631005_รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 11
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1LydOk__sEMvZP5mnPJEUAsWM5mpn4rp-xtC4UobmDhE/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1uH6Zh_c_bnC9_FUioxBDXyFunymERyA4/view?usp=sharing
_สู่แดนธรรม…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ในช่วงหลังของการปฏิบัติธรรมชาวอโศกพ่อท่านเริ่มให้มีกิจกรรมผ่อนคลายแก่ชาวอโศกได้ เริ่มตั้งแต่เอื้อไออุ่น กินข้าวหาด มีกิจกรรมที่ให้ลูกๆได้ผ่อนคลายได้ระบายบ้างไม่ใช่มีแต่เรื่องปรมัตถ์อย่างเดียว มีรายการเอื้อไออุ่น จนกระทั่งต่อมาเป็นรายการสำมะปี๋ซี่วิต ต่อมาก็มีรายการโสเหล่โลกุตระ ให้ลูกๆได้รายงานได้ถามไถ่พ่อครู ได้ทุกเรื่อง แล้วพ่อท่านก็จะตอบเข้าสู่หาเรื่องปรมัตถ์เองเป็นเรื่องสู่นิพพาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็สามารถมีธรรมะสอดแทรกเข้าไปได้
พ่อครูว่า…
_คอยใคร : กราบเคารพพ่อครูครับ
ดังที่มีคนบอกให้พ่อครูเลิกพูดถึงหลวงตาบัวว่าทำผิด แล้วให้พูดถึงเรื่องอื่นเพราะไม่อยากฟังซ้ำ ผมว่าเขามองในมิติที่แคบไปครับ ดังที่โรงเรียนที่มีครูสอนตั้งแต่ ป.1ถึง ป.6 ทำไมถึงไม่ยุบ ป.1ถ้าเรียนจบแล้ว แต่ก็ยังมี ป.1อยู่เพราะยังมีเด็กใหม่ที่ต้องเข้ามาเรียนใหม่ เหมือนผมที่เข้ามาฟังธรรมพ่อครูไม่นาน ถ้าพ่อครูไม่พูดถึงหลวงตาบัวซ้ำๆอีกผมก็คงยังโง่คิดว่าหลวงตาบัวเป็นพระที่ดีอยู่เช่นนั้น พ่อครูเปรียบเหมือนกระจกที่ส่องความจริงแต่ความจริงอาจทำให้คนส่องรับไม่ได้ก็ได้ครับ
กราบเรียนพ่อครูชี้แนะด้วยครับว่าผมคิดผิดเช่นไรไหมครับ
พ่อครูว่า…คุณคิดถูกแล้วล่ะไม่ผิดหรอก ไม่งั้นอาตมาก็เลิกป.1 ไปแล้ว คุณพูดถูก คิดถูกแล้ว ไม่ผิดหรอก เพราะว่าสิ่งนี้ยังมีคนนับถือและเข้าใจผิดหลวงตามหาบัวอยู่อีกเยอะ กว่าที่มาเข้าใจชาวอโศก คนที่เชื่อว่าหลวงตามหาบัวนี้เป็นพระอรหันต์ เป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบสมบูรณ์แบบจนบรรลุธรรมสมบูรณ์สูงสุด ซึ่งมันเป็นความเห็นที่ผิดไปถึงยอดเลย เป็นถึงอรหันต์เลย ซึ่งมันต้องแก้ไขมันต้องบอกกัน เพราะไปผิดอย่างนั้นแล้วปล่อยให้ผิดๆอย่างนั้นมันก็พังสิศาสนาพุทธ อาตมาจึงจำเป็นจะต้องพูด อย่างน้อยจะต้องเห็นว่า คนในประเทศไทยนี้ เข้าใจอย่างที่อาตมาพูด อย่างชาวอโศกเข้าใจได้ถูกต้อง แล้วก็ลดความเข้าใจที่ไปนั่งหลับตาก็ดีไปปฏิบัติมีการบรรยายอย่างหลวงตาบัว สำนวนก็เก่งนะโวหารนะ ทุกวันนี้นักการเมืองก็พูดได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง พูดจนลิงตกต้นไม้เลย พูดอย่างมีเหตุมีผลยืนยันอ้างอิง
ฉันเดียวกัน อาตมาจึงจำเป็น ถ้าเกิดว่าอาตมาเห็นว่าคนไทยในประเทศไทย ถ้ากระแสของความเข้าใจ เข้าใจถูกต้อง ไม่ได้เข้าใจผิดว่ามหาบัวเป็นอรหันต์ แล้วเข้าใจสิ่งที่ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ ว่าโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนี้ๆ อย่างที่อาตมาอธิบายละเอียด ยังเข้าใจกันได้ไม่เท่าไหร่หรอก มันไม่ง่ายมันก็เห็นใจอยู่จึงต้องพยายาม จนกว่าจะได้ผลพอสมควร ว่าเห็นสมควร เข้าใจกันได้มากแล้ว อย่างน้อยก็ต้องเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ได้ 60 – 70 เปอร์เซ็นต์ก็จะหยุด ตอนนี้ยังไม่ถึง ยังเข้าใจไม่ได้ยังเชื่อว่ามหาบัวเป็นอรหันต์บรรลุสูงสุด ซึ่งมันผิดจริงๆ เพราะว่ามหาบัวนี้แค่สักกายทิฐิอันแรกก็ยังเข้าใจไม่ได้เลย สังโยชน์ข้อแรก
อย่างไรคือจิตนิยามเบื้องต้น คือแยกกายแยกจิต อันนั้นเป็นมูลกรรมฐานของนักบวชทุกองค์ก็ไม่รู้เรื่องกันแล้ว ไม่เข้าใจแยกกายแยกจิตไม่ได้ไม่มีทางจะบรรลุอรหันต์ แยกกายแยกจิตไม่ได้ไม่มีทางบรรลุอรหันต์ ขอยืนยัน ซึ่งเป็นมูลกรรมฐานเบื้องต้น อุปัชฌาย์ เข้าใจผิดเพี้ยนไปก็จบเห่ เพราะชีวิตในชาตินี้ขออภัยยกตัวอย่างมหาบัว
บวชมาตั้งแต่ 10 กว่าปี สุดท้ายก็สอนผิดๆไป แล้วเขาก็ยอมรับนับถือกัน ซึ่งต้องเห็นใจอาตมาบ้าง อาตมาต้องแก้ มันเป็นเรื่องหัวใจของศาสนาพุทธ หากไม่แก้ไม่บอกไม่ชี้อย่างแท้จริงมันไม่ได้ มันจบเลย ปิดประตูเลย ก็ขอยืนยัน
เจอพ่อครูแล้วรู้สึกว่าใช่เลยเป็นเรื่องมาตั้งแต่ชาติก่อนหรือไม่
