631026_รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 14
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1m449V99Qqk0b_XO57hqz98RmuMIeAPA0rDmCf5rjJew/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1OWlbvSQNEHQpXgN_Xo2l3IW7UxDcuI7t/view?usp=sharing
ยูทูปที่ https://youtu.be/TFYqB88G4gU
_สู่แดนธรรม…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 12 ค่ำเดือน 12 ปีชวด เหลืออีก 3 วันก็เป็นวันลอยกระทง
ความรู้โลกียะไม่พาพ้นสุขทุกข์ ความรู้โลกุตระพาพ้นสุขทุกข์
พ่อครูว่า…เจริญธรรมทั่วไปทุกๆแห่งที่สบหน้ากันขณะนี้ ใครเปิดดูตามเครื่องเทคโนโลยี เปิดขึ้นมาดูช่องถูกก็เจอหน้ากัน สบหน้ากันก็โอภาปราศรัยกันในรายการ สำมะปี๋ซี่วิต โสเหล่โลกุตระออนไลน์จะชื่ออะไรก็แล้วแต่ คุยไปคุยมาเราก็จะมีเป้าหมายเพื่อให้เข้าถึงอาริยสัจ 4 ทำยังไงถึงจะดับทุกข์นั้นได้ ศาสนาพุทธนี่คือหัวใจศาสนาพุทธ ตรงนี้แหละ ซึ่งก็รู้กันอยู่นะ แต่ก็ไม่รู้ว่านี่คือสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด ทำไมพระพุทธเจ้ามีความรู้มากมาย ท่านศึกษาความรู้อะไรก็ศึกษามาหมด ในโลกนี้ท่านจะศึกษาความรู้อะไร ในยุคนั้นสำนักตักสิลามีความรู้ทุกอย่างในทางโลกอยู่ในนั้น ถือว่าเป็นอะคาเดมีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมี 18 สาขาวิชา ท่านศึกษาหมด จบหมดได้เกียรตินิยมหมดทุกวิชา ได้มาครบ แต่สุดท้ายท่านก็มาเอาวิชาของท่านซึ่งไม่มีในตักศิลา ในตักศิลาไม่มีวิชานี้ ท่านก็เรียนวิชาในตักกะศิลาทั้งหมดจนครบหมด เป็นความรู้ของชาวโลกเขา อย่างไม่น้อยหน้าไม่ตกหล่น ส่วนอาตมาความรู้ทางโลกไม่มีปริญญาสักใบ ของพระพุทธเจ้ามี 18 ใบเกียรตินิยมอีกต่างหาก แต่ท่านก็มาเอาวิชาของท่านคือวิชาโลกุตระทำไม
อาตมาพูดตรงนี้ คนที่มีปฏิภาณปัญญาน่าจะฉุกคิด ว่าทำไมชีวิตของท่านทั้งชีวิต เรียนจบแล้วก็ไม่เอา มาทำงานในวิชาของท่านโลกุตระตลอดพระชนม์ชีพจนปรินิพพาน ท่านก็สิ้นพระชนม์ดับขันธ์ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว มันสำคัญยิ่ง นี่แหละอาตมาเล่นตรงนี้ คนฟังแล้วน่าจะสะดุดใจคิด เราแสวงหาอะไร พระพุทธเจ้าท่านก็แสวงหาเหมือนเรามาก่อน จนชีวิตชาติสุดท้ายของท่าน ท่านแสวงหามาได้หมดแล้วท่านก็มาเลือกเอาอันนี้ ทำงานนี้หรืออยู่กับงานนี้ งานสอนธรรมะโลกุตระ ที่อาตมาต้องเน้นคำว่าโลกุตระเพราะเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ทุกพระองค์
อย่างความรู้ทางโลกีย์ ความรู้ความเก่งความรู้ยอดเยี่ยมอัจฉริยะทั้งเป็นโลกีย์ เทวนิยม สูงสุดก็ได้เป็นศาสดาศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ท่านเป็นได้มาทั้งนั้นแต่ท่านไม่เอาท่านมาเอาทางนี้ท่านมาเอาโลกุตรธรรม พูดไปแล้วมันจะยกตนข่มท่านแต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่พูดแล้วซ้ำแล้วซ้ำอีก อาตมารู้อย่างนี้ทำอย่างนี้ในชาตินี้ก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน เป็นลิงลมอมข้าวพองมา 36 ปี รู้เองว่าเราไปหลงโลก วุ่นวายอยู่กับโลกีย์ดีชั่ว ไม่มาเอาเรื่องสุขเรื่องทุกข์
อาตมาพยายามพูดมาไม่รู้กี่ปีแล้ว ว่าศาสนาพุทธกับศาสนาอื่นๆ เหล่านั้น จุดสำคัญที่ต่างกันอย่างยิ่งก็คือ ทุกศาสนานั้นเรียนรู้เรื่องดีเรื่องชั่วและต้องเป็นคนดีที่สุด แต่ไม่ได้เรียนรู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์ ก็มีปฏิภาณรู้เหมือนกันเรื่องสุขทุกข์แต่ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ แต่พระพุทธเจ้าท่านเอาเรื่องสุขเรื่องทุกข์เป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่องสำคัญ เรื่องดีเรื่องชั่วเป็นเรื่องรอง ไม่ใช่ไม่เอานะ ก็เอาก็รู้ เรื่องดีเรื่องชั่วก็รู้เหมือนกับศาสนาอื่นๆรู้ แต่ต้องเรียนรู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์เป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่องสำคัญ เรื่องดีเรื่องชั่วก็เป็นเรื่องรองแต่ต้องดีด้วย แต่ ต้องรู้สึกทุกข์ และตรัสรู้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยิ่งยอดที่สุดเลย เลิกชั่วแล้วประพฤติความดีตามสมมุติโลกเขาให้ดีที่สุด เพราะความดีความชั่วเป็นสมมุติ ส่วนความสุขความทุกข์เป็นปรมัตถ์ ใครๆศาสนาไหนยากจน มั่งมีร่ำรวยก็จะจบทุกข์ทรมานอย่างไรก็แล้วแต่ ต้องมีสุขมีทุกข์ ต่อให้ร่ำรวยขนาดไหนก็ต้องสุขต้องทุกข์ ถ้าไม่เรียนรู้เรื่องสัจธรรม แต่ของพระพุทธเจ้านั้น ดีแน่นอน ต้องปฏิบัติดีจริงๆด้วยแต่สำคัญกว่าอย่างอื่นคือรู้จักสุขรู้จักทุกข์ และสุดยอดก็คือ คนเราติดสุขติดทุกข์นี่แหละ จึงไม่มีความเที่ยงแท้ ติดสุขติดทุกข์นี่แหละจึงไม่มีความเที่ยงแท้ประเด็นที่สำคัญที่สุด
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยรู้จักสุขรู้จักทุกข์แล้วไม่ติดในความสุขทุกข์ สุขๆนั้นเรียนรู้ว่ามันไม่ใช่ของจริง เป็นเรื่องสุดยอดคือคนไปหลงความสุขความทุกข์ ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าคือ ปัดโธ่… มันเป็นอุปาทานทั้งนั้นแหละ ความสุขความทุกข์ไม่ได้เที่ยงแท้ ไม่ได้เป็นของจริงเลย
เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้จักสุขทุกข์และไม่ติดสุขติดทุกข์ รู้จักเวทนาในเวทนา เวทนานี่คือความรู้สึกคืออารมณ์ นี่แหละคือตัวจิตที่เป็นเจตสิกแยกมาเรียนรู้ เรียนรู้อารมณ์นี้ แล้วก็จัดการกับเวทนา ทวเยนเวทนายะ ไม่ให้มันสุขมันทุกข์ ให้มันเป็นธาตุรู้ที่ยังไม่ตาย ก็ไม่สุขไม่ทุกข์ เรียกโดยคำไวพจน์ว่า อุเบกขา แต่ที่จริงเหนือกว่าไม่สุขไม่ทุกข์คือ อุเบกขา เรียกคำแทนก็คือ ให้มันรู้ว่าไม่สุขไม่ทุกข์ จิตไม่สุขไม่ทุกข์แล้วอยู่เหนือสุขเหนือทุกข์ เรียกจิตอุเบกขา จิตอุเบกขานี่แหละเป็นจิตที่หมดความโง่หมดอวิชา หมดกิเลส บริสุทธิ์จากธาตุโง่ บริสุทธิ์จากธาตุกิเลส บริสุทธิ์จากธาตุที่ยึดในตัวตน จึงเป็นจิตที่บริสุทธิ์ ไม่มีอวิชาไม่มีความยึดตัวตน ไม่ไปหลงไหลในสุขในทุกข์ ทำจิตเหนือสุขทุกข์ได้ จึงเรียกว่า จิตบริสุทธิ์ ปริสุทา ปริโยทาตา มุทุตา กัมมันยา ปภัสรา เป็นความตรัสรู้ของธาตุรู้จิตวิญญาณและสูงสุดก็คือสามารถที่จะเลิกความเป็นจิตวิญญณานเลิกความเป็นธาตุรู้ เลิกความเป็นอัตภาพ ตั้งแต่เป็นๆก็อยู่เหนือความเป็นการยึดถือต่างๆได้หมด
สุดท้ายปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายแล้วสลายจิตธาตุ ของตัวเองสลายอัตภาพของตัวเอง เป็นดินน้ำไฟลมไป ไม่เหลือความเป็นอัตภาพของตัวเอง อันนี้แหละเป็นการฟ้องว่า จิตวิญญาณเป็นทาสของพระเจ้า พระเจ้าเป็นเจ้าของจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคน แต่ของศาสนาพุทธนั้นเป็นการฟ้องเลยว่า ไม่ใช่ จิตวิญญาณของแต่ละคนแต่ละคนนั้นเป็นของตนเอง สลายจิตวิญญาณตนเอง ไม่ให้เหลือความเป็นจิตวิญญาณเลย พระเจ้ายังไม่ยุ่ง ไม่มี พิสูจน์ได้เลยว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นของจิตวิญญาณเราเลย พูดไปแล้วก็ต้องขออภัย ไม่ได้ไปข่ม ศาสนาเทวนิยมที่ยังไม่ล้างอัตตา ทำลายอัตภาพตัวเองไม่ได้ มีจิตวิญญาณนิรันดร สลัดสภาพตัวเองไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ศาสนาพุทธมีศาสนาพุทธรู้และทำได้ เรียนรู้จัดการล้างอัตภาพตัวเองได้จบความรู้อันนี้เรียกว่าอรหันต์ เป็นสุดยอด ที่พระพุทธเจ้าท่านสอน
เพราะฉะนั้นในเรื่องของโลกที่จะเป็นล่าลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ชัดเจนที่สุดเลยว่าผู้ที่ไม่ต้องเป็นทาสสิ่งเหล่านี้ไม่ต้องมีต้องเป็น หรือจะมีอำนาจมีลาภยศสรรเสริญมีสุขแบบโลกีย์อย่างไรก็ อยู่เหนือมัน ไม่ได้หลงใหลติดยึดไม่ต้องมีก็ต้องเป็นสุขถ้ามันไม่มีก็ต้องเป็นทุกข์ ไม่ใช่ จะมีหรือไม่มีก็ไม่มีปัญหาอะไร สบายดี
