631009_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คนไทยเลือดโลกุตระจะพาไทยชนะทั้งโลก ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1ZWmIvqiR-nJXrziC3RSB9U_pbhHTQ2VS-yPW2PNeyck/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1APGjf1ilqqNfKMnFjlhxZ6coj262xqLF/view?usp=sharing และยูทูปที่ https://youtu.be/Vc3UrEPFyfM สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก เดือนนี้มีวันสำคัญของประเทศไทย ที่ดูจะลุ้นกันคือ วันที่ 13 และวันที่ 14 ตุลาคม วันที่ 14 คณะปลดแอกก็จะออกมาชุมนุม คงคิดจะเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ไม่ทราบ และให้พลเอกประยุทธ์ออกไปก่อนและให้เปลี่ยนแปลงปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ขอให้นักเรียนนักศึกษาหยุดทั่วประเทศขอให้คนทำงานหยุดทำงาน ถ้าจะบอกว่าเป็นประโยชน์..ก็ทำให้ประชาชนคนไทยได้ตื่นตัว ได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้น พ่อครูว่า…SMS วันที่ 7-8 ต.ค. 2563 พ่อท่านคือศิลปินเอกของโลก _Nadam Sakon นาดำ สกล : ศิลปินเอกของโลกคือพ่อท่าน พ่อครูว่า…เป็นผลงานการแสดงออกของคนทั้ง บุคคล ท่าทาง ภาษา สุ้มเสี่ยงแสดงคำพูดจนกระทั่งเป็นรูปร่างมีเส้นแสงสีเสียง มีก้อนมีแท่ง จนกระทั่งถึงสถาปัตยกรรม ศิลปะ pure art เขาแบ่งออกเป็นแค่ 5 แขนงเท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้อะไรก็มาเรียกเป็นศิลปะหมดเอามาปะโปะเป็นศิลปะหมด จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณกรรม ศิลปะและการแสดง(นาฏกรรมกับดนตรีการ) นาฎกรรมกับดนตรีการนี่แหละ มันเป็นเรื่องล่อแหลมกับอบายมุขมาก ที่มันครองโลกอยู่ทุกวันนี้ ก็คือนาฏกรรม ในนาฏ แปลว่าการแสดงลีลาท่าทางออกมาทุกอย่าง แม้แต่กีฬา นี่ก็นาฎะ รวมอยู่ในนาฏกรรมเหมือนกันกับเพลงการ เพลงการ กับนาฏกรรมหรือมีกีฬา กับการแสดงต่างๆ มันเป็นการแสดงออกเพื่อที่จะให้คนเกิดความรู้สึกร่วม ไปในทางโทสะ กับราคะ ถ้าราคะ ก็เป็นไปในทางโรแมนติกอิซึ่ม ถ้าไปทางกีฬาก็เป็นซาดิสซึ่ม ยิ่งแรงหนัก จนใจจะขาดเลย พวกเตะบอลเข้าโกลได้ แต่ละลูก อื้อหือ แม้แต่คนตีเทนนิส หรือนักมวยกว่าจะน็อคเขาได้ แต่นักมวยไม่กล้าแสดงออกมากเพราะมันน่าเกลียด น็อคเขาลงไปดิ้นจะแสดงออกมากก็ไม่ได้พวกซาดิสซึ่ม สรุปแล้วเขาก็เรียกว่าเป็นศิลปะ ศิลปะการแสดง ศิลปะมวย ศิลปะการต่อสู้ เอาคำว่าศิลปะไปแปะๆไว้หมด เพื่อที่จะประนีประนอม พวกที่จะหาเงินก็ต้องหาคำประนีประนอมประโลมเราเพื่อให้ดูดีขึ้น ใช้บัญญัติภาษาต่างๆประเล้าประโลม แต่แท้จริงแล้วผลออกมาเป็นอย่างไร ก็จะมีสภาวะบำเรอใจ สายโทสะ ก็บำเรออีกอย่างหนึ่ง สายราคะก็บำเรออีกอย่างนึง แม้แต่โมหะ เดี๋ยวจะมีตัวอย่างของโมหะ ที่บอกว่าศิลปินเอกนั้นอาตมายอมรับนะ ว่า อาตมาเป็นศิลปินเอก แต่คนในโลกจะไม่รู้จักความเป็นศิลปะโลกุตระ เป็นศิลปินทางโลกุตระ เขาจะไม่รู้ ถึงแม้ว่าอาตมาจะรับว่าเป็นศิลปินเอก มันก็เป็นเหมือนการรับที่คนอื่นฟังแล้วจะหมั่นไส้ ใครให้รางวัลใครยอมรับเอง เรียนศิลปะมาเปล่าๆ ไม่เห็นมีงานเขียนงานปั้นเลยคนอื่นทำทั้งนั้น ตัวเองไม่เห็นมีอะไรเลย วรรณกรรมก็ไม่เห็นเป็นชิ้นเป็นอัน ก็มีแต่เขียนภาษาที่เขาไม่รู้เรื่อง แต่เยอะนะ อาตมาเขียนหนังสือเยอะนะ แม้แต่เพลงการที่อาตมาแต่ง ก็เป็นเพลงโลกุตระ กวีการ กวีอาตมาไม่ได้แต่งเยอะแยะในโลกมากมาย จะแต่งก็แต่งโคลงสี่สุภาพ อาตมาแต่งได้แม้แต่ ฉันลักษณ์ ที่ต้องใช้คุรุ ลหุ จนถึง กลบทนาคบริพันธ์ เคยเขียนไปอวยพรหนังสือไทยโพสต์ 3 ปี คำว่าศิลปิน คนที่ฟังแล้วหมั่นไส้ก็ต้องขออภัย อาตมาจะต้องพูดไม่หยุดต่อไปคือจะต้องขยายความเพื่อให้เข้าใจลึกซึ้ง มีองค์ประกอบที่ชัดเจนขึ้น ว่าอาตมาเป็นศิลปินอะไร สร้างศิลปะอะไร ศิลปะโลกุตระ โลกุตระอย่างไร โลกุตระก็คือ จะเป็นหนังสือที่เขียนก็ตาม จะเป็นกวีการก็ตาม จะเป็นเพลงก็ตาม ที่อาตมาทำอยู่ประมาณแค่นี้ ภาพ สี จิตรกรรมไม่ได้ทำ ประติมากรรม ปั้น อาตมาก็ยิ่งไม่เป็นไม่เก่ง สถาปัตยกรรม ก็ไม่ได้ทำเอง สร้างภูเขาแม่น้ำก็ไม่ได้ทำเอง เป็นแต่เพียงผู้ออกแบบคิดและบอกว่าแนะนำทำอย่างนี้บ้าง ก็เป็นความคิดของผู้ที่สร้างเองประกอบกันช่วยกันก็ไม่ใช่ของตัวเอง 100% ทีเดียว ก็มีวรรณะกรรม ก็เป็นตัวหนังสือธรรมะ หนังสือธรรมะเป็นร้อยแก้ว แล้วก็มีร้อยกรอง ร้อยกรองก็เป็นธรรมะ ก็จะมีเหลืออยู่ที่เราคิดอะไรเป็นหลักฐาน ซึ่งใครจะเป็นผู้รู้ในกวีการขนาดไหน ว่าภาษาฝีมือคารมความสามารถในการแต่งกวีการ ก่อนอาตมาก็ตาม ในเรื่องวรรณกรรม หรือเขียนเพลงก็ตาม สิ่งเหล่านั้น ผู้ที่มีความรู้ ศิลปะจะมี 2 ส่วนสำคัญคือมีสารศิลป์กับสุนทรียศิลป์ มี 2 สภาพช่วยกัน ถ้ามีแต่สาระเรียกว่าสารศิลป์ ก็เรียกว่าสารคดีไม่เรียกว่า สารศิลป์ เป็นเรื่องที่พูดแต่สาระเน้นๆเป็นสารคดีวิชาการมากมายเป็นวิชาการเต็มๆ สารคดีเต็มๆ แต่ถ้ามีลูกเล่น สุนทรียมีสิ่งที่เป็นองค์ประกอบช่วยให้เบาลง มีลีลาองค์ประกอบเป็นกระสายมีสิ่งประสมเส้นแสงสีเสียง ให้สาระที่เป็นยา คุณก็เอาน้ำตาลหุ้มหน่อย ให้กินได้ง่ายขึ้น เอาสีใส่ให้ชวนกินหน่อย แต่อย่าให้คนติดสีอย่าให้คนติดน้ำตาล แต่ให้คนเขาได้สาระ แต่มันชวนกิน สุนทรียศิลป์แปลว่าสิ่งที่ชวนที่นำให้มารับเอาสิ่งนี้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะให้ติดให้หลง ทีนี้คนที่เขาไม่เข้าใจเขาก็ไปติดสุนทรียะ สุดท้าย จนกระทั่งกลายเป็นคนไม่รู้จักสาระ เช่น ศิลปินใหญ่ชนะเหรียญทอง อาตมาเคยวิจารณ์ ได้เหรียญทอง เสร็จแล้วก็มีคนไปสัมภาษณ์ ว่าท่านจะให้ความหมายอะไรกับงานที่ท่านทำได้รางวัลเหรียญทอง เขาบอกว่าผมก็ไม่รู้ เจ้าของคนเขียนก็ยังไม่รู้ว่าจะให้อะไรแก่คนอื่นเขาได้รับไป มันก็โมเม สุ่มสี่สุ่มห้าไป คนก็ไปตีความไปเอง แล้วไปตีขลุมอีกว่า คนมาสัมภาษณ์งานนี้แล้วตีความไปหลากหลายนั่นแหละเป็นศิลปะที่ยิ่งใหญ่เป็นอรูป เป็น Abstract ไม่ได้กำหนดหมายไม่ได้มีตัวตน ใครจะได้อะไรก็เป็นประโยชน์ก็แล้วกันก็เป็นการตีกินล่อลวงเพื่อให้คนอื่นเขาติดใจยึดถือ ไปติดในเปลือกไม่มีสาระจนสุดท้ายก็ไม่มีสาระ ติดในเส้นแสง ติดที (เทคนิค) ของเขา อย่างแวนก๊อก เขาติดในลีลาแบบใหม่ฟรีแปรงเส้นแสงแบบใหม่ ยังไม่เคยมีใครทำเส้นแบบนี้ คนแรกเลย เรียกว่า impression บันดาลใจให้คน เสร็จแล้วตนเองและเนื้อหาสาระอยู่ที่ไหนไม่มี มีแต่เทคนิค ที เพราะฉะนั้นจะเป็นจิตรกรทำงานจิตรกรรม ก็หาเทคนิคต่างๆมาสร้าง เส้นแสงสีเสียงลีลารูปแบบเป็นอัตลักษณ์ของตนให้คนอื่นเขาชอบเขาติดยึด แล้วก็อธิบายไป _บุญระบบ มุนีเวช : ผู้ที่ตำหนิติเตียนพ่อครูมานั้น ลูกมีความมั่นใจว่ายิ่งจะทำให้พ่อครู อายุยืนมากขึ้น ๆ ค่ะ เพราะพ่ออยู่ได้ด้วยคำตำหนิ แต่ผู้ตำหนิมา ถ้าติผิดคุณก็เตรียมรับวิบากไปเด้อเจ้า สิริมหามายากับมายาแสดงออกต่างกันอย่างไร _ณ. เณร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพยิ่ง ขอโอกาสถามพ่อครูว่า พระอรหันต์ที่อยู่ในเพศฆราวาสมีไหมครับ และอ.แดง กีตาร์ ใช่พระอรหันต์จริงไหมครับ กระผมถามตรง ๆ ออกชื่อตรง ๆ แบบนี้จะผิดกฎหมายไหมครับผม ขอกราบเรียนถามครับ พ่อครูว่า…พระอรหันต์ที่อยู่ในเพศฆราวาสมีไหม มี แต่เขาว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 7 วัน เขาเอาเคล็ดนิมิตแค่ว่าพระราชบิดาของพระพุทธเจ้าบรรลุอรหันต์ในตอนเป็นฆราวาสแล้วก็ตาย สู่แดนธรรมว่า…เขาเคยมาบ้านราชฯ ไม่ได้มาคุย จะมาหาพ่อท่านเพราะได้ข่าวว่าพ่อท่านประกาศอรหันต์ มาสองครั้งแต่ไม่ได้เจอ พ่อครูว่า…ตอบตรงนี้ว่าไม่ผิดกฎหมายหรอก อาตมาตอบไม่ได้ว่าเป็นอรหันต์ใหม่ เพราะว่าไม่ได้คบหาไม่ได้รู้เลย การจะรู้ได้ว่าเป็นพระอรหันต์หรือไม่ก็ต้องด้วยการคบคุณ ทั้งกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมที่อ่าน สามารถรู้ไปได้ถึงจิตเป็นประธาน เพราะฉะนั้นผู้ที่มีปัญญามีความรู้จะรู้ว่าจิตเป็นประธาน ที่ให้แสดงออกมาเป็นกายกรรมแสดงออกมาเป็นพฤติกรรม เราจะพอรู้เลยว่า กายกรรมที่แสดงออกมานี้ แม้จะเป็นทางกลับกัน มันเหมือนกับเป็นเรื่องไม่ใช่ลีลาที่สะอาดบริสุทธิ์ แต่ผู้แสดงออกนี้เป็นการอนุโลมปฏิโลม เพื่อจะพูดสื่อให้คนรู้เรียกว่าสมมติสัจจะ แต่ความจริงแล้วจิตใจผู้นั้นไม่ได้เป็นไปตามที่สื่อออกมา อันนี้แหละอาจารย์แดงนี้เป็นคนใช้ภาษานี้ ให้คนเข้าใจหลงว่าเป็นพระอรหันต์ _แอ๊ด : ไปเปิดยูทูปดู (อ.แดงมักย้ำเสมอว่า ทุกครั้งที่พูดธรรมะจบ “ผมยืมภาษามาพูด อย่าเชื่อเรื่องที่พูด จงฟังและคิดตาม จนมันซึมเข้าไปในใจ ผมมิได้สอนอะไรให้คุณ-เข้าใจไหม? เพราะความหมายของภาษามันไม่มีอยู่จริง”) พ่อครูว่า…เท่านี้ฟัง.. อาตมาจะวิจารณ์คำว่า “เพราะความหมายของภาษามันไม่มีอยู่จริง” แค่นี้เป็นภาษาสิริมหามายาหรือมายา อันนี้เป็นภาษาของนักเล่นกล เป็นภาษามายาของนักเล่นกลของอ.