_รินอุรา…ทำไมเมื่อเจอพ่อครูครั้งแรกก็รู้สึกลึกๆว่า “ใช่เลย” เราจะต้องติดตามความรู้ภูมิปัญญาและรับใช้ท่านมาอย่างแน่นอน สำนักอื่นก็ไปมาหลายที่แล้ว มีแต่เน้นเรื่องการเรี่ยไร แต่สำนักของพ่อครูเป็นวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ไม่ลึกลับ มีสิทธิ์รู้และเข้าถึงได้ทุกคนเสมอหน้ากันเป็นประชาธิปไตยสมเหมาะสมควรกับยุคสมัยนี้อย่างมาก และตั้งใจแน่วแน่ที่จะต้องติดตามพ่อครูจนได้เห็นพ่อครูสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปค่ะ
พ่อครูว่า…คุณพูดมาทั้งหมดก็เป็นจิตลึกๆของคุณ มีตัวเรียกว่าอธิษฐานจิตหรือปณิธานจิตอยู่แล้ว ก็คงจะต้องมี และคุณก็มีตัวนั้น และคุณก็มีตัว จะเรียกว่าอะไรดี…ถือว่า ถึงขั้น จะเรียกว่าสัญชาติญาณทีเดียวก็ยังไม่ได้ แต่มันก็เป็นสัญชาติ เป็นความเกิดชนิดสัญชาติ
การเกิดมี ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ เมื่อวานเจออาตมาแล้วก็จำได้มันมีสัญญาที่เป็นความจำลึกๆอยู่ในอนุสัยของคุณ ก็ออกมาออกฤทธิ์ หรือออกมาทำงาน ก็เป็นของคุณ ทีนี้คุณท้าวความถึงอาตมาเกิดมาเป็นกษัตริย์ในแต่ละชาติ ก็ต้องถามแต่ละคนคุณเคยเกิดมาเป็นข้าราชบริพารของกษัตริย์หรือป่าว เรื่องนี้ไม่อยากจะพูดให้มันยาวกว่า เพราะว่าถ้าอาตมาพูดว่าอาตมาเป็นกษัตริย์ในยุคไหน ชื่อนั้นชื่อนั้นมา มันเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรเป็นหลักฐานพิสูจน์ได้ แม้จะมีประวัติศาสตร์ อาตมาก็มีประวัติศาสตร์ระบุชื่อ เหตุการณ์มาทั้งนั้นแต่อาตมาไม่อยากให้ไประลึกอย่างนั้นให้ทำแบบนั้นให้คิดแบบนั้น อยากจะให้พิสูจน์ปัจจุบันธรรม พิสูจน์แล้วให้เป็นวิทยาศาสตร์อย่างที่คุณพูด แล้วคุณจะมีความรู้เอง อย่างน้อยที่พูดไปเมื่อกี้นี้คุณมีสัญชาติ ที่มันลึกของคุณ คนสัมผัสแล้วระลึกได้ก็เป็นของคุณเอง แล้วอาตมาก็บอกว่าไม่ผิดหรอกถูกต้องก็ได้ แต่ไม่อยากให้เอามาใช้พร่ำเพรื่อ หรือใช้เป็นองค์ประกอบหลัก แต่ใช้เป็นเครื่องทดสอบ ใช้เป็นเครื่องเสริมการตรวจสอบเท่านั้นพอแล้ว อย่ามาใช้เป็นเครื่องนำ มันจะพาให้คุณหลงทางแล้วพาให้เลอะเทอะไป กลายเป็นพวกคิดสร้างฝันเฟื่องอะไรเลอะเทอะไปไม่เอา ใช้เป็นเครื่องตรวจสอบเหมือนกับใช้พระไตรปิฎกเป็นเครื่องตรวจสอบเป็นต้นเท่านั้นพอแล้ว
หากไปอยากรู้แต่เรื่องลึกลับก็จะถูกคนฉลาดแกมโกงหลอกล่อไป อาตมารู้ทันแต่จะไม่ใช้อันนี้มาหลอกเป็นฉลาดแกมโกง ระลึกชาติอย่างนั้นอย่างนี้แล้วเอามาหลอกพวกคุณ ตีกิน มันไร้ศักดิ์ศรีที่สุดเลย อาตมาไม่ทำ มันไร้ศักดิ์ศรี
สู่แดนธรรม…เรื่องแบบนี้ จำได้ว่าสมัยก่อนมีคนถามอย่างนี้เหมือนกัน พ่อท่านตอบให้เขาได้คิด ว่าต่อไปแล้วคุณจะรู้ได้ยังไง ว่าอาตมาหลอกคุณ อาตมาก็เลยไม่ตอบอย่างที่คุณอยากรู้ เพราะเป็นเรื่องที่คนเป็นเจ้าของข้อมูลเท่านั้นที่จะรู้ ก็เลยไม่ตอบเป็นสัมโภคกาย
อุเบกขามีมาตั้งแต่ฌาน 3
พฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563
กราบนมัสการค่ะพ่อครูที่เคารพอย่างสูงยิ่ง
_เมื่อวานนี้พ่อครูอธิบายเรื่อง “อุเบกขา” ได้ลึกซึ้งสุดยอดเลยค่ะ ยิ่งทำให้ดิฉันมั่นใจว่า พ่อครูคือสัตบุรุษที่แท้จริง ผู้มีสภาวะเท่านั้นจึงจะเข้าใจและรู้ได้
พ่อครูว่า..ขยายความคำว่าอุเบกขาเทียบกับคำว่าไม่สุขไม่ทุกข์ มันมีนัยยะที่ลึกซึ้งกว่ากันใช้แทนกันได้เป็นไวพจน์ แต่จริงๆมันมีนัยยะที่ลึกซึ้งกว่ากัน ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นการรู้สภาวะคุณวางไม่สุขไม่ทุกข์ได้ไปจริงๆเลย หวังได้น้อย 1 คนก็เริ่มเข้าหาอุเบกขาเลยเป็นฌาน เริ่มตั้งแต่รูปฌาน 3 มีอุเบกขา แล้วฌาน 4 เป็นอุเบกขา พ้นฌาน 4 จึงจะเต็มสภาพอุเบกขา
อุเบกขาเริ่มตั้งแต่ฌานที่ 3 ไปสู่ฌานที่ 4 เพราะฉะนั้นไม่สุขไม่ทุกข์นี่แหละ พอฌานที่ 3 ยังมีสุขมีทุกข์อยู่ พอฌาน 4 ไม่มีสุขไม่มีทุกข์แล้วมีแต่อุเบกขา เห็นไหมพยัญชนะมันบอกสภาพรู้
