกใครเชียว ขึ้นหูเลย เดี๋ยวนี้ไม่ได้เลย นึกถึงความหลังแล้วก็ได้แต่พูดความหลัง สรีระมันก็เปลี่ยนไปไม่มีปัญหาอะไรหรอก มันยังมีธาตุอื่นที่สำคัญที่ทดแทนกันได้ก็เอามาทดแทนไป ขออ่านกวีของศิษย์ สไมย์จำปาแพง สถาบันกษัตริย์ คือสมบัติของชาวไทย ราชอาณาจักรนี้ ไอศวรรย์ ทวยราษฎร์นบราชัน เทพไท้ ธ คือพระมิ่งขวัญ แต่บรรพ องค์กษัตริย์สยามไซร้ หน่อเนื้อ พระจอมศรี ศักดินาผู้เลิศล้ำ จริยา พิทักษ์ชาติศาสนา สืบสร้าง วิญญาณนักประชา- ธิป-ไตยแฮ สูพวกคิดล้มล้าง วิบากนั้น สุดมหันต์ ดูกร! ประเทศไร้ กษัตรา ยุโรปอเมริกา คลั่งไคล้ ระบอบประธานา- ธิบ่-ดีเฮย หาเท่าเทียมจอมไท้ ปกเกล้า ชาวสยาม ดูกร! ทาสรับใช้ อเมริกัน เจ้าหมิ่นจอมมิ่งขวัญ คลั่งบ้า ประชาธิปไตยอัน ลวงหลอก ถือเลือกตั้งนำหน้า แซ่ซ้อง คะแนนเสียง ดูกร! ละอ่อนไร้ เดียงสา เจ้ายึดถือตำรา ฝรั่งไซร้ จึงหยามหมิ่นราชา สูงศักดิ์ เจ้ายกยอนบไหว้ พวกพร้อม ผลาญสยาม ศิษย์สไมย์ จำปาแพง พ่อครูว่า…ราชอาณาจักรนี้ ไอศวรรย์ คำว่า ไอศวร คือ อิศวร คือมิ่งขวัญมาแต่ปางบรรพ์แต่ไหนแต่ไรตั้งแต่เป็นประเทศไทยมาเลย คำว่าศักดินา คำนี้อาจจะดูเหมือนเป็นคำที่ดูทำให้มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง แต่ที่จริงแล้วไม่มีอะไรที่มีขึ้นมาแล้วจะเหมือนกันเท่าเทียมกันทั้งหมดได้หรอก ตั้งแต่ 2 อย่างขึ้นไปไม่มีอะไรเท่าเทียมกัน จิตวิญญาณความเป็นกษัตริย์มีมาแต่ปางบรรพ์ ความเป็นกษัตริย์ ท้าวไปแต่สมัยดึกดำบรรพ์เป็นสัตว์เดรัจฉานก็มีจ่าฝูง ฉันใด ธาตุรู้จิตมนุษย์ เป็นช้างม้าวัวควายมันก็มีหัวหน้า มันมีผู้นำเป็นธรรมชาติของจิตวิญญาณ แต่เมื่อเป็นคนแล้วมันโง่ซ้ำซ้อนกว่าสัตว์แต่ละชั้นมันกลับตาลปัตร สุดท้ายบอกว่าต้องเท่าเทียมกัน เข้าใจผิดไปยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน เห็นไหมว่ามันสลับซับซ้อนๆเข้าใจผิดไปต่ำกว่าเดรัจฉาน ซึ่งเกิดจากกิเลสมานะอัตตาแล้วถือว่า โลกนี้ ดี แทรกตรงนี้ ความเท่าเทียม พระพุทธเจ้าท่านใช้ความว่าเสมอสมาน ก็คือผู้สูงนั้นทำตัวมาให้แม้จะต่ำกว่าผู้ที่เขาต่ำ ผู้ที่เขาสูงลดตัวลงมาต่ำก็ทำได้ เท่ากันก็ทำได้ อันนี้เป็นคุณวิเศษเป็นคุณธรรมชั้นยอดของผู้สูงจริงต่างหากเห็นไหม แต่คนที่ไม่รู้ก็นึกว่าพูดนี้ต่ำ ทั้งๆที่ท่านพยายามลดตัวลงมาต่ำ เช่นอาตมายอมแพ้ ขออภัยต้องพูดสัจธรรมอาตมาไม่ได้ต่ำกว่าท่าน แต่ก็ยอมแพ้ อาตมาไม่ได้ผิด ท่านผิด ที่จริงแล้วคนผิดจะต้องต่ำกว่าผู้ถูก อย่างนี้เป็นต้น นี่คือสัจธรรมที่แม้จะใช้พยัญชนะก็เรียกสภาวะต่างๆมันมีหลากหลายซึ่งมันยาก ผู้ที่เข้าใจความเป็นกษัตริย์ ซึ่งจะไปลดไปอะไร กษัตริย์ผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ถ้าเข้าใจสัจจะธรรมเรื่องกรรมวิบากแล้ว อยู่ดีๆคนจะได้เป็นตำแหน่งกษัตริย์นี่ไม่ได้ ไม่ได้ง่ายๆ จะมีการสืบสันตติวงศ์ หรือว่าแม้จะเป็นต้นราชวงศ์ จะปฏิวัติเป็นต้นวงศ์ก็ตามต้องมีความสามารถ และในความสามารถนั้นขึ้นอยู่กับวิบากด้วย ถ้าผู้ที่จะมาล้มล้างวงศ์กษัตริย์แล้วตัวเองจะขึ้นมาแต่ไม่มีวิบากดีไม่มีกุศลเพียงพอไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้ ขึ้นไปก็โดนฆ่าลงมาอีกไม่นานหรอก หรือไม่ได้สำเร็จด้วยซ้ำ จะมีการกบฏไม่สำเร็จ ซึ่งมันมีความซับซ้อนมากมายในเรื่องนี้ ฉะนั้นแม้จะเกิดมาเป็นกษัตริย์ จะประสูติมาเป็นกษัตริย์ แต่ นี่พูดสัจธรรมนะ กษัตริย์นั้นไม่มีทศพิธราชธรรม กษัตริย์องค์นั้นไม่ค่อยเข้าตาประชาชน ก็ตาม ก็ต้องมีวิบากกุศลส่วนหนึ่งถึงได้เกิดมาเป็นกษัตริย์ แต่ท่านมีโอกาสทำตนให้ดี แม้ท่านจะเกิดมาเป็นวิบากส่วนที่ท่านจะทำให้ท่านเป็นคนไม่ดี ท่านก็พยายาม ไหนๆก็เกิดมาเป็นกษัตริย์แล้วมีทั้งกฎมณเฑียรบาลมีอะไรต่างๆ ตั้งแต่สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาจนปัจจุบันมีกฎเกณฑ์ให้เป็นผู้ที่ดีให้ได้ พระมหากษัตริย์ต้องดีให้ได้ นี่คือกรอบข้อบังคับอยู่แล้ว