631028_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาผ่าสังโยชน์ 10
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1z3guNCpDc5s9dDSlMAtiNdCus1yTafv5_AwO2z9xCo0/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1bRoYaTFQA155AbPDchEjFYPQ4GYX0cUF/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/x1o54hE91_M
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้มีข่าวมรณานุสติ คุณปฏินันท์ สันติเมทนีดล ซึ่งเป็นสามีของ คุณหญิง(อำภา) สันติเมทนีดล
แจ้งข่าวมรณานุสติ
อ.ปฏินันท์ สันติเมทนีดล คู่ชีวิตป้าหญิง อัมพา สันติเมทนีดล ได้เสียชีวิตอย่างกระทันหัน
เพราะติดเชื้อที่ตับอ่อนอักเสบ สาเหตุมาจากนิ่วในถุงน้ำดีหลุดออกมาเข้าไปตับอ่อน จึงทำให้เกิดการติดเชื้อ ประกอบกับเดิม อ.ปฏินันท์ ป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว จึงเกิดไตวาย และจากไปอย่างฉับพลัน เวลา 21.57 น. วันที่อังคาร 27 ตุลาคม 2563
ตั้งศพที่ : วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน ศาลา 13
กำหนดการ : 4 โมงเย็นรดน้ำศพ(28ต.ค.63)
6โมงเย็นสวดพระอภิธรรม
วันฌาปนกิจ : วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
เวลา 17.00 น.
ส่วนเรื่องของนายกฯหลังประชุมสภาก็บอกว่าจะทำงานต่อไปจนกว่าจะไม่มีโอกาสได้ทำ ถือว่าคนไทยโชคดีที่สุดในยุคสมัยนี้ที่ได้เจอนายกฯพลเอกประยุทธ์
พ่อครูว่า…ก็ขอโอภาปราศรัยกับชาว SMS ที่ส่งเข้ามาก่อน
_?ช่วยอธิบายคนทีมีปัญญาเข้าใจชัดปัญญาที่ใจรู้ในสิ่งที่จริงที่หลอกปัญญารู้กิเลสล้างกิเลสและความจริงของกิเลสเมื่อล้างแล้วจะบริสุทธิ์และคำขัวญของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ 45พรรษา เส้นทางสัมมาอารยมรรคที่ว่า
มี”เจตนา” แต่อย่า”อยาก
จง” พากเพียร” ให้เต็ม” บริสุทธิ์”
ความบริสุทธิ์เท่านั้น
ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก…. ในที่สุดในปฏิทินสำนึกดีปีใหม่ 2559ครับกระผมช่วยอธิบายที่กระผมเขียนมาช่วยเรียงลำดับก่อนหน้าหลังว่าปฏิบัติธรรมอย่างใดถึงจะมีปัญญาล้างกิเลสได้ถูกตรงถูกจริงครับ
(คุณชัยรัตน์ นารอต)
พ่อครูว่า…ก็ค่อยๆว่ากันนะ อันนี้ก็ขอพักไปก่อน เลื่อนไปก่อน เรื่องปัญญาก็ดี เรื่องกาย เรื่องบุญก็ดี อาตมาจะค่อยๆอธิบายไป เพราะมันเป็นโลกุตระธรรมทั้งนั้น เป็นเรื่องของความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าแล้วมาพูดให้เราได้ฟังโลกุตระ ซึ่งโลกุตระมันได้เลอะเลือนไปแล้วอาตมาก็ต้องมาแก้กลับทำคืน ทำความเข้าใจให้ถูก
_กราบนมัสการพ่อท่านด้วยบูชายิ่ง
กายคือภาวะที่จิตเกิดธาตุรู้ “หทัยรูป” และ “เจโตปริยญาณ” เพราะดิฉันเอาคู่ของ “หทัยรูป” เป็น “รูป” และ “เจโตปริยญาณ” เป็น “นาม”
ในหัวข้อ 14 ของ “กาย” อธิบายคำเทศน์ที่ว่า(เปรียบเทียบหาความต่าง “ยิ่งกว่า” ได้ไปทุกคู่) คือ ภาวะที่สามารถแยกรูป-นามได้ชัดขึ้น มีจิตที่ละเอียดลึกแหลมคมมากยิ่งขึ้น
ความเข้าใจแบบนี้ ถูกหรือผิดคะ
กราบขอบพระคุณค่ะ
เปรมจิตต์
25 ต.ค.63
แยกกายแยกจิตไม่ได้ปฏิบัติธรรมก็โมฆะ
พ่อครูว่า…เดี๋ยวรอฟังที่จะอธิบายต่อไปจะถูกหรือผิดซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ขอยืนยันว่าไม่ใช่ง่ายเลยคำว่ากาย เกริ่นอีกนิด คำว่า กาย เป็นคำแรกเมื่อภิกษุทุกรูปได้รับการบวชขึ้นมาจากอุปัชฌาย์ พระพุทธเจ้ามีพระธรรมวินัยให้อุปัชฌาย์จะต้องสอน กาย จิต แยกกายแยกจิตให้สัมมาทิฎฐิก่อนอื่นเลย ก่อนจะลุกจากที่นั่งบวช เดี๋ยวนี้ไม่เข้าใจแล้วอุปัชฌาย์ไม่รู้เรื่องแยกกายแยกจิต แยกกายแยกจิตก็ไปนั่งหลับตาแล้วทำจิตให้เป็นอะไร สร้างอุปาทานเป็นนิรมาณกาย มโนมยอัตตา แยกกายออก จิตเราก็ลอยขาดออกจากกายจากร่าง มองเห็นร่างของเรานั่งอยู่ตรงนั้นถือว่าเป็นคนแยกกายแยกจิตสำเร็จ ไปโน่นเลย ซึ่งเป็นเรื่องของเทวนิยม เป็นเรื่องขอความลึกลับความเข้าใจกันไม่ได้เป็น สัญญายนิจจานิ ของแต่ละคน สมมุติแต่ละอันไปปั้นรูปร่างเรื่องราวแตกต่างกันไปเป็นสัมโภคกายปั้นให้แก่ตัวเองเลอะเทอะไปหมดมันก็เลยไปกันเยอะ