แต่ชีวิตที่ทำงาน ช่วยเหลือมนุษย์ จุดสำคัญที่สุดคือช่วยให้รู้อย่างที่เรารู้ ให้รู้ว่าจิตวิญญาณนี่แหละไม่สุขไม่ทุกข์ปรินิพพานนี่แหละสูงสุด ช่วยตรงนี้ ส่วนความรู้อื่นๆที่เป็นโลกโลกีย์ปรุงแต่งสังขารโลก รู้เข้าใจในความเป็นสังขารโลก แล้วก็จัดสรร โดยที่เราเองไม่ต้องไป จะมีสังขารอย่างไรแค่ไหน ไม่ต้องพิสูจน์ โดยที่ภาษาพูดเท่านั้น พิสูจน์อย่างอาตมา ที่ยังมีชีวิตเป็นๆอยู่ ว่าอาตมาไม่ได้อีนังขังขอบอะไรกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข
พวกเราสมณะสิกขมาตุที่มาบวชหรือว่าฆราวาสที่มาปฏิบัติธรรมที่ฟังอาตมาอธิบายธรรมะให้ฟังแล้วปฏิบัติได้ ก็จะมีจิตที่ ลาภยศสรรเสริญสุขก็เป็นเพียงสิ่งอาศัย ทำจิตของเราให้เป็นวรรณะ 9 เป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่ายมักน้อยสันโดษไม่สะสม ขัดเกลากิเลสตัวเองไปให้หมด เสร็จแล้วก็เข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมีศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติไปตามหลักเกณฑ์ได้ไปตามลำดับ เจริญไปเรื่อยๆมีอาการกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่น่าเลื่อมใส แล้วก็เป็นคนมีชีวิตอยู่ไม่ต้องสะสมอะไร แล้วก็เป็นคนขยัน วิริยารัมภะ อยู่กับหมู่กลุ่มมีสาธารณโภคีนี้สุดยอด ก็ยังอยู่เป็นสังคมที่สุดยอด เป็นสังคมสาราณียธรรม 6
อาตมาว่าอาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้านี้มาให้พวกเราได้ศึกษาและพิสูจน์และปฏิบัติจนเกิดผลสำเร็จเป็นสังคม สังคมมนุษย์วรรณะ 9 สังคมสาราณียธรรม 6 เป็นคนวรรณะ 9 อยู่กันเป็นชุมชนมนุษย์อยู่อย่างนี้อยู่อย่างมีสาธารณโภคี ลาภที่ได้โดยธรรมก็เอามาเข้าส่วนกลาง ไม่ต้องยึดเป็นเราเป็นของเราแบ่งกันกินแบ่งกันใช้แจกไปแล้วก็เป็นคนที่ศึกษาตนเองแล้ว เลี้ยงง่าย สุภระ สบาย สั่งสอนอบรมพากเพียรอยู่ด้วยกันทำให้เจริญได้ง่ายสุโปสะ ง่ายสบาย ไม่ต้องแย่งชิงอะไรกัน ต่างคนต่างไม่ต้องมีอะไรมาก พออาศัยเป็นบริหารปัจจัย 4 ก็มีอยู่มีกิน บริการก็ใช้ผู้ที่จำเป็นต้องใช้ก็ใช้อย่างพอดีไม่เดือดร้อน มีเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น มันเป็นการพิสูจน์ที่เยี่ยมยอดว่ามนุษย์เราได้คุณธรรมคุณวิเศษนี้แล้ว โอ้โห สบาย สบายจริงๆ
จะแก้ปัญหาที่เขาเรียกร้องกันในสังคมโลกจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ผู้ที่บรรลุธรรมพระพุทธเจ้าดังที่พูดมาแล้วมีวรรณะ 9 อยู่กันอย่างสาราณียธรรม 6 ปัญหาเศรษฐกิจก็หมดเลยไม่ต้องแก้ต่อ จบ และsustainable ยั่งยืนด้วย แก้ตก แล้วยั่งยืนถาวรด้วยไม่ต้องแก้แล้วแก้อีกไม่เป็นระบบเลย ทั้งโลกก็ต้องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับสังคม แต่ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าเขาไม่ได้เรียน แม้แต่ในประเทศไทยเป็นเมืองพุทธก็ไม่มีความรู้อันนี้ ขออภัยที่พูดตรง ไม่มี เถรสมาคม หรือกระแสหลัก ไม่มีความรู้เรื่องนี้จึงไม่ได้สอนไม่ได้บอกลูกศิษย์ลูกหา
ลูกศิษย์ลูกหาที่ขึ้นไปบริหารประเทศจัดการปกครองดูแลประเทศก็เลยไม่มีความรู้อันนี้ไปสอนสังคม อาตมาไม่ได้ทำหน้าที่บริหารสังคมประเทศ ไม่ได้มีหน้าที่ไม่ได้เป็นข้าราชการไม่มีตำแหน่งยศศักดิ์อะไร แต่อาตมาทำหน้าที่พลเมือง ก็บริหารผู้ที่สนใจ ใคร่ศึกษาว่า จะมีระบบระบอบอะไรที่เยี่ยมยอดระบบระบอบโลกุตระที่เยี่ยมยอดของพระพุทธเจ้านี่แหละเป็นอารยธรรม อาตมาก็เอามาประกาศอธิบายเผยแพร่ พวกคุณชาวอโศกได้รับ โอ้ อันนี้ใช่ก็มาศึกษาแล้วมาประพฤติปฏิบัติ มาให้อาตมาบรรยาย มาให้อาตมาสอน มาให้อาตมาทำความเข้าใจให้แล้วเข้าใจเอาไปปฏิบัติจนบรรลุธรรม แล้วก็มาอยู่รวมกัน ตามธรรมชาติของน้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน เกิดสังคมกลุ่มชุมชนชาวอโศก เป็นชุมชนกระจัดกระจายอยู่ร่วมกันในประเทศไทย แล้วก็มีวัฒนธรรมมีการดำรงชีวิตดำเนินไปเป็นสุคโต อย่างที่เป็นนี่ละ่คือสุคโต ผู้ที่ไปดีแล้วสุคติ