ท่านก็พยายามทำ ถ้าท่านพยายามทำแล้วทำให้ดีได้ก็ได้รับความยินยอมยินดีจากประชาชน ศาสนาพุทธนั้นทุกอย่างมาแต่กรรม เพราะกรรมของตัวเองทำ ทำดียังไม่ได้ดีเพราะทำดียังไม่มากพอก็ทำต่อไปให้ดี ความพยายามที่เราจะดีมันทำได้ มันจะซ้อน คนจะเห็นเอง แม้ท่านจะไม่ดีเท่าไหร่แต่ความพยายามที่จะดี เท่านี้ก็ได้แล้วจากประชาชน แสดงให้เห็นเอาจริงให้เห็นเถอะ นี่อาตมาแยกแยะให้ฟังชัดๆ สรุปแล้วอยู่ดีๆจะเกิดมาเป็นกษัตริย์ โดยการเกิดจากพ่อแม่ อยู่ดีๆจะเกิดมาเป็นกษัตริย์นอกจากพ่อแม่หรือจากพระราชบิดาพระราชมารดา แล้วองค์นี้จะได้เป็นกษัตริย์ซึ่งมันไม่ได้ทั้งหมดหรอก อยู่ดีๆไปทำเองทำปลอมไม่ได้ต้องเป็นวิบากของผู้นั้นจริงๆ เขาจะชัดขึ้นไหม เพราะฉะนั้นอย่าไปทำเป็นเล่น ซึ่งมันไม่เหมือนกับประธานาธิบดี มันไม่มีที่ไปที่มา อาจจะมีบางรูปแบบใช้ค่ายกลใช้วิธีการอะไรต่างๆที่เป็นกันอยู่ แก้ทางเกาหลีเหนือพยายามจะให้เท่าเทียมกันเป็นคอมมิวนิสต์แต่เอาไปเอามาก็กลายเป็นการสืบสันตติวงศ์อีก แม้แต่อเมริกาเองเขาก็พยายามจะสืบสันตติวงศ์ ต่อได้ ตระกูลของ บุช ได้พ่อเป็นประธานาธิบดี ก็ลูกได้เป็นต่อ หรืออย่างเก่งก็ได้แค่ 2 สมัย ก็เป็นวิธีการของโลก แต่ถ้าพยายามจะสืบสันตติวงศ์ให้รุ่นลูกได้เป็นอีก เป็นความซับซ้อน ซึ่งมันจะมีพฤติกรรมปัจจุบันกับวิบาก เป็นอจินไตย ทางด้านเทวนิยมทางด้านตะวันตกไม่รู้จักกรรมวิบากที่เป็น อจินไตย ศาสนาอเทวนิยมศาสนาพระเจ้าก็ไม่รู้จักตรงนี้ ทางจิตวิญญาณนั้น จิตวิญญาณเกิดจิตวิญญาณของตนเอง เพราะฉะนั้นจิตวิญญาณของพ่อของแม่ ลูกเกิดมาจะเอาจิตวิญญาณของพ่อแม่มาไม่ได้ ไม่มีส่วนได้เลย จิตวิญญาณของตัวเองมาอาศัยสรีระอาศัย DNA ของพ่อแม่เท่านั้นเป็นรูปธรรม จิตวิญญาณแบ่งกันไม่ได้เป็นของตน ตนรับมรดกของตนแบ่งให้ใครไม่ได้ อันนี้ไม่ง่ายที่จะเข้าใจแม้แต่ชาวพุทธ จึงเห็นใจเทวนิยมที่จะไม่เข้าใจกันได้ง่ายๆ คนที่จะไปล้มล้างกษัตริย์จะมีวิบากร้ายวิบากแย่สุดมหามหันต์ เพราะฉะนั้นทางยุโรปทางอเมริกาเขาจะคลั่งไคล้ประธานาธิบดี ประชาธิปไตยขาเดียว ประชาธิปไตยไม่มีกษัตริย์ก็ล้มล้างกันไปเยอะแล้ว ได้ข่าวมาฝรั่งเศสก็อยากจะกลับไปมีกษัตริย์อีกแล้ว แต่ก็ไม่มีแรงอะไรมากมายมันก็คงยากที่จะกลับเอาคืนเป็นระบบกษัตริย์ไปได้อีก เรื่องของกษัตริย์เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ อาตมาขอยืนยันว่า ธรรมชาติของความเป็นสัตว์โลก พูดไปแล้วว่าสัตว์เดรัจฉานที่เป็นสัตว์โขลง มันก็มีหัวหน้าแน่นอน และนับถือหัวหน้า ยกย่องเชิดชูคุณธรรมความสามารถ ซึ่งตั้งแต่ใช้เขี้ยวเล็บสู้กับคนอื่นมา แล้วเขาก็ดูแลบริวารได้ ยิ่งสูงขึ้นก็ใช้คุณธรรมไม่ต้องใช้เขี้ยวเล็บใช้ความสามารถทางหอกดาบปืนอาวุธ ไม่ต้องใช้ แต่ใช้คุณธรรม คนที่เสียสละยอมเป็นคนแพ้ได้ ขอให้ได้ประโยชน์แก่ส่วนรวมก็แล้วกันให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนที่ดีที่ถูกต้องที่เป็นประโยชน์กับส่วนรวม พวกนี้เขาจะมาเอาชนะก็ย่อมได้ อย่างเมืองไทยเรานี้ อาตมาเกิดมาในยุคนี้ มันเป็นไปตามวิบาก ก็เกิดปรากฏการณ์ให้เห็นเลยว่าตลอดมาอาตมาเป็นผู้ยอมแพ้ กระทั่งอาตมามารู้ว่า เราต้องแต่งเพลงผู้แพ้ไว้ แล้วก็เป็นเพลงที่ตัวเองแต่งทั้งเนื้อร้องและทำนองของตนเองเลย เป็นเพลงแรก ดังที่สุดตั้งแต่อาตมายังถีบจักรยานส่งหนังสือพิมพ์อยู่เลย ยังเป็นเด็กนักเรียน โรงเรียนเพาะช่างอยู่ นุ่งกางเกงขาสั้นถีบจักรยาน จะออกไปส่งหนังสือพิมพ์ เพลงมันก็ออกมาดังสนั่นเลย คนที่มารับหนังสือพิมพ์เขาเป็นผู้ใหญ่ก็ร้องเพลงผู้แพ้มารับหนังสือพิมพ์จากมือเรา เราก็ดูแล้ว เพลงมันเป็นดาว แต่เรามันเป็นดิน ถ้าเราจะบอกเขาว่าเพราะไหมครับเพลงนี้ ผมเป็นคนแต่งเองนะครับ เขาก็หัวเราะฟันร่วงอยู่ตรงนั้น เหตุการณ์พวกนี้อาตมาเคยเจอมาแล้ว อาตมาแต่งเองเขาไม่ค่อยเชื่อหรอก ใครรู้จักทรงศรี เทวคุปต์ เป็นนางเอก ออกโทรทัศน์ช่อง 4 วันนั้นมีโทรทัศน์ช่อง 4 กับช่อง 