พระพุทธเจ้าจึงต้องสอนให้รู้ กายรู้จิตอย่างสัมมาทิฏฐิแท้ ถ้าหากอธิบายแยกกายแยกจิตยังไม่สัมมาทิฏฐิ จบเลยการบวชนั้น โมฆะ ไม่มีทางจะปฏิบัติธรรมได้สำเร็จเพราะการแยกกายแยกจิตได้ก็คือ การจะต้องอธิบายถึงธรรมนิยาม 5 ได้
กายนั้นคือจิต หากไม่ใช่กายแล้วนั่นคืออุตุ แม้แยกกายแยกจิตไม่ใช่เป็นอุตุ เป็นแค่พีชะ ก็ไม่มีกาย พีชะคือพืชถือว่าไม่มีกาย ต้องจิตนิยาม จึงจะมีกาย แล้วจึงจะสามารถจัดการกับกรรมวิบาก พีชะไม่มีกรรมวิบาก ไม่มีเวทนาไม่มีความรู้สึก ต้องเข้าใจพวกนี้ ถ้าไม่เข้าใจพวกนี้แล้วการปฏิบัติธรรมให้เป็นโลกุตระธรรมนั้นทำไม่ได้ โมฆะเลย สำคัญมาก
-
อุปัชฌาย์จะต้องสอนสัทธิวิหาริกให้สัมมาทิฏฐิ ถ้าหากไม่ได้สอนแบบนั้นไม่มีแบบนั้นก็โมฆะหมด มิจฉาทิฏฐิหมดไม่เข้าใจการแยกกายแยกจิตที่เป็นมูลกรรมฐาน 5 แยกโดยการอธิบายจากผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่เป็นอวัยวะ 5 อย่าง เป็นอาการ 5 ข้างนอกที่มันมีในคน
อย่างผมก็ดี ขน เล็บ ฟัน หนัง มันอยู่ภายนอก นอกนั้นเป็นอวัยวะภายในหมดเลย เป็นเนื้อเป็นตับไตไส้พุงอยู่ข้างใน เอาไปเรียนรู้ไม่ได้ แต่มันอยู่ที่ภายนอกนี้เรียนรู้ได้ ให้รู้ว่าอันใดส่วนใดที่ไม่นับว่าเป็น พีชะแล้ว ไม่นับเป็นจิตแล้วเป็นอุตุคืออย่างไร เช่น เราตัดขนขาด ตัดผมส่วนที่ขาดไปแล้ว เล็บส่วนที่ขาดไปแล้ว ฟันส่วนที่กรอออกไปแล้ว ผิวหนังที่เราขัดถูภายนอก เป็นอุตุไปหมด ต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จึงจะเรียนรู้ได้ ถ้าเรียนรู้ไม่ได้ก็ไม่สามารถทำให้จิตของเราเป็น พีชะเป็นอุตุได้ โดยกรรมโดยธรรมะ ปฏิบัติธรรมไม่สำเร็จอรหันต์ถ้าไม่รู้สัมมาทิฏฐิธรรมนิยาม 5 นี้
เพราะฉะนั้นจึงศึกษาสังโยชน์ 10 ข้อแรกต้องเรียนกายของตน เรียกว่า สักกายะ ทำความเข้าใจ กาย ให้สมบูรณ์ ให้สัมมาทิฏฐิให้ได้ แล้วจึงจะได้ แล้วจะไม่มีข้อสงสัย อาตมาพูดไปอธิบายไปให้เข้าใจได้จนพ้นวิจิกิจฉา จึงจะดำเนินการปฏิบัติได้ แล้วข้อสามต่อไปต้องมีข้อปฏิบัติมีศีลพรต แล้วเป็นศีลพรตที่พ้นสีลัพพตุปาทาน พ้นสีลัพพตปรามาส
พ้นสีลัพพตุปาทาน คือ พ้นจากการยึดถือศีลพรตอย่างจารีตประเพณี ทุกวันนี้เขาคิดว่าศีลควบคุมแค่กายกับวาจา ซึ่งมันมิจฉาทิฐิไปหมด
ยิ่ง สีลัพพตปรามาส แม้ว่าจะสัมมาทิฎฐิแล้วต้องปฏิบัติศีลให้ไปลดกิเลสได้ แม้ว่ามีสัมมาทิฎฐิแล้วแต่ไม่ปฏิบัติเอาจริงเอาจัง ได้แต่เล่นๆหัวๆ ลูบๆคลำๆ เหลาะๆแหละๆ ไม่เอาจริงในการปฏิบัติไม่ได้หรอก ไม่พ้น สังโยชน์ 3 ข้อ
เริ่มตั้งแต่ กาย ปฏิบัติจริงๆโลกุตรธรรม 37 จึงเริ่มพิจารณากายในกาย แล้วก็เป็นเวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม เป็นต้น
_มีอีกแผ่นของคุณเปรมจิตต์…
กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยบูชายิ่ง
ขอโทษค่ะ ที่ดิฉันถามคำถามไม่ชัดเจน คือว่า พ่อท่านอธิบายคำว่า “กาย”ไว้ทั้งหมด 17 ข้อแล้ว ดิฉันยกเอาข้อที่ 14 ซึ่งกล่าวว่า
-
แต่ต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า “กาย”ก็ดี “เทว”ก็ดีนั้นต้องมีธาตุรู้เป็นประธานในความเป็น “2” ขึ้นไปทุกภาวะ ตั้งแต่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง “ความต่างกันของความเป็น 2” เปรียบเทียบหาความต่าง “ยิ่งกว่า”ได้ไปทุกคู่