นี่แหละคือผู้ที่มีสุคติไม่ใช่ทุคติ ไม่ใช่ไปอย่างทุรกันดารแต่ไปอย่างสุคติ
ความรู้โลกุตระต้องได้รับจากสัตบุรุษเท่านั้น
_สู่แดนธรรม…ถ้าเถรสมาคม อยากจะทำอย่างนี้บ้างแต่สังคมของท่านไม่มีพระอรหันต์ไม่มีผู้บรรลุธรรมจะทำอย่างไร
พ่อครูว่า..ต้องมาศึกษากับอาตมา เพราะปัญญาที่จะเกิดได้ในปัญญา 8 ด้านพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่จะเกิดปัญญารู้เองนั้นต้องได้รับฟังจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า 1 และ 2 ได้ฟังจากสัตบุรุษหรือผู้ที่อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิแล้ว รู้เองไม่ได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระธรรมคนที่รู้เองได้คือคนที่มีแล้วเป็น สยังอภิญญา เป็นอย่างน้อย
สยังอภิญญา คือ หมายความว่ารู้มาข้ามชาติ ถ้ามาในชาตินี้ยังไม่มีความ สยังอภิญญา คุณก็ต้องมาฟัง สยังอภิญญา คนอื่น คิดเองรู้เองขึ้นมาไม่ได้คุณต้องได้ฟังจากผู้ที่ได้ฟังจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้ามาแล้ว หรือได้มาเป็นสิ่งที่เป็นอนุสัยติดตัวมาแล้ว อย่างเช่นอาตมานี้ คุณต้องไปฟังจากอาตมา เพราะฉะนั้นตรงนี้แหละเป็นประเด็น
ผู้ที่ยังไม่รู้ยากจะรู้ธรรมะจากเถรสมาคมศึกษามามากมายแต่ไม่เป็นโลกุตระ อาตมามาเอามาประกาศเป็นโลกุตระเป็นโพธิสัตว์เป็นผู้ที่ตรัสรู้ บอกว่าเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ แต่เขาไม่เชื่อ เขาก็ไม่มีปรโตโฆษะจากอาตมา เขาก็ทำใจในใจมีการทำใจในใจมนสิการตามที่เขามีภูมิทิฐิของเขา เขาก็ไม่เปลี่ยนไม่แก้เขาก็เป็นอย่างนั้น เช่น นั่งหลับตาปฏิบัติ ฌานก็ดี สมาธิก็ดี ไม่ได้ทำจรณะ 15 วิชา 8 บุญก็ดี กายก็ดี เขาเข้าใจนอกรีต
_สู่แดนธรรม… ถ้าแม้ท่านทางเถรสมาคมบรรลุอรหันต์ในทางส่วนตัวแต่ไม่สามารถสอนให้ลูกศิษย์บรรลุตามได้ก็ไม่สามารถสร้างสังคมสาธารณโภคีได้
พ่อครูว่า…แน่นอน คนเดียวจะเป็นสาธารณโภคีได้อย่างไรต้องเป็นสังคมกลุ่มหมู่สาธารณโภคี มีรูปธรรมพอสมควรดูออก ถ้าเป็นอยู่เพียง 5 คน 10 คนก็ดูไม่ออก ต้องมีประมาณอย่างนี้พอดูได้ซึ่งก็ไม่ใหญ่เลยชาวอโศกแต่พอดูได้แล้ว พอเห็นรูปร่างมีรูปธรรมว่าสาธารณโภคีเป็นอย่างนี้สาราณียธรรม 6 เป็นอย่างไร มีวรรณะ 9 เป็นอย่างไรอะไรอย่างนี้ก็ศึกษาได้ เราอ้างอิงคำสอนพระพุทธเจ้ามาให้ฟังได้
ทุกวันนี้อาตมาว่าดีขึ้นเยอะ คือผู้ที่ไม่เชื่ออาตมาจริงๆแต่ท่านก็ใฝ่รู้ใฝ่ศึกษา มาดูว่า ที่เราเคยยึดถือเข้าใจแล้วมาเปรียบเทียบกันกับที่อาตมาอธิบายกับที่ท่านเข้าใจมาแล้ว แล้วท่านก็ยึดถือเป็นไปอย่างนั้น เช่นไปนั่งหลับตาสมาธิอย่างนี้เป็นต้นหรือไปปฏิบัติอย่างที่ประพฤติกันอยู่อย่างแนวเถรสมาคม ทั้งพระบ้านพระป่าปฏิบัติการ เปรียบเทียบกันแล้ว มันจะมีรูปธรรมองค์รวม ชาวอโศกเขาก็ดูดี หากมีปฏิภาณปัญญาสามัญสำนึกก็จะรู้ได้ จะรู้
_อภิชาติ พลาเกตุ : ยึดอำนาจมาเพื่อความปรองดองมิใช่เหรอ เหตุใดจึงสืบทอดอำนาจ
ราชธานีอโศกพาให้ประเทศไทยเจริญ
_Gu Dong Zaa (กู ด็อง ซ่า) : ราชธานีอโศกทำประเทศฉิบหายมาจนทุกวันนี้
พ่อครูว่า…ราชธานีอโศกก็เป็นสถานที่มีบุคคล มีอาหาร มีธรรมะ มีสถานที่มีสัปปายะ 4 ประพฤติตนมีวัฒนธรรมมีการดำเนินชีวิต แล้วคุณคนนี้บอกว่า ราชธานีอโศก ทำประเทศฉิบหาย อาตมาว่า คุณนี่ ควรจะศึกษา ศึกษาความรู้ทางโลกก็ตาม พาประเทศชิบหายคือใครแล้วคำว่าพาให้ประเทศฉิบหายคือทำอย่างไร ถ้าไม่รู้จะบอกตัวอย่าง อย่างนายทักษิณ ชินวัตร เป็นต้น เป็นคนทำให้ประเทศไทยชิบหาย หรือยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นต้น และอีกหลายคนที่เป็นนักการเมืองบริหารประเทศที่ผ่านมา มีอำนาจมีตำแหน่งหน้าที่ แล้วทำให้ประเทศฉิบหาย อาตมาเป็นประชาชน เป็นผู้นำของชาวอโศก พาชาวอโศกศึกษาประพฤติธรรมให้ได้มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็ประพฤติตนอยู่ในประเทศ ไม่ได้ไปบริหารประเทศ ไม่ได้ไปปกครองประเทศ ชาวอโศกส่วนใหญ่ แม้แต่ชาวอโศกรับราชการก็ลาออกจากราชการมาเป็นชาวอโศกเต็มตัว อยู่กับหมู่กลุ่มสาธารณโภคี ไม่มีเงินเดือน ไม่มีรายได้ แล้วก็ทำอย่างที่เข้าใจ แล้วก็ดำเนินชีวิตอยู่ในประเทศ คือ ขอยืนยันว่าชาวอโศกไม่ได้พาประเทศฉิบหาย แต่ชาวอโศกพาประเทศ ให้เจริญทางเศรษฐกิจ เจริญทางรัฐศาสตร์ เจริญทางการเมือง เจริญทางสังคม เจริญอย่างไร
เศรษฐกิจเจริญ อันนี้แหละไม่ง่าย ด็อกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ก็ยังเข้าใจยาก เศรษฐกิจ เขานิยามกันสั้นๆอย่างสังเขปว่า เศรษฐกิจเจริญเศรษฐกิจดีคือ ผู้ที่รู้จักทรัพยากรที่มีกินมีใช้อยู่ในสังคม แล้วก็จัดการกับทรัพยากรที่มีกินมีใช้ในสังคมให้เฉลี่ยกันให้ทั่วถึง ให้อยู่เย็นเป็นสุขกัน แม้แต่ผู้ที่ด้อยทางสมรรถภาพ ด้อยทั้งความรู้ ขอให้มีกินมีใช้ตามฐานานุฐานะ ผู้ที่มีความรู้ความสามารถฐานะดีหน่อยก็ดีหน่อย แต่อย่าเอาเปรียบเอารัดกันเกินไปอย่าข่มเบ่งอย่าทำร้ายกันเกินไป นี่คือการนิยามเศรษฐกิจดีที่ยาวไปหน่อยแต่ก็คงพอจะเข้าใจ
ทีนี้ ชาวอโศกเข้าใจความเป็นเศรษฐกิจดี ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านตรัสบอกว่า ถ้าจะปกครองบริหารประเทศ หลักเศรษฐกิจ จะทำเศรษฐกิจแบบไหน ท่านก็ตรัสว่า “แบบคนจน”
นักเศรษฐศาสตร์ได้ยินแล้วท่านก็ตรัส ใช่ไหม พระราชดํารัสเอามาเปิดอยู่ทุกวัน พวกนักเศรษฐกิจได้ยินแล้วก็จะบอกว่า ไม่ใช่ พูดอย่างนั้นอะไรไม่ถูกหรอก แต่มันก็เป็นอย่างนั้นท่านก็ว่า ต้องเอาแบบคนจน… ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเล่นลิ้นไม่ใช่เรื่องพูดปากเปล่า ไม่ใช่เรื่องพูดเท่ๆโก้ๆ มันเป็นเรื่องจริงต้องเอาแบบคนจน
คนจนคืออะไร คนจนคือคนมักน้อย มีปฏิภาณปัญญา สมัครใจมาเป็นคนจนตั้งใจมาเป็นคนจน ไม่ได้มาเป็นคนจนเพราะเสียรู้หรือไม่สามารถที่จะไปรวยได้จึงต้องจน ไม่ใช่
จะรวยก็ได้จะมีมากก็ได้ แต่สมัครใจจะเป็นคนมีน้อย น้อย จนกระทั่งถึงอยู่ในสังคมนี้ ตัวเองอยู่ในฐานสูง ไม่ต้องไปสะสมสมบัติส่วนตัวแล้ว มีพออาศัย มีพอมีใช้อาศัย มีบริขาร ที่ตัวเองจะต้องใช้นอกนั้นก็แบ่งแจกไปไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเรชซึ่งอาตมาพูดแล้วก็ภูมิใจที่ชาวอโศกปฏิบัติประพฤติได้ตามคำสอนพระพุทธเจ้า อย่างนี้เรียกว่าเศรษฐศาสตร์เจริญสูงสุด พูดได้ว่าอย่างชาวอโศกนี้แหละเป็นคนจน สำเร็จแล้วด้วยเป็นคนจนสำเร็จ ซึ่งเป็นเศรษฐศานสตร์เศรษฐกิจที่ดีที่สุดเพราะไม่เบียดเบียนสังคม ไม่เป็นภาระรัฐบาลไม่เป็นภาระสังคมไม่เบียดเบียนมีแต่ช่วยสังคม เกื้อกูลสังคม มีส่วนเหลือส่วนเกินให้แก่สังคมตัวเราก็กินพอเพียงใช้พอเพียงพอกินพอใช้อยู่ในชีวิต สบาย มีเท่านี้กินเท่านี้ เหลือกินด้วย อุดมสมบูรณ์กินจนท้องจะแตกในแต่ละวัน หากใครตะกละตะกลามกลัวจะไม่พอกิน ทุกคนมาก็เลยกินเยอะ พอเอาไปเอามา ก็จะรู้ว่าไม่ต้องไปเห็นไปกินอะไรมากมายมันเต็มท้องแล้ว ต่อมาก็จะกินลดลง ที่นี่ไม่อดอยากหรอก มันเหลือเฟือ นี่คือการมีเศรษฐศาสตร์หรือมีเศรษฐกิจเจริญสมบูรณ์แบบ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์หรือนักบริหารปกครอง ก็ยังไปหลงทฤษฎีของทุนนิยม ของนักล่าลาภยศสรรเสริญโลกียสุข อย่างไม่รู้จักจบสิ้นไม่เสร็จ กำไรต้องสูงสุด Maximize profit ซึ่งเป็นคนใจไม่พอ