เพราะฉะนั้น ฌาน 4 เป็นอุเบกขาเต็มตัวแล้ว พอฌาน 3 ก็มีอุเบกขา สุขก็เริ่มหายไป สุขกับทุกข์มันอันเดียวกันมันก็หายไปพร้อมกันนั่นเป็นสถานที่ตรงกัน พอพ้นฌาน 4 ไปแล้วเลยไปอีกก็แสดงว่าจบความรู้จบความเป็นไปได้ของจิต ที่หลุดพ้นฌาน 4 ตอนนี้แหละเป็นฐานอุเบกขาแท้ปริสุทธา แล้วก็จะเป็น ปริโยทาตา จิตเป็นมุทุภูตธาตุที่เก่งขึ้นแล้วเอาไปใช้เป็นกรรมการงานที่เป็นกัมมัญญา เป็นการงานที่เหมาะสมควรที่ดีที่เป็นประโยชน์เป็นผู้เจริญขึ้นได้เรื่อยๆจิตก็ยิ่งเจริญ ก็คือประภัสสร คือจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ ใช้พยัญชนะว่าประภัสสร ซึ่งมันเป็นคุณลักษณะที่สูงกว่า ในพระไตรปิฎกท่านผู้แปลภาษาไทยก็แปลเก่ง ท่านก็แปลว่า บริสุทธิ์ท่านเข้าทับศัพท์บริสุทธิ์สะอาด พอมาถึงปริโยทาตาท่านก็แปลว่าผุดผ่องหรือขาวรอบ พอมามุทุ มันก็แปลว่าอ่อน ท่านก็แปลตามพยัญชนะเลยแล้วกัมมัญญาก็แปลว่าควรแก่การงานพอถึงประภัสสรก็แปลว่าผ่องแผ้ว
มีคำว่าผุดผ่องกับผ่องแผ้ว ภาษาไทย อันไหนมันแน่กว่ากันนะ
สู่แดนธรรม…พ่อท่านเคยบอกว่า มันเพิ่งผุดขึ้นมาก็เลยเพิ่งผ่อง พอผ่องแผ้วก็ดียิ่งกว่าอีก
พ่อครูว่า…อาตมาอธิบายไปก็จะฟังได้ซ้ำๆขยายความไปเรื่อยๆแม้แต่คุณลักษณะพิเศษของอุเบกขา 5 ชนิดนี้ มันก็จะมีนัยยะละเอียดที่จะค่อยๆขยายความไป ซึ่งในพยัญชนะบาลีว่าแค่ 5 คำ แต่สภาวะมันมีอีก อาตมาก็จะค่อยขยายความโดยมีองค์ประกอบมีความแวดล้อมมีกาละเทศะสถานะต่างๆเอามาใช้ เพื่อชี้เข้าไปพวกคุณก็จะ อ๋อ สภาวะอรูปขนาดนี้มันไม่ง่าย มันเป็นอรูปต้องอาศัยอย่างอื่นไปประกอบ
คุณคนนี้ต่อไปบอกว่า...สภาวะสุข – ทุกข์ , โสมนัส- โทมนัส หรือธุลีหมอง – ธุลีเริง เหล่านี้ ล้วนเป็นภาษาที่บอกถึงความหนัก – เบาของสภาวะจิต และไม่เคยได้ยินครูบาอาจารย์สำนักไหนนำมาอธิบายเลย
เพื่อความเข้าใจที่ถูกตรง ดิฉันขอเรียนถามพ่อครูดังนี้
-
ในรูปฌานที่ 3 ยังมีสุข และมีโสมนัส – โทมนัส หรือ อวิมุติจร เป็นครั้งคราวใช้ไหมคะ (พ่อครูเรียกว่าอุเบกขาลำลอง)
-
ฌานที่ 4 หมดโศก – หมดทุกข์,หมดโสมนัส – โทมนัส หรือ อวิมุติจร เป็นอุเบกขา เป็นสมาธิที่แท้จริง และเป็นหนึ่งใช่ไหมคะ
-
โสมนัส – โทมนัส คือเศษเล็กเศษน้อยของอาสวะใช่ไหมคะ และอยากกว่าธุลีหมอง – ธุลีเริง ใช่ไหมคะ ?
-
ธุลีหมอง – ธุลีเริง คืออนุสัยใช่ไหมคะ ?
กราบขอบพระคุณค่ะ “คนบ้านราช”
พ่อครูว่า…อวิมุติจรหมายความว่ายังไม่วิมุติสมบูรณ์ มีอวิมุติแทรกมา ยังไม่แข็งแรงเต็มที่ ยังมีสิ่งไม่บริสุทธิ์ อวิมุติจร ที่จริงวิมุติก็บริสุทธิ์อยู่แล้ว แต่มีแวบๆเป็นเศษที่ไม่บริสุทธิ์ขึ้นมาก็เรียกว่า อวิมุติจร ใช่ตามที่ถามมา
รูปฌาน 3 ไม่มีโทมนัสแล้ว โสมนัสก็ลดลงไป สุขลดลงไป เป็นอุเบกขาลำลอง
พอฌาน 4 หมดสุขหมดทุกข์ หมดโสมนัสโทมนัส เป็นอุเบกขาเป็นสมาธิที่แท้จริง และเป็น1 ใช่ไหมค่ะ ใช่ ฌาน 4 เต็มรูปเต็มสภาพก็ได้สภาพเป็นอุเบกขา ตัวที่ 1 ในอุเบกขา 5 กระบวนการของอุเบกขา 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
อาตมาอธิบายเสริมให้ฟังอีกว่าจิตสะอาดบริสุทธิ์ อธิบายคือฌาน 4 อธิบายอย่างสังโยชน์ก็จะต้องสิ้นอาสวะ สะอาดไม่มีอาสวะ แล้วจิตนั้นคือจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ จิตที่บริสุทธิ์อันนี้แหละมาเริ่มต้นเป็นหน่วยของความบริสุทธิ์ เมื่อหน่วยของความบริสุทธิ์นี้ตกผลึก 1 หน่วย 2 หน่วย 3 หน่วย 4 หน่วย 5 หน่วยคุณทำไปก็จะได้ มันก็จะเป็นจิตที่สะสมลงตั้งมั่นเป็นจิตตั้งมั่น ตัวนี้แหละ เริ่มเรียกว่าสมาธิของศาสนาพุทธ ฟังให้ดีนะสมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ได้ง่ายๆ ไปนั่งหลับตาแล้วจิตนิ่งอยู่เรียกว่าสมาธิ อย่างนั้นเป็นโลกีย์โลกโลกเค้าใช้กันนั่งทำเล่นๆกันไปมันง่ายจะตาย
สู่แดนธรรม …ได้ความไม่ฟุ้งซ่านเท่านั้นเอง แต่มันไม่ใช่สมาธิของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธไม่ต้องไปนั่งหลับตาไม่ต้องสะกดแต่รู้แจ้งโลกรู้จิตกิเลสของเรามันมีหรือไม่ จนกระทั่งทำให้อาสวะดับ เมื่ออาสวะดับแล้วจิตก็เริ่มต้นเป็นจิตสะอาด สะสม 1 หน่วยก็เป็นจิตตั้งมั่นเป็นอุเบกขา ปริสุทธา 1 หน่วย 2 หน่วย ปริโยทาตาก็เพิ่มขึ้น เมื่อเพิ่ม1หน่วยแล้วก็ต้องเพิ่มความควบแน่นด้วย ความแข็งแรงถาวรยั่งยืนด้วย เพราะฉะนั้นสมาธิ ตัวนี้พระพุทธเจ้าท่านเรียกด้วยศัพท์ว่า สมาหิตะหรือสมาหิโต เป็นความบริสุทธิ์ตั้งมั่นขึ้นมาแล้ว นี่เป็นพยัญชนะที่ใช้เรียกกัน เป็นสัมมาสมาธิ ไม่ใช่สมาธิ ดาษดื่นทั่วไปสามัญธรรมดา เป็นCommon ซึ่งมันไม่ใช่ อันนี้เป็น supra พิเศษ
ธุลีหมองและธุลีเริงคืออะไร
โสมนัส – โทมนัส คือเศษเล็กเศษน้อยของอาสวะใช่ไหมคะ และอยากกว่าธุลีหมอง – ธุลีเริง ใช่ไหมคะ ?