แดง ไม่ใช่ภาษาสิริมหามายา สิริมหามายาคือภาษาที่เหมือนนักเล่นกลใช้ แต่สิริมหามายานั้นภาษาจะกลับไปกลับมา แต่สาระไม่ผิดเพี้ยน สาระยืนยัน พูดไปมุมไหนก็อยู่สาระอันเก่า หมุนสมองให้ทันสมัยพูดอย่างไร สาระนั้นก็จะยังยืนหยัดยืนยันอยู่อันเดิม แต่ของอาจารย์แดงไม่มีสาระเลยมีแต่พูดภาษาเล่นภาษาและให้คนซึ้งในภาษา บอกว่าผมไม่ยึดมั่นถือมั่นนะทุกอย่างเป็นสมมติทั้งนั้นเท่านั้นเองไม่มีจริง เพราะฉะนั้นผมไม่มีอะไรแล้วผมมีแต่สมมติผมอยู่กับสมมุติ ความจริงผมไม่มีอะไรเลย 0 ว่างเปล่า นิพพานสุญญตา เอาตัวนี้มาตีกิน จริงๆคำว่า 0 ว่างเปล่า นิพพาน สัญญาตอนนั้นอาจารย์แดงไม่ได้พูดเลยแต่ให้คนเข้าใจอย่างนั้นจริงๆแล้ว อาตมาอธิบายได้ว่าอาจารย์แดงอธิบายสูญญตาไม่ได้ ในจูฬวิยูหสูตรก็ตาม สุญญา ต้องเป็นการสูญจากกิเลส คนต้องรู้จักกิเลส หยาบกลางละเอียด เกี่ยวกับมนุษย์ เกี่ยวกับสัตว์ เกี่ยวกับคน เกี่ยวกับข้าวของ จนกระทั่งรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสสิ่งต่างๆสาระพัดที่คุณไปติดยึดในความหมายของศีล ข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 ข้อ 5 ข้อที่ 4 ก็คือวจีกรรม 3 อย่างเป็นการแสดงออกภายนอก ข้อที่ 5 เป็นมโนกรรม ข้อที่ 4 เป็นวจีกรรม ข้อ 3 เป็นกายกรรม เพราะฉะนั้นคุณไม่ได้รู้จักกิเลส กิเลสนี่ภาษาบาลี กลิ คือกิเลส กายกลิ แล้วก็ไปถึงจิตกลิ วันนี้จะพูดถึงกาย ถ้าเผื่อว่ายังไม่รู้เรื่องนี้แล้ว โดยสาระ โดยเนื้อแท้ของกิเลสจริงๆ คุณไม่รู้จักกิเลส หยาบกลางละเอียดเอามาอธิบายได้ จริง กิเลสไม่มีตัวตน กิเลสก็เป็นนามธรรม ยิ่งนามธรรมทำให้สูญไปเลยให้มันดับสูญไม่มีอาการ คุณต้องรู้อาการ รู้นิมิตของนามธรรมที่เป็นกิเลสนั้นมันแตกต่างกันอย่างไร ให้เปรียบเทียบด้วยภาวะ 2 เสมอ เพราะฉะนั้นคำว่า 2 คำนี้ กายก็ต้อง 2 เทวะ อีกคำหนึ่งก็ต้อง 2 เสมอ เอา 2 สภาวะเสมอมายืนยัน ให้คนเข้าใจตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียดเป็นนามธรรม ก็ต้องมี 2 ให้คนรู้ แล้วมีสภาวะของตัวเอง เทียบกัน 2 อันจะเทียบกัน มันต้องต่างกัน ลิงคะ เพศ ถ้ามี 2 ขึ้นมาเมื่อใดแล้ว ต้องต่างกันทั้งนั้น ไม่มีอะไรไม่ต่างกัน จะมีหนึ่งเดียวที่ไม่ต่างกันก็คือ สภาพของความจบ ในอาริยสัจ 4 ของความเป็นอรหันต์ ผู้บรรลุอรหันต์คนใดก็แล้วแต่ ตั้งแต่อรหันต์ เล็กที่สุด สามัญที่สุด จนกระทั่งถึงอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณลักษณะ คุณวิเศษอันเดียวกันคือกิเลสสูญ เพราะฉะนั้นผู้รู้จักกิเลสแท้จริงด้วยกัน กิเลสขนาดไหนมาประกอบอย่างไร มันสูญจากกิเลสประกอบกับอะไร เป็นสัตว์ เป็นของ เป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เป็นทางจิตวิญญาณ รูปจิต อรูปจิต คุณก็สามารถที่จะตามได้หมดเข้าใจกันได้หมดเลย พูดกันรู้เรื่อง อรหันต์พูดกันรู้เรื่อง อรหันต์จะเป็นอย่างเดียวกันหมดจบ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะเดินดินว่า… สู่แดนธรรมว่า…ผมเคยได้คุยกับอาจารย์แดง ลูกศิษย์เขาว่าเป็นพระอรหันต์ ผมได้คุยแล้วก็สัมผัสได้ว่าเขามีแต่ภาษาที่รู้ธรรมะแต่ไม่มีสภาวะจริง ความหมายของภาษามีอยู่จริงหรือไม่ จะรู้อรหันต์เป็นอย่างไร พ่อครูว่า…เขาก็พูดก็ย้ำว่า อาจารย์แดงมักย้ำเสมอว่า ทุกครั้งที่พูดธรรมะจบ “ผมยืมภาษามาพูด อย่าเชื่อเรื่องที่พูด จงฟังและคิดตาม จนมันซึมเข้าไปในใจ ผมมิได้สอนอะไรให้คุณ-เข้าใจไหม? เพราะความหมายของภาษามันไม่มีอยู่จริง” คำว่าความหมายของภาษามันไม่มีอยู่จริง? คำว่าความหมาย คือ สิ่งที่มันจะต้องหมายถึง เอาอะไรสื่อก็แล้วแต่ มันต้องมีความหมายมีอยู่จริง ที่บอกว่าความหมายของภาษามันไม่มีอยู่จริงแค่นี้คุณก็ผิดแล้ว เพราะว่า เอาภาษามาพูดภาษา เขาก็สื่อภาษาให้มันมีความหมายให้คนอื่นเข้าใจ มันก็เลยเป็นภาษาอยู่ 2 สภาพที่คนรู้ไม่ทัน เป็นนักเล่นกลกลับไปกลับมา ก็หลอกได้เลย เขาเร็วไว ความเร็วไวของความหมาย กับสาระ คนฟังไม่มีสาระทันเขา เขาก็เลยเอาแต่ความหมายของภาษามาเล่นลิ้น คนนั้นก็เลยเห็นว่าจริงนะ เขาไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอะไรเลย เขาไม่เอาแม้แต่ภาษาแม้แต่ความหมายแม้แต่สภาวะเขาไม่เอาอะไรเลย กลายเป็นอุจเฉททิฏฐิ ไม่มีอะไรเลยนะ ไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยด้วย ซึ่งของพระพุทธเจ้ามีเหตุเป็นปัจจัยทั้งนั้น ความสูญก็มีเหตุปัจจัย คุณจะหมดศูนย์จริงๆได้นั้นก็ต้องปรินิพพานเป็นปริโยสาน ถ้าคุณยังไม่ตายเพราะพระอรหันต์ยังไม่ตายพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ต้องมี 2 ไม่ใช่ 0 หรืออาศัย 1 อยู่ แต่ 0 นี้เป็นของท่าน ถ้าจะสูญอีกทีหนึ่งก็คือปรินิพพานเป็นปริโยสาน หรือท่านจะตาย สอุปาทิเสสนิพพาน แต่เรายังมีเศษเหลือจะเกิดอีกได้ พระอรหันต์ที่ใช้ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ หากใช้อนุปาทิเสสนิพพาน ไม่เหลืออุปาทิอะไรเลยตายอย่างสลายธาตุ ก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป แต่ถ้าพระอรหันต์พระโพธิสัตว์ที่ตายโดยไม่ทำปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ยังเหลืออยู่เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน เพราะฉะนั้นถ้าคุณยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณยังมีอยู่อีกก็จะสูญไม่ได้ คุณจะพูด 0 โดยที่ไม่เห็นปัจจัย อย่างที่เขาพูดก็เล่นคารมโวหารเป็นนักเล่นกล แต่แท้จริงแล้วคนนี้ใช้ตรรกะ เอาภาษาเท่านั้นมาใช้ ต่างกันกับมหาบัว มหาบัวใช้นิรมาณกาย ใช้สัมโภคกาย ใช้อาทิสมาณกาย พูดภาษาแล้วให้คนอื่นรู้สึกว่า มีกาย แต่กายนั้นเป็นกายเก๊ กายของความว่าง กายว่างจิตว่าง พูดให้คนมีตัวตนของกาย แต่ อ.แดงที่ว่านี้ อรหันต์แดงที่ว่านี้ พูดแต่ตรรกะ แล้วไม่ให้คนยึดตรรกะ มีแต่ภาษาโวหาร ทั้งๆที่เขาใช้ความหมายของภาษาโวหารให้คนอื่นเข้าใจ คนอื่นก็เข้าใจแล้วก็หลอกให้คนอื่นเข้าใจว่า ที่จริงเขา 0 นะ เขาไม่มีแต่ภาษานะ คุณไม่ต้องเชื่อนะ คนที่ไม่รู้พอ เข้าใจว่า นิพพานหรือพระอรหันต์จะต้องมีจิตว่างอย่างนี้ ไม่มีอะไรอย่างนี้ ไม่มีอะไรเป็นที่เกาะเลย ไม่มีธรรมะเป็นที่เกาะ ไม่มีสาระอะไรเป็นที่เกาะเลย ที่จะมีความมี เพราะฉะนั้นสูงสุดที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 ที่บอกว่า คนนั้นอาศัยความมีกับความไม่มี ที่สื่อกัน เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าบอกว่าเราไม่เข้าไปยึดติดทั้งความมีและความไม่มี ก็รู้ว่าคนใช้ความมีและความไม่มีนั้นเอามาใช้ คนใช้ความไม่มีก็เหมือนอรหันต์แดง เช็คความไม่มีเป็นอุจเฉททิฏฐิเลย แม้แต่ภาษาตรรกะที่เขาใช้ก็บอกเรื่องสูญสนิทเลย เรายังไม่มีคนชื่อ สูญสนิท มีแต่คนชื่อศีลสนิทกับคนที่ชื่อ ซื่อสนิท สูญสนิทเลย จะสูญสนิทได้คือ ปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้วไม่เหลืออะไรแล้วจิตวิญญาณที่จะเกิดอีกไม่มีแล้ว ถ้าไม่สามารถแตกสลายจิตนิยามของตนเองแยกให้เป็นอุตุธาตุ เป็นดินน้ำไฟลมไปเลย แม้แต่แค่พีชะก็ไม่ใช่ เพราะพีชะนั้นยีงมีชีวะอยู่ แต่นี่ไม่มีทั้งดินน้ำไฟลมเป็นอุตุธาตุเลย สลายจากจิตวิญญาณหรือจิตนิยาม ธาตุสภาพของสัตว์โลกทั้งหลาย แม้แต่ยังไม่ตายเป็นๆก็ทำจิตของตัวเองให้เกิดอุตุธาตุได้ เช่นโลกของอบายภูมิ มันมีอยู่เยอะแยะ ยกตัวอย่างตื้นๆ อย่างเช่นกีฬา การละเล่นที่เขามี เราไม่มีรสชาติกับเขา เราไม่อร่อยกับเขา เรา 0 แต่พูดกับคนข้างนอกเขาไม่เข้าใจ ก็ต้องพูดที่หยาบกว่านี้ ยกตัวอย่างเช่น คนเล่นไปไพ่ มันก็หยาบที่สุดแล้ว แต่ก่อนเราก็เคยตอนนี้เราก็ไม่มี เขาก็หลุดพ้นจากโลกของการเล่นไพ่ คนเลิกเหล้าได้ แต่ก่อนกินเหล้ามีรสชาติสนุกสนาน เดี๋ยวนี้มันก็เป็นรสแท้ เหล้านั้นจะเป็นรสอร่อยขี้หมาอะไร มันก็เฝื่อนแท้ๆ มันก็มีธาตุมีกรดมีด่างอะไรของมัน ไม่ใช่น้ำจืดเปล่า H2O ธรรมดา แล้วคุณก็ไปติดในรสนั้น รสของเรามันก็มีจริง ของมันอย่างนั้นแต่คนในติดยึด คนที่ไม่ติดยึดก็ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรก็ไม่เห็นจะต้องกิน นอกจากจะต้องจำเป็นกินเหล้าเพราะเราใช้เป็นยาในบางครั้ง ใช้อย่างพอเหมาะพอควรไม่ใช่กินเพราะติดรสอะไร กินพอเอามาใช้รักษาโรค ก็ทำเท่านั้นเอง อย่างนี้เป็นต้น หรือผู้หญิงที่ไม่ติดลิปสติกแล้ว แต่ก่อนนี้ติด มันรู้สึกว่าไม่ได้ทาไม่สวย มันไม่มั่นใจมันไม่สวยอะไรต่ออะไรก็แล้วแต่ คุณก็ต้องทา ไม่ถ้าออกจากบ้านไม่ได้ ไม่มั่นใจ ถ้าคุณเห็นแล้วว่าโธ่เอ๋ย