เพราะฉะนั้นในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงให้มาพอแค่นี้รู้จักเพียงรู้จักพอ อย่าไปไม่มีขีดคั่นมันเป็นความทุกข์แล้วมันก็อยู่ในสังคมไม่เจริญ ต้องเอาอันนี้ก็ยากที่จะเข้าใจแม้แต่นักเศรษฐศาสตร์นักบริหารนักปกครอง ก็ยากที่จะเข้าใจความเป็นจริงอันนี้ เพราะอะไร ที่ต้องมาพูดนี้ เพราะตัวเองก็ไม่ได้ทำตนเป็นคนพอเพียงหรือมาสู่ความเป็นคนจนอย่างที่ในหลวงตรัส เป็นผู้บริหารบ้านเมือง ตัวเองก่อนจะไปบริหารก็รวย พอไปบริหารแล้วชัดเจนในคำตอบของพระพุทธเจ้า แล้วขอพูดน่าจะทำตามคำสอนพ่อ เรียกในหลวงเป็นพ่ออย่างสนิทสนม แต่ไม่ได้ทำตามก็รวยกันอยู่อย่างนั้น ต้องจนลงมาจนให้เห็นชัดๆเลย มาเป็นคนจนเท่าเทียมกับชาวอโศกที่เป็นนี้ คนคนนั้นจะประเสริฐจะวิเศษเลย จะอยู่ในสังคมอย่างดี
มีนายกรัฐมนตรีประธานาธิบดีอุรุกวัย ทำตัวเองเป็นคนจน มีอะไรใช้สอยตามที่รัฐบาลให้ ใช้รถโฟล์คเต่าเก่าๆ บ้านช่องที่อยู่ที่พักเขาก็มีให้ตามตำแหน่งประธานาธิบดี แล้วเขาก็อยู่อย่างมักน้อยสันโดษ ได้รับความนิยมชมชอบทั่วโลกเลยนะ ก็พอจะมีปฏิภาณรู้กันทั่วโลกแต่ไม่ทำ ถ้าจะบอกว่าทำเป็นดราม่า จะมาทำเป็นคนได้รับค่านิยม เป็นคนจนแล้วทำทีเป็นคนจนก็ช่างมันเถอะ ใครจะว่าอย่างไรก็ช่างมันเถอะถ้าเรายิ่งจริงใจแล้วก็มาทำอย่างนี้จริงๆใครจะว่าก็ช่างปะไร แล้วเราก็ทำงานรับใช้ประเทศชาติ อย่างชาวอโศกเราอาตมาภาคภูมิใจ ไม่ไปแย่งชิงกับสังคมเขาพออยู่พอกินอะไรลดได้ก็ลดไป ใครลดยังไม่ได้ก็พยายามลดลงไปไม่ต้องไปตะกละมากมายอะไร คนเรามันมีวาสนาบารมีมีวิบาก เพราะฉะนั้นบางคนก็เอา ต้องไปทรมานใช้วิบากคือจะต้องไปรวย
พวกเรารู้แล้วล่ะแต่ยังจนไม่ลง มันมีวิบากต้องไปทรมานทรกรรมต้องรวย รู้นะรู้แล้ว เดี๋ยวก็ถูกว่าเดี๋ยวก็ถูกกระแนะกระแหน พวกเราพูด บางทีก็มองด้วยสายตา รู้สึก เขาจะรู้สึก คนจะรู้สึกได้เพราะเป็นคนมีหิริโอตตัปปะเป็นคนมีสัทธรรม 7
คนที่มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต แล้วก็มีวิริยะ สติ ปัญญา แล้วก็มีความเพียรมีสติสัมปชัญญะปรับตัวเอง ให้เข้าสู่ความเป็นพื้นฐานของคนที่เป็นพื้นฐานเสมอสมานกันอย่างชาวอโศก ชาวมนุษย์ที่เขามีพฤติกรรมอยู่อย่างนี้ ตัวเองยังจะมีความรวยมีมากมีหรูหราอยู่ พอเข้ามาในกลุ่มนี้จะมีหิริ นี่คือคนมีสัทธรรม7 ในจรณะ 15
แต่ถ้าคนที่ไม่มีคุณธรรมพวกนี้จะไม่รู้สึกรู้สาอะไร เข้ามาในนี้ ดีไม่ดี ไม่ใช่ละอาย แต่จะรู้สึกข่ม พวกนี้ไม่มีกินมีใช้น่าสงสารนะ เชิงข่ม ดีไม่ดี เอาให้ไปใช้หน่อยให้คนนั้นคนนี้ทำทีเป็นใจดี ทำทีเป็นเกื้อกูลช่วยเหลือ แต่ก็ดีนะ ที่จริงก็ดี แต่ยังไม่รู้สึกเป็นหิริโอตตัปปะว่า ที่จริง เราไปลดเถอะแล้วให้เท่าๆกับเขาไม่ใช่ให้เขาพออาศัยพอกิน ใครที่อยากได้ก็เจ็บใครเจ็บมันแต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยอยากได้อะไรหรอก
พูดมานี้ก็ให้ตัวเองว่าใครอยู่ในฐานในอย่างที่ตัวเองเป็น อาตมาอธิบายธรรมะนะตามหลัก ทฤษฎีจรณะ 15 ของพระพุทธเจ้า
คุณ Gu dong sa ที่บอกว่าราชธานีทำให้ประเทศคุณฉิบหายนั้น คุณให้ลืมตามาดูธรรมะความจริงมาศึกษาความจริง ที่บอกว่าราชธานีอโศกทำให้ประเทศฉิบหายมันผิดคนละขั้ว ที่จริงแล้วทำให้ประเทศเจริญ ถ้าเอาตามราชธานีอโศก ประเทศชาติจะเจริญ คุณยังงมงายอยู่อีกมากต่อมาก ขออภัยต้องพูดความจริงตรงคุณยังงมงายอยู่อีกเยอะ ไม่เข้าใจหรอกว่าราชธานีอโศกเป็นอริยะประเทศเป็นประเทศเจริญแล้ว ขออภัย เป็นอะไรวะสังคมเป็นอริยะชุมชนแล้วเจริญ ไม่ได้เป็นภาระแก่สังคมประเทศชาติแม้แต่อยู่ในจังหวัดนี้ จังหวัดอุบลไม่ต้องห่วงราชธานีเลย มีแต่ราชธานีจะให้ช่วยเหลืออะไรก็บอกมา สังคม จังหวัด อำเภอ หรือหมู่บ้านเท่าที่พอเป็นไปได้ ก็ไม่ได้ไปอวดดีอวดใหญ่ไปอ้าขาผวาปีกจะไปช่วยคนนั้นคนนี้เกินไป เราก็พร้อมอุดมสมบูรณ์ มีพอเป็นไปเพื่อกูลกันได้ ไม่ใช่เป็นเศรษฐีที่จะมานั่งแจกทีเดียวหรอก
_สู่แดนธรรม…ตอนนี้เท่าที่เช็คลูกๆตามบวรต่างๆก็น่าจะมีตามคิวตามนี่นะครับ สันติอโศก ปฐมอโศก ศาลีอโศก ลานนาอโศก และแพทย์วิถีธรรม
นิมนต์จิบน้ำ
รากฐานของประเทศไทยคือโลกุตระอันทำลายไม่ได้ง่ายๆ
_สันติอโศก..คุณแซมดิน เลิศบุศย์…อยากจะกราบเรียนถามพ่อท่านว่า เท่าที่สังเกตมา ดูเหมือนพ่อท่านจะไม่ค่อยให้ค่าให้ราคา กับกลุ่มราษฎร เนื่องจากเหตุใดครับ เหตุเพราะว่า เขากระทำแบบหยาบ กระทำแบบหมิ่น หรือทั้งคำ หรือโปสเตอร์ที่หยาบคาย หรือกิริยาวาจาไม่สุภาพดูหมิ่นดูแคลนผู้อื่น หรือว่า เป็นเพราะสถาบันกษัตริย์ ได้มีคุณงามความดีได้ทำมานาน นานมาก จนกระทั่งเห็นว่า กลุ่มคนที่มีอยู่แค่นี้ ไม่สามารถที่จะทำอะไรให้กระเทือนได้เลยเนื่องจากว่า ประชาชนส่วนใหญ่นี้ อย่างไรก็ยังเห็นดีเห็นงามกับการที่จะปกป้องหรือคุ้มครองหรือว่าดูแลหรือว่าเห็นว่า พระมหากษัตริย์นี้ยังมีคุณค่าอย่างมหาศาล สำหรับการปกครองในประเทศไทย หรือเป็นเพราะเหตุใดครับพ่อท่าน
พ่อครูว่า…อันแรก ประเด็นแรกคือทำไมอาตมาไม่ให้ค่าพวกนี้ ที่เขาเย้วๆ อาตมาให้ค่าเขา แต่ให้ค่า -99 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ไม่ให้ค่า เพราะอะไร เพราะว่าเขาไม่รู้จัก ไม่รู้จักหลายประการ 1.ไม่รู้จักว่าประเทศที่เขาอยู่นี่คือประเทศไทย 2. ประเทศไทยมีรากของประเทศคืออะไร เขาไม่รู้จักเลย นอกจากไม่รู้จักแล้ว 3. เขาจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยถอนรากถอนโคนความเป็นประเทศไทยไปเป็นแบบที่เขาเองเขาศรัทธาเลื่อมใส เอาแค่ 3 ประเด็นนี้ 3 เหตุผลนี้ ก็ -99% ยังน้อยไป แล้วเขาก็ทำจริงๆด้วย ตามที่เขาเข้าใจก็เห็นว่าเป็นอย่างนั้น มันจึงเป็นคนเข้ามาไม่ควรจะเป็นคนไทย ถือว่าเป็นขบถยิ่งกว่าขบถ อยู่ในเมืองไทย เพราะฉะนั้นเขาไม่ใช่คนไทยไม่ใช่สัญชาติไทย แต่มาเกิดเป็นคนไทยมันก็มีเชื้อชาติที่ปฏิเสธไม่ได้เท่านั้นแหละ จะถือว่าเป็นคน ภาษาที่สวยที่สุดเรียกว่าเป็นคนนอกคอก เป็นลูกนอกไส้
มันเป็นเรื่องที่ไม่สมเหมาะสมควรเลย คุณบอกว่าไม่ให้ค่า อาตมาให้ค่าติดลบอย่างที่ว่านี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้อยากจะให้เกิดในพฤติกรรมใดๆที่มีอยู่ในปัจจุบันที่เขาปฏิบัติ แล้วยังมีหางเลข และเขาก็พยายาม พยายามจะ โปรประกันด้า พยายามหาเสียงที่จะสร้างทุกอย่างเลยทั้งลงทุนลงแรงโฆษณาต่างๆครอบงำทุกอย่างเลย ใช้กระแสทางเครื่องมือเครื่องไม้สมัยใหม่ ขยันทำ พยายามเสียสละทั้งทุนร้อนแรงงานทั้งกินทั้งอยู่ เวลา ทำ เพื่อจะเปลี่ยนแปลงถอนรากถอนโคน ทางวัฒนธรรมทางรากเหง้าของชาติประเทศไทยเปลี่ยนไปเป็นตามที่เขาต้องการ ซึ่งอาตมาบอกว่า
คนที่ไม่มีความรู้แบบนี้ อยู่ที่ไหนก็ลำบากที่นั่น ประเทศไทยนี่เกิดก่อนประเทศอเมริกา ส่วนฝรั่งเศสเท่าไหร่ อเมริกานี้แน่นอน 300 กว่าปี
เพราะฉะนั้นการลงหลักปักเชื้อชาติลงไปนั้นอเมริกานี้ยังน้อยกว่า ไทยเก่าแก่กว่าอเมริกามาก และก็ยังดำเนินชีวิตอยู่ แม้แต่เขาจะเรียกว่าประชาธิปไตยอย่างอเมริกา และคนเขาเข้าใจว่า ประชาธิปไตยขาเดียว เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงกว่า ซึ่งอาตมาบอกว่าเป็นประชาธิปไตยขาหักขาเป๋ มีแต่การเลือกตั้ง มีแต่ประธานาธิบดีมันเป็นเรื่องมุกเป็นเรื่องอุปโลกน์ มุกของโลกนะ จับใครเชิดขึ้นมาเป็นตัวนำประเทศ เป็นครั้งคราวมา ซึ่งมันไม่มีรากเหง้าไม่มีกฎมณเฑียรบาลไม่มีการสืบสันตติวงศ์ จะว่าไปแล้วเกาหลีเหนือยังดีกว่า เพราะว่าเกาหลีเหนือยังมีการสืบสันตติวงศ์แม้จะยังไม่ยาวนานก็ตาม แต่อันนี้ไม่มีที่มาที่ไปเลยพยายามสร้างให้คนมาเตรียมตัวสร้างค่ายกลมาเพื่อที่จะมาเลือกตั้งเพื่อให้ได้เป็นใหญ่เป็นประธานาธิบดี ไม่รู้จักหัวนอนปลายตีนมาจากไหน ไม่รู้ ซึ่งมันไม่มีที่ไปที่มาไม่มีรากเหง้าไม่มี Root มันเป็นของมักง่ายฉาบฉวย ใช้แทคติกอำนาจบาตรใหญ่โครงสร้างค่ายกลต่างๆนานา แล้วก็ได้ บางคนก็ทำมานานอย่างเช่น จอร์จ บุช มีทั้งพ่อทั้งลูกเป็นประธานาธิบดีก็สร้างรากฐานมา ซึ่งเป็นการลอกเลียนสันตติวงศ์ แต่จริงๆแล้วเขาต้องรู้จักว่าอย่างนั้นแหละมันมีรากฐานกว่า แต่เข้าใจแค่นี้ไม่ได้ ไม่มีที่ไปที่มาไม่มีหลักฐาน