7 เขาก็ร้องบอกว่าแพ้ก็แพ้ชะตากรรมดวงใจทรงความมั่นคง ร้องต่อหน้าอาตมา อาตมาก็บอกว่าเนื้อความมันผิด บอกว่าต้องแพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง ทรงศรี เทวคุปต์เขาก็เถียงว่าชะตากรรม อาตมาก็ต้องบอกว่าเพลงนี้เพลงผมแต่งเอง ผมเป็นคนแต่งเขาก็หัวเราะ แล้วเขาก็เดินจากไป ทุกวันนี้ ทรงศรี เทวคุปต์ เสียหรือยังอยู่นะ เมื่ออาตมาเป็นผู้จัดรายการโทรทัศน์ เป็นเด็กๆเขาก็ยังไม่เชื่อ เหมือนอย่างเพลงก่อนสิ้นแสงตะวัน แต่งตอนอายุไม่มาก อาตมาก็อยู่ในห้องอัดแผ่นเสียง เป็นคนซื้อโอเลี้ยงไปให้เขากิน ก็ไม่ได้รู้กันหรอกว่าอาตมาเป็นคนแต่ง เวลาผ่านมาหลายปี มาเจอกันที่โทรทัศน์พูดถึงเพลงนี้ขึ้นมา อาตมาก็บอกว่าเพลงนี้ผมแต่งเองเขาก็บอกว่าเหรอ เขาก็ยังทำหน้าไม่เชื่อ ตอนนั้นอาตมาก็เรียกพี่ลี (สวลี ผกาพันธุ์) ผมก็ยังซื้อโอเลี้ยงให้กินอยู่ เขาก็บอกว่าหรือๆๆ จะเชื่อก็ยังไม่รู้ว่าจะเชื่อสนิทหรือไม่นะ อย่างนี้เป็นต้น แม้ทุกวันนี้ก็มีร่องรอยของความอาภัพอยู่ อันนี้ก็มีผู้ตั้งข้อสังเกตเหตุการณ์ในปัจจุบันที่เป็นฟีโนมีนอน ชื่อของหัวเรื่องคือ สถาบันที่ปฏิรูปตัวเองให้ทันยุคสมัยตลอดเวลาคือสถาบันกษัตริย์ไทย การมีโอกาสได้ไปรับเสด็จในหลวงร.10 ที่วัดหนองป่าพงในวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้สร้างความประจักษ์ในการปรับองค์ของกษัตริย์ไทยอีกครั้ง เมื่อประชาชนที่ไปเฝ้ารับเสด็จ มีองครักษ์ ทหาร ตำรวจ หน่วย 904 หลายร้อย ดูแลอย่างสุภาพอ่อนน้อมไม่ถือตัวว่ามียศศักดิ์ ระหว่างรอหลายชั่วโมง มีการแจกอาหารปรุงสุกใหม่จากครัวพระราชทาน เพื่อให้ประชาชนของพระองค์ไม่ต้องหิว หน่วย 904 ดูแลรับใช้ประชาชนเยี่ยงคนในครอบครัวเดียวกัน ตั้งแต่เป็นเพื่อนคุย ถ่ายรูป ช่วยเหลือผู้สูงอายุ จนกระทั่งช่วยเอาขยะที่เรากินแล้วไปทิ้งให้ มีกิจกรรมมวลชนสัมพันธ์ ให้ประชาชนผ่อนคลาย ไม่เบื่อตอนรอ เช่น จัดซ้อมการเปล่งเสียงทรงพระเจริญและโบกธงทีละจุด มีการแข่งขันกันเล่นๆว่าฝั่งไหนดังกว่า องครักษ์หลวงออกมานำเชียร์การโบกธง โดยยกมือเหมือนเชียร์หลีดเดอร์ ให้ประชาชนเปล่งเสียงและโบกธงทีละโซนตามที่โดรนถ่ายรูปบินผ่าน เหมือนการเล่นเวฟเสียง บรรยากาศครึกครื้นคล้ายกำลังร่วมกีฬาสีโรงเรียนอย่างไรอย่างนั้น ที่สำคัญคือ เจ้าหน้าอาวุโสหน่วย 904 ที่อยู่ประจำกับพวกเราทั้งวัน ให้ข้อมูลว่า ในหลวงตรัสให้ประชาชนที่มาเฝ้าใส่เสื้อสีอะไรก็ได้ ท่านไม่ติดยึดในสีเสื้อ รูปภาพของพระองค์ก็ขอให้วางกับพื้นด้านหน้าสุด เนื่องจากถ้าตั้งสูงหรือถือสูง จะบังคนข้างหลัง ในหลวงทรงอยากทอดพระเนตรประชาชนของพระองค์มากกว่า สมัยก่อนเวลารับเสด็จ ห้ามถ่ายภาพเด็ดขาด เดี๋ยวนี้ พระองค์ท่านให้เสรีภาพเต็มที่ และที่แสดงความใจกว้างเข้าไปอีกคือ ไม่แนะนำให้กราบพระองค์ท่าน เพราะจะไม่ได้เห็นหน้ากัน ก่อนเสด็จราชดำเนิน หน่วย 904 จัดให้ประชาชนนั่งเป็น 2 แถว ห่างกันเพียง 2 เมตร เพื่อจะได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดพระองค์ เวลาเสด็จจริง พสกนิกรของพระองค์ตื่นเต้น นั่งบ้างยืนบ้าง ต่างต้องการชื่นชมพระบารมีใกล้ๆ พระองค์ท่านเสด็จไปมุมไหน มุมนั้นก็จะลุกฮือขึ้น แซ่ซ้องเรียกพระองค์ด้วยคำธรรมดา ไม่ใช่ราชาศัพท์ เช่น ในหลวงสู้สู้ และแสดงกิริยาตื่นเต้นสุดขีด เบียดดันกันเพื่อยื่นตัวเข้าใกล้พระองค์ให้มากที่สุด ผู้ถือสาจะคิดว่าเป็นกิริยาไม่เหมาะสม แต่พระองค์ท่านกลับยื่นพระหัตถ์สัมผัสประชาชนของท่านอย่างทั่วถึง พร้อมตรัสกับประชาชนของท่านอย่างเป็นกันเอง ปราศจากการถือสาใดๆ เพราะทุกคนล้วนมาด้วยใจ และให้ใจเกินร้อย เหงื่อไหลเต็มพระพักตร์ เมื่อถามพระองค์ท่านว่าทรงเหนื่อยมั้ย ท่านตรัสว่ายินดีนะ ไม่เหนื่อย มีกำลังใจ บอกกับพระองค์ท่านว่าอย่าท้อแท้ อย่าทิ้งประชาชน พระองค์ท่านตรัสตอบว่า ช่วยๆกัน ไปด้วยกัน พ่อครูว่า…คำว่าอย่าทิ้งประชาชน ประวัติในหลวงรัชกาลที่ 9 มีประชาชนบอกว่า