พ่อครูว่า…ใช่
ธุลีหมองนี้มาจากไหน อาตมาแปลมาจากคำว่า โศกะ คือธุลีหมอง อธิบายสภาวะนะ ที่จริงโศกะแปลว่าโศกเศร้า แล้วตัวนี้เป็นมงคลธรรม ข้อที่ 36 แล้ว ก็วิรชะ แล้วก็เขมัง
โศกะ เป็นตัวที่ 36 คือธุลีหมอง มันก็คือเศษอ่อนน้อยของความหมอง แล้วมันจะมาทางยินดี ทางปล่อยความเศร้าโศกไม่สบายมาเป็นสบาย เป็นการรื่นเริงสบายใจก็เป็น วิรชะ มีเศษธุลี ไม่มีพยัญชนะแล้วก็เอามาเรียกซ้ำ ธุลีหมองก็หยาบกว่าธุลีเริง
หมดธุลีหมองแล้วก็จะหมดธุลีเริง ก็ถึงจะสะอาดบริสุทธิ์เกษม ภาษาบาลีบอกว่า เขมัง เป็นตัวสุดท้าย
สิ่งเหล่านี้อาตมาไม่ได้เดา ที่อธิบายไปทั้งหมดมันเดาไม่ได้หรอก
_นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ.
สู่แดนธรรม…
_แซมดิน…เมื่อวานผมได้ฟังพ่อท่านแล้วว่ามี ท่านหนึ่งมาชวนพ่อท่านออกไปชุมนุม หลังจากวันที่ 14 ครับ ผมได้ฟังแล้ว ชัดเจนว่าพ่อท่านไม่เห็นด้วยกับการที่จะออกไป เนื่องจากว่าจะไปทำให้เขาผู้ที่มาชุมนุมอยู่ก่อนแล้ว ประสบความสำเร็จ เพราะว่าจะมี 2 กลุ่มออกไปแล้วจะต้องมีการชนกันด้วย ปะทะกัน (พ่อครูว่า..ประเด็นคือเขาต้องการให้เกิดความวุ่นวายปะทะกันเกิดความรุนแรงเท่าไหร่เขาก็ยิ่งชอบ นั่นคือเป้าหมาย) ถ้าอย่างนั้น ผมจะได้ตอบท่านที่มาชวนว่า ทางกองทัพธรรม ไม่เห็นด้วยนะครับที่จะออกไป ทางท่านที่มาชวนจะได้เตรียมการของเขา ไม่ได้ต้องมาคาดหวังว่ากองทัพธรรมจะออกไปร่วมด้วย ได้ไหมครับ (พ่อครูว่า…ต้องทำอย่างนั้นแหละ ) ไม่กลับไปกลับมานะครับ ให้แน่ใจ (พ่อครูว่า ชัดเจน) ได้ครับ เสร็จจากรายการนี้ผมจะแจ้งกลับไป
_เรื่องที่จะกราบเรียนให้พ่อท่านทราบนะครับ เป็นเรื่องที่สันติอโศก เมื่อวันจันทร์ที่แล้ว มีสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ตกงาน แล้วก็ สตางค์ก็หมดแล้ว ขับรถไปแล้ว น้ำมันจะหมด ก่อนน้ำมันหมด เขาฝันว่า มีผู้ชายแต่งชุดสีกรักมาบอกเขาว่า ให้มาที่ซอยนวมินทร์ 44 คือเธอคิดว่าจะฆ่าตัวตายอยู่แล้วตอนนั้น ก็เหมือนมะลำมะเลืองไม่รู้ว่าใครมาบอก แต่ก็ขับรถพยายามหาซอยนวมินทร์ 44 เมื่อมาถึงก็ไม่พบอะไร เพราะว่าไม่เห็นวัดไม่เห็นอะไรเห็นแต่ซอย เห็นแต่ร้านค้า ก็เตรียมตัวที่จะฆ่าตัวตาย ปิดกระจกหมดแล้ว น้ำมันก็หมดพอดี ปิดไป 2 นาที ก็จะขาดใจ ก็ลดกระจกลง ยังเห็นรู้สึกตัว เพราะเห็นสิกขมาตุมาลินี ท่านเดินผ่านมาพอดี เธอผู้นั้นก็เลยลงมา เกาะขา แล้วก็ร้องไห้เป็นการใหญ่ เราก็เลยเอามาสัมภาษณ์และช่วยกัน ปัจจุบันนี้ก็รอดแล้ว ไม่คิดจะฆ่าตัวตายตามที่เจตนา มีญาติธรรมเรารับไปทำงาน ในช่วงที่ตกงานแล้วไม่มีเงิน ก็คงจะช่วย แต่ก็ไม่ได้ผูกมัด ถ้าเขาเห็นว่าไปแล้วดีกว่าก็ให้ไปได้เลย แต่ถ้าคิดว่าจะอยู่ก็ต้องถือศีล 5 ละอบายมุข รับประทานอาหารมังสวิรัติแล้วปฏิบัติตามกฎ ตอนนี้ก็ยังอยู่นะครับ ก็ถือว่าได้ช่วยไว้อีกหนึ่งชีวิตนะครับที่เป็นคนไม่ใช่เป็นสัตว์ เป็นข่าวดีที่เราได้ช่วยในสถานการณ์เคราะห์ร้าย จนรอดครับ
พ่อครูว่า…คนทำข่าวก็จะเอาไปทำข่าวได้มากเลย
จะเห็นได้ว่าสังคมโควิด กับสังคมคนที่อ่อนแอเจอเข้าแล้ว ก็น่าจะคิดตายได้ง่ายๆ มีรถขับนะ ไม่น่าจะคิดท้อแท้อะไรง่ายขนาดนั้น ขนาดเป็นคนที่มีรถขับ (แซมดิน…ผมก็บอกว่าคนในวัดนี้มีเงินน้อยเขายังอยู่ได้เลย อยู่มาตั้ง 30 40 ปีแล้ว เขาก็งงก็ทึ่งเหมือนกัน )
สัมมาทิฏฐิคือต้องทำใจในใจได้