มันมีสิ่งที่ดีกว่า แค่ทาลิปสติก คุณก็ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้สิ่งเหล่านี้ จิตคุณเฉย ใครจะว่าอย่างไรก็เฉยไม่เห็นมีค่าอะไร โลกของการติดลิปสติกของคุณก็หายไป ไม่มาทาให้มันเปื้อนปากทำไม อย่างนี้เป็นต้น สู่แดนธรรม…ผมคิดว่า ถ้าหากอาจารย์แดง กีตาร์ เข้ามาฟังคลิปนี้ เดี๋ยวเขาจะหาว่าพ่อท่านอยู่ตรงข้ามกับเขา ซึ่งการตรงข้ามนี้มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว เมื่อวานพ่อท่านอ่านเรื่องความมีกับความไม่มี อาจารย์แดงอยู่ในฝ่ายความไม่มีนี่แหละ สิ่งทั้งปวงไม่มี ซึ่งมันเป็นอุจเฉททิฏฐิ ขอฟังแล้วจะหาว่าพ่อท่านอยู่ตรงกันข้ามกับเขา พ่อท่านว่า…เรารู้ว่ามันมีอยู่ เราก็เข้าใจ คุณจะยืนยันว่า คุณถูกเราผิด ก็ไม่เป็นไรเราไม่ขัดแย้ง สู่แดนธรรม…เดี๋ยวจะหาว่าพ่อท่าน ไปยึดฝ่ายมี อาจารย์แดงยึดฝ่ายไม่มี แต่แท้จริงแล้วพ่อท่านไม่ได้อยู่ทั้งสองฝ่าย คือไม่เข้าไปอยู่ทั้งสองฝ่าย พ่อท่านพร้อมจะคิดเห็นกับฝ่ายนี้ก็ได้หรือไม่เห็นกับฝ่ายนั้นก็ได้ นี่คือสิริมหามายา พ่อครูว่า…ศึกษาดีๆมันไม่ง่ายหรอกจนกว่ามันจะมีสภาวะตรงกัน อย่างอาตมาจะพูดอย่างไร สู่แดนธรรมกับอาตมาอธิบายจะเข้าใจกันอย่างไรก็เข้าใจกัน สู่แดนธรรมเขามีสภาวะมีสิริมหามายา เขามีอรหัตตผลของเขาแล้ว ก็ไม่ได้แย้งอะไรก็เลยไม่มีปัญหา อาตมาก็อยากจะขยายความกันอีกนิด ของเขามีตรรกะแท้ๆ เหตุและผลและภาษาเท่านั้น แล้วเขาก็เข้าใจ เขาบอกว่าเขาไม่มีเหตุไม่มีผลอะไร ทั้งๆที่เขาใช้เหตุผลให้คนอื่นเข้าใจให้คนอื่นเชื่อตามเขา เสร็จแล้วเขาก็บอกว่าเขาไม่มี ก็ทั้งๆที่เขาต้องใช้อันนี้แล้วไม่มีได้อย่างไร เดี๋ยวจะบอกเขาว่ามีหรือไม่มี เขายังมีตัวตนยังมีการจะต้องสื่อ ต้องใช้ ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เขาต้องรู้ว่ามีคือมี ไม่มีคือไม่มี รู้ว่ามีอะไรไม่มีอะไร คำว่า ไม่มี เขาก็ต้องอธิบายได้ว่า ไม่มีกิเลสหยาบ กลาง ละเอียด ก็ต้องอธิบายชี้หน้าฉีกหน้ากิเลสได้สิ เขาไม่ได้พูดถึงเลยว่ากิเลสเป็นรูปร่างลักษณะอย่างไร สู่แดนธรรม…เมืองไทยเราเดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ สำนักที่ศึกษาอภิธรรม บอกว่า น้ำก็ไม่มีอยู่จริงอะไรก็ไม่มีอยู่จริง อัตตาก็ไม่มีอยู่จริง ดินน้ำลมไฟไม่มีอยู่จริง มีแต่ธรรมะ นี่ก็คือการยึดในสิ่งทั้งปวงไม่มี พ่อครูว่า..นี่ก็สายอภิธรรม มันก็แย้งกันเถียงกันได้ มันก็ใกล้จะรู้เหมือนกันนะ อาตมาขอจบตรงที่ว่า อย่างสายอรหันต์แดง กับสายอภิธรรมที่ว่า ก็ต่างกัน แล้วยังสายที่ไม่ใช่อภิธรรม เขาพูดถึงธรรมะของเขา วนในพยัญชนะอื่นๆ แล้วก็มาจบที่ธรรมะ ธรรมะก็คือภาษาที่เขาพูดเหตุผลแย้งกันไปมาทั้งหมดก็เป็นตรรกะ มันก็เป็นพวกหนึ่ง ใช้ภาษาเหตุผล อรหันต์แดงใช้คำว่า ไม่มี ส่วนธรรมะอรหันต์ อภิธรรมใช้คำว่า ธรรมะ จบด้วยพยัญชนะว่า ธรรมะ อีกพวกหนึ่งคือ พวกนิรมานกาย กาย 3 สัมโภคกาย และอทิสมานกาย นี่คือสายมหาบัว สายอาจารย์มั่น อาจารย์มั่นไม่ได้อธิบายมาก มหาบัวเป็นผู้ที่อธิบายมาก ก็เลยได้แต่ภาษาคารมทุกอย่างจากมหาบัวเป็นหลัก มีลูกศิษย์ลูกหาฟังเยอะ สายมหาบัวไม่รู้จักกาย 3 ซึ่งอาตมาก็บอกหลายที นิรมาณ แปลว่า สร้างสิ่งที่ไม่มีให้มีขึ้นมาเป็นอะไรก็แล้วแต่ เป็นอรูป ให้คนคิดตาม ยึดถือตาม เข้าใจตาม เชื่อถือตาม คนก็เชื่อตาม ไม่ใช่ไปติดที่เหตุผล แต่ติดในอะไรอันใดอันหนึ่งเป็นตัวตน เป็นอรูปภพ เป็นกาย ที่เป็นอรูปกาย เป็นสิ่งที่มันปรุงแต่งเป็นสภาพที่ รู้กันว่าใช่ๆๆอันนี้ ใช่อันนี้ เหมือนอย่างมหาบัว จะบอกว่ากิเลส แล้วก็ใช้ภาษาคำว่ากิเลส มันเก่งต้องเอามันให้ตายอย่างนี้ สู้มันตายเลย เอาให้มันตาย สู้มันตายเลย เอาให้มันตายเลย จนกระทั่งมันตายแล้วมหาบัวก็ชนะในวันกี่ค่ำอะไรพวกนี้ ใช้ภาษาคารมจำไม่หวาดไม่ไหวเลย ไม่ได้อยู่ในภาษาตามหลักปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธเจ้าเลย หลักจรณะ 15 วิชชา 8 ก็ตาม โดยเฉพาะตามหลักของเวทนา 108 อันนี้แหละเป็นตัวกรรมฐาน ไม่เข้าเลย คนที่อธิบายเวทนา 108 ได้ มีสภาวะชัดเลย แยกเคหสิตเวทนากับเนกขัมสิตเวทนา ผู้นี้แหละ เนกขัมมะ ออกจากกิเลสได้ เคหสิตะคือผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ออกได้ ล้างได้ ตั้งแต่กาม หยาบ หมดกามเหลือรูปภพ อรูปภพ ก็ล้างอีกหมดรูปภพ เหลืออรูปภพก็ยังมี สิ่งที่เป็นเหตุปัจจัย ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัส ก็ยังมีอยู่ แต่กิเลสของผู้ไม่มีก็เหลือแต่ อรูป ล้างอรูปหมด ก็ 0 สูญแล้ว ตัวเองก็ยังดีอยู่จบด้วยวิชชา 8 สิ้นอาสวะ อาสวักขยญาณแล้วจิตใจก็ยิ่งบริบูรณ์ด้วยอาสวะสั่งสมธาตุของสมาธิ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ตกผลึกตั้งมั่นเป็นสมาธิเรียกว่า สมาหิโต ตกผลึกเข้า เป็นจิตตั้งมั่นเข้า จิตนี้จึงเรียกว่า สมาหิโต ถ้ามันยังไม่ก็เลย อสมาหิโต ตรวจสอบได้ตามหลักเจโตปริยญาณ 16 จิตตั้งมั่นเรียกว่าสมาธิ หลุดพ้นจากอะไรได้เรียกว่าวิมุต คู่สุดท้าย 2 คู่คือ อสมาหิโต สมาหิโต และวิมุติกับอวิมุติ ก็พิสูจน์อันนี้แหละจนกระทั่งมันไม่มีแล้ว มันเป็นจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรขึ้นมาอีกเลย มันหลุดพ้นแล้วจากโลกก็ยังอยู่กับโลก วิมุติจิตสะอาดแล้วหลุดพ้นจากโลกก็อยู่กับโลกแล้ว หลุดพ้นโลกก็อยู่กับโลก โลกทำอะไรไม่ได้ลอยตัว เป็นอุทธังโสโต เป็นความรู้ที่ลอยเหนือแล้ว จนกระทั่งสูงสุด อกนิฏฐคามินี ไม่เป็นน้องใครแล้ว สั่งสมจนสมบูรณ์แบบ นี่คือสภาวะจริงที่อาตมาเอาพยัญชนะภาษาบาลีที่เป็นภาษาหลักของพระพุทธเจ้ามาอธิบายไม่ใช่ภาษาของอาตมาเองคนเดียว แต่อาตมาใช้ภาษาไทย ภาษาสามัญให้คนฟังเข้าใจเอาไปแปลบาลีพวกนั้น ให้ความหมายของสภาวะ มันต้องมีทั้งความหมายมันต้องมีทั้งสภาวะ แล้วอะไรมันไม่มี กิเลสมันไม่มี หยาบกลางละเอียดมันไม่มี ไม่มีสภาวะไม่ได้ ทุกอย่างอะไรก็ไม่มีเลย อ้าว มันก็ไม่มีเหตุปัจจัยอะไรสิ อย่างอรหันต์แดงไม่ได้ไปไหนเลยอยู่ในพยัญชนะ ตรรกะ เหตุผลเท่านั้น มีเยอะนะเป็นอาจารย์อยู่ในเถรสมาคมก็มีเยอะ ตรรกะ ภาษา น่าสงสาร เขาหลงจริงๆนะไม่ใช่แกล้งเขาเชื่อมั่นจริงๆว่าเขาหลุดพ้น น่าสงสารแต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ถ้าเขาฟังอาตมาแล้วก็เริ่มต้นตั้งแต่ปฏิบัติไป คุณหลุดพ้นตั้งแต่สัตว์ ไม่มีรักไม่มีชังกับสัตว์เลย สัตว์เดรัจฉานก็ไม่ค่อยยากเท่าไหร่ แต่เกี่ยวข้องกับคนนี่แหละ โดยเฉพาะคุณกับเรานี่แหละ คุณจะนับถือเราหรือคุณจะชังเรา ไม่เอารักหรอก คุณจะรักเราไม่ต้องรัก นับถือก็พอ หรือคุณจะไม่พอใจไม่ชอบใจ ชัง อย่างนี้ไม่ใช่ แค่นั้นก็ได้ คนนี่แหละ คุณจะหมดหรือเปล่า ถ้าคุณหมดแล้ว ก็จะไม่มีรักไม่มีชังจริงๆ แล้วคุณจะรู้ความจริงว่าคุณอยู่ในฐานะนี้นะ ฐานะนี้อยู่เหนือเราหรือไม่เหนือเรา จะรู้ด้วย จิตของผู้นั้นจึงจะสะอาด มีปรโตโฆษะ ผู้ใดยังไม่ปรโตโฆษะ ฟังผู้อื่นด้วยแล้วเข้าใจว่าคำของคนอื่นเหนือเราด้วย เมื่อคำของคนอื่นเหนือเรา ก็จะเอาคำของคนอื่นที่เรายอมรับว่าเหนือกว่าเรานี้เอาไปปฏิบัติ เช่นคำว่าโยนิโสมนสิการ การทำใจในใจ ทำใจในใจได้ ทำใจในใจบรรลุ ทำใจในใจได้บรรลุมรรคผลถ่องแท้ บรรลุผลได้เรียกว่า โยนิโสมนสิการ เพราะที่พูดนั้นส่วนมากไม่มีการทำใจในใจถูกต้อง อโยนิโส ไปทำแต่ตรรกะเหตุผล ส่วนมหาบัวก็ทำแต่นิรมาณกาย ให้คนเขาเข้าใจมาเชื่อตามกันเป็นสัมโภคกาย แล้วต่างคนก็ต่างไม่รู้ไม่เห็นช่วยกันเป็นอาทิสมาณกาย ไม่มีสภาวะจริงในตนเป็นอริยสัจ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) สมณะเดินดินว่า…ไม่แปลกใจที่หลวงตาบัวจะเห็นพระพุทธเจ้าอรหันต์มาแสดงธรรมให้อาจารย์มั่น ก็เลยเห็นเป็นนิรมาณกายมาให้สัมโภคกายด้วยกัน คนไทยเลือดโลกุตระจะพาไทยชนะทั้งโลก _หนูได้สนทนากับคนนอกวัด เขาว่า ยิ่งสนทนากับชาวอโศกบอกว่ายิ่งให้ยิ่งรวย แล้วลูกหลานก็ไม่มีปัญหาไม่สร้างปัญหา มันสวนทางกับที่ท่านเทศน์ วันที่ 7 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา ญาติธรรมถ้ามีช่วยเหลือวัดช่วยเหลือสมณะช่วยเหลือคนชุมชนเด็กนักเรียน พ่อครูคิดอย่างไรว่า ยิ่งคบอโศกยิ่งรวย พ่อครูว่า…คุณจะพูดกับใคร คนที่มาทำงานกับเรา คนงานบางคนตั้งฐานะได้นะ จากไม่มีอะไรจนกระทั่งมีรถแบคโฮ มีเทรลเลอร์ลากแบคโฮมาทำงานที่นี่ ตอนเย็นเขาก็กลับตอนเช้าก็มา เขาก็ไม่ได้ไปร่ำรวยเหมือนคุณธนินท์คุณเจริญแบบนั้นหรอก แต่ก็รวยในฐานะของเขา คนพวกนี้มีเศรษฐกิจพอเพียง อยู่กับพวกเราด้วย ทำมาหากินอยู่กับพวกเราเขาก็ได้ฐานะขนาดนี้เขาก็ถือว่าพอได้ เขาก็พอในประมาณหนึ่ง เขาก็ไม่ได้ไปอยากรวยแข่งไปเอาที่อื่น เอาจากที่นี่เขาก็ว่ารวยแล้วสบายแล้ว จะเป็นใครก็ตาม