631002 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมวันออกพรรษา 2563
ดาวโหลดเอกสารได้ที่ https://docs.google.com/document/d/1wU-ZT_h7Xu47ujoOl_BN3f031uEsd9MuSLawxA-TB3U/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงได้ที่ https://drive.google.com/file/d/1KEuqHOveoWZWwMXDWW8CE5zaUdM7tB7t/view?usp=sharing
สังคมอนาคาริก 100 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ไหน
พ่อครูว่า…ก็เกริ่นมาถึงอาตมา อาตมาก็ทำงานมา ถึงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2563 ก็จะเต็ม 50 ปี เพราะอาตมาบวช 7 พฤศจิกายน 2513 นี่มันก็ เดือนนี้เดือนตุลาคม เดือนหน้าก็เป็นเดือนพฤศจิกายน เหลืออีก 1เดือนกับ 5 วัน
อาตมาเกิดมาชาตินี้ ก็ชัดเจนในตนเองที่สุด ตั้งแต่วินาทีแรกที่รู้ตัวเองว่า เราจะต้องทำงานให้แก่ศาสนาพุทธเต็มที่ เต็มชาติ เต็มความสามารถที่มี ในจิตของอาตมาก็ตระหนักว่าไม่มีงานอื่นใดเท่าให้คนได้รู้แจ้งรู้จริง ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ถูกต้องตรงตามความจริง
ซึ่งอาตมามีภูมิเท่าไหร่ ก็มีภูมิเท่าที่อาตมามี ก็ใช้ความสามารถเท่าที่ตัวเองมี ก็ทำเต็มที่เต็มอุตสาหะ ออกมาบวชตั้งแต่อายุ 36 ทำงานมาจนกระทั่งบัดนี้ ก็ย่างเข้าปีที่ 87 หลายเดือนแล้ว ก็ไม่เคยมีความท้อถอยไม่เคยมีความลดหย่อนในความมุ่งมั่นปณิธานเดิมที่เคยมีมาตั้งแต่เริ่มต้นออกมาทำงานนี้จนกระทั่งทุกวันนี้ ไม่ได้มีอะไรลดถอยเลย มีแต่ว่าอายุยาวขึ้นกำลังวังชาไม่เหมือนอายุ 20 จะเต้นจะดีดให้แข็งแรงเหมือนอายุ 20 ไม่ได้แล้วสมัยนี้ มันไม่เหมือน กำลังวังชาไม่เหมือน
ก็นับตั้งแต่วินาทีแรกเลยที่อาตมาพาตนเองออกมาจากความเป็นคนโลกๆ แล้วก็มาเป็นคนธรรมะ และอาตมามั่นใจว่าอาตมาเป็นคนธรรมะที่จริงจัง ไม่เป็นคนธรรมะเหลาะแหละเข้าๆออกๆ อาตมาเป็นคนธรรมะจริงจัง เต็มความจริงเลย ตั้งแต่บัดโน้นจนกระทั่งถึงบัดนี้ ก็ยิ่งมั่นใจ เพราะว่าเราตัวเองทำงานนี้มาถึงวันนี้ ก็ยิ่งมีคนผู้ฏิบัติ อย่างที่มากันวันนี้ นั่งอยู่ก็ไม่ใช่น้อย หลายร้อยคน ก็ได้มรรคผล
ที่อาตมายืนยันว่าคำว่าได้มรรคผลขอยืนยัน ไม่ใช่พูดเล่น ต้องขออภัยอีกทีหนึ่งที่จะต้องกล่าวต่อไปนี้ว่า ข้างนอกเขาไม่มีการได้มรรคผลกัน เพราะว่าหลงทิศหลงทางกันไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมกันอยู่ การหลับตาปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเรื่องของเดียรถีย์ นอกรีต ที่พระพุทธเจ้าออกบวชก็หลงทางไปปฏิบัติอย่างนั้น 6 ปี ไม่ใช่หลงทางหรอก เป็นลิงลมอมข้าวพอง
