630927_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ สังคมเศรษฐกิจจะดีจริงต้องจริงที่จิตประชาธิปไตย
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1AOYgm6LwTAeVX-_oeix1OzjGuEUM_hgFMa9ek0hhcSI/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1MS_1eFAxckuXMUTTeItYi3bRPmH6SlMk/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/ajaC3EaZ-G4
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ที่บ้านราชฯตอนนี้มีผลผลิตการกสิกรรมมาก โดยเฉพาะมะละกอ เราได้นำไปแจกจ่ายให้แก่โรงพยาบาลหลายโรงพยาบาล รวมถึงค่ายทหารสรรพสิทธิประสงค์ด้วย
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 24 ก.ย. 63
เศรษฐกิจที่ดีที่สุดคือเป็นประชาธิปไตยที่ดีที่สุด
_สุคนธ์ แดงมณี : ฟังแล้ว ยิ่งเห็นด้วยกับเศรษฐกิจแบบชาวอโศกค่ะ
พ่อครูว่า…เศรษฐกิจเป็นภาษาสมัยใหม่สมัยพุทธเจ้าไม่มีภาษานี้ ก็ดูกันไปก็แล้วกัน คำว่าเศรษฐกิจของเขาก็บอกว่า ในสิ่งที่กินที่ใช้ มีผลผลิตแล้วก็สามารถเฉลี่ยสิ่งที่มีจำนวนจำกัดนี้ให้ทั่วถึงกันได้ดี ตามความเหมาะสม คนที่ควรได้มาก คนที่ควรได้น้อยคือใคร อย่างเช่นคนที่อ่อนแอ คนที่ช่วยตัวเองไม่ค่อยได้ก็ต้องให้ช่วยได้มากกว่า คนที่แข็งแรงช่วยเหลือตัวเองได้สร้างสรรได้มากก็จะเป็นผู้ให้ ซึ่งมันเป็นหลักของสัจธรรม เพราะฉะนั้นสรุปแล้วก็ต้องเรียนรู้เรื่องสัจจธรรมให้สมบูรณ์แบบ เรียนรู้เรื่องความเป็นจริงที่ดีที่สุดของมนุษยชาติที่ควรจะเป็น เป็นอริยบุคคล เราใช้คำว่า อาริยบุคคล อาตมาไม่ค่อยได้พูดถึงอริยบุคคล หรือ อารยบุคคล ก็ไม่ขยายความล่ะ นานนานค่อยขยายความที
แต่ว่าชาวอโศกเราได้ประพฤติปฏิบัติเศรษฐกิจแบบพระพุทธเจ้าแล้ว อาตมาถือว่าสมบูรณ์แบบแล้ว เพราะเป็นได้ถึงขั้นสาธารณโภคี เป็นของส่วนกลางเป็นส่วนยอด แล้วก็กระจายลงไปสู่ส่วนล่าง กระจายขึ้นไปส่วนบน สำหรับผู้ที่แข็งแรงก็กระจายลงไปสู่ส่วนล่าง สรุปคือเป็นเศรษฐกิจที่ไม่เห็นแก่ตัว ไม่มักได้ ไม่เห็นแก่ได้ มีแต่เห็นแก่มวลประชาชน เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เศรษฐกิจที่ดีที่สุดคือเป็นประชาธิปไตยที่ดีที่สุด อยู่ด้วยกันอย่างแยกไม่ได้ แยกโดยภาษาคือประชาธิปไตยกับเศรษฐกิจ แต่โดยสภาวะแล้วมันคือการปฏิสัมพันธ์กันจริงๆ