ความว่า…เปรียบเทียบหาความต่าง “ ยิ่งกว่า ได้ไปทุกคู่” ทำให้สะดุดค่ะ เพราะถ้าเราเห็น “สีแดง”ต่างจาก”สีเขียว” มันก็จบ แต่มันยังมีความต่าง “ยิ่งกว่า” ตรงนี้ทำให้เข้าใจชัดขึ้นว่า การเห็นความต่างของ “รูป” และ “นาม” ไม่ใช่เรื่องธรรมดา การเห็นว่าต่างกันก็ระดับหนึ่ง เห็นว่าเป็น “รูป” หรือ “นาม” ก็อีกระดับหนึ่ง ลึกลงไปอีก เห็นว่า “หนักหรือเบา” , “อ่อนหรือแข็ง” “จางหรือเข้ม” ความต่างที่จิตละเอียดเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องรู้ให้ชัดเจน เพื่อให้ตรงกับคำว่า “รู้จักรู้แจ้งรู้จริง”
เมื่อถึงจุดชัดเจนนี้ได้ “ปัญญา” ก็จะเกิดการลดละเลิกกิเลสที่ติดยึดอยู่ ก็จะเป็นไปได้ง่ายขึ้น
กราบขอพ่อท่านพิจารณาว่าดิฉันเข้าใจถูกมั้ยคะ
กราบขอบพระคุณยิ่ง
เปรม. 28 ตค. 63
พ่อครูว่า…เข้าใจถูกดีละเอียดขึ้น
_ SMS วันที่ 25-27 ต.ค. 2563
_สมณะคิดถูก นาวาบุญนิยม : มันคือจุดเล็ก ๆจุดหนึ่งในราชธานีอโศกหลังจากน้ำท่วมนับเดือนปีที่แล้ว คิดว่าต้นกล้วยตายหมด อาศัยเพียงตอที่เหลือก็ทำให้กล้วยแตกหน่อออกลูกมาให้อย่างสวยงาม เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เช่นเดียวกับบ่อผำ คิดว่าน้ำพัดพาไปหมดแล้ว พอน้ำลดท่านเด่นให้สูบน้ำแล้วจับปลาในบ่อออกไปปล่อยในคลอง รอดินแห้งเกิดตะไคร่สีเขียว ๆ สูบน้ำใส่ก็มีผำให้โรงครัวทำอาหารจนคนกินยอมแพ้ เพราะถ้าเก็บเอาทั้งบ่อก็จะได้ร่วม 100 กก.เลยทีเดียว ถ้าเราดูแลเขาดี ๆให้น้ำวันละครั้ง เขาก็จะให้ผลตอบแทนตลอดไป เช่นเดียวกับกล้วยหอมทองบางเครือ เห็นแล้วไม่อยากเอามาทานเลย อยากเอาไปไว้หน้าเวทีให้ทุก ๆคนได้เห็นว่า ที่นี่อุดมสมบูรณ์จริง ๆ ท่านเด่นนับกล้วยหอมเขียวเครือนี้แล้วมี 10 กว่าหวี
พ่อครูว่า…คือที่บ้านราชฯนี้มันแปลก ปลูกพืชอะไรมันก็ออกดอกออกผลดีมันจะแกล้งเราหรือเปล่า มันอุดมสมบูรณ์ไปหมด
_ฟ้าพรห์มไพร นาวาบุญนิยม : กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ..ดิฉันขออนุญาตถาม..นานหลายปีมาแล้ว..มีวันหนึ่งหนูมีอาการเบากายเบาใจทั้งวัน เวลาเดินเหมือนสโลโมชั่นยังไงยังงั้น..ทั้งวันมีอาการจิตมันอิ่มเอิบยิ้มอยู่ข้างใน..อาการอย่างนี้หนูเป็นอะไรคะ…
พ่อครูว่า…กำลังไปหลงทางผิด ไปหลงทางสะกดจิตทำให้กายวาจาใจช้า ซึ่งเป็นเรื่องของเดียรถีย์ที่ปฏิบัติกันผิดอยู่ทุกวันนี้ ของพระพุทธเจ้ายิ่งปฏิบัติแล้ว กายก็แคล่วคล่อง เป็นกายปาคุญญตา จิตก็แคล่งคล่อง จิตปาคุญญตา เป็นสมาธิที่แคล่วคล่องและนี่คือการปฏิบัติที่มิจฉาทิฏฐิ แต่เขาไปปฏิบัติธรรมให้ยิ่งมืดยิ่งเชื้องช้าแข็งทื่อ
สรุปคือคุณกำลังไปปฏิบัติแบบเดียรถีย์ที่ผิดๆ อย่างที่ศาสนาพุทธใหญ่ๆทุกชนิดสอนกัน แล้วอยากจะใช้คำว่าทั้งนั้นเลย แต่ก็เอาล่ะ ผิดเกือบทั้งนั้นเลย แต่อยากจะใช้คำว่าทั้งนั้น คือจะไม่เหลือเลยน่าสงสาร
_คนสงสัย ขอถามว่า… ที่คุณอ๋อย บริงโซกราบเรียนถามพ่อครูว่า มีพระอรหันต์สององค์ จะสามารถมีความเห็นทางการเมืองต่างกันอย่างสุดขั้วได้ไหม ? จากคำถามนี้ พ่อครู กล่าวว่า ” สัมมาทิฏฐิ เป็นเรื่องของ อริยสัจ ๔ ” แต่ความเห็นต่างอย่างสุดขั้วทางการเมือง ไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิ แต่เป็น เรื่องของความเห็นต่าง คือ ทิฏฐิ ที่ต่างออกไป แต่ว่า อยู่ร่วมกันได้ ไม่ทะเลาะกัน นั้น
จะสรุปได้มั้ยว่า..ความเห็น(ทิฏฐิ) ที่เห็นต่างในเรื่องของอะไรก็ตาม ที่ไม่เกี่ยวกับ อริยสัจ ๔ นั้น
ไม่เรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ เพราะว่า ” สัมมาทิฏฐิ ” กับ ” มิจฉาทิฏฐิ ” นั้นใช้เฉพาะกับ เรื่องของ อริยสัจ ๔ เท่านั้น ..แบบนี้ ถูกรึป่าวคะ? มิจฉาทิฏฐิใช้กับโลกียะ ไม่ได้เลยรึคะ