_พลังเพ็ญ…เมื่อกลางวันที่ผ่านมามีการประชุมคนวัด ท่านสิริ ให้พูดถึงมรรคมีองค์ 8 ท่านบอกว่าสัมมาทิฏฐิมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในแต่ละวันที่เราดำเนินอยู่ก็ต้องใช้มรรคมีองค์ 8 ดำเนินการในชีวิต ท่านบอกว่าต้องมีความเพียรด้วย ถ้าหากความเพียรของเราเป็นมิจฉา มันก็จะไม่สามารถที่จะนำพาเราไปได้ ท่านบอกว่าถ้าคุณทำถึงจิตแล้วจะมีหิริโอตตัปปะ ให้มาสำรวจในชีวิตประจำวันว่าเราตื่นมาแล้วและทำอะไรในชีวิตประจำวัน เราใช้สัมมาทิฏฐิขนาดไหน บางทีเราก็ใช้ชีวิตตามความเคยชิน ก็ได้ข้อคิดว่าในแต่ละวันเราต้องใช้สัมมาทิฏฐิเข้าไปในศีลแต่ละข้อ เราจะได้พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นกว่านี้ค่ะ
พ่อครูว่า..คุณพูดมานี้พวกเราชาวอโศกเข้าใจ อาตมาเข้าใจ แต่คนข้างนอกจะไม่เข้าใจ สัมมาทิฏฐิ 10 เป็นประธานของมรรคมีองค์ 8 ส่วนใหญ่เขายังไม่สัมมาทิฏฐิกันหรอก ไม่สัมมาทิฏฐิอย่างไร แม้แต่ข้อที่ 1
ทาน เขาก็ไม่รู้ว่า ทานอย่างไร มันถึงจะเป็นมรรคผลที่เป็นโลกุตระ เขาก็ได้แต่ทานแบบ โลกีย์ศาสนาอเทวนิยมศาสนาอื่นทำทานก็ได้แต่กุศล แม้ว่าการให้นั้นจะเป็นกุศล
ทานจะมีสัมมาทิฏฐิตรงที่ว่าคุณทำทานแล้วอ่านใจตัวเองออก อ่านใจตัวเองว่าเราทำทานแล้วเราทำใจในใจอย่างไร ต้องศึกษาการทำใจในใจคุณต้องจัดการทำใจของคุณเป็น ถ้าคุณทำใจในใจของคุณไม่เป็น ชื่อว่ายังไม่สัมมาทิฏฐิ เป็นคืออย่างไรคุณรู้อาการของใจรู้ความแตกต่างของเวทนา สัญญา สังขาร หรือรู้ความเป็นสภาวะเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ นี่คือนามธรรม 5 ประการของคุณธรรม จับคู่กับรูป 28 วันนี้คงไม่ได้ลงรายละเอียดของนาม 5 กับรูป 28
เพราะฉะนั้นคนที่ยังอ่านจิตตัวเองไม่ออก จัดการกับจิตตัวเองให้มันจับจิตได้ว่าอย่างนี้มันเป็น อย่างน้อยมันก็เป็นอกุศล และอย่าทำให้จิตมันเป็นอกุศล จิตที่เป็นอกุศลง่ายๆคืออะไร ก็เอาแค่ชั่วดี มันเป็นสิ่งที่ชั่วตามที่คุณเข้าใจไม่ทำ ทำแต่ดี อันนี้เป็นโลกียะ สูงขึ้นไปกว่านั้น จิตของคุณมันจะมีราคะ มันจะมีโทสะ หรือมันโมหะ มันแยกไม่ได้ว่าเป็นราคะหรือโทสะ คุณรู้จิตของคุณแล้วไม่ให้มี แค่สะกดไว้ ไม่ให้มันทำราคะ ไม่ให้ทำอาการของโทสะ โมหะ ก็ยังเป็นการทำใจในใจ แต่ถ้าจะดีต้องให้รู้ตัวเหตุแท้ของราคะ โทสะ โมหะ แล้วทำให้ราคะจางคลายหรือดับ ทำให้โทสะจางคลายอ่อนลงหรือดับ นั่นคือการทำใจในใจเป็น เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ
หรือถือศีลก็ตาม ก็อ่านอาการจิตของคุณจับกิเลสได้ ในสังกัปปะ 7
_สู่แดนธรรม…พ่อท่านเคยสอนไว้ ความเพียรแม้มีมากเท่าใดก็ตาม วิริยะอุตสาหะแม้จะมากเพียงใดแต่หากขาดสัมมาทิฏฐิก็ล้มเหลว
โอวาทปาติโมกข์ 3 คืออะไร
_โอวาทปาติโมกข์ 3 คืออะไรคะหลวงปู่
พ่อครูว่า…ช่วยกันตอบหน่อย (สู่แดนธรรมว่า…ละบาป ทำแต่กุศล ทำจิตให้ผ่องแผ้ว)
โอวาทปาติโมกข์ คือคําสอนพระพุทธเจ้า หลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้ามี 3 อย่าง ภาษาบาลีคือ สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส)
สัพพปาปสอกรณัง คือผู้นั้นไม่ทำบาปทั้งปวงแล้วไม่กระทำบาปทั้งปวง กรณะคือการกระทำ สรุปแล้วโอวาทปาติโมกข์ 3 คือจิตพระอรหันต์ อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องมรรค เป็นเรื่องคำสอนเป็นเรื่องปฏิบัตินะ..ไม่ใช่..แต่เป็นเรื่องผล ผู้นี้ไม่ทำบาปแล้ว สัพพปาปสอกรณัง
-
กรรมของผู้กระทำ อธิบายไปหลายทีแล้ว อันแรกท่านเข้าใจคำว่าบาปขั้นที่ 2 ท่านใช้คำว่ากุศล กุศลคู่กับกุศล บาปต้องคู่บุญ อันนี้คนเข้าใจยาก