_เจนบุญ จน : สิ่งที่ผมเห็นสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ คือความ ‘วน’ ครับ มองเห็น ความชอบ ความไม่ชอบ ของ ‘ปุถุชน’ ทั้งหลายที่อยู่ในประเทศนี้, มองความจริง ตามความเป็นจริง ตั้งใจฝึกตัวเองให้อยู่ ‘เหนือ’โลก ในขณะที่เราอยู่กับโลก ท่ามกลางโลก ครับ น้อมนำสิ่งที่พ่อท่านฯ สอนให้ทำนาในที่ของตน ไม่ทำนาของ’คนอื่น’ครับ
พ่อครูว่า…หมายความว่าทำของตัวเองไม่ไปแส่เรื่องของคนอื่น
_Angkana Koiram อังคณา โกยรัมย์ : กราบนมัสการค่ะ การได้มาฟังธรรมมะจากพ่อครู คือสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในโลก ค่ะ
พ่อครูว่า…ที่จริงแล้วถูกต้อง แต่อาตมาจะย้ำมากเกินไปก็ดูว่าคนที่ยังไม่ศรัทธายังเข้าใจธรรมะไม่ได้ก็จะพูดกับเขายังไม่รู้เรื่อง เขาก็จะเห็นเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าธรรมะ ดีไม่ดีเห็นแก่เรื่องของทุนนิยม เรื่องของอบายมุข ความสนุกเพลิดเพลินว่าเป็นสิ่งที่ควรจะเห็นดีเห็นงามกว่า ก็แล้วแต่ละบุคคล ก็ว่าไป
_Chamni Jantasuk ชำนิ จันทสุข : ผมมีความสุขมาก ที่ได้ดูได้ฟังพ่อครูเทศน์ขอรับ
_พันธุ์ พอเพียง : พูดถึงมะละกอดิบ(สิกขมาตุกล้าข้ามฝันพูดช่วงทำวัตรเช้าวันอังคารที่ 22 ว่า เรานำมาหมัก ใช้ซักผ้าได้ครับ) อยากชวนทำแบบแห้งแล้วบดเป็นผงครับ ตอนนี้มะละกอชนิดผง กำลังขายดีครับ มีสารใช้ล้างพิษในลำไส้ครับ ลูกค้าเอามาชงดื่มครับ กราบนมัสการครับ
SMS วันที่ 26 ก.ย. 2563
_เกษม สันทอง : ฝ่าย(ที่อ้างว่าตนเป็น)ประชาธิปไตยน่าจะเป็นทาสความคิดตนเองหรือเปล่า ?
พ่อครูว่า…นั่นก็ดี เตือนเขาไป
แค่เลี้ยงสัตว์ก็บาปแล้ว
_เมตตา โพธิสุทธิ์ : วันนี้มีคนถามดิฉันว่าทำหมันให้สัตว์ บาปไหม ดิฉันก็งง จะตอบว่าไงดี คิดในใจว่า ทำหมัน ก็ยังดีกว่าปล่อยให้มันขยายพันธุ์ไปเยอะ ๆ แล้วเลี้ยงไม่ไหวเป็นภาระมากมาย หรือต้องนำไปปล่อยวัด แต่ดิฉันตอบเขาไปว่า “แค่เลี้ยงก็บาปแล้ว” ดิฉันคิด และพูด ถูกต้องไหมคะ
พ่อครูว่า…ตอบอย่างสรุปเลยว่าถูกต้องแล้ว สัตว์ก็ปล่อยให้เขาไปตามยถากรรมเขามีวิบากของเขา หากว่าไม่มีความจำเป็นสุดวิสัยเราจะต้องดูแลก็แล้วไป ถ้าหากว่าไม่สุดวิสัยไม่จำเป็นแล้ว อย่าไปเลี้ยง ปล่อยให้เป็นไปตามวิบากของเขา ถ้าเราไปเลี้ยงเราก็จะไปร่วมวิบากกับเขาอีก แล้ววิบากของคุณมันน้อยแล้วหรืออย่างไร คุณไม่รู้ ไม่รู้จักวิบากดีเสียแล้ว คนเรามี วิบากนี้เป็นตัวที่ทรมานทรกรรม ที่ไปผูกพันรักใคร่ไว้ก็มีวิบาก ไปทำความโกรธแค้นอาฆาตกันไว้ก็เป็นวิบาก ไอ้ที่จะเฉยๆกลางๆนั้น มันมีน้อย เพราะฉะนั้นคนทำความเฉยๆกลางๆได้ แม้จะเป็นสมถะอย่างโลกีย์ มันก็ยังสบายและไม่เพิ่มวิบากมากขึ้น แต่มันไม่สูญไม่สำเร็จ มันก็มีการเปลี่ยนแปลงไม่เที่ยงแท้ได้ เฉยๆแบบเคหสิตอุเบกขาโลกีย์ทำได้ สะกดจิตเฉยๆให้อยู่ได้นานมันก็มีแรงมีพลัง มีความควบแน่นของการสะกดเอาไว้ เหมือนอาฬารดาบส อุทกดาบส สายหลับตาทั้งหลายก็ทำได้ แต่มันไม่เที่ยงมันก็วนเวียนมาอีกได้ วนเวียนมาอีกไม่รู้กี่พันหมื่นแสนชาติก็ได้ มันไม่จบ เรียนให้ดีให้สัมมาทิฐิตามของพระพุทธเจ้าแล้วก็ ลดตัวเหตุหรือกิเลสที่มีให้ได้ ลดชนิดที่เราใช้เป็นพลังงานทางจิตที่เรียกว่าพลังงานไฟ ฌาน
ฌานนี้ เกิดในจรณะ 15 เป็นจรณะข้อที่ 12 13 14 15 เกิดจากกระบวนการของจรณะ 15 วิชชา 8 เป็นศีล แล้วอธิจิต อธิปัญญา และเกิดวิมุติหลุดพ้นไปตามจริงเกิดนิพพานหรือนิโรธไปได้เรื่อยๆ ศึกษาให้ดีอาตมาก็ยังไม่คิดว่าจะต้องตายตอนนี้ จะประคองสังขารบรรยายไป คนที่แสวงหาปรารถนาสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในความเป็นมนุษย์ชาติ อาตมาก็สรุปไม่รู้กี่ทีแล้วว่าเรื่องยิ่งใหญ่ในความเกิดมาเป็นมนุษย์นี้มันไม่มีอะไรเท่าเรื่องของธรรมะหรอก พระพุทธเจ้านั้นตรัสรู้มีความรู้ทุกอย่างในโลกที่เขาจะพึงมี เท่าเขา เก่งกว่าเขา ได้เกียรตินิยมในทุกวิชา มีกี่วิชาสมัยโน้นมี 18 วิชาท่านเรียนจบหมด ได้เกียรตินิยมหมด แต่สุดท้ายท่านทิ้งหมด ท่านมาทำงานสอนธรรมะอย่างเดียว จนปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว
อาตมาพูดนี้ไม่ได้พูดตามคำของพระพุทธเจ้าเท่านั้น พูดแล้วอาตมาก็เรียนรู้ตามจนมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 มาถึงปางนี้ อาตมาถึงรู้ชัดเจนจริงๆที่สุดอย่างแย้งไม่ได้ อันนี้เป็นคำสรุปเลย เรื่องธรรมะนี้ยิ่งใหญ่ที่สุดในความเป็นมนุษย์ นอกนั้นการไปแย่งแข่งกันสมบัติผลัดกันชมสมบัติ ผลัดกันเก่ง ก็มันชิงกัน
พวกชิงอะไรก็แล้วแต่ มันแข่ง ฟุตบอลโลก แข่ง Champion มวยโลก มันก็ผลัดกันแพ้มันก็ผลัดกันชนะ มันตายก่อนหมดเรี่ยวแรงจะชก มันก็เลิกแล้วเท่านั้นเอง นอกนั้นก็ผลัดกันชนะผลัดกันแพ้อยู่นั่นแหละ มันไม่ยั่งยืนหรอก คนไหนที่มันเก่งหน่อย นักมวยชนะเท่านี้ครั้งแล้วแขวนนวม คนนี้จะอยู่อย่างไม่เคยแพ้ใคร เพราะไม่ชกต่อ เอ็งจะชกต่อก็ต้องเป็นผู้แพ้แน่นอน แต่เล่นหยุดชก ทำเป็นพูดไปเถอะ มันก็ต้องมีคนเก่งกว่าให้ได้สักวัน ดีไม่ดีมันก็ต้องโดนบล็อกสักวัน เผลอไปเผลอแป๊บเดียวถูกหมัดเหมาะๆถูกที่เหมาะ หมัดเดียวดิ้นกระแด่ว หมอรีบเข้ามาช่วยต่ออายุไว้
ฝ่ายประชาธิปไตยน่าจะเป็นทาสความคิดตัวเอง
_เกษม สันทอง : ฝ่าย(ที่อ้างว่าตนเป็น)ประชาธิปไตยน่าจะเป็นทาสความคิดตนเองหรือเปล่า ?