พ่อครูว่า…ถูกแล้ว มิจฉาทิฏฐิก็ใช้กับ โลกียะได้เอาไปแทนกันได้ มิจฉาทิฏฐิมันแปลว่าความเห็นผิดก็ไปใช้กับโลกียเพราะมันผิดไปตามที่คนเถียงกันในโลกียเขาเถียงกัน เรื่องอะไรก็แล้วแต่มันไม่เหมือนกันต่างคนต่างยึดถือ ก็ถือว่าต่างกัน เขาคิดถึงข้างใดข้างหนึ่งก็คิดไปข้างนั้นผิดข้างเราถูกของเขาผิดก็อย่างนั้น มันก็เป็นได้ใช้แทนได้ แต่จริงๆอย่างที่อ๋อยเข้าใจนะถูกแล้ว ของพระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นมาเป็นเรื่องของอริยสัจ 4 เท่านั้น
พระโพธิสัตว์ 9 ระดับ
_สุทัศ สุภาภัทรานนท์ : พระโพธิสัตว์ต้องได้ญานขั้นไหนครับ / พวกที่บรรลุเซียนได้ญานขั้นไหน
พ่อครูว่า…คือ โพธิสัตว์ต้องได้ญาณขั้นไหน อาตมาแบ่งแยกโพธิสัตว์ไว้ถึง 9 ขั้น ขั้นที่ 9 คือขั้นสัมมาสัมโพธิญาณ จริงๆแล้วโพธิสัตว์ก็มี 8 ขั้น คันที่ 9 ก็เป็นสัมมาสัมโพธิญาณ หรือเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ก็มีตั้งแต่โสดาบัน เรียกว่าโสดาบันโพธิสัตว์
โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทีนี่ คำว่า โพธิสัตว์มันตัดเอาอะไรเป็นเครื่องชี้
โพธิสัตว์คือสัตว์ที่บรรลุโพธิ โพธิคือเครื่องตรัสรู้ โพธิหรือโพชฌังคา องค์แห่งโพชฌงค์ คือองค์แห่งการตรัสรู้ที่ทำให้เกิดการบรรลุธรรมเป็นความรู้ขั้นโลกุตตระ
ขั้นแรกที่สุดเรียกว่า โสตาปันนะหรือโสดาบัน หมายความว่าเริ่มเข้ากระแส
ขั้นที่ 2 แล้วก็ทำได้อีกหลายๆขั้นเรียกสกิทาคามี
พอหลายขั้นๆข้างนอก ขั้นกามภพได้หมด ครบทำได้อยู่เหนือกามภพ ก็เหลือข้างในเรียกว่าอนาคามีโพธิสัตว์ เป็นขั้นที่ 3
ขั้นที่ 4 เป็นโพธิสัตว์ที่บรรลุ อรหัตตผล เป็นพระอรหันต์ เป็นขีณาสวโพธิสัตว์
ขั้นที่ 5 ขึ้นไปบำเพ็ญต่อเป็นพระโพธิสัตว์เริ่มตามพระพุทธเจ้าเรียกว่า อนุ คือตาม ถ้าจบแค่พระอรหันต์คนนี้ก็จบได้แล้วปรินิพพานเป็นปริโยสานได้แล้ว แต่ยังไม่จบจะตามความรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นโพธิสัตว์ ตรงนี้แหละ อนุโพธิสัตว์จะเป็นโพธิสัตว์ที่เริ่มตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า สอบไปเข้าเรียนต่อ
มหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้า แต่ยังไม่แน่ยังไม่เที่ยง อนุโพธิสัตว์เข้าได้
ขั้นที่ 6 อนิยตโพธิสัตว์เข้าได้ แต่ก็ไม่เที่ยงต้องไปถึงขั้นที่ 7 นิยตโพธิสัตว์ก็เป็นผู้ที่เที่ยงอย่างไรก็จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
ขั้นที่ 8 เป็นโพธิสัตว์ที่ยิ่งใหญ่เป็นมหาโพธิสัตว์
ขั้นที่ 9 ก็บรรลุปัจเจกภูมิเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
นี่คือโพธิสัตว์ 9 ระดับ ที่อาตมาก็เอาตามของอาตมาเอามาอธิบาย ไม่ได้เอามาจากตำราเล่มไหนหรอก แม้แต่มหายานก็ไม่มี อาตมาไม่ได้ศึกษามหายานเท่าไหร่ แต่ในเถรวาทพูดกับเขาไม่รู้เรื่องหรอก เขาก็หาว่าอวดอุตริ คนอื่นไม่รู้เรื่องด้วยตัวเองรู้เรื่องคนเดียวมันก็จริง รู้อยู่คนเดียว เขาไม่รู้เรื่องแต่อาตมาก็ต้องอธิบายโดยมั่นใจว่าอาตมาไม่ได้พาให้ผิดทาง และมันต้องเป็นผู้สืบทอดศาสนาพุทธเป็นอย่างนั้น มันจะต้องต่อให้ชัดเจน
สิ่งที่พระมหาสมณโคดมไม่ได้อธิบายเรื่องของมหายานไม่ได้อธิบายภพภูมิของโพธิสัตว์ ท่านสอนใบไม้กำมือเดียว จริงๆธรรมะพุทธเจ้าเหมือนใบไม้ทั้งป่าแต่ท่านสอนใบไม้กำมือเดียว หมายความว่าท่านสอนเอาแค่ให้บรรลุอรหันต์ พระสมณโคดมท่านไม่ได้สอนพระโพธิสัตว์ ท่านสอนแค่เถรวาท ที่จริงแล้วเถรวาทเข้าใจผิด อีกหลายอย่าง อาตมาก็รู้ทั้งความเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ก็จะมาอธิบายเพิ่มเติม พระพุทธเจ้าท่านเอาแค่ 80 ปีไม่เอาถึงหนึ่งกัปแล้ว บอกพระอานนท์ไว้ว่าท่านให้สัญญาณเธอตั้ง 16 ครั้ง แต่เธอไม่เคยอาราธนาให้อยู่ต่อเลย อย่ามาโทษตถาคต เป็นความผิดของเธอ ก็เลยโดนปรับอาบัติซะ อะไรทำให้เสียประโยชน์พระพุทธเจ้ารีบปรินิพพานไปก่อน
นิมนต์จิบน้ำ