อย่าทิ้งประชาชน ในหลวงรัชกาลที่ 9 ในหลวงท่านไม่ได้ตรัส แต่ท่านเอามาเขียนเล่าไว้ตรัสตอบว่า ถ้าประชาชนไม่ทิ้งเราเราจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร แต่ที่นี้ท่านก็ไม่ใช้ของพระราชบิดา แล้วท่านก็ใช้คำว่า “ช่วยๆกัน ไปด้วยกัน” มันเป็นการแสดงความคารวะ สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งเชิดชู ไม่ใช่ศักดินาจะต้องเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ ต้องรู้จักสัมมาคาราวะนิวาโต รู้จักความเป็นระดับที่จะเคารพซึ่งกันและกัน เคารพด้วยสมมุติเคารพด้วยวัยวุฒิเคารพด้วยคุณวุฒิ เคารพด้วยอะไรต่างๆนานาเคารพด้วยคุณธรรม เป็นต้น บรรยากาศการรับเสด็จที่เป็นกันเองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย จนต้องขอจารึกไว้ในจิต ประชาชนที่ไปเฝ้า ทั้งสนุก ตื่นเต้น ซาบซึ้ง อิ่มท้องและอิ่มใจ ดังคำบอกเล่าของกลุ่มแม่ชีวัดหนองป่าพง ความ high ไปด้วยปิติจากการรับเสด็จใกล้ชิด มีมากกว่าการนั่งสมาธิเสียอีก พ่อครูว่า…นี่เป็นลักษณะการปฏิบัติแบบเคลื่อนไหวมันเป็นธรรมชาติกว่าไปนั่งหลับตาสมาธิ มันเป็นการเคลื่อนไหวที่เหมาะสมกับเหตุการณ์ขณะนั้น Status Quo ใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ในขณะที่กษัตริย์ไทยปรับตัวจนทันยุค เพื่อเข้าถึงประชาชนของพระองค์ รัชกาลที่ 10 ทันสมัยเสียยิ่งกว่าประชาชนบางคนที่ยังยึดรูปแบบประเพณีโบราณจนถือสา สิ่งที่พระองค์ท่านอนุโลมให้ ไม่ต้องไปพูดถึงพวกนักการเมืองส่วนใหญ่ ที่ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มา ยังคงเห็นแก่ตัวแก่พวกพ้อง แย่งอำนาจกันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ตอกย้ำว่า สถาบันที่พร้อมปรับตัวเพื่อประเทศและประชาชนอย่างแท้จริง คือสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ต้อม พ่อครูว่า…อยากรู้ไหมว่าใครเขียน เจ้าตัวยอมอนุญาตให้บอกหรือเปล่าไม่รู้ เจ้าของคนเขียน ชื่อย่อ ต.เต่า ชื่อจริง ป.ปลา ต้อม ปรารถนาแต่ยังไม่ยอมจน อาตมาตั้งชื่อให้ว่า “ปรารถนาจน”ยังไม่ยอมใช้ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะฟ้าไท…สมเด็จพระราชินีพระพันปีหลวงได้ทรงเคยกล่าวไว้ว่า เราไม่ค่อยได้สอนประวัติศาสตร์ไทย ตรัสไว้ตั้งแต่สมัยรัฐบาลของทักษิณ มีคนสังเกตว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เคยใช้คำหยาบคายกับประชาชน แต่ประชาชนที่ออกมาประท้วงก็ใช้คำใส่ร้ายป้ายสีใช้คำหยาบคายกับสถาบัน มีประเด็นถามมาจากประเทศเมียนมาร์ พ่อครูว่า…SMS วันที่ 30-31 ต.ค. 2563 _สายลมหวาน : ท่านเชียร์นายกประยุทธ์ก็ดีแล้ว แต่เรื่องติงก็ควรมีด้วย เช่น ควรให้เลิกหรือลดหวยรัฐบาล ไม่ใช่ปล่อยให้มอมเมากันเพิ่มขึ้น พิมพ์หวยเพิ่มขึ้น เพิ่มคนขายอีกเป็นแสนคน จะมอมเมาไปถึงไหน? พ่อครูว่า…นี้เป็นเครื่องชี้บ่ง ประเทศที่ได้รายได้จากอบายมุขหรือจากการพนันมันไม่ใช่ประเทศเจริญ ประเทศเจริญจะต้องไม่มีเรื่องของอบายมุข ไม่มีเรื่องที่เป็นการพนันแม้แต่การละเล่นกีฬา ที่มันจัดจ้านหรือการละเม็งละครร้องรำที่มันจัดจ้าน อาจจะมีบ้างเป็นเล็กน้อยมีนิดๆหน่อยๆ โดยเฉพาะอบายมุขไม่มีเลย การละเล่นการกีฬามีเล็กๆน้อยๆพอเป็น Amature เป็นเรื่องเล่นๆกันไม่ใช่เรื่องอาชีพ งานอดิเรก เรื่องพักผ่อนอะไรนิดหน่อย ไม่ใช่เป็นเรื่อง professsional _ไพร จริยา : งานประเพณีลอยกระทง งานทอดกฐินและผ้าป่า คือหายนะพิธีทางพุทธศาสนา พ่อครูว่า…ใช่! อาตมาก็พูดย้ำมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ลอยกระทงก็บาป การเล่นน้ำสงกรานต์ก็บาป สาดกันเต็มบ้านเต็มเมืองเป็นเรื่องเหลวไหลเป็นเรื่องหายนะ เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง กฐินผ้าป่าก็เช่นเดียวกันทุกวันนี้เลิกได้เลย มันไม่ใช่กฐินแล้วเขาไม่มีความจำเป็นในเรื่องผ้า กฐินผ้าป่าก็เรื่องผ้า เพราะฉะนั้นเรื่องผ้าของสงฆ์ของภิกษุที่จะใช้นุ่งห่ม