บาปคือสิ่งที่อนุโลมเรียกว่าเป็นอกุศลได้ด้วย หรือสิ่งที่เป็นกิเลสนั้นเป็นบาปทั้งนั้น กรรมใดที่เป็นกิเลสก็คือบาปทั้งนั้น ผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้วจึงทำกรรมที่ไม่มีกิเลสอีก จึงเรียกว่า สัพพปาปสอกรณัง เพราะฉะนั้นกรรมของพระอรหันต์ที่จะทำต่อไป พระอรหันต์ที่บรรลุแล้วยังไม่ตายชีวิตก็ต้องมีการกระทำกรรม เพราะฉะนั้นกรรมของท่านที่ท่านบรรลุแล้วไม่ทำบาปทั้งปวงแล้ว กรรมของท่านจึงเป็นกุศลทั้งนั้น ไม่ใช่บุญ ท่านถึงใช้คำว่ากุศลในโอวาทปาติโมกข์ หากเข้าใจว่าบุญคือกุศลท่านต้องใช้คำว่าทำบุญสิ แต่ไม่ใช่..ท่านใช้คำว่ากุศล นี่คือหลักฐาน พยัญชนะ โอวาทปาติโมกข์ 3 กลุ่มเดียวกันนี้นะ
เพราะฉะนั้นคำว่าบาปกับคำว่ากุศลจึงมีนัยยะที่ต่างกัน ผู้รู้จริงๆจึงอธิบายได้ ผู้ที่เข้าใจไม่ถูก อธิบายไม่ถูก ก็จะไปแปลว่า ละชั่ว ประพฤติดี ทำจิตให้ผ่องใส อันนี้แบบโลกีย์ เข้าใจไม่ถูกต้อง แต่ของพระพุทธเจ้านั้นบาปบุญเป็นโลกุตระ
คือ ไม่ทำสิ่งที่เป็นกิเลส เมื่อไม่ทำ สัพพปาปสอกรณัง บาปทั้งหลายไม่ทำแล้วจบ กรรมที่ท่านจะทำต่อไปนี้ผู้นี้จึงมีแต่กุศล กรรมของท่านจะไม่มีอกุศลอีกเลย แน่นอน บาปไม่มีแล้ว เพราะฉะนั้นข้อที่ 2 จึงมีแต่กุศลมีความดีงามทั้งนั้นที่เป็นโลกียนะ แต่เรื่องบาปบุญเป็นเรื่องโลกุตระ กุศลเป็นโลกุตระด้วย เมื่อคุณเข้าใจคำว่าโลกุตระบาปบุญสมบูรณ์แล้ว คุณจะหมดบาปหมดบุญแล้ว บุญก็ไม่ต้องทำ บาปก็ไม่ต้องทำ เรียกว่า ปุญญปาปปริขีโณ ดับสิ้นทั้งบุญและบาป ไม่มีบุญไม่มีบาปแล้วเป็นพระอรหันต์แล้ว เมื่อนั้นจึงใช้คำว่า ทำกรรมใดๆมีแต่กุศลทั้งสิ้น เพราะ สจิตตปริโยทปนัง เพราะท่านได้ทำจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ขาวรอบ บรรลุพระอรหันต์แล้วนั้นเอง แม้แต่ทำกุศลก็ไม่ได้ยึดติดว่าเป็นเราเป็นของเรา ไม่สำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นของเราจึงเรียกว่า สจิตตปริโยทปนัง
_ทำอย่างไรคะ ที่จะทำให้เขาเห็นให้เขาเข้าใจ ยกตัวอย่าง เรากำลังซักผ้าแต่สิ่งที่เขาเห็นคือเรากำลังล้างจาน
พ่อครูว่า…คุณก็ยกผ้าให้ดู ไม่ยาก ไม่ใช่จาน ก็จบ ง่าย
อัตราการเผยแพร่ธรรมะของพ่อครู มีลักษณะอย่างไร
_สมณะลือคม…ในยุคแรกๆที่ยังไม่มีองค์ประกอบครบพร้อม รายการสอนที่พ่อครูต้องใช้กำลังและใช้ความสามารถในการแสดงธรรม อบรมในการที่จะปรับทิฏฐิ ที่เราติดมาแต่เดิมคือสายหลับตา ช่วงนั้นพ่อครูทุ่มเทสุดกำลัง แต่ในยุคหลังนี้องค์ประกอบครบพร้อมกว่า พ่อครูสามารถที่จะทำความเข้าใจได้ง่ายกว่ายุคแรกๆ ที่ประกอบการงานไม่ได้มีอะไรมากมาย รู้สึกเลยว่า พอมีองค์ประกอบครบพร้อม มีอัตราการก้าวหน้าก้าวกระโดดได้ ไม่ทราบว่า เข้าใจที่ผมสื่อไหมครับ
พ่อครูว่า…คืออย่างนี้มันเอาแน่นอนตายตัวไม่ได้ มันไม่เที่ยงหรอก แรกๆนั้น คนที่จะมาจะเป็นคนมีบารมี มาปุ๊บเจอปั๊บ ทั้งๆที่ผมตอนนั้นคนยังไม่ยอมรับเลย ยังไม่รู้ดีว่าใช่ ที่จะมีคุณธรรมอะไรมา ยังไม่มีสำนักไม่มีอะไรด้วย แต่คนที่มาพบสัมผัสแล้วรู้ว่าใช่เลย คนนั้นมีบารมีเดิมก็จะมีจำนวนหนึ่ง เหมือนมากจำนวนหนึ่งเท่าที่บารมีของผม ก็จะมาเป็นแกนแก่น ก็ทำไป ก็จะยากขึ้น เพราะว่าต้องค่อยๆช่วยกันเพื่อที่จะสร้างอธิบายแล้วทำให้เป็นสภาวะที่ทำอะไรขึ้นมา มันจะฟื้นโลกุตรธรรมหรือปลูกฝังโลกุตรธรรมให้แก่ผู้ที่หลงผิดมา 2 พันกว่าปีแล้วไม่ง่าย แล้วมันก็จะได้ยาก ตอนแรกคนที่มีบารมีมารวมกัน ต่อไปก็จะยากขึ้น แล้วก็จะได้มากขึ้น ก็จะค่อยๆเห็นว่ามากขึ้นมา ทำงานมา 50 ปี ช่วงระยะ 10 ปีแรก ก็พรึบมา มีผู้มาประมาณหนึ่ง เสร็จแล้วก็จะยากขึ้นช่วง 20 ปีต่อมาก็จะยากขึ้น ช่วงที่ 30 ปีขึ้นไปก็จะดีขึ้น ช่วง 40 ก็จะยากขึ้นไปอีกมันก็จะสลับกัน ช่วง 50 ปีมานี้ ก็จะดีขึ้น ก็จะเป็นอย่างนั้น
_หลวงปู่คะ ถ้าเพื่อนไม่เล่นกับหนูเราทำอย่างไรคะ?