เขามาทำงานที่นี่ก็สบาย ก็อยู่พออยู่พอกินแสดงว่าเขามีความพอเพียง คนไทยนี้มีความพอเพียงประมาณอย่างนี้ ไม่น้อย เพราะมีอนุสัยของความเป็นโลกุตระอยู่ เพราะฉะนั้นประเทศไทย จึงเป็นประเทศโลกุตระ ที่เขายังไม่ค่อยรู้ตัว คนอย่างนี้มีเยอะ เพราะฉะนั้นคนที่เป็นอย่างที่อาตมายกตัวอย่างมาแล้วอย่างพวกที่มาหากินในราชธานีอโศก ก็มีชีวิตสบายกินอยู่สบาย เขาก็ไม่ต้องการมากกว่านี้ ขณะนี้เขาก็ถือว่าเขาเจริญขึ้นมากกว่าเก่าแต่ก่อนนี้ไม่มีอยู่ไม่มีกิน ยากจนข้นแค้นกว่านี้ ตอนนี้ก็สบายขึ้นแสดงว่าเขามีจิตใจสันโดษมีจิตใจพอ สันตุฏฐิ คนขนาดอย่างนี้มีจิตใจอย่างนี้ในประเทศไทยมีอยู่เยอะ จึงไม่ค่อยเดือดร้อน ยังมีแต่พวก 3 นิ้ว พวกนั้นเท่านั้นแหละที่ยัง เห่าบ๊องๆๆๆ มีไม่เท่าไหร่หรอก เพราะฉะนั้นคนที่เป็นพื้นฐานอย่างนี้ไม่มีปากไม่มีเสียง อยู่กับราชธานีอโศกอยู่กับหมู่บ้านนี้หมู่บ้านนั้นมีเยอะ ไม่ได้ออกไปแสดงตัวอะไร แต่ก็อยู่เย็นเป็นสุข ถ้าเขาไม่อยู่เย็นเป็นสุขก็จะไปร้องทุกข์กับรัฐบาลก็จะไปบอกผู้บริหารฟ้องร้องขึ้นไปให้ผู้บริหารเสนอขึ้นไปสู่รัฐบาลก็ต้องไปช่วยกัน ก็มีฐานะการบริหารอยู่แล้วข้าราชการก็ดีแม้แต่จิตอาสาเดี๋ยวนี้ก็เยอะ จิตอาสาก็มีเยอะนะ ก็ช่วยกันอยู่อย่างนี้ ที่จะช่วยเฉลี่ยกันไปแบ่งกันไป ตามประสา สรุปแล้วมันก็เฉลี่ยเรียกว่า เศรษฐกิจ _สู่แดนธรรมว่า…ทำไมคนมาทำงานกับอโศกยิ่งรวย แล้วทำไมชาวอโศกยิ่งจน พ่อครูว่า…ก็เพราะว่ามายินดีจนเต็มใจจนตั้งใจจน ไม่ได้หลอก คือไม่ได้สะสมเงินทอง อย่างคุณมีเท่าไหร่ในบัญชี(ถามสู่แดนธรรมว่า..อยู่ไม่ถึง 200 บาท) คุณก็มีฝีมือแต่คุณก็ไม่ได้เอาไปหาเงิน ทำงานได้ก็เอามาเข้ากองกลางอย่างนี้เป็นต้น มันซับซ้อน ในเศรษฐกิจอันนี้จะต้องอธิบายกันอีก มันก็มีตัวอย่างแล้ว ชาวอโศกมีสาธารณโภคีอย่างพวกเรา มันก็จะดียิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องไปห่วงอะไรมากมายหรอก มันก็คงได้พูดเรื่องเศรษฐศาสตร์นี่แหละ สู่แดนธรรม…เรื่องเศรษฐศาสตร์นี้ที่บอกว่า ทำไมส่วนกลางถึงรวยคนแวดล้อมจน พ่อครูว่า…มันมีใจพอ ยกตัวอย่างคุณเองก็ยังพอ หลายคนไม่มีเงินในแบงค์เลย ดีไม่ดีอย่าว่ามีในแบงค์เลย ในมือก็ไม่มี พอถึงเวลาจะไปเบิกใช้ก็เอาไปใช้ เสร็จแล้วก็ไม่มี จะอยู่จะกินก็ในนี้ทั้งนั้น ปัจจัย 4 ปัจจัยบริขารต่างๆในนี้ไปเบิกที่ สขจ.ได้ทั้งนั้น สู่แดนธรรม…ที่เขาถามอาจจะหมายถึงผู้บริหารประเทศอาจจะดูคลิปนี้อยู่ ดูแล้วอาจจะเอาโมเดลนี้ไปพัฒนาประเทศ มันจะไหวไหมครับ พ่อครูว่า…ไหว ก็ต้องรู้รายละเอียด ซึ่งรายละเอียดที่ว่านี้ก็ต้องดูที่ยอดปิรามิด ปิระมิดต้องมียอด แม้แต่คนเป็นผู้บริหารก็ต้องเข้าใจปิระมิด แล้วคุณยังไม่ถึงยอด ปิระมิดนะ แต่ว่ายอดปิระมิดนี้คุณเข้าใจแล้วเป็นหลัก ยกย่อง นี่พูดสัจจะนะคุณก็ต้องยกย่องเชิดชูให้เอาอย่างบูชาเคารพคนที่สุดยอดเขาได้จริง คนที่เขาไม่สะสมเลย คุณจะอยู่ในฐานะไหนคุณเป็นผู้บริหาร ถ้าคุณเป็นผู้บริหารคุณเข้าใจเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์แบบนี้ คุณอยู่ไหน..ยอดสุด คุณก็ไม่มีปัญหาเลย ก็ยกตัวอย่างตัวเองยกตัวอย่างคนที่อยู่ในหมู่คุณได้เลย อย่างเช่นชาวอโศกเป็นต้น แต่ถ้าคุณยังไม่ถึง คุณอยู่ในระดับ 2 ก็เอาขั้นที่ 2 คุณก็ยกย่องคนที่อยู่ยอดปิระมิดสิคุณอยู่ขั้นนี้แล้วคุณเข้าใจแล้วต้องพัฒนาไปให้เป็นยอดอยู่ แต่อย่างนี้ได้คุณก็อยู่ในฐานะที่คุณยอมรับมีขั้นตอน ยอดก็ยอด รองลงมาคุณอยู่ในบริหารขั้นรอง หรือแม้แต่ขั้นรอง คุณอยู่ในขั้นบริหารที่ 3 ขึ้นมาอีก ก็เข้าใจแล้วขั้นที่ 2 ยังไม่ถึง อย่างเช่นอาตมาขั้นที่ 7 ขั้นที่ 8 ขั้นที่ 9 ยังไม่ได้ก็รู้ขั้นตอนของอาตมาก็ยอมรับ เพราะฉะนั้นในโลกมันก็มีขั้นที่ 3 แล้วมีขั้นที่ 4 ครั้งที่ 5 กระจายไปถึง 6 7 8 9 10 12 13 แต่คุณเข้าใจแล้วนะไม่ขัดแย้ง เป็นแต่เพียงยอมรับว่าอันนี้สูงกว่าจะทำอย่างนี้ มีทิฏฐิสามัญญตามีหลักเกณฑ์ที่จะปฏิบัติให้ถึงยอดสุดเรียกว่าศีลสามัญญตา แล้วอยู่กันอย่างที่ว่าคนที่สูงก็อยู่กันอย่างเมตตากายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ลาภที่ได้มาก็ไม่สะสมเอาเข้ากองกลางแล้วก็บริหารกองกลาง สละออกไปกระจายออกไป ในระดับของส่วนกลาง ของส่วนที่เป็นของชุมชนชาวอโศกและชุมชน ของส่วนบุคคลแต่ละบุคคลในชุมชน