เลิกได้เลยไม่ต้องไปเอาเรื่องกฐินผ้าป่ามาเป็นเหตุ เผื่อที่จะหาเงินมาให้แก่ตัวเอง มันทำให้ศาสนาเสื่อมทำให้ศาสนาฉิบหายกันไปใหญ่มันไม่ได้เกิดกุศลอะไรมันได้บาป ไม่ได้กุศลอะไรเลย บุญนะไม่ต้องพูดเลยไม่ได้บุญอยู่แล้ว กุศลก็ไม่ได้ ทอดกฐินผ้าป่ามันเป็นหายนะของศาสนา ปฏิบัติสู่นิพพานด้วยนาม 5 _สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ นาม๕ ที่มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ๕ ลำดับอย่างนี้ ลูกอยากถามพ่อครูว่า เริ่มต้นจากลำดับไหน และเรียงไปจบที่ลำดับไหน อย่างไรคะ กราบนมัสการค่ะ พ่อครูว่า…ต้องเรียนนาม 5 รูป 28 ที่ปฏิบัติคือเอาตัวรูป 28 กับนาม 5 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 14 นาม 5 มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะมนสิการ หากไม่มีผัสสะ ก็มนสิการไม่ได้ ทำใจนะใจไม่ได้ ต้องเรียนรู้ให้มีนามจึงจะมาปฏิบัติกับรูป 28 ได้ หากไปนั่งหลับตาปฏิบัติไม่มีผัสสะโมฆะเลย ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้ สายหลับตานี้อาตมาก็พูดย้ำมีหลักฐานอ้างอิงยืนยันไม่รู้เท่าไหร่ เหนื่อยจริงๆ พระเจ้าเรียบเรียงไว้ถูกดีแล้วเป็นแต่เพียงว่าเราต้องรู้กระบวนการของมัน เวทนา สัญญา เจตนา นี่เป็นนามแท้ๆ ผัสสะ กับมนสิการ จะบอกว่าเป็นรูปก็ไม่ใช่รูป ก็คือต้องมีกาย ต้องมีผัสสะ องค์ 2 แล้วจัดการทำมนสิการทำใจในใจได้ถ้าคุณไม่มีผัสสะคุณทำใจในใจไม่ได้ จัดการปฏิบัติใจในใจไม่ได้ ท่านเรียบเรียงไว้ดีแล้ว 5 ลำดับ เวทนา สัญญา เจตนา นามคือตัวอารมณ์ความรู้สึก สัญญาการกำหนดรู้หน้าที่กำหนดรู้ รู้รูปนามรู้อะไรต่ออะไรสัญญานี้ทำงานหนักมาก แล้วต้องวิจัยเข้าไปเมื่อรู้เวทนาแล้วก็แยกเวทนาในเวทนานั้นมันมีเจตนา มันมีเจตนาที่มีกิเลสกับเจตนาที่ไม่มีกิเลส เจตนาจะมีอยู่ 3 สภาพคือหนึ่งจะเป็นกามตัณหา 2 จะเป็นภวตัณหา 3 จะเป็นวิภวตัณหา ตัณหาคือความต้องการความอยากทั้งหลาย ถ้ามันอยากแล้วมีกามก็ต้องล้างกามทั้งหมด ต้องเป็นเจตนาที่ไม่มีกาม เหลือรูปในภวตัณหา กับอรูป คุณก็มาล้างรูป วน ภวตัณหา หมดรูป รูปตัณหาในภวตัณหาก็เหลืออรูป อรูปตัณหาก็ล้างอรูปอีก ก็หมดทั้งกาม รูป อรูป สามภพหมดเลย กิเลส กาม รูปภพ อรูปภพหมดเกลี้ยง ก็ไม่มีภพ ก็วิภวะ เป็นเจตนาที่ 3 คือวิภวตัณหา เขาไปแปลวิภาวะตัณหาว่า”ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น” มันก็เลยวน อันนี้อยากได้ อยากมี อยากเป็น แต่ถ้าวิภวตัณหาคือตรงข้ามกัน ไม่อยากได้ไม่มีอยากเป็นทวนกระแสกันก็อยู่ในระนาบเดียว ก็เลยไม่เป็นโลกุตระก็เป็นโลกียะ กลับไปกลับมาไปซ้ายไปขวาวนอยู่อย่างนี้วนกันไปวนกันมาอยู่ในระนาบเดียว ซ้ายขวาขวาซ้ายซ้ายๆขวาขวาขวา วนเวียนอยู่ตรงนี้ไม่ได้ออกจากภพ เป็นโลกียะ เปลี่ยนแปลงชั้นตอนไม่ได้เลย จะมีชั้นเชิงที่สูงขึ้นไปไม่ได้อยู่ในระนาบเก่า สรุป เวทนา ก็ต้องเข้าใจอาการเป็นความรู้สึกเนื้อแท้สัญญา คือตัวพนักงานที่กำหนดรู้ ทำงานสั่งส้มจดจำไว้ใส่คลังสมบัติไว้ ทำงานกำหนดรู้ทุกปัจจุบันแล้วก็ใส่เซฟไว้กำหนดรู้ทำงานในปัจจุบันได้ก็ใส่เซฟไว้ หากว่าใส่ผิดเอาอกุศลใส่ก็ไม่ดี เอาพิษสง เอาอสรพิษใส่เซฟก็ใส่ผิด เพราะฉะนั้นสัญญาจึงเป็นตัวงานสำคัญ สังขาร คือ ต้องแยกแยะปรุงแต่งมัน ปรุงแต่งสำเร็จแล้วก็รู้ว่ามันสำเร็จเป็นอภิสังขาร เช่น อภิสังขารในขั้นปุญญาภิสังขาร คือ ปรุงแต่งจัดการกับจิตเรา คือมนสิการ ทำใจในใจนั่นเองให้กิเลสมันหมดไป กิเลสหมดแล้วก็เท่ากับบุญมันทำหน้าที่เต็มที่จบ คือชำระกิเลสสมบูรณ์แบบชำระไปตั้งแต่ ฌาน ฌาน ชำระเป็นมรรคแล้วมาเป็นผลคือเป็นบุญทำงานอย่างเดียวกันแต่คนละตอน ตอนที่สำเร็จก็คือเป็นบุญ เสร็จแล้วกิเลสก็ดับหมดไม่เกิดอีก เมื่อไม่เกิดอีกก็ไม่ต้องมีบุญ ถ้าบุญไม่รู้จักหมด นิพพานก็เกิดไม่ได้ นิพพานเกิดได้เพราะกิเลสมันหมดไปอย่างนิรันดร นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) มันจะจึงรู้จักจบทำแล้วก็รู้จักจบแล้ว หากว่าเครื่องมือฆ่ากิเลสฆ่าแล้วไม่ตายมันยังฟื้นขึ้นมาอีกมันก็ไม่ได้สิ ฆ่าด้วยหอก100 เล่มเช้า กลางวันเย็น พระราชาถามว่าตายหรือยังก็ยังไม่ตาย มันไม่รู้จักจบสักทีมันต้องฆ่าจบตายสนิทไม่ฟื้นเลยอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) จึงจะมีนิพพานนิรันดร มีนิพพานที่เที่ยงแท้ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่เที่ยงสักที อาตมาก็เน้นย้ำตรงนี้ให้รู้จักไม่รู้สักทีแล้ว _ชาตรี อภินันต์ยกุล : ถ้าวันหนึ่งการเมืองเปลี่ยนขั้ว ชาวอโศกจะทำอย่างไร..จะไม่เหมือนธรรมกายไหม / ควรสอนให้คนลดละกิเลสนั้นนะดีแล้ว.สอนให้คนพึ่งพาตัวเองได้นั้นถูกต้อง.แต่ถ้าเข้ามายุ่งกับการเมือง ระวังการเมืองจะเข้ามาเคลียร์คืนแบบไม่เหลืออะไรเลย ด้วยความเคารพครับ พ่อครูว่า…เป็นความเห็นของคุณ อาตมาก็ไม่เสียเวลาที่จะอธิบายอันนี้มากมายหรอก ว่าการเมืองนั้นเป็นเรื่องของธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นคานธี ไม่ว่าจะเป็นขนาดท่านพุทธทาสก็ยังบอกเลยธรรมะ การเมืองที่ไม่มีธรรมะนั้นไม่ได้ คานธีบอกว่าต้องเอาธรรมะไปสถาปนาลงไปในการเมืองถ้าการเมืองไม่มีธรรมะก็บรรลัย _เกษม สันทอง : เรื่องกฐิน ผมเข้าใจว่า หลังจากพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้พระสงฆ์สามารถแสวงหาผ้า แล้วช่วยกันตัดเย็บด้วยความสามัคคี แล้วมอบให้ภิกษุผู้เหมาะสม ต่อมาหมอชีวกเป็นผู้ทูลขออนุญาตพระพุทธเจ้าให้คฤหัสถ์ถวายจีวรได้ ส่วนนางวิสาขาทูลขออนุญาตให้คฤหัสถ์ถวายผ้าอาบน้ำฝนได้ครับ พ่อครูว่า…มันมีการถวายผ้าอาบน้ำฝนกับถวายผ้ากฐิน จริงๆแล้วคุณเกษมก็ไปเข้าใจว่าการถวายผ้ากฐิน ไม่ใช่เรื่องของคฤหัสถ์เอาไปถวาย ผ้ากฐินนั่นคือเย็บกันเอง กฐินคือสดึง ได้ผ้ามา พอเย็บทีก็ได้ทีละผืน สะดึงหนึ่งก็ทีละผืน จะมอบให้ส่งคนใดที่เหมาะสมก็มาทำสังฆกรรม หาผู้ที่เหมาะสม หมู่สงฆ์ก็ถกเถียงกันให้ท่านองค์นี้นะเหมาะสมที่จะได้ผ้าผืนนี้ ผ้าหายาก หวงแหน ผู้ที่ได้ไปก็มีโชคมากเรียกว่า กรานกฐิน _บอย มุ่งชมกลาง : เล็บที่ตัดทิ้งแล้วเป็นอุตุ…แต่สำหรับคนที่มีความติด ความยึดเสียดายในเล็บที่ตัดออกแล้วอยู่ อย่างนั้นจะเรียกว่ากายด้วยไหมครับ แล้วกายนั้นเป็นจิต เป็นมโน เป็นวิญญาณก็ได้ใช่ไหมครับ แต่ผมมองว่ากายนั้นจะหนักไปทางวิญญาณมาก …ขอความเมตตาช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจสัมมาทิฏฐิให้ถูกตรงด้วยครับ กราบขอบพระคุณครับ พ่อครูว่า…อันนี้ก็ติดตามที่อาตมาจะอธิบายไปเรื่อยๆ คุณฟังที่อธิบายไป ค่อยๆเข้าใจได้ขนาดนี้ก็ดีแล้วมันไม่ง่าย อาตมาจะต้องอธิบายอีก แม้อาตมาที่เขียนอยู่ทุกวันนี้ก็ยังแก้แล้วแก้อีกเลย ที่พริ้นมานี่ยังไม่อัพเดทเลย เดี๋ยวกลับไปจะแก้อีกหรือเปล่า เพราะฉะนั้นติดตามดีๆอย่ารีบร้อนค่อยๆฟังไปตามลำดับ จะได้ไม่สับสน หากว่าพูดไปเรื่อยๆเดี๋ยวมันจะสับสนเรียงลำดับผิด อาตมาพยายามจะเรียงลำดับความรู้ว่าตอนไหนควรจะเข้าใจอันนี้เรื่องของเกี่ยวกับกาย ตอนนี้แยกได้ถึง 23 หัวข้อ จำได้ว่าหัวข้อที่ 6 แก้แล้วแก้อีกหลายครั้งมันซับซ้อนลึกซึ้งยาวจนกระทั่งลืมไปหรือยังอธิบายข้อที่ 6 ตอนขึ้นข้อที่ 7 พระมหากษัตริย์กับธรรมะต้องคู่กัน _Saksri Maimeethong (ศักดิ์ศรี ไม่มีทอง) : กราบนมัสการพ่อครู สมณะ สิขมาตุด้วยความเคารพอย่างสูงครับ ก่อนจะมีพุทธ..ต้องมีกษัตริย์ก่อนใช่มั้ยครับ..สมณะโคดม..ก็มาจากเจ้าชายสิทธัตถะ… ผมเข้าใจว่าพุทธกับกษัตริย์คงมีการสืบต่อที่ยาวนาน…หลายภพชาติ…ผมเขียนว่า..ชาวพุทธกับกษัตริย์มีประวัติที่ยาวไกล….ถ้าไม่ทราบซึ้งถึงเนื้อใน….