_คุณยายเชื่อพระ…กราบนมัสการพ่อครูแม่เชื่อพระมีความในใจอยากจะบอกพ่อครู ว่าท่านมีความกตัญญูด้วยความเต็มใจค่ะที่ได้ฟังพ่อครูสอนแล้วก็ได้เกิดใหม่ในร่างเดิมก็มั่นใจมากว่า พ่อครูมากกู้ศาสนา ยุคนี้มันต้องลำบากเพราะมันเป็นกลียุคคนมันหลงโลกใหม่จนลืมโลกเก่าหมด
พ่อครูว่า…ถูกต้องแล้ว ที่เข้าใจดีแล้ว บอกสภาวะตัวเองที่ได้รับประโยชน์มา แล้วก็ถามมาอาตมาก็ขอย้ำว่าใช่แล้ว อาตมาจะมาสืบสานสิ่งเหล่านี้จริงๆ
สมณะ สิกขมาตุชาวอโศกถือศีลอะไร
_หลวงปู่คะ ลูกมีคำถามค่ะ 1. สมณะ สิกขมาตุ นับถือศีลอะไรหรือคะ
-
ศีล 8 มีอะไรบ้าง
พ่อครูว่า..ข้อที่1 สมณะก็คือนักบวชชาย เราเรียกว่าสมณะ เรียกเต็มๆว่าสมณพราหมณ์ นี่พูดกันตามหลักกฎหมายเลยนะ ให้พวกเราเรียกตัวเองว่า สมณพราหมณ์ อย่าไปเรียกตัวเองว่าภิกษุ ว่าพระ ภิกษุ หรือ นักบวช นักพรต มุนี 5คำนี้ไม่ให้เรียกเพราะมีกฎหมายว่าไว้ เถรสมาคมจดทะเบียนไว้แล้วไม่ให้ละเมิดถือว่าเป็นพวกนอกเถรสมาคม
คือว่าเล่นเราถึงขนาดนี้เราก็ตกลง อาตมาก็ยอม จนกระทั่งอาตมาคุยกันว่า จะให้เรียกพวกอาตมาว่าอย่างไร เขาดูกฎหมายแล้วมาตกลงกันอาตมา คุณจรวย เรียนจบเปรียญ 9 และเรียนจบกฎหมายนิติศาสตร์ด้วย ก็เลยคุยกันตกลงกันเป็นตัวแทนเถรสมาคม ตกลงว่า ให้อาตมาให้เรียกพวกเราว่า สมณะ เพราะไม่ติดในกฎหมายอย่างนี้เป็นต้น
ส่วน สิกขมาตุนั้นอาตมาเป็นผู้ตั้งเป็นผู้บัญญัติมาเอง เป็นนักศึกษาฟังธรรมะที่เป็นผู้หญิง โดยที่สิกขมาตุ ถือศีล 10 เป็นต้นไป อธิศีลเท่าไหร่ก็ได้ ศีล10 ก็เป็นพระอรหันต์ได้แล้ว ส่วนสมณะถือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล และวินัย 227 ข้อ
วินัยกับศีลต่างกัน วินัยคือข้อบังคับทำผิดแล้วถูกลงโทษ ส่วนศีลไม่มีบทลงโทษ ทำแล้วก็ได้ลดกิเลสตัวเอง ไม่ทำก็ไม่ได้ลดกิเลส แต่วินัยคือข้อบังคับถ้าทำผิดก็มีบทลงโทษเรียกว่า ศีลอาชญา เหมือนกฎหมายอาญาต้องมีบทลงโทษ ต่างกันอย่างนั้น คือศีลกับวินัย
สมณะถือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล และวินัยแถมด้วยธรรมวินัย 227 ส่วนสิกขมาตุ ถือศีล 10 ก็สูงขึ้นไปก็ไป อธิศีลก็แล้วแต่
เดี๋ยวนี้พระของเถรสมาคมไม่ได้ถือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แต่ถือแต่วินัย 227 แล้วโมเมเรียกพระวินัย 227 ข้อว่าเป็นศีล นี่มันเป็นรายละเอียดที่ต่างกัน แต่ทางโน้นไม่ฟังอย่างที่อาตมาพูด เขาก็ถือ 227 ไม่มีศีล โดยเฉพาะมหาศีลนี้ เอาไปใช้กับพวกเขาไม่ได้เพราะเขาทำแต่เดรัจฉานวิชาทำผิดศีลทั้งนั้น ไปแทบทุกวัน พูดอย่างนี้ได้เลย มันไม่ถูก
ศีล 8 มีอะไรบ้าง
_ข้อที่ 2. ศีล 8 มีอะไรบ้าง?
พ่อครูว่า…จากศีล 5 เติมไป
-
ปาณาติปาตา เวรมณี
-
อาทินนาทานา เวรมณี
-
อพรหมจริยา เวรมณี(ศีล 5 เป็นกาเมสุมิจฉาจาร) กามเป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคานั้นศีล 8 สมบูรณ์ขึ้นแล้ว
-
วาจา
-
อบายมุขทั้งหลาย
-
ฉันมื้อเดียว ขอยืนยันว่าภิกษุของศาสนาพุทธนั้นฉันวันละ 1 มื้อ ท่านใช้ศัพท์คำว่า เอกาสนิงกะ
-
นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกะทัสนา มาลาคันธะ วิเลปนะธารณะ มัณฑนะวิภูสนฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากท่าทางอันไม่สมควร คำพูดที่มีเสียงสำเนียงอันไม่สมควร เช่น ฟ้อนรำ ดนตรี เป็นต้น เว้นขาดจากดอกไม้และของหอม เครื่องตกแต่งพอกทา เครื่องประดับประดา ประดิดประดอย เว้นขาดจากฐานะแห่งการแต่งงามประดิษฐ์ประดอย
-
อุจจาสยนะ มหาสยนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติเว้นขาดจากที่นั่งที่นอนใหญ่ เว้นขาดจากการรับของใหญ่ เว้นขาดจากการสะสมของใหญ่ ที่สุด เว้นขาดการหลงติดความใหญ่ คือศักดิ์ศรี ยศศักดิ์ อัตตา
ชาตินี้พ่อครูอยู่ได้ด้วยการยอมแพ้
_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…ดิฉันเห็นพ่อครู ยอมตามใจคนนั้นตามใจคนนี้ ดิฉันก็คิดถึงพระพุทธเจ้าวันที่ท่านปรินิพพาน ก่อนวันนั้น ท่านทำอย่างไรถึงได้ไปนอนบนก้อนหินใต้ต้นรัง และเอาผ้าปูที่ละผืนๆ ท่านต้องฝืนใจคนขนาดนั้น เพราะว่าคนต้องประคบประหงมพระพุทธเจ้าให้สูงสุด ใครจะให้ท่านไปนอนที่เมืองเล็กๆ พระพุทธเจ้าต้องฝืนใจคนเหล่านั้นได้อย่างไร ท่านกินเห็ดพิษ แล้วพ่อครู จะป่าวประกาศความเป็นโพธิสัตว์ในยุคนี้ ดิฉันก็คิดใบไม้นอกกำมือหน่อย คิดว่า พ่อครูจะฝืนใจคนในยุคสมัยใหม่ที่มีกรอบของเขาได้อย่างไร ที่จะให้พ่อครูต้องทำตามเขา กินอย่างนี้นอนอย่างนี้ทำตามเวลาอย่างนี้เพราะว่าเขามีความรู้เยอะแยะ แต่พ่อครูเป็นพระโพธิสัตว์ พ่อครูจะทำอย่างไร แต่พระพุทธเจ้านั้น ท่านไม่น่าจะฝืนได้ที่จะต้องไปกินเห็ดพิษ ต้องไปนอนเมืองเล็กๆ เดินไปก่อนเสียชีวิต ใครจะไปยอมได้ แต่ทำไมพระพุทธเจ้าฝืนใจคนเหล่านั้นได้ จนกระทั่งเป็นรูปแบบที่ทำให้เห็นว่าเป็นความลึกซึ้งที่ท่านอยู่ในความน้อยความด้อย แต่พ่อท่านคงจะยากเหมือนกัน มันก็ไม่รู้ว่า พระโพธิสัตว์จะเปล่งรัศมี ให้คนที่อยู่ในยุคต่อไปได้เรียนรู้อย่างไรเพราะว่าในยุคนี้ คนก็จะฝังยึดติดมาก ถ้าไม่ทำตามเขา เขาก็จะมีความทุกข์มาก ดิฉันอยากให้พ่อครูเปล่งประกายความเป็นโพธิสัตว์ คือไม่ยอมลูกๆที่มีภพต่างๆ เพราะลูกๆไม่ยอมละภพเลย ไม่เจาะจงว่าใครนะ แต่ก็เห็นลูกๆหลายคนเป็นอย่างนั้นหรือว่าพ่อครูต้องทำอย่างนี้ถึงจะเหมาะสมกับโพธิสัตว์ในยุคนี้
พ่อครูว่า…อาตมาก็ใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ประมาณจริงๆเลย และก็ใช้มานานฝึกมานานแล้วจนมาเป็นโพธิสัตว์ระดับนี้ใช้ สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 มาไม่รู้กี่ชาติแล้ว ก็มาใช้ในองค์ประกอบกระบวนการ ก็ต้องทำ ก็ได้ ตามที่เราได้ฝึกใช้มาทำมา
การยอม จนกระทั่งในชาตินี้ ฟังอาตมาตลอดก็จะรู้ว่าอาตมาอยู่ได้ด้วยการยอม ชาตินี้ อยู่ได้ด้วยการยอม และการยอมอย่างที่คุณพูดมา เพราะฉะนั้นการยอมแพ้นี่แหละ เป็นสิ่งที่ ลดอัตตาจริงๆ
พระพุทธเจ้าท่านจะไปยอมทำไม ท่านถูกทุกอย่าง เข้าใจทุกอย่าง แต่ท่านก็ยังต้องยอม แล้วอาตมาเป็นใคร พระพุทธเจ้าเองก็ยังต้องยอม อาตมาก็ต้องยอม เพราะฉะนั้นคำว่า ยอม คำนี้จึงยิ่งใหญ่มาก ใครสามารถที่จะทำได้ เช่น ถ้าโลกขณะนี้ โดนัลทรัมป์ ยอม ไม่เป็นอย่างที่โดนัลด์ทรัมป์เป็น โอ้โห โลกนี้จะสงบเยอะเลย หรือว่าคิมจองอึน ยอม ไม่ไปดึงดันอย่างที่เขาพูดนี้ เอาสองคนนี้ก็พอ โอ้โห โลกจะสงบขึ้นมากว่านี้มากเลย เพราะฉะนั้นเขาไม่ยอมเขาไม่รู้จักอัตตา ไม่รู้จักตัวกูของกูเขาจะต้องเป็นใหญ่เขาจะต้องเป็นหนึ่งเขาจะต้องเป็นเลิศเขาจะต้องยิ่งใหญ่อะไรของเขา มันเป็นความไม่รู้ของเขาจริงๆ ก็นึกว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ มันไม่ใช่มันต้องใช่ เหมือนกันกับทักษิณชินวัตร นี่เขาแพ้นะแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ ทุกวันนี้ก็ยังไม่ยอมแพ้ ผมสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น แต่ก็จริงของเขา จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ยัง อาตมาดูแล้ว ละครเรื่องนี้ให้ทมยันตีไปผูกเป็นเรื่องเขียนดีเลยจะสนุก ตาดูดาวเท้าติดดิน
ที่อาตมาจะพูดนี้ก็คือคุณหญิงอ้อมันเหมือนเด็กๆ เขาต้องทำเหมือนเด็กไม่เดียงสาแต่มันไม่มีทางออก เขาฉลาดที่สุดแล้ว แล้วก็ได้ผลประโยชน์ของเขา ก็ดี เขาลดอัตตาของเขามาได้ ไม่รู้ปรึกษาทักษิณหรือเปล่า กราบเดียวสะท้านโลก ปรึกษาทักษิณหรือเปล่าไม่รู้
นี่คือละครของโลกที่เราดูแล้วจะเอาเงินมากี่ล้านๆๆๆ เท่าที่ทักษิณพจมานมีเอามาซื้อก็ทำแบบนี้ไม่ได้อีก ไปจ้างเขาก็ไม่ทำหรอก แล้วที่จะทำของเขาคือมันสุดๆแล้วนะ โอ้โห ยิ่งกว่าหนังจีน Hollywood บวกกับ Bollywood 3 ผู้กำกับใหญ่มารวมกันสร้างเลยสุดยอด
_สู่แดนธรรม…เมื่อตอนที่สิกขมาตุกำลังเล่าปัญหาเรื่องนี้ผมก็คิดขึ้นมาว่า พ่อท่านมีกุญแจขันน๊อตอยู่ 2ตัว น็อตตัวหนึ่งขันเพื่อจะคลาย อีกน็อตอีกตัวก็เคร่ง เช่นทางสายหลับตา พ่อท่านทำเคร่ง ส่วนเรื่องลูกๆพ่อท่านยอม สักวันหนึ่งพ่อท่านก็ต้องสลับกัน
พ่อครูว่า…นี่แหละคือวิภาษณ์วิธี Dialactic มันขัดแย้งกันในตัว แต่ต้องประมาณให้ดีว่าจะใช้อันไหนเคร่งอันไหนหย่อน ต้องได้สัดส่วนที่มันพูดในรายละเอียดไม่ได้ บอกไม่ได้ด้วยต้องมีปฏิภาณ ต้องมีบารมี ต้องมีความรู้ในตัวเองจริงๆ
_มรรคองค์ 8 คืออะไรคะหลวงปู่
พ่อครูว่า…
-
สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) เป็นประธานไปทุกมรรค
-
สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) . เป็นประธานปฏิบัติ
-
สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) เป็นตัวปฏิบัติ .
-
สัมมากัมมันตะ (ทำการงานชอบ) เป็นตัวปฏิบัติ
-
สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ) เป็นตัวปฏิบัติ .
-
สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ) เป็นตัวเร่งห้อมล้อม
-
สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) เป็นดวงตาห้อมล้อม .
-
สัมมาสมาธิ (สะสมลงเป็นจิตใจที่ตั้งมั่น) เป็นผล .