สมณะฟ้าไท….ใครที่มีความทุกข์ตอนนี้ลองดูตัวอย่างพลเอกประยุทธ์ที่ต้องบำเพ็ญต่อสู้กับปัญหาให้ประเทศไทยไปรอด
พ่อครูว่า…
สังโยชน์ 10 จัดเป็นกิเลสหรือตัณหา
_ศิษย์เก่าอโศก : ขอความอนุเคราะห์พ่อท่านอธิบาย
-
ความเหมือน/ความแตกต่างของคำว่า “กิเลส” กับ “ตัณหา”
-
สังโยชน์ 10 จัดเป็น กิเลส หรือ ตัณหา ครับ
-
พระอาริยะดูที่การละสังโยชน์ 10 อย่างเดียวหรือเปล่าครับ
พ่อครูว่า…กิเลสหรือตัณหาก็เป็นพยัญชนะที่กำหนดมาให้รู้ลักษณะ มันมีบริบทของมัน กิเลสเป็นบริบทกว้างรวมกันไปหมดเป็น Common noun กิเลสคือสิ่งที่เป็นอกุศล สิ่งที่เป็นความไม่ดีงาม ความเป็นโทษภัยทั้งหลายแหล่ของจิต ตัวอกุศลจิตทั้งหมดรวมเรียกว่า กิเลส กิเลสเล็กน้อยกิเลสใหญ่ กิเลสละเอียดต่างๆ
ส่วนตัณหา คือความอยาก แล้วตัณหานี้จะต้องมีผัสสะเป็นเวทนา แล้วเวทนานี้แหละ ถ้าไม่มีเวทนานี้จะแยกหรือว่าเรียนเอาสภาวะจริงมาแยกหาตัณหาที่มันทำให้เกิดเวทนาเก๊ เวทนาชั่วไม่ได้ ถ้าไม่มีการสัมผัสของจริง เช่น ไปนั่งหลับตาไม่มีการผัสสะ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่มีพวกนี้โมฆะไม่มีเวทนามีแต่สัญญา กำหนดรู้แต่ในจิต ปั้นอะไรไปตามเรื่อง มันไม่มีความจริงความจริงต้องมีปัจจุบันต้องมีจักษุ มีปัญญา มีญาณ วิชชา อาโลก คือมีความจริงยืนยันกับคนอื่นได้แต่ถ้าหลับตาไปยืนยันความจริงอะไรกับใครไม่ได้ เป็นพวกเทวนิยม พระเจ้า ยืนยันกับใครไม่ได้ว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหน พระเจ้าเป็นจินตนาการของคนทั้งสิ้น ไม่มีใครรู้จัก แม้แต่พระบุตรก็ยังไม่รู้จักพระเจ้า พระเจ้านั้นคือเทวยิ่งใหญ่หรือเรียกว่าปรมาตมันอยู่ที่ไหน อยู่ในจิตใจตัวเอง
พระเจ้าหรือเทวนิยมไม่เคยเรียนรู้ตัวเอง แยกกิเลสตัวเองไม่ออก ทุกวันนี้ก็ยังแยกตัวเองไม่ออกตลอด เพราะฉะนั้นเทวนิยมไม่รู้จักเทวะ ตีไม่แตกแยกไม่ออก ห้ามเลยนะ อย่าไปแยกเทวะ หนึ่งเดียวคือพระเจ้าแยกไม่ได้ ของพระพุทธเจ้าสอนเทวดาแยกได้ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 จัดการให้เหลือไว้แค่ 1 เทวะ ธรรมะสอง ทำให้เป็นหนึ่ง ทำที่ไหนทำที่เวทนา ทำให้เวทนาเก๊ตายเหลือแต่เวทนาจริง แล้วทำให้เป็น 0 ได้ก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน
เมื่อปรินิพพานเป็นปริโยสานได้จึงดับอัตภาพอาตมันปรมาตมันหรือจิตวิญญาณที่เป็นทาสจิตนิยามสลายไปได้หมดเลย พระเจ้าก็ไม่มี สลายได้แม้แต่ตัวพระเจ้าใหญ่ วิญญาณใหญ่ วิญญาณพระเจ้าไม่มีใครไปแตะต้องไม่มีใครทำลายได้อยู่นิรันดร แต่ศาสนาพระพุทธเจ้านี้ทำลายได้เฉยเลย ทำลายจิตวิญญาณหายสูญเลิกจิตนิยามเลยจบ นี่คือสิ่งที่พูดไปแล้วเหมือนไปข่มศาสนาเทวนิยม แต่มันเป็นสัจจะ ที่พูดเป็นวิชาการไม่ได้ไปข่ม ก็น่าสงสารที่เขาไม่รู้จักสงสาร การเวียนวน เทวนิยมไม่รู้จักการเกิดหมุนเวียนตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้าก็จบไม่ได้เรียนรู้อะไรต่อ แล้วแต่พระเจ้าจะให้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรกจบชาติเดียว ไม่มีกรรม ไม่มีวิบาก ไม่มีอะไรต่อ นั่นแหละเป็นความสั้นความรู้แบบสั้นๆของศาสนาเทวนิยม ก็น่าสงสารเพราะเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ ที่พูดนี้ใช้พยัญชนะพูดสื่อให้รู้สภาวะแต่พูดไปแล้วเหมือนเราไปข่มเขา แต่ก็น่าสงสารก็ไม่รู้จะทำอย่างไร พูดความจริงให้ฟัง ถ้าคุณถือสาก็ขออภัย
เพราะฉะนั้นกิเลสกับตัณหาจะอยู่กันคนละสถานะเท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าถึงให้เรียนรู้กิเลสก็คือกว้าง ต้องพยายามจับมาที่ตัณหา เมื่อเรียนรู้ดูอาการที่เป็นตัณหาสัมผัสแล้วเกิดกิเลสอย่างนี้มันเกิดเป็นเวทนา ถ้าไม่มีเวทนาแล้วคุณจะจับแยกเวทนาเก๊เวทนาจริงไม่ได้ เวทนาจริงก็เป็นสัจจะมันเกิดแล้วตั้งอยู่ดับไป แต่นี่คุณไปติดยึดว่ามันต้องตั้งอยู่ เพราะคุณมีอวิชชาไปติดในเวทนาเก๊ คุณล้างไม่ได้ นี่แหละคือจุดสำคัญที่ต้องรู้เวทนา