เพ่งโทษออกไป วิบากใหญ่จะตามมา…ผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ…บารมีกษัตริย์แต่ละท่านก็ไม่เท่ากัน… พ่อครูว่า…ถูก ขอสรุปแต่เพียงว่า กษัตริย์กับธรรมะก็มาด้วยกันไปด้วยกัน ถ้ายิ่งเป็นกษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรมที่มีธรรมะสูงเท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นกษัตริย์ที่ทรงความเป็นมหาราชเป็นจอมจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ถ้ามีน้อยทศพิธราชธรรมไม่เต็มเท่าไรน้อยเท่าไหร่ก็จะได้รับการยอมรับนับถือน้อยลงตามสัจจะมันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ ที่นี่กษัตริย์กับศาสนา เทวนิยมเขาก็มีกษัตริย์แล้วเขาก็มีศาสนา แต่ว่าศาสนาเทวนิยมนั้นเป็นเผด็จการ ศาสนากับเทวนิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์ 100% ยิ่งยกตัวอย่างให้ฟังแล้วหลอกคนเท่านั้นว่าไม่ใช่กษัตริย์ก็ยกตัวอย่างคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ กษัตริย์ที่ไม่ใช่มีธรรมะไม่ใช่มีศาสนา ซึ่งไปไม่รอด แม้ว่ากษัตริย์มีธรรมะ มีศาสนาแต่เป็นเทวนิยมก็ยังไปไม่รอดยังไม่สมบูรณ์แบบ ต้องเป็นกษัตริย์ที่มาเข้าใจเทวะแล้วแยกเทวะออกได้ แล้วเรียนรู้ให้ครบกระบวนการของโลกกับอัตตา รู้โลกรู้อัตตา ตามกำหนดขนาด จะอธิบายพูดถึงขนาดไหนระดับจักรวาลระดับอาณาจักรระดับประเทศระดับสังคมและระดับสังคมจังหวัดแล้วก็อำเภอระดับตำบลระดับหมู่บ้านระดับครอบครัวก็ต้องรู้องค์ประกอบพวกนั้นเท่าเทียมกันไม่ได้ ไม่มีอะไรจะเท่าเทียมกันต้องรู้ในองค์ประกอบทั้งหมดที่บรรจุอยู่ในนั้นอย่างนี้เป็นต้น ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ผู้บริหารเป็นกษัตริย์ก็ต้องเข้าใจรายละเอียดพวกนี้ ให้รู้จักอนุโลมปฏิโลมตามสัดส่วนที่แท้จริง แล้วมันจะสงบได้ตามจริงเรียบร้อยอบอุ่นเจริญไปตามจริง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มันเป็นเรื่องยาก _กรรณิกา หนึ่งน้อย : กราบนมัสการค่ะ..ธรรมะคือทิพโอสถ..ต้องดื่มทุกวัน..ฟังไปเทียบอ่านเวทนาไปกับเหตุการณ์ปัจจุบัน ขนาดติดตามสัตบุรุษทุกวัน..ยังเผลอไผลเลย.. จิตวิญญาณเป็นสิ่งเสื่อมได้ ไม่ใช่นิรันดร _สุทัศน์ สุภาภัทรานนท์ : จิตคือพลังงานที่ขับเคลื่อนกายใช่หรือไม่ จิตไม่มีวันเสื่อมตาย …พืชต่าง ๆ ไม่มีจิต ทำไมยังเกิดเป็นต้นได้ครับ / ทำอานาปาณสติแล้วได้อะไร พ่อครูว่า…ใช่ ส่วน จิตไม่มีเสื่อมไม่มีตายนั้นไม่ใช่ ถ้าใช่นั้นศาสนาพุทธไม่มีปรินิพพานเป็นปริโยสาน ศาสนาพุทธนั้นมีนิพพานและที่สุดมีปรินิพพานเป็นปริโยสานด้วย ปรินิพพานเป็นปริโยสานหมายความว่าทำลายความเป็นธาตุจิตแตกธาตุจิตให้เป็นอุตุธาตุได้เลย จิตของอัตภาพหรืออัตตาของใครของใครมันมีธาตุจิต ผู้ที่บรรลุอรหันต์ทำนิพพานได้แล้วสามารถตายในร่างกาย กายัสสะเภทา ปรัมมรณา หลังจากการตายแล้วอัตตาหรืออัตภาพนี้สลายแตกเป็นอุตุ แตกเป็นดินน้ำไฟลมเลยไม่ต้องมาจับกันต่อติดๆเลย เหมือนคนปาราชิก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเหมือนกับกระเบื้องแตก 2 เสี่ยงแล้วเอามาต่อกันไม่ได้เหมือนกับตาลถูกตัดยอดด้วนแล้วไม่ขึ้นอีก เหมือนกับพวงมะม่วงที่หล่นออกจากขั้วแล้วหล่นกระจายเอามาต่อกันไม่ได้เหมือนเดิมอีก จบแล้วจบเลย หมดแล้วหมดเลย สูญแล้ว จิตไม่มีนิรันดร จิตไม่มีอีก สลายได้ เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่เป็นเจ้าของจิต จัดการจิตให้ปรินิพพานเป็นปริโยสานเอง ไม่มีใครเป็นเจ้าของจิต พิสูจน์ว่าไม่มีใครเป็นเจ้าของจิต เราเองเป็นเจ้าของจิตเอง พระเจ้า อย่าแหยม ไม่ใช่ของพระเจ้าเพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่เข้าใจความเป็นพระเจ้าหรือจิตนั้นคือของตนเอง เกิดได้ด้วยกรรม ดับได้ด้วยกรรม กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ ถ้าจะให้จิตใจต่อไปได้เหมือนพระอวโลกิเตศวรก็ตั้งจิตไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แต่ท่านจะทำเมื่อไหร่ก็ได้ ท่านตั้งปณิธานว่าจะรื้อขนสัตว์ให้หมดโลกก่อนแล้วท่านจะปรินิพพานเป็นคนสุดท้าย แล้วมันจะทำได้ยังไงจ๊ะ ก็เป็นตัวอย่างเดียวในมหาจักรวาลในเอกภพ เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่เป็นอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาก็ไม่เอาอย่างหรอกให้เป็นพระพุทธเจ้า 2 สมัยอาตมาก็ไม่เอา ก็แล้วแต่จิตใครที่จะเป็นอย่างไร พูดถึงขนาดนี้แล้วมันมี วสวัตตี ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ทุกอย่างเลย จะให้มีก็ได้ไม่มีก็ได้จะให้มากหรือน้อยก็ได้จะเป็นฌานที่ 1234 จะอนุโลมยังไงก็ได้สุดท้ายเลยจะให้ 0 เป็นปรินิพพานปริโยสานเลยก็ได้ สุดท้ายปรินิพพานตายอย่างรอบนิพพานรอบสุดเลยเป็นปรินิพพานสุดท้ายเลยปริโยสาน ไม่มีอีกแยกเป็นอุตุไม่เป็นแม้แต่ พีชะ เป็นอุตุไปเลย เป็นดินน้ำไฟลมไม่มาต่อติดเป็นชีวะได้อีกหรือถ้าดินน้ำไฟลมจะมาจับตัวกันอีกก็เป็นอันอื่น ไปแล้วเป็นตัวใหม่กว่าอุตุธาตุจะรวมตัวกันจนเป็น ธาตุน้ำ ธาตุอะไร กว่าจะมาเป็นจุลินทรีย์อีกอย่าไปนับเลยมันเป็นตัวอื่นไม่ใช่ตัวเก่า นี่ยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ทั้งโลกเขาพิสูจน์ได้ พ่อครูว่า…คุณสุทัศน์จะต้องศึกษาไปอีกพอสมควร พืชเป็นชีวะ ถ้าเป็นจิตก็เป็นสัตว์ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวมันข้ามรอบของพืชออกมาเป็นสัตว์อธิบายตัดรอบตรงนี้ต่อรอบตรงนี้ข้ามขั้นตรงนี้ จากตระกูลของพืชมาเป็นตระกูลของสัตว์นี้ ไม่รู้อาตมาจะอธิบายอย่างไรเพราะไม่รู้จะใช้ภาษาอย่างไรดี มันเป็นพัฒนาการที่ถ้าคุณเข้าใจแล้วคุณจะรู้หาพยัญชนะยังไม่ได้ อาจจะมีภาษาบาลีภาษาอภิธรรมอาตมาก็ยังไม่ได้ศึกษา เรื่องอานาปานสติ รู้ลมหายใจเข้าออกสั้นกับยาวเข้ากับออกก็มี 2 สภาวะเสมอเปรียบเทียบพวกนี้ให้ได้ คุณก็ไม่ได้ทำความรู้สึกอย่างนั้นไม่ดับความรู้สึกเหล่านั้นมันก็ไม่ใช่อานาปานสติของพระพุทธเจ้า ผู้ที่นั่งหลับตาสมาธิต้องมีความรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกเป็นอย่างน้อย ถ้าคุณขาดจากลมหายใจเข้าออกแล้วคุณตัดไม่รู้จักลมเข้าออกแล้วคุณไปรู้สึกแต่ข้างในแล้วไปเล่นลมขึ้นบนลงล่างที่เป็นมโนมยอัตตา กลายเป็นการสร้างภพชาติเองเลยอันนี้ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าแล้ว เลิกเลย เพราะฉะนั้นคำว่าอานาปานสติ อานาอาปานะ แปลว่าลมหายใจเข้าลมหายใจออก คุณต้องมีอยู่ ถ้าคุณขาดอยู่ในใจเลยมีแต่ใจกับใจไม่มีข้างนอกเลย ลมหายใจเข้าลมหายใจออกคุณก็ไร้ความรู้สึกรับรู้อีกนานๆหมดอานาหมดอาปานะ มันไม่ใช่อานาปานสติ มันเป็นสติอยู่ในภวังค์ สติอยู่กับภพภายใน สติของคุณไม่มีโลกของคุณ ไม่มีจักษุ ไม่มีปัญญา ไม่มีญาณ ไม่มีวิชชา ไม่มีอาโลก สติพวกนี้มันเป็นสติที่ไม่มีกาย สติที่ไม่มีวาจา เป็นสติที่มีแต่ใจ มันขาดมันไม่ครบไม่เต็มเต็ง จะตรัสรู้ไม่ได้ เรื่องนี้อธิบายกันยากมากเลย บุคคล 7 บุคคล 7 ตั้งแต่สัทธานุสารี ธัมมานุสารี สัทธาวิมุติ แล้วก็เป็นทิฏฐิปัตตะ แล้วกายสักขี ปัญญาวิมุติ อุภโตภาควิมุติ บุคคล 7 นี่แหละ อธิบายก็จะรู้ว่ากายต้องมี 2 พวกสายสัทธานุสารีจะไม่รู้จัก กาย ไม่รู้จักตายอย่างสัมมาทิฏฐิคุณก็เป็นทฐิที่สัมมาไม่ได้ เมื่อเป็นไม่ได้คุณก็จะบรรลุทิฏฐิปัตตะไม่ได้ ปัตตะ แปลว่าการบรรลุมรรคผล คุณก็จะเป็นสัมมาผล ที่เป็นทิฏฐิ ในระดับที่ 1 ไม่ได้ สองสาย สัทธานุสารี กับ ธัมมานุสารี ในระดับแรกท่านยังไม่ใช้คำว่าปัญญานุสารี ให้เท่าเทียมกันกับอีกสายหนึ่ง มาเป็นขั้นที่ 2 ก็จะแยกเป็น ทิฏฐิปัตตะ ก็สามารถมีมรรคผล ส่วนสายศรัทธาแยกไม่เป็นจึงได้แค่สัทธาวิมุต วนเวียนอยู่ในกรอบเดิมไม่มีทางออกไปเลย สมณะฟ้าไท สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin1 พฤศจิกายน 2020Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:ความแตกต่างของประธานาธิบดีกับพระมหากษัตริย์ : The difference between a president and the kingNextNext post:631102_รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 15Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024