ซ้อนเข้ามาหากองกลางหมดเลย ทุกคนเพื่อที่จะเป็นศูนย์ มีจุดมุ่ง มีหลักเกณฑ์ มีทิฐิมีศีลสามัญญตาทิฏฐิสามัญญตาพอสมควร ปฏิบัติรู้ว่าตัวเองอยู่ในฐานไหน ไม่ริษยา ยกย่องบูชาเคารพส่งเสริมจริง แต่ถ้าคุณไม่เห็นอะไรไม่ยกย่องอะไรมันก็ไม่ได้เป็นลักษณะที่จริง เพราะว่าคุณไม่รู้ ถ้าคุณรู้คุณจะยกย่อง คุณจะนับถือจริง คุณจะส่งเสริมจริง ว่าคนนี้เป็นจริงคนจะได้เอาไปเป็นตัวอย่างทำตามได้ ถ้าคุณเก่งคุณมีฤทธิ์อำนาจก็จะทำให้คนอื่นมาเอาตามได้ คุณอยู่ชั้นยอด ปิระมิด คุณก็ไม่มีปัญหาอะไร คุณก็ให้เขามาเอาตามคุณได้หมด แต่ถ้าคุณไม่ใช่ชั้นยอด แต่คุณเข้าใจว่าเป็นยอดพีระมิดแต่คุณอยู่ชั้น 2 คุณก็ยกย่องเชิดชูส่งเสริมคนชั้น 1 พวกที่อยู่ชั้น 1 เอาตามพวกชั้น 1 ว่าจะเป็นคนบริหารที่เจริญในหมู่นั้น คุณรู้จริงก็ต้องอย่างนั้น คุณจะไม่มีอคติ คุณจะชัดเจน ยิ่งคุณอยู่ชั้น 3 ก็ยกย่องชั้น 2 ยกย่องชั้น 1 หรือคุณอยู่ชั้น 4 คุณก็ยกย่องชั้น 3 ชั้น 2 ชั้น 1 นี้ป็นผู้รู้จริง การบริหารที่มีปัญญาอย่างนี้แหละ จะสำเร็จผล เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้การศึกษา ไม่ได้ศึกษาตามแบบพระพุทธเจ้าที่อาตมาพาทำ และอธิบาย มันไม่มี ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัส ก็ข้นๆแยกยาก ท่านทำของท่านองค์เดียว แล้วกระจายเป็นหมวดหมู่ขั้นตอนยังไม่ง่าย แต่อาตมาพาทำ แล้วยากกว่าในหลวงมาก เพราะว่าอาตมาทำให้มีของจริง แต่ในหลวงทรงทำของท่านแล้วให้มีรูปธรรม ที่ท่านทรงงาน คนไทยมีเลือดของโลกุตระจึงเข้าใจในหลวง อันนี้แหละเป็นเรื่องที่รองรับความจริง ของชาวไทยทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นจึงรู้ว่าพฤติกรรม หรือพระจริยวัตรของในหลวงรัชกาล ที่ 9 คือโลกุตรธรรม แต่ท่านขยายความไม่ออกเท่านั้นเอง แต่ท่านทรงเป็นโลกุตรธรรมแล้ว คนไทยที่มีเชื้อของโลกุตระอยู่ในจิต จะเข้าใจลึกๆ แต่พูดไม่ออก ขยายไม่ได้ แล้วอาตมามีวิบาก เพราะทางด้านในระดับสูง เขาจะเอามาอ้าง อย่างพระโพธิรักษ์เป็นธรรมิกราชจริงเป็นอรหันต์จริง ทำไมในหลวงไม่มาหา ทำไมไม่ลงไปหาทางโน้น อาตมาก็หงิกสิ ก็มันจริง แต่ในหลวงท่านแสดงไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่จะต้องให้อันนั้น ให้อาตมาไปเป็นผู้บริหารศาสนาอาตมาก็ทำไม่ได้ เพราะอาตมาไม่มีพื้นฐานรองรับ แล้วคนที่รองรับอยู่ขณะนี้ อย่างไอ้ไข่ อย่างนี้ แล้วอาตมาจะไปบริหารได้อย่างไรแต่เขาบริหารกันได้ อนุโลมกันได้ แม้แต่พวกปาราชิกอยู่ด้วยกันเขาก็อนุโลมได้ แต่อาตมาไปอนุโลมให้พวกปาราชิกอยู่ด้วยไม่ได้ จะให้อาตมาไปบริหาร ขออภัย ก็ต้องเอาเลือดพระเจ้าอโศกมหาราชมา ก็ต้องจับพระไปประหารหมดเลย แล้วอาตมาจะไปทำได้อย่างไร มันย้อนแย้งสอนอยู่อย่างนี้ไม่ใช่ยุคสมัย เพราะฉะนั้นอาตมาก็ได้แต่ทำตามความเป็นจริง อาตมาจึงทรมานมาก ทรมานที่จะต้องลากสังขารไป จริง วิบากของอาตมามันไม่มากเท่าไหร่ หากวิบากอาตมามีมาก จะมีโรคที่เจ็บปวดทรมานมาก แต่ไม่มีโรคที่เจ็บปวดทรมาน ไอ จะต้องไอแรง แล้วทำไมต้องไออย่างแรง อาตมาก็ต้องพูดอย่างขำๆว่า อาตมาต้องแสดงไอ สิ เป็นประธาน เพราะฉะนั้นอาตมาจะต้อง ไอที ไอทีเดียวไม่พอ ต้องไอหลายที ไอแรงๆด้วย คนพวกเราฟังแล้วก็น่าสงสาร พวกเรานะ คนอื่นเขาฟังก็จะรู้สึกว่า ไม่ตายซะที ไออยู่นั่นแหละ เขาก็สมน้ำหน้า ก็เอาเถอะ เอาน่า..อย่าสมน้ำหน้าอาตมาเลย ตั้งใจฟังดีๆบ้างก็แล้วกัน อาตมาว่าอาตมาให้ประโยชน์เขา อาตมาไม่ได้ชิงชังรังเกียจเขาหรอก พูดความจริงมา แต่คนก็ไม่เชื่อหรอกว่า อาตมาพูดความจริงใจ อาตมาก็ใช้ภาษาพูดสื่อสภาวะไปเรื่อยๆ ลงที่เศรษฐกิจก่อน อย่างอนาถบิณฑิกเศรษฐีสละออกหมดเลย จนกระทั่งมากินข้าวก้นบาตร บิณฑกะ แปลว่าก้อนข้าว อนาถา อาตมาอธิบายคำว่า อนาถบิณฑิกเศรษฐี คือ เศรษฐีอนาถา ที่ต้องมากินก้อนข้าวก้นบาตรของพระภิกษุ สมณะเดินดินสรุปจบ… Category: ศาสนาBy Samanasandin9 ตุลาคม 2020Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:631007_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ บทกวีศาสตร์คืออาวุธหรือความรู้NextNext post:631011_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ไม่รู้ความเป็นสองของกายไม่มีทางได้ประชาธิปไตยแท้Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024