การหลับตาปฏิบัติ ไม่มีเวทนา ไม่มีภาษา พูดไปแล้วมันไปว่าเขากันนักกันหนาก็คือมันโง่กันนักกันหนานั่นแหละ ทำไมไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ว่าเท่าไหร่ก็ยังดื้อ มีปรโตโฆษะบ้างสิ ฟังพระโพธิรักษ์บ้าง ไปฟังแต่ครูบาอาจารย์อย่างเดิมอยู่อย่างนั้น พระโพธิรักษ์สอนอย่างที่แตกต่างจากที่คุณยึดถือนะ ฟังอันใหม่บ้าง ตั้งใจฟังดีๆจะรู้ว่าอ๋อ ถ้าอย่างนี้ไปรอดถ้าอย่างนั้นจมอยู่อย่างเก่า เก่งที่สุดก็ไปเท่ากับอาฬารดาบส อุทกดาบส อยู่แค่นั้นจะไปไหน ไปตรงที่พระพุทธเจ้าท่านอุทานว่า ชิบหายแล้วหนอ เท่านั้นแหละ จบแล้วไปอยู่ที่ไหนก็ไปที่ชิบหายแล้วหนอ ที่พระพุทธเจ้าอุทานไว้ น่าสงสารจริงๆเลย นี่คือสายหลับตา พูดจริงๆเลยเห็นใจไม่รู้จะทำอย่างไร แต่เขาไม่เห็นใจเราเลยว่าเราเองสงสาร ช่วยเขาแท้ๆเขาก็หาว่าเราไปดูถูกเขา จริงๆมันถูกนะ แต่เขาถือดีถือตัวมีกิเลสมีอุปาทานยึดมั่นถือมั่นกันเกินไป
กิเลสกับตัณหาต่างๆ
ที่นี่สังโยชน์ 10 จัดเป็นกิเลสหรือตัณหา
สังโยชน์ 10 ท่านมาแยกฐานแห่งการปฏิบัติ ปฏิบัติมีวิธี มีกระบวนการให้ศึกษาตั้งแต่สังโยชน์ข้อที่ 1 รู้จักกาย ให้ชัดๆ พ้นวิจิกิจฉา แล้วรู้การปฏิบัติ มีศีล มีพรต สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ก็เป็นข้อปฏิบัติวิธีปฏิบัติ แต่พวกที่ปฏิบัติผิดไม่มีแล้ว ไม่มีศีลพรตที่ถูกต้อง ไม่มี สัมมาทิฏฐิ
อปัณกปฏิปทา 3 ไม่มีหลับตานี่ไม่มีโมฆะไปทั้งหมดเขาอธิบายไปไม่ออก เพราะฉะนั้นสังโยชน์ 10 จึงเป็นหลักเกณฑ์ที่ท่านสอนแล้ว อย่างสังโยชน์ 3 คุณต้องรู้จักกายของตน สมาธิที่แยกกายแยกจิตได้ แล้วก็ให้มันชัดเจน ท่านถึงกำชับให้พ้นวิจิกิจฉารู้กายของตัวเอง กายในกายเป็นอย่างไรต้องชัดเจนพ้นวิจิกิจฉา แล้วต้องมีข้อปฏิบัติที่สัมมาทิฏฐิ เมื่อปฏิบัติแล้วพ้นศีลพรตที่เป็น สีลพตุปาทานคือยึดถือไปตามจารีตประเพณีทุกวันนี้ เขาไปก็ไปถือศีลวันพระ ไปนอนพักค้างที่วัดหรือว่าถือตามที่พูดบ่นกันไป ฟังพระเทศน์กันแล้วก็ออกจากวัดไป ศีล 5 ก็ไม่เหลือในการปฏิบัติ เรียกว่าสีลัพพตุปาทาน
ส่วนสีลัพพตปรามาส นั้นพอเข้าใจสัมมาทิฏฐิในการปฏิบัติศีล แต่ไม่เอาจริงลูบคลำไม่เอาจริงเล่นๆอยู่อย่างนั้น
สีลัตตปรามาส กับสีลัพพตุปาทาน ต่างกันอย่างนี้
ผู้ที่ปฎิบัติพ้น 3 ข้อนี้จึงได้มรรคผล สังโยชน์ 3 ข้อนี้จึงเป็นของพระโสดาบัน ปฏิบัติแล้วได้มรรคผลขึ้นมา ก็จะเริ่มเป็นพระสกิทาคามี ขึ้นมาตามลำดับจึงจะหมดกามภพ กามสังโยชน์ ถึงจะเป็นรูปราคะ อรูปราคะ เข้าไปอีก จนเป็นมานะอุทธัจจะ อวิชชา หมดอาสวะ สังโยชน์ 10 ก็เป็นลำดับ เป็นกระบวนการหมดตัณหา ตั้งแต่กามตัณหา ภวตัณหา จนกระทั่งจบเป็นวิภวตัณหา ก็รู้ว่าเรามีตัณหาแต่ไม่มีภพแล้ว เขาก็แปล วิภวตัณหาว่าไปติดยึดความไม่มีภพ ไปหลงก็ได้ เป็นอุปาทาน ภพที่ไม่มีภพ ก็ถูกไม่ผิดหรอก
แต่จริงๆผู้ที่มีภวภพก็คือผู้ที่พ้นจาก หมดจาก กามภพ ภวภพ ไม่มีภพชาติ อยู่เหนือภพ แล้ว อยู่ในสภาพที่มีตัณหาที่ไม่มีภพ เป็นตัณหาอุดมการณ์เป็นตัณหาที่อยากช่วยสัตว์โลก รื้อขนสัตว์ให้พ้นทุกข์ตามจิตเป็นลำดับไปเรื่อยๆ
เอาแต่แค่ 10 ข้อนี้คุณทำให้ได้ถูกต้องหมดก็เป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องหาอะไรอย่างอื่นมาให้ยุ่งยากเลยที่จะบอกว่าอนุสัย 7 อีก ไม่ต้องหรอกเอาแค่ อาสวะ 10 อย่างนี้ให้หมดก่อนคุณจะรู้จักทางปฏิบัติอนุสัย 7 อีก เมื่อสังโยชน์ทั้ง 10 นี้ พระพุทธเจ้าก็นับเป็นพระอรหันต์ หมดอาสวะ เป็นผู้ที่มีปัญญาวิมุติแล้ว เขาไม่หมุนเวียนกลับคืนไปหาทางโลกีย์ไม่มี เขาไม่ทำก็เรื่องของเขา แต่จริงๆแล้วมันลึกซึ้ง ลึกซึ้งตรงที่ว่าโพธิสัตว์จะอยู่ในฐานปัญญาวิมุติ จะอยู่ในฐานนี้ มีวิภวตัณหา เพื่อที่จะปฏิบัติ ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว จะดับก็ดับได้ ปรินิพพานได้ เป็นปริโยสาน ไม่ดับก็ไม่สูญสิ้นอนุสัย แต่หมดอาสวะแล้ว มีอนุสัย เอาไว้ทำประโยชน์ต่อ