พ่อครูว่า…ฝ่ายประชาธิปไตยน่าจะเป็นทาสความคิดตัวเองหรือเปล่า มันก็จริงที่ออกมา เย้วๆๆๆ แต่จะคิดอย่างนั้นก็ได้หรือจะคิดอย่างนี้ก็ได้ว่าเราก็เป็นนายตัวเองสิ อย่าไปคิดว่าเป็นทาส เขาเอาแต่ความคิด แต่ความเป็นจริงจะเป็นทาสของความคิดหรือเป็นนายของความคิด
ศาสนาพระพุทธเจ้านี้ชัดเจนว่าเราเป็นนายของความคิด เป็นนายของการปรุงแต่งความคิด คุณเป็นนาย คุณคิดแล้วก็ไม่คิดเอาไปใช้ โดยไม่ได้ให้เป็นโทษภัย คิดแล้วเปรียบเทียบอย่างมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ดูว่าอะไรที่ควรทำในวาระนั้น ก็ทำให้มันเหมาะควร
ที่จริงแล้วจะเป็นนายหรือเป็นทาส ดูที่ผลของพฤติการณ์ของสังคมขณะนั้นๆ status quo ดูผลของพฤติกรรมขณะนั้นของสังคมว่าประเทศไทยตอนนี้ประชาธิปไตยก็ดี เศรษฐกิจก็ดี เป็นเรื่องที่สุดยอดแล้ว แล้วคนก็พูดกัน เอาข้อมูลที่จะเข้าข้างตัวเองมายืนยัน มาคุยมาอะไรต่างๆนานา
จะคิดอย่างไรก็ได้แต่ความเป็นจริงต้องดูผลของสถานการณ์นั้นๆขณะนั้น มันเป็นอย่างไรอยู่ในมนุษยชาติแล้วมีพฤติกรรมต่างๆ เอาตรงนั้นมันเป็นไปอย่างดี เอาตรงนั้นเป็นตัวสำคัญ เป็นตัวบ่งชี้ เป็นคำตอบว่ามันไม่ดีหรือมันดีอย่างแท้จริง
คำนิยามประชาธิปไตยหรือเศรษฐกิจก็ดี มันยากมากเลยที่จะเข้าใจชัดเจนได้เพราะมันไม่ใช่ตัวมันเอง ประชาธิปไตยมันไม่ได้อยู่ลอยๆเป็นตัวมันเอง เศรษฐกิจมันก็ไม่ได้อยู่ลอยๆเป็นตัวมันเอง มันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอื่นๆด้วยตั้งเยอะแยะหลายอย่าง จึงบอกไปตายตัวที่เดียวไม่ได้
_มุ่ง ตรงธรรม : อุปกิเลส 16 ที่สิกขมาตุรินฟ้าท่านเมตตาจำแนกสาธยาย แยกแยะลีลาของการวาดลวดลายของกิเลส ตัณหา 16 น่ารังเกียจยิ่งครับ เป็นเหตุทุกข์ที่ไม่ควรพึงปรารถนาให้มีให้เกิด ให้ปรากฏแก่จิตแก่ใจเลยครับ
พ่อครูว่า…อุปกิเลส 16 มีนิดน้อยอย่างไรก็ไม่เอามันทั้งนั้น ตั้งแต่ อภิฌาวิสมโลภะ ไปจนถึงปมาทะตัวสุดท้ายเลย วันนี้จะไม่ลงรายละเอียด
สิริมหามายาของประชาธิปไตย และความแตกต่าง 3 แบบ
_ดี-เด่น ขนมไทยลูกชุบ : จะอธิบายสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ให้เป็นประชาธิปไตยไปทำไม
ก็บอกไปเลยว่า ชาวอโศกจะเอาระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ชอบระบอบหมอบกราบ แม้จะเป็นคนกิเลสหนา ประพฤติตัวชั่วช้าสามานย์ ตรงๆ ชัดๆ จะได้ไม่ผิดศีล ดูถูกสติปัญญาคนที่ศึกษาธรรมะ นำธรรมะของพุทธเจ้ามาสร้างความมอมเมา ลุ่มหลงซับซ้อน จะแตกต่างอะไรกับวัดทั่วไป
พ่อครูว่า…คุณเอาอาตมา พวกชุมชนอโศกไปเปรียบเทียบกับวัดต่างๆ แค่นี้คุณก็แยกไม่ออกในความต่างกันแล้ว ก็ไปที่ชอบที่ชอบก็แล้วกัน คุณชอบอันใดก็ไปอันนั้นเถอะ อาตมาก็ไปอันที่อาตมาไป ต่างคนต่างไปที่ชอบที่ชอบของใครของมันก็แล้วกัน ก็คงพูดกันอะไรไม่ได้มากสำหรับคุณ ดี เด่น ขนมไทยลูกชุบ คุณก็กินขนมไทยลูกชุบนี่ไปก่อนก็แล้วกัน