อาตมาตอนแรกๆก็หลับตาไปกับทางโลกเขาบ้าง ที่ใช้คำว่าลิงลมอมข้าวพองคือมันตามโลกมันครอบงำอยู่ในช่วงระยะเวลาแรก จนกระทั่งเราตั้งตัวได้ตั้งสติเต็มตามความเป็นจริงของเราขึ้นมาเต็มที่เราก็เป็นตัวของตัวเอง อาตมาเป็นเช่นนั้นมีความจริงที่อาตมารู้เป็นมรรคผลว่าอย่างนี้เป็นมรรคอย่างนี้เป็นผล อย่างพวกเรามาปฏิบัตินี่แหละ อาตมาก็ยืนยันว่าพวกเราบรรลุมรรคผลแม้แต่เป็นฆราวาส
อาตมากล้าพูดเลยว่า ฆราวาสพวกเรานี้ มีคุณสมบัติยิ่งกว่าพระภิกษุที่เถรสมาคมมีอยู่เยอะแยะ ฆราวาสพวกเรามีมรรคผล ศีลมีจริง สมาธิมีจริง แม้แต่คำว่าสมาธิหรือคำว่าฌาน มันก็เพี้ยนไปไกล คำว่าสมาธิไม่ได้อยู่ในกระบวนการของจรณะ 15 วิชชา 8 มันเป็นสมาธิหลับตา เริ่มต้นหลับตาก็ไปเป็นเดียรถีย์แล้ว เพราะว่าไม่มีอปัณณกธรรม 3 มันไม่ตื่น แล้วก็ไม่มีการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ไม่มีการปฏิบัติธรรมในขณะมีเครื่องกินเครื่องใช้ ขณะที่ทำงานอาชีพ มีกัมมันตะ มีวาจา มีสังกัปปะ มันไม่ได้มี มันไม่ได้ตื่นปฏิบัติธรรม หลับตามันก็ผิดแล้ว เพราะไม่มีอปัณณกธรรม 3 ในจรณะ 15
อาตมาได้ทำงานมาจนถึงขั้นมีชุมชนมีบ้าน มีวัด มีโรงเรียน เป็นชุมชนชาวพุทธ จนกระทั่งขึ้นตัวหนังสือหราว่าที่นี่เป็นแผ่นดิน ยืนยันมั่นคงเลยว่าเป็น “แผ่นดินพุทธ”
เพราะฉะนั้นที่ได้ปฏิบัติมานี้ มันมีสิ่งยืนยันเกิดขึ้นมีผู้มาปฏิบัติธรรมมีมรรคผลจนกระทั่งมาอยู่ร่วมกันมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีวิมุติ จนเกิดคุณสมบัติสาราณียธรรม 6 มีสาธารณโภคีซึ่งเป็นเรื่องเกิดจริงไม่ใช่เรื่องเล่น คนจริง สังคมจริง มีพฤติการณ์ของสังคมจริง อยู่ในนี้ปฏิบัติธรรมจนพ้นมิจฉาชีพข้อที่ 5 พ้นลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ทำงานไม่ได้เอาลาภแลกลาภ ทำงานเอาเข้ากองกลางทั้งหมด กินอยู่กับกองกลาง มีชีวิตไปจนตาย เขาก็เผาให้เรียบร้อยเลย ไม่ต้องกังวล
เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งที่ยืนยันพิสูจน์ธรรมะของพระพุทธเจ้า ว่าปฏิบัติธรรมแล้วมันมีพฤติกรรมจริง มีพฤติการณ์ของการปฏิบัติ ที่เราศึกษาปริยัติแล้วก็ปฏิบัติจนได้มากกว่าในชีวิต ชีวิตก็อาศัย กัมมปฏิสรโณ เป็นการอาศัยที่เราบรรลุธรรมด้วยกรรมที่เราได้ปฏิบัติมา
อาตมากล่าวนี้ หลายคนที่ฟัง แม้จะเป็นผู้มีความรู้ทางธรรมะในระดับเปรียญ 9 หรือในระดับด็อกเตอร์ทางพุทธศาสนา ก็คงจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรมากมายนักว่า เพราะสังคมอย่างนี้เป็นสังคมคนจริงๆในหมู่บ้านเป็นชุมชนมีพฤติกรรมพฤติการณ์ อยู่กันตลอดชีวิตซึ่งอยู่เป็นสาธารณโภคี