ที่นี้ของศาสนาพุทธเมืองไทยเป็นศาสนาพุทธ รากฐานของผู้ที่เป็นกษัตริย์ ข้ามชาตินะ อย่างราชวงศ์จักรี มา 200กว่าปีเกือบ 300 ปี อายุยาวกว่าอเมริกา แล้วยังมีราชวงศ์ก่อนหน้านั้นอีกหลายราชวงศ์ตั้งแต่สร้างประเทศไทยมา เกือบ 1,000 ปี ก็มีการสืบสันตติวงศ์มาทั้งนั้น แม้จะเป็นแต่ละวงศ์ เหมือนหนังจีนไม่รู้กี่วงศ์ต่อกี่วงศ์ อย่างจีนเขามีฮ่องเต้ไม่รู้กี่วงศ์ แต่จีนมันหลายพันปีมีประวัติศาสตร์นานกว่า
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์จริงๆ แล้วก็เป็นประวัติศาสตร์ข้ามชาติไปเลย อย่างผู้ที่ศึกษาพุทธศาสนาอย่างอาตมา อาตมารู้ประวัติศาสตร์ข้ามชาติ แต่อาตมาไม่มาพูดมากเพราะพูดแล้วมันไม่มีใครรู้ด้วย พูดไปเหมือนคนบ้าก็ไม่เข้าท่า ต้องพูดความจริงออกไปที่พูดได้
เอาอย่างนี้ก็ได้ อย่างอาตมา บริหารมนุษย์ชาติบริหารสังคมเหมือนกัน โดยภูมิธรรม เปิดความรู้ของอาตมาไม่มีใครแต่งตั้งแต่บริหารโดยธรรมชาติ บริหารโดยมีทฤษฎี เพราะฉะนั้นเกิดผู้ที่เข้าใจเหมือนพระพุทธเจ้าบริหารสังคมของพระองค์ ในยุคของพระองค์ พระพุทธเจ้าบริหารกลุ่มของพระองค์ มีทฤษฎีมีศีลมีหลักเกณฑ์มีข้อปฏิบัติประพฤติ มีธรรมนูญ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล หรือธรรมวินัยเป็นธรรมนูญของพระพุทธเจ้า เสร็จแล้วใครจะมาเข้ารีต มาปฏิบัติตาม ธรรมนูญของพระพุทธเจ้า ยุคนั้น เป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคทาส ในทวีปอินเดียพระพุทธเจ้าไปไหน พระเจ้าแผ่นดินของแต่ละแคว้นแต่ละรัฐของอินเดีย แคว้นใหญ่ที่สุดคือแคว้นโกศล แคว้นมคธ 2 แคว้นใหญ่ของยุค ยกให้พระพุทธเจ้าหมดเลย ถึงขั้นบอกว่าให้พระพุทธเจ้าบริหารอยู่ด้วยกันเนี่ยแหละ เราจะแบ่งแผ่นดินให้ครึ่งหนึ่งพระเจ้ามคธบอกเลย พระพุทธเจ้าบอกเลยว่าไม่เอา ไม่ยึดมั่นถือมั่นจับจองเป็นเจ้าของแผ่นดินไปของท่านเป็นรัฐอิสระ ที่พระเจ้าแผ่นดินในแว่นแคว้นตอนนั้นให้สิทธิท่านทั้งหมด ใครจะมาเข้ารีตยกให้เลย
อย่างที่มีพระพุทธเจ้าทรงถามพระเจ้าอชาตศัตรู ว่าถ้าเผื่อว่าคนของพระองค์จะมาอยู่กับเรา เป็นคนที่รับใช้ท่านอย่างดีอย่างคล่องแคล่วเลยตื่นก่อนนอนทีหลัง แต่สมัครใจจะมาบวชมาอยู่กับเรา พระองค์จะมาเอาคืนไปไหม พระเจ้าอชาตศัตรูก็เลยบอกว่าไม่หรอกพระเจ้าข้ามีแต่จะสนับสนุนส่งเสริม ยกย่องว่าเป็นคนที่ต้องกราบไหว้ด้วย นี่มันเป็นสัจจะที่ซับซ้อนที่สุดยอดเลย
อาตมาเอาธรรมะตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เอามาให้พวกเราฟังเข้าใจแล้วปฏิบัติตาม จนได้มาได้มรรคผล มาเข้ารีตอโศก ตามที่โพธิรักษ์เชื่อว่าของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้เอามาอธิบายแล้วพวกนี้ก็มาเข้ารีตเป็นชาวอโศกตามที่อาตมาอธิบาย อยู่เป็นชาวอโศกที่มีพฤติกรรมมีธรรมนูญมีธรรมวินัยมีข้อปฏิบัติหลักเกณฑ์ปฏิบัติวิถีดำเนินชีวิต ตามที่พระพุทธเจ้าพาเป็นสำเร็จและด้วย จนทุกวันนี้อาตมาถึงบอกว่า จะหาว่าอาตมาหลงก็แล้วแต่ แต่อาตมาว่าไม่หลง มีแต่เห็นจริงว่า ชาวอโศกเป็นผู้ที่บรรลุผลสำเร็จของชีวิตแล้ว 1. มาเป็นคนจน หลายคนก็ตั้งใจมาจนแต่มันจนยังไม่สำเร็จไม่หมดเนื้อหมดตัวก็รู้ แต่ก็ได้ขนาดนี้ก็ดีก็สมัครใจอยู่แล้วหลายคนก็จะมาอย่างนี้จะเจริญให้ได้อย่างนี้จนหมดเนื้อหมดตัว ไม่หมดเนื้อหมดตัวตายไปก่อนก็ตายในนี้ในชาวอโศก หลายผู้หลายคนเข้าใจอย่างนั้นเลย ไม่ใช่พูดเล่นแต่พูดจริงๆเป็นอย่างนี้
มีใครเป็นอย่างที่อาตมาว่าอาตมาโมเมหรือไม่ …ยกมือ ไม่เหมือนอย่างที่ชาวโลกเขาคิดจึงไม่ปฏิปักษ์ไม่เป็นคู่แข่งกับชาวโลกเขา นี่คือคนที่อาตมามาช่วยสอนมาแนะนำช่วยให้มามีวิถีชีวิตอย่างนี้ดำเนินชีวิตอย่างนี้ ก็ไม่เป็นภาระต่อสังคม ไม่เป็นคู่ต่อสู้ของสังคมแล้ว แม้แต่ทางด้านเศรษฐกิจ ก็มีแต่จะช่วยเศรษฐกิจให้สังคมมีมากมีเกินมีเหลือเกื้อกูลผู้อื่นไป
หลักเกณฑ์
-
ไม่เป็นหนี้
-
ขยันหมั่นเพียรช่วยตัวเองรอด
-
สร้างสรรค์ให้เหลือเกิน
-
แล้วแบ่งแจกผู้อื่น