สู่แดนธรรม…หากจะกรุณาอธิบายให้คุณดี-เด่น..ฟัง พ่อท่านจะอธิบายได้ไหมว่าเขายึดมั่นถือมั่นในคำ ห้ามเปลี่ยนแปลง แต่พ่อท่านมีสิริมหามายา พูดสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นประชาธิปไตยก็ได้
พ่อครูว่า…ใช่ เขายังไม่เข้าใจสภาวะกับพยัญชนะ ภาษาพูดกับสภาวะความจริง บางทีมันก็เปลี่ยนแปลงไปมาก พวกที่เก่งในการทำให้คนสับสนเป็นนักมายากล ก็จะเอาสองอย่าง สภาวะกับพยัญชนะมาตีกิน ยืนยันกับคน คนรู้ไม่ได้ก็ไปหลงลมเขา อะไรมันขึ้นมาได้เขาก็จะเอาอันนั้น อะไรที่เขาจะได้ผลประโยชน์ก็เอาอันนั้นมาอธิบาย พวกเล่นกลนักมายากลจะใช้พวกนี้
แต่ผู้ที่เป็นสิริมหามายา คือ รู้ทันพวกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ในสังคมนี้ มันไม่เที่ยงแท้ มันเร็ว แต่รู้ทันทุกกาละเวลา แล้วก็ยืนยันสิ่งที่ถูกต้อง
ไม่ใช่ หนึ่งไม่รู้ เปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ไม่รู้ มายากลไม่รู้ทัน นักมายากลรู้ทัน รู้แต่เอาไปหลอกคนอื่นต่อ แต่นี่มีแต่ความจริงรู้มายากลว่าเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงตลอดเวลาและบอกให้ทันทีให้ทัน สิ่งใดที่มันเป็นสิ่งที่ลงตัว เป็นสิ่งที่เสถียรแล้ว อะไรมาทำลาย มาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ง่ายๆ อสังหิรัง ไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ อะไรก็มาหักล้างไม่ได้ ไม่เปลี่ยนแปลงง่าย เที่ยงแท้ยั่งยืน นิจจัง ทุวัง สัสสตัง จึงเป็นสภาวะคุณวิเศษ เป็นคุณสมบัติที่เสถียร
นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
ให้รู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ชี้บ่งยืนยันว่านั่นแหละคือคุณความดีที่มันดี มันจริงของมันแล้วจะเป็นคุณสมบัติอย่างนี้เที่ยงแท้ยั่งยืนตลอดกาลไม่เปลี่ยนแปลงไป อะไรมาหักล้างก็ไม่ได้ไม่กลับกำเริบ เสถียร โดยเฉพาะสิ่งที่ดีแล้ว สิ่งที่ประเสริฐแล้ว สิ่งที่อาศัยได้ดี อย่างที่ชาวอโศกเราได้ เป็นต้น
จริงๆแล้ว สมบูรณาญาสิทธิราชย์ คนไหน อย่างคุณดี-เด่น ชอบ เราก็ไม่สามารถไปละลาบละล้วงคุณได้ มันเป็นสิทธิเสรีภาพ เราไม่เคยไปริดรอนสิทธิเสรีภาพใคร ใครจะสมัครใจจะชอบใจนับถืออย่างไหน เขาก็ต้องยึดถืออย่างนั้น ไปละเมิดเขาไม่ได้ ยิ่งยึดอย่างคุณ แล้วมองคนอื่นแรงๆด้วย เราก็ต้องค่อยๆมีการแสดงสถานะ Social distancing เราก็ต้องทิ้งระยะห่างกับคุณหน่อย
จริงๆแล้วเรามีความรู้ในความต่าง ความแตกต่างอย่างเป็นนิกาย หรือนานาสังวาส หรือจะมาสมานสังวาส มันก็มีความหมายตามพยัญชนะเหล่านี้ เราก็รู้ความต่างของมันดีว่าต่งกันอย่างไร เป็นภาษาวิชาการของพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้หมด วันนี้จะไม่ลงรายละเอียด
มันมีได้ในคนและกลุ่มหมู่คนในโลกนี้มันมีได้ ในคนทั้งหลาย เขาก็ยึดถือกันไป คุณกับเรานี่แหละเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า มันต้องเห็นต่างกันแน่ๆอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงว่าจะวิเคราะห์วิจัยลงไปว่า แล้วจริงๆนี้คุณกับเราจะต่างกันแบบคนละนิกาย หรือว่าทั้งชาตินี้ ก็ไม่ต้องร่วมกันแล้ว อสังวาสเลย มันจะต่างกันแค่ไหน หรือแตกต่างกันอย่างนานาสังวาส ต่างกันอย่างที่ต่างคนต่างเห็น อย่างเราก็เห็นต่างกันก็แล้วกันไปบังคับกันไม่ได้ เราก็ให้เกียรติคุณบางทีคุณอาจจะถูก ส่วนคนอื่นๆจะว่ากันไป อย่างไรก็แล้วแต่มันเป็นสัจจะของมัน
อันนี้เราเห็นว่าถูก แต่จริงๆคุณอาจจะถูก หรือจริงๆคุณไม่ถูกหรอกแต่เราถูกก็ได้ มันยังไม่ได้ตัดสิน ก็ต้องปล่อยไปอย่างนี้เป็นต้น ก็เรียกว่า จุดจบของความเห็นของตน พระพุทธเจ้าท่านตรัส ว่าต่างคนต่างทำก็แล้วกัน ท่านเรียกว่านานาสังวาส ความเห็นของเธอกับความเห็นของเรานั้นต่างกันเสียแล้ว ถ้าเราเห็นว่าต่างกันแล้ว แล้วไม่ได้เรื่องเลย เราก็ไม่ต้องยุ่งกันเลยเป็นนิกาย หรือเป็นอสังวาส เช่น คนปาราชิก หรือคนพูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว
นิกาย คือ ต่างแบบ ถึงอย่างไรก็ ถ้าจะร่วมกันก็ต้องเปลี่ยนแบบมาเข้ากัน คุณจะไปแก้กฎเกณฑ์ แก้วัฒนธรรมกันไม่ได้ คุณมาแก้เราก็ไม่ได้ เราไปแก้คุณก็ไม่ได้ ถ้าจะเข้ามาก็คือคุณต้องออกจากคณะนั้น ตามกฎเกณฑ์ ตามวินัย ตามแบบอย่างนั้นแล้วมาเข้ากับแบบอย่างเรา แต่ถ้าเป็นฆราวาสจะมาเป็นนักบวชก็ต้องสึกก่อน เรียกว่านิกาย แยกนิกาย อาตมาไม่เอาเรื่องนิกาย อาตมาเอาตามธรรมะพุทธเจ้า ก็ถือว่าเป็นชาวพุทธด้วยกัน อาตมาก็เป็นชาวพุทธคุณก็เป็นชาวพุทธ ก็เป็นคนละนิกาย อย่างเช่นมหายานกับธรรมยุต กับเรา อาตมาไม่พูดว่าพวกเราเป็นนิกายกับคนเหล่านั้นไม่ใช่ มันเป็นอนันตริยกรรม เราพยายามสมาน พยายามประสานไว้
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…อย่างเช่นพ่อขุนรามคำแหงจะเรียกว่าเป็นระบบของกษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่พฤติกรรมของท่านเป็นประชาธิปไตย
นิพพาน พุทธะ อุเบกขา สติสัมโพชฌงค์ ต่างกันไหม
_ฟังฝน..มีคำถาม…สภาพทั้ง 4 ได้แก่นิพพาน พุทธะ อุเบกขา สติสัมโพชฌงค์ คือสภาวะเดียวกันใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…ขอสรุปสั้นๆก็แล้ว
สภาวะทั้ง 4 นี้ เป็นสภาวะเดียวกันใช่ไหมก็มีสิ่งที่เป็นอันเดียวกันร่วมด้วย เช่น นิพพานก็ตาม พุทธะก็ตาม สติสัมโพชฌงค์ก็ตาม
สติสัมโพชฌงค์เป็นองค์ต้นของโพชฌงค์ และอุเบกขาเป็นข้อ 7 ของโพชฌงค์ 7 อย่างนี้เป็นต้น และอุเบกขาหรือสติสัมโพชฌงค์ มันต้องมีในศาสนาพุทธ และมันเป็นจุดสำคัญของนิพพาน นิพพาน ถ้าไม่รู้จักอุเบกขา ทำให้สภาวะจิตไม่ถึงอุเบกขา มันก็ไม่มีฐานของนิพพาน คุณสมบัติของนิพพาน จิตต้องเป็นอุเบกขา
ถ้าหากศาสนาพุทธไม่มีอุเบกขามันก็ไม่เป็นพุทธะ พุทธะเกิดไม่ได้ มันต้องมีพุทธะ พุทธะต้องมีอุเบกขาเป็นตัวชี้บ่งว่า นั่นคือจุดสำคัญของศาสนาพุทธ อุเบกขา แล้วอุเบกขาก็มีคุณสมบัติคุณพิเศษ 5 ประการ ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในธาตุวิภังคสูตร ซึ่งไม่มีอาจารย์คนไหนเอามาพูดถึงอุเบกขา 5 ประการนี้ มีอาตมาไปเจอ สัมผัสอยู่ในธาตุวิภังคสูตรนี้แหละ เล่ม 14 ข้อ 690