คนที่จะมาทำอย่างนี้ได้ คนๆนี้จะต้องเป็นคนที่มีคุณวิเศษ คุณวิเศษนั้นคืออะไร ก็คือ วรรณะ 9 เป็นคนเลี้ยงง่ายๆ เป็นคนมาอยู่แล้วก็พัฒนาขึ้นมาอย่างไม่ใช่เป็นคนดื้อด้าน ว่านอนสอนยากว่ายากสอนยาก แต่เป็นคนว่านอนสอนง่าย เป็นคนมักน้อย เป็นคนกล้าจน เป็นคนใจพอ สันโดษ สันตุฏฐิ และเป็นคนพัฒนาตัวเอง สัลเลขะ ขัดเกลากายวาจาใจ มีศีลเคร่ง ศีลเจริญเป็นอธิศีล ธูตะ จนเจริญมีอาการกายกรรม วจีกรรม ที่น่าเลื่อมใส และไม่สะสม อปจยะ วิริยารัมภะ ก็ปรารภความเพียรไม่ได้เป็นคนมานั่งขี้เกียจขี้คร้านหลบลี้ ทุกคนก็ทำงานตามควรตามหน้าที่ของความขยัน โดยไม่ต้องเอาเงินมาจ้างไม่ต้องเอาอะไรมาล่อไม่ต้องบีบบังคับก็รู้จักหน้าที่ที่จะทำ ช่วยกัน นี่โอ้โห ต่างๆนานานี้ ตั้งใจเอาไว้ให้โชว์ใช่ไหมอยู่ใกล้มื้อนี้
มันเป็นดอกไม้ที่ชื่อว่า เฮลิโคเนีย หรือธรรมรักษา ที่จริงเขาเรียกก้ามปู ภาษาอังกฤษเขาเรียก Crab claw บางคนเขาเรียกเบิร์ดออฟพาราไดซ์ ซึ่งที่จริงแล้วมันไม่ใช่ เบิร์ดออฟพาราไดซ์มันจะมีดอกโค้งเป็นเถาออกมา ไอ้นี่มันเหมือนก้ามปู ไม่ใช่เหมือนนก แต่สีมันจัดจ้าน เอามาจากไหนเนี่ย …มีคนบอกว่าซื้อมาก้านละ 100 บาท นึกว่าของเรา
หลายคนว่าอาตมาบอกว่าเป็นพระอรหันต์แล้วมาหลงความสวยงามอะไร ก็ไม่เป็นไรเขาจะว่า อาตมาก็พูดตามสมมุติโลกที่เขาเป็นกันอย่างนั้นอย่างนั้น ส่วนอาตมาจะมีจิตของอาตมาจะไปติดยึด ยินดีปรีดาอยากได้อยากมีอยู่หรือไม่ มันเป็นเรื่องของจิตอาตมา คนที่เขาจะเพ่งโทษก็เพ่งกันได้ทั้งนั้น
ในสังคมเรามีสาราณียธรรม 6 เป็นเรื่องสังคมที่วิเศษที่สุดในโลกแล้ว ซึ่งมันน่าหมั่นไส้นะถ้าพูดไปแล้ว เหมือนกับหลงตัวหลงตน พูดแล้วดูเหมือนยิ่งใหญ่สูงส่งวิเศษกว่าใครในโลก พูดแล้วน่าอาเจียนเป็นโลหิตพุ่งออกจากปากจริงๆ มันยิ่งกว่าอ้วก แต่อาตมาพูดนี้ใช้ภาษาให้กำกับสภาวะจริงไปให้ชัดเจนสั้นๆ จะได้ไม่ต้องยืดเยื้ออะไรมาก สรุปผลว่าเป็นอย่างนั้น
คือจริงๆแล้วมันเป็นคุณวิเศษ จะขยายความลงไปสู่จุดนี้จะต้องปูพื้นมายาว อาตมาก็เลยพูดตัวสภาวะตัวจบๆ ก็เลยดูเหมือนยกตัวยกตนเพราะมาพูดเอาปลายของคุณสมบัติคุณธรรมคุณวิเศษมาพูดอยู่เรื่อย ไม่มีการปูพื้นมาตั้งแต่ฐานมาจนถึงยอดมันก็เลยรู้สึกทำให้คนเห็นว่าเป็นการยกตัวยกตนว่ามันสูง มันเป็นเรื่องสูง
พวกเราอยู่กันก็พยายามทำสร้างสรรค์ อาตมาเองนะอบอุ่น เป็นชุมชน พวกเรานี้อบอุ่น มันมีชีวิตไม่ไปหลงในความฟุ้งเฟ้อ ที่สังคมมันหลอกกัน เรามาละลดมาวาง แต่ก่อนเราหลงติดไป โลกเขาหลงให้ไปวิ่งไล่ตามกันเป็นแฟชั่น อันนั้นน่าได้อันนี้น่าเป็นน่ามี ไปอันนั้นสวยงามหรูหราฟู่ฟ่าน่าได้น่ามีน่าเป็น แหม รู้สึกว่ามัน ไฮซงไฮโซ ก็จะวิ่งไล่ตามเขา แต่พวกเราไม่ทำแล้ว ได้เปลี่ยนทิศทางของชีวิตมาอยู่ในนี้