พระโพธิสัตว์จะรู้จักอนุสัยดีแล้วแยก อนุสัย กับอาสวะได้ เหมือนอย่างเช่นอาตมาอธิบายนี้ ขอยืนยันว่าไม่มีใครอธิบายกันแยกแยะอาสวะกับอนุสัย และขอยืนยันว่าเป็นจริงอย่างนั้น
พ่อครูเป็นพระสารีบุตรหรือไม่
_พงษ์ชัย : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพครับ ขอถามจริง ๆให้หายสงสัยเถอะครับว่า สมัยที่พ่อท่าน อยู่ร่วมกับพระพุทธเจ้าสมณโคดม พ่อท่านคือพระสารีบุตรใช่ไหมครับ? กราบขอบพระคุณครับ
พ่อครูว่า…ตอบ คำว่า สารีบุตรนั้น ถ้าคุณเข้าใจว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขา อาตมาเป็นโพธิรักษ์ แล้วจะเป็นสารีบุตรได้อย่างไร ถ้าอาตมาไปยึด ยืนยันว่า ชาติที่อาตมาอยู่กับพระพุทธเจ้านั้นอาตมาเป็นพระสารีบุตร มันก็เป็นตัวตนบุคคลเราเขา อาตมาก็ ถ้าบอกว่า อาตมาเป็น คุณจะรู้ตามอาตมาได้อย่างไร ใครรับรอง อาตมารับรอง คุณเชื่อได้อย่างไร มันไม่มีประโยชน์ อยากรู้เฉยๆไม่มีประโยชน์อะไร แล้วอาตมาจะไปบอกทำไม
คุณเอาตรงนี้ อาตมานี้เป็นบุตรของพระพุทธเจ้าที่ยืนยันเดินไปตามสาระของพระพุทธเจ้าไหม สารีปุตโต อาตมาเป็นบุตรพระพุทธเจ้า ธรรมะที่อาตมาอธิบายมันตรงกับคำสอนพระพุทธเจ้าถอดมาเลย DNA เดียวกันกับพระพุทธเจ้าเลย มาอธิบายสืบทอด DNA ของพระพุทธเจ้าถูกต้องไหม อันนี้ต่างหากจะยืนยัน สารีปุตโต เพราะฉะนั้นอาตมายืนยันว่าอาตมาเป็น สารีปุตโต ไม่ผิดหรอก
อาตมาตอบทั้งตัวตนบุคคลเราเขา ตอบทั้งความเป็นปรมัตถธรรมให้ฟัง แล้วถ้าคุณมายืนยันว่าโพธิรักษ์นี่แหละคือพระสารีบุตร คุณอย่ามาดูถูกอาตมา สารีบุตรคนนั้นตายไปแล้ว อาตมามาถึงวันนี้ อาตมาเจริญกว่าสารีบุตรคนนั้นถ้าจะเอาจริงๆ ถ้าไม่อย่างนั้นอาตมาก็เสื่อมอาตมาก็เป็นผู้ที่ไม่เจริญ อย่ามาดูถูกว่าอาตมาเป็นสารีบุตร
สารีบุตรคนที่ผ่านมาตั้ง 2 พันกว่าปีนั้น อาตมาต้องเจริญกว่านั้นเพราะเกิดมาอีกหลายชาติแล้ว พูดไปแล้วเดี๋ยวจะสงสัยมากไปกว่านั้น
ปฏิบัติเป็นคนชราอย่างไรไม่ให้ลูกหลานเบื่อ
_ทองสุข สุขสันต์ : กราบนมัสการถามพ่อครูค่ะ เราควรปฏิบัติตัวอย่างไร ถึงจะเป็นคนป่วย หรือคนชรา ที่ลูกหลานไม่เบื่อหน่ายคะ
พ่อครูว่า…ถ้าปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าไม่เป็นคนขี้แยไม่เป็นคนอ้อนไม่เป็นคนเลี้ยงยากไม่เป็นคนยึดถือตัวตน เป็นคนที่มีจิตที่ไม่อยากจะเป็นภาระใครไม่อยากรบกวนใคร มีความเกรงใจผู้อื่น แต่ก็ไม่ต้องไปถึงขนาดว่า เราก็ไม่มีสมมุติ ไม่ให้ผู้อื่นช่วยเหลือ ไม่ให้ผู้อื่นได้ทำสิ่งที่เป็นกุศลสิ่งที่เป็นประเสริฐ เขาจะทดแทนบุญคุณช่วยเหลือกตัญญูกตเวทีมันก็ต้องมีคุณธรรม มันต้องมีผู้รับผู้ให้คู่กัน แล้วคุณจะไม่ให้ใครเกรงใจไม่ให้ใครช่วยด้วย มันสุดโต่งไป เพราะฉะนั้นต้องดูความพอเหมาะพอควร แล้วก็ต้องให้คนเขาช่วยเหลือเท่าที่ควรจะช่วยเหลือ เราเป็นคนมีใจที่เกรงใจคนอื่นนั้นดีแล้ว แต่อย่าไปแอคอาร์ทมากเกินไปมันน่าหมั่นไส้ มันสมเหมาะสมควรให้คนเขาดูแลเกื้อกูลเรา ต่างคนก็จะต้องได้ทำกุศลทำประโยชน์ สร้างกุศลสร้างให้เป็นทุกอย่างเลย ทั้งสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…การปฏิบัติต้องดูความเหมาะสม
ฌาน กับ ปัญญา เป็นของคู่กัน
_สติพล จนพัฒนา : ฌาน..น่าจะหมายถึงการตัดกิเลสแบบเจโต ตัดชั้วะเลย..ส่วนปัญญาเป็นตัวเคลียร์..เพราะฌานพุทธต้องมีปัญญาอยู่แล้วใช่ไหมครับ?!
พ่อครูว่า…ที่พูดหมายถึง แบบเจโต แบบสายศรัทธา นั้น เขาไม่ตัดกิเลส เขาตัดกิเลสไม่ได้เพราะไม่มีปัญญา แต่มันซ้อนๆนะ สายเจโต นั่งหลับตาสะกดจิตเกิดปัญญาไม่ได้ปัญญาจะเกิดได้ต้องลืมตาปฏิบัติ มีแต่สัญญาเกิดในการปฏิบัติหลับตา อย่างไรให้ตายอย่างไรก็ไม่มีปัญญาเกิด เหมือนอย่างคุณบูรพา ผดุงไทย หนังสือไทยโพสต์เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีอะไร ผู้ที่มีปัญญาก็จะต้องนั่งหลับตาแล้วไปสงบแล้วโผล่ขึ้นมาเอง ถ้าไปคิดอะไรจะไม่เกิดปัญญา จะต้องสงบไม่คิดอะไรจึงจะเกิดปัญญา แล้วเกิดโผล่ขึ้นมามีปัญญาฉลาดรู้นั่นแหละจะเป็นปัญญา สายเจโตเขาจะปฏิบัติอย่างนั้นซึ่งตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้าเลย การปฏิบัติให้เกิดปัญญาต้องลืมตา มีตา หู จมูก ลิ้น กายใจ มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีสัมมาทิฏฐิมีมัคคังคะ คือมีการทำงานอาชีพอยู่ มีชีวิตอยู่ในการงานปกติ มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีการพูดการคิด ครบมรรคมีองค์ 8 มัคคังคะ ปัญญาจึงจะเกิดได้ หากคุณหลับตาปฏิบัติก็ปิดประตูเกิดปัญญา พูดอ้างอิงพระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 258 เขาไม่ได้รู้เรื่องกันเลย พระพุทธเจ้าตรัสไว้อ้างอิงในพระไตรปิฎกต่างๆนานา เขาก็ยัง บื้อ ไม่เชื่อพระโพธิรักษ์เลย เราไม่มีน้ำยาเลย พูดอย่างไรเขาเลยเห็นว่าไม่มียา มันวาสนาน้อยนี่นะ
เพราะฉะนั้นฌานของพระพุทธเจ้านั้น ฌาน ของพุทธต้องมีปัญญาอันนี้ใช่ นัตถิ ฌานัง อปัญญัสสะ ปัญญา นัตถิ อฌายโต
ยัมหิ ฌานัญจะ ปัญญา จ ส เว นิพพานสันติเก
ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน
ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นแล อยู่ในที่ใกล้นิพพาน
(พตปฎ. เล่ม 25 ข้อ 35)
ไปนั่งหลับตาปฏิบัติและบอกว่าเป็นอรหันต์กันเต็มหมดนั้นมันไม่ใช่ เป็นอรหันต์เก๊ มันไม่ใช่พระอรหันต์จริง มาฟังให้ดีๆ ปรโตโฆษะ บ้าง แล้วจะได้โยนิโสมนสิการ ไม่อย่างนั้นก็ อโยนิโสมนสิการอยู่อย่างนั้นเป็นของไม่จริงไม่แท้ไม่ถูกต้อง ไม่ลงไปถึงที่เกิด มันไม่เป็นสัมภวะหรือปภวะ ไม่ถึงที่เกิด ที่เกิดจะต้องมีวิญญาณมีผัสสะมีเวทนา พระพุทธเจ้าอธิบายให้ภิกษุ สาติ บอก มานั่งหลับตานั้นมีแต่ความคิดเอาเอง เป็นนิรมาณกายมันเป็นสัมภเวสี
สัมภเวสีคือผู้ที่มี ทิฏฐิ อวิชชา โง่ ก็เลยไปหลับตา หลับตาแล้วจิตก็เลยล่องลอย ไปหาที่ตั้งไม่ได้หาที่เกิดไม่ได้ ที่ตั้งทางตา ที่ตั้งทางหู ที่ตั้งทางจมูก ที่ตั้งทางลิ้น ที่ตั้งทางกายไม่มี แม้แต่ที่ตั้งทางใจ
ใจนี้จะต้องมีคู่ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นคู่ กายต้องมีคู่ โผฏฐัพพะต้องมี 5 แล้วต้องมีใจร่วมเสมอ เพราะฉะนั้นวิสยรูป วิสย รูปที่เกิดตามความเป็นจริงต้องมี โคจระ กับ ปสาทะ มันจึงเกิดวิสยรูป ในรูป 28 เอาหลักฐานพระพุทธเจ้ามาพูด
ในมูลสูตร 10 ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้
อะไรเป็นรากเหง้า เป็นที่หยั่งลง และเป็นที่สุด
-
มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .
ต้องมีฉันทะกับมิตรดี(ในแสงอรุณ 7 )ที่สัมมาทิฏฐิ ไม่เป็นพาลชน ที่ยังมิจฉาทิฏฐิ มันต้องมีมิตรดี ถึงจะทำใจในใจให้ถูกทางถูกโลกุตระ ไม่อย่างนั้นก็ไปเกิดในแดนโลกียะอย่างเดิม ไม่มีทางไปเกิดในแดนโลกุตระได้เลย อธิบายแค่นี้ก่อน…
อนุสัยกับอาสวะ ควรลดละอะไร
_สิกขมาตุเทียนคำเพชร….กราบนมัสการค่ะท่าน คือดิฉันอยากทราบความเหมือน ความแตกต่าง หรือความใกล้เคียงกันอย่างไรของ ความกำหนัดในภพ(อนุสัยเจ็ดข้อที่หก) กับตัณหาในภพที่พ่อท่านเคยอธิบายไว้ ดิฉันเข้าใจว่าเป็นการดึงตัวเองไม่ให้หลบหลับตกภวังค์แล้ว ความกำหนัดในภพมันต่างกันอย่างไร อยากฟังพ่อท่านอธิบายค่ะ
พ่อครูว่า…
อนุสัย 7 . (กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน)
-
กามราคานุสัย (ความดึงดูดกำหนัดในกาม)
-
ปฏิฆานุสัย (ความผลักไส ขัดเคือง ขึ้งเคียด)
-
ทิฏฐานุสัย (ความยึดถือความเห็นเป็นตนของเรา)
-
วิจิกิจฉานุสัย (ความลังเลสงสัย ทำให้เนิ่นช้า)
-
มานานุสัย (ความถือตัวทั้งหลาย)
-
ภวราคานุสัย (ความใคร่อยากในภพละเอียด)
-
อวิชชานุสัย (ความไม่แจ้งในอริยสัจ)