ถ้าอาตมาไม่หยิบเอามาพูด รับรองไม่มีใครเอามาพูด เพราะว่าเขาต้องมีเนื้อแท้ของนิพพานของอุเบกขาเป็นหลัก ถ้าไม่มีอุเบกขาแล้วไม่มีนิพพานในโลก และอุเบกขานี้ต้องเป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา ในมโนปวิจาร 18 ที่มีเนกขัมมะและเคหสิตะ อย่างละ 18 ทำให้เป็นเนกขัมมะได้ก็จบที่อุเบกขา ถ้าไม่มีอาตมาเอามาอธิบาย มันก็สูญหายไปกับกาลเวลาแล้ว เพราะมันไม่มีใครเข้าใจแล้ว ไม่เห็นความสำคัญ อาตมาก็มาคว้าทัน หยิบขึ้นมาทันทำให้พวกเราได้เข้าใจแล้วเอาไปใช้ เป็นทฤษฎีเป็นหลักสูตรเป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นสวากขาโต ก็เอามาปฏิบัติให้เกิดคุณสมบัติ คุณวิเศษตามนี้ เราก็ได้รู้ว่า
อ๋อ ปริสุทธา มันเป็นอย่างนี้ มันไม่มีกิเลส สะอาดจากกิเลส สะอาดยังไม่สมบูรณ์ถาวรก็แล้วแต่ เราก็จะรู้ นัยที่ละเอียด สะอาดยิ่งขึ้น บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นเป็น ปริโยทาตา ปฏิบัติไปก็เป็นการสั่งสมผลของความบริสุทธิ์สะอาดมากขึ้น จิตก็ยิ่งเก่งขึ้นเป็นมุทุ แล้วเราก็มีความเป็นไปของกรรม ของการปฏิบัติ มันก็จะเกิดผลจริงขึ้นมาอีกเป็น กัมมัญญา กัมมัญญา ก็ยิ่งเกิดการตกผลึกปภัสสราตกผลึกควบแน่นๆๆ ควบแน่อะไร ควบแน่นความบริสุทธิ์ เรียกด้วยภาษาคำว่าประภัสรา สะอาดผ่องใส ใสๆๆ เหมือนสำนวนของธัมมชโยแต่มันคนละเรื่องเลย
พ่อครูว่า…มาพูดถึงเรื่องบทความของที่คุณเปลวสีเงิน ต้องยกนิ้วโป้ง 2 นิ้วให้เลย ให้ชื่อบทความนี้ว่า กระจกสภา ชุมพล จุลใส นิคเนมของเขาคือลูกหมี
กระจกสภา ‘ชุมพล จุลใส’
26 กันยายน พ.ศ. 2563
“ธรรมศาสตร์” เดี๋ยวนี้ เปิดสอนคณะใหม่ๆ เก๋ไก๋จัง
นอกจาก “คณะไสยศาสตร์สามสัส” แล้ว
ยังเปิด “คณะสถุลศาสตร์การเมือง” ขึ้นมาอีกคณะ! บัณฑิตรุ่นแรกที่ขึ้นหน้า-ขึ้นตา เห็นจะไม่มีใครเกินนางสาวปนัสยา หรือ “รุ้ง”
เมื่อวาน เธอโพสต์เฟซถึงประธานรัฐสภา “ท่านชวน หลีกภัย” และ ส.ว.ทุกท่าน ด้วยการให้ “จำปียักษ์”
ทำเอาบรรดา “กุมารา-กุมารี” ผู้มีจำปียักษ์ทัดอยู่ในซอกใจ สนองตอบด้วยแต่ละจริต กรี๊ดกร๊าดสนั่นเมือง
ก็อยากบอกนางสาวรุ้งด้วยหวังดีซักนิด
วัยเธอเพิ่งฉีกผ้าอ้อมไม่นาน อาจเข้าใจผิด เที่ยวทึกทักว่าจำปียักษ์ คือประชาธิปไตยที่ฝันถึงและใฝ่หา ซึ่งมันไม่ใช่
อย่าไปสับสน…..
แล้วหลงใหลไคล้คลั่งจนขึ้นสมอง-คล่องปากอย่างนั้นเชียวนะ!
เดี๋ยวคนเขาประเมินตัวเธอและชาติตระกูลผิด ซึ่งก็เป็นผิดที่อาจใกล้เคียงความจริงอยู่บ้างก็จริง
แต่ที่เขาพลอยประเมินธรรมศาสตร์ผิดไปด้วย นี่ซี….
มันเสียหายต่อ “สถาบันศึกษา” อันเป็นส่วนรวมนะเธอ!
ถ้าอยากเป็นนางเอกประชาธิปไตยเอ็มวีเต็มตัวละก็ ที่ไล่แจกจำปียักษ์ท่านประธานรัฐสภาและ ส.ว.นั่นน่ะ
แค่นี้ ด้วยแบรนด์หมูกระทะ….