เป็นสังคมที่อาตมาเรียกได้ว่าเป็นสังคม อนาคาริกชน 100% อนาคาริกะ แปลว่าผู้ที่ไม่หลงใหล สะสมทรัพย์ศฤงคารบ้านช่องเรือนชานเป็นของตน อยู่กันอย่างเป็นของส่วนรวม นี่เป็นของจริงของผู้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแล้วบรรลุมรรคผล มาเป็นคนจริงแบบนี้อยู่อาศัยชีวิตไปมีพฤติกรรมอยู่กันอย่างนี้ อาตมาก็พูดความจริง คนเขาฟังก็เหมือนกับมายกย่องตัวเองมาหลงตัวเอง แล้วจะให้อาตมาพูดอย่างไร อาตมาก็พูดความจริงในสิ่งที่มันเจริญในสิ่งที่มันสูงก็ต้องเป็นการยกเพราะมันเป็นของสูง มันเป็นความสำเร็จในสิ่งที่เป็นความสูง เรียกว่า อาริยบุคคล เป็นสังคมอาริยมนุษย์ เป็นความจริง
อาตมาพูดแล้ว คือโลกเขาไม่มีความบรรลุผล มันไม่มีสัจจะจริง แล้วไม่มีเค้ากล้าจะยืนยันความจริงของตัวเองได้ ต้องเป็นการบรรลุธรรมเป็นอาริยบุคคล เป็นสังคมอาริยะ สังคมมีมนุษย์บรรลุธรรมกัน เป็นผู้ที่มีศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ มีอธิมุติ อย่างแท้จริง เขาไม่มีที่จะยืนยันได้ เขาไม่กล้าพูดหรอกเขาไม่กล้ายืนยัน แต่ของเรามันมีจริง พูดแล้วก็จะดูหมั่นไส้ แล้วเขาก็ไม่เชื่อเพราะอะไร เพราะเขาไม่ได้เข้าใจเลยว่าทิศทางของศาสนาพุทธเป็นอย่างที่อาตมาพามาเป็น เพราะเขาเข้าใจว่า ทิศทางของศาสนาพุทธจะต้องไปเป็นอย่างที่คณะเถรสมาคมพากันเป็น จะได้เป็นเจ้าคุณ จะได้เป็นสมเด็จ ได้เป็นเจ้าคณะ เหมือนพวกพราหมณ์มหาศาลในสมัยโบราณ สมัยพระพุทธเจ้า ในสมัยพุทธเจ้าก็ได้เสื่อมกันแล้ว ของเขาเสื่อมมาเป็นพราหมณ์ เดี๋ยวนี้ก็เหมือนกันเป็นเหมือนพราหมณ์มหาศาลแต่เรียกว่าพระมหาศาล สมัยนั้นเขาไม่มีคำว่าพระมีแต่คำว่าสมณพราหมณ์ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่สมณพราหมณ์แต่เป็นพระมหาศาลหรือจะเรียกว่าภิกษุมหาศาลก็ได้
คือภิกษุที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสในพรหมชาลสูตรว่า เป็นผู้ที่ ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ก็ยังมีเดรัจฉานวิชา มีอะไรที่นอกรีตนอกรอย แล้วอยู่อย่างนั้นหน้าตาเฉย เสวยบัลลังก์ ลาภ ยศ สรรเสริญ สบาย จนกระทั่งมีเงินดาวน์เงินเดือนนะ เรียกซะอย่างโก้เลยว่านิตยภัต ซึ่งมันผิดหลักของศาสนาทั้งนั้นเลย อาตมาพูดไปก็ไม่กล้าเถียงหรอก มาสิมาเถียง จะให้ไปอ่านพระไตรปิฎก เดี๋ยวให้ท่านหนักแน่นบอก ให้ไปอ่านหน้านั้นเล่มนั้นท่านจะบอกบทไหนอย่างไร
แม้ว่า ถ้ามีพระที่เป็นพระปฏิบัติ เป็นคณะใหญ่เลย เถรสมาคมเป็นคณะใหญ่ของศาสนา ที่นี้คณะอีกคณะหนึ่งก็ไม่ใหญ่เท่านั้นหรอก แต่เขายอมรับกันนะ ยอมรับกันโดยปริยายว่า พระทางเถรสมาคมที่บริหารศาสนาพุทธอยู่ เขาไม่ถือว่าพวกเขาเป็นพระปฏิบัติ เขาถือว่าพระปฏิบัติต้องเป็นพระป่า พระออกมาปฏิบัติในป่าเป็นพระกรรมฐานแล้วนั่งหลับตาสมาธิ นั่นก็ผิดเพี้ยนอีก หลับตาทีไรนั่นแหละ บอกว่าหลับตาจะปฏิบัติฌาน ปฏิบัติสมาธิ ไปบรรลุนิพพาน ไปบรรลุนิโรธ ต้องหลับตา ถ้ามีความคิดอย่างนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ออกนอกศาสนาพุทธแล้ว เป็นผู้แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธทันที เพราะมันไม่ใช่จรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งเป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้า พุทธคุณของศาสนาพุทธ
นี่อาตมาพูดตามหลักเกณฑ์ของศาสนาพุทธเลยนะ เถียงไม่ได้หรอก ถ้าคนที่เรียนมา นอกจากคนที่ไม่ประสีประสาเหมือนเด็กๆไม่รู้เรื่องก็มาเถียง นั่งหลับตานั้นมันไม่มีอปัณกปฏิปทนา 3 สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคคะ มันไม่มีเลย อปัณกปฏิปทา หมายถึง ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดศาสนาพุทธ ถ้าไม่มี 3 ข้อนี้ก็ผิดศาสนาพุทธ ก็ผิดหมดเลย มันไม่มี 3 ข้อนี้แล้วจะเป็นพุทธได้อย่างไร
อาตมาก็สบายใจที่พากันปฏิบัติธรรมและได้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้ามาเป็นสังคมพุทธ เป็นแผ่นดินพุทธ มีศีล สมาธิ ปัญญา มีวิมุติ หรืออธิมุติ ได้กัมมปฏิสรโณเป็นเครื่องอาศัยมาจนกระทั่งอยู่เย็นเป็นสุขไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหลายผู้คนก็ไม่มีปัญหา จะอยู่กันอย่างนี้แหละไปจนตาย หลายผู้หลายคนจะมีความรู้สึกอย่างนั้นเลย เอ๊ อาตมาพูดผิดไหม…ใครว่า มีความรู้สึกว่าชีวิตจะอยู่อย่างนี้ไปจนตายใครมีความรู้สึกอย่างนั้นบ้างยกมือขึ้นซิ
…กว่าครึ่งเลย เด็กๆเขายังไม่ค่อยรู้เรื่อง ผู้ใหญ่นั่งอยู่เก้าอี้ แสงไปไม่ถึง ถ่ายไปก็ไม่ค่อยเห็น
ทฤษฎีพระพุทธเจ้านี้เป็นทฤษฎีที่ท่านเรียกของท่านว่าเป็นอริยะ เป็นอริยสัจ 4 เป็นผู้เจริญ ภาษาสมัยใหม่เป็นอารยะ เป็นความเจริญศิวิไลซ์ แล้วศิวิไลซ์ของพุทธเป็นความเจริญทางโลกุตรธรรมด้วยไม่ใช่แค่โลกียธรรม มันแปลกไม่เหมือนเขา เจริญอย่างไร
ตอนนี้เข้าหาเนื้อหาอีกนิดหน่อย
เนื้อหาแท้ของศาสนาพุทธทำให้เป็นสังคมเศรษฐกิจเจริญ
เนื้อหาแท้ๆของศาสนาพุทธ เจริญด้วย สมัยนี้เขาก็พูดกัน เจริญด้วยเศรษฐกิจ เจริญด้วยรัฐศาสตร์ เจริญด้วยสังคมศาสตร์ หรือจะเรียกรัฐกิจ สังคมกิจก็ได้ เจริญ เศรษฐกิจที่ดี อาตมาพูดนี้ พวกที่เขาฟังโดยเฉพาะนักเศรษฐศาสตร์โลกๆ รับรองว่าเขายังไม่เข้าใจเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้าหรอก เศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้านั้นดังที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เราได้ตรัส
จะต้องเป็นผู้ที่ มาทำแบบคนจน นี่เป็นเศรษฐศาสตร์ของพุทธมีวรรณะ 9 นั่นแหละเรียกว่า the classes เป็นคนชั้นสูงเป็นคนคลาสสิค เป็นคนมีวรรณะ classes คือวรรณะ 9 อย่าง เป็นคนไม่สะสม เป็นคนจน สรุปง่ายๆว่าเป็นคนจน นี่คือเศรษฐกิจที่ดี
โดยโลกโลกียะ เขามีความโลภเป็นเจ้าเรือน มีความเป็นตัวกูของกูเป็นเจ้าเรือน เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจดีคือเราจะต้องได้มามากๆมีมากๆรวยๆ เรารวย ครอบครัวเรารวย ประเทศเรารวย ประเทศอื่นจะจนจะไม่มีอยู่ไม่มีกินอย่างไรก็เรื่องของเขา แต่เราต้องรวย กอบโกยมาๆ เรียกว่า GDP เจริญ เศรษฐกิจเจริญ… นั่นเอาความเห็นแก่ตัว เอาความโลภเป็นที่ตั้ง มันไม่ได้ไปอธิบายคำว่าเศรษฐกิจดีเลย มันอธิบายความโลภ มันอธิบายความเห็นแก่ตัว มันเอาอัตตาเอาความโลภเป็นที่ตั้ง จนกระทั่งถึงขั้นอำมหิต ยื้อแย่ง แย่งไม่ได้ธรรมดาก็บุกรุกเอาเลยปล้นเอาเลย
มันเจริญขึ้นเหมือนกันนะแต่ก่อนมันปล้นเอาเลย บุกรุกเหมือนกับเจงกิสข่าน บุกปล้นเอาน้ำมันพื้นที่ทรัพย์สิน แม้กระทั่งต่อมาพวกล่าอาณานิคมก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะตั้งแต่ฝรั่งเศส เยอรมันอังกฤษ ก็ล่าอาณานิคม นั่นแหละ
มันเอาความโลภ ความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้เป็นที่ตั้ง มันไม่ใช่ธรรมะ มันไม่ใช่คุณสมบัติ ไม่ใช่คุณธรรมที่แท้จริง คุณธรรมที่แท้จริงต้องเป็นคนไม่มีความเห็นแก่ตัว ต้องไม่มีตัวตน ไม่มีราคะ ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ นี่คือคุณธรรม คุณวิเศษ คุณสมบัติที่ดีของมนุษย์ที่เจริญอย่างแท้จริง
แล้วมีกินมีใช้ไหม..ก็อุดมสมบูรณ์ เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ มีกินมีใช้จนเหลือกินเหลือใช้ อาตมาสรุปผลของเศรษฐกิจดี คือ
มีลักษณะ 4
-
ไม่เป็นหนี้
-
ทำมาหากินพึ่งตนเองรอด สร้างสรรมีสมรรถนะความรู้ความสามารถ ทำอยู่ทำกินของตนให้มีอยู่มีกิน พึ่งพาตนเองรอด
-
เหลือ สร้างสรร ทำงานการสร้างสรร มีที่อยู่ที่กิน มีของอยู่ของกิน มีการยังชีพเลี้ยงชีพรอดเหลือเฟือ มีเกิน
-
แจกจ่ายผู้อื่นเผื่อแผ่เกื้อกูล มีประโยชน์เผื่อแผ่ผู้อื่นได้อย่างแท้จริง