เธอก็แซง “น้องแน็ต” ขึ้นอันดับ ๑ ติดแฮชแท็กในหมู่คนล่มชาติ-ล้มสถาบัน ใต้คอนโทรลคณะสามสัสแล้ว!
แต่ถ้าเธอยังปักใจเชื่อว่าจำปียักษ์ คือประชาธิปไตย ก็สุดแต่ใจปรารถนา ด้วยเสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ เธอก็ไขว่คว้าของเธอไป
แต่แหม…
เพื่อไม่ให้บ่งถึงธรรมศาสตร์โลคลาสมากไป ถ้ายังหมกมุ่นทางนั้น ก็ไม่ควรถ่อยสถุลทั้งดุ้นทั้งเปลือกเต็มคำแบบนั้น
จะสอนการใช้กลซ่อนอักษรเกษมสำราญให้จำไปใช้นะ คนรุ่นเก่าสมัยผม ถ้าจะให้อะไรกันพรรค์นั้น เขาจะใช้ลีลากลอักษรภาษา ประมาณว่า
“คนวิ่งยิงถูกอกไก่”
ก็จำไปใช้นะรุ้ง มันค่อยถึงศาสตร์-ถึงศิลป์ทางจินตภาพ ค่อยบ่งถึงชั้นปัญญาบัณฑิตชนหน่อย!
การถกเถียง ด้วยเห็นต่างในรัฐสภา เมื่อเสียงข้างมากชี้ขาด เขาเรียกมติ ประชาธิปไตยเป็นเช่นนี้ จะถูกใจ-ไม่ถูกใจ อันผู้เจริญแล้ว ก็ต้องยึดถือปฏิบัติตามนั้น
ไม่ถือเป็นแพ้-ชนะ แล้วนำไปสู่การทะเลาะ แตกแยก และปฏิบัติการเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
การเอาแต่ที่ตนเองต้องการ เมื่อไม่ได้ ก็ยกพวกปิดล้อมรัฐสภา ตะโกนด่า มุ่งร้าย ละเมิดสิทธิเสรีภาพผู้อื่น แบบที่ทำกันนั้น
ไม่ใช่ Democracy แต่มันเป็น Demagogue (ผู้ปลุกปั่น)
พวกป่าเถื่อน อันธพาล ผีร้ายในคราบประชาธิปไตย ไม่ว่าคนรุ่นเก่า-รุ่นใหม่ หรือรุ่นไหนๆ ที่มีสำนึกในผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี เขาไม่ทำกัน
ยิ่งตะโกนจ้วงจาบ จ้องอาฆาต มุ่งล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นแกนหลักสังคมชาติ อย่างที่ทำกัน
ไม่ต้องพูดถึงผิด-ถูกด้านกฎหมายหรอก ถ้าเป็นสมัยก่อนละก็ ไม่แค่ อานนท์ เพนกวิน ไมค์ รุ้ง หรอก
ทั้ง ธนาธร-ปิยบุตร-พรรณิการ์ ด้วย ไม่ได้อยู่กวนบั้นท้ายเท้าสังคมชาติถึงวันนี้หรอก!
ถ้ามีเหตุ-มีผล ไม่ต้องมาก เอาแค่ที่ “ความเป็นคน” พึงมีก็พอ ก็จะเข้าใจว่า ที่รัฐสภามีมติ ให้เอาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญตั้ง กมธ. ๓ ฝ่ายร่วมกันศึกษาให้ตกผลึกก่อน แล้วค่อยเอามาโหวต นั้น
เป็นผลดีมากกว่าโหวตตอนนั้นเลย ถ้าโหวตตอนนั้น ๙๙.๙๙% ตกทุกร่างชัวร์ เสียง ส.ว.ที่จะเห็นด้วย ไม่ถึง ๘๔ คนแน่นอน
แก้น่ะ…โอเค แก้ได้
แต่จะแก้แบบไหน ก็เอาไปคุยนอกรอบให้ตกผลึกร่วมกันก่อนไม่ดีกว่าหรือ จะแบบรายมาตรา ก็กำหนดให้ชัดว่าหมวดไหน มาตราไหน แก้ในรัฐสภานั่นแหละ
หรือจะแก้แบบตั้ง ส.ส.ร.ก็คุยกัน ว่าจะแก้แบบไหน ถ้าจะเขียนใหม่ทั้งฉบับ กรอบอยู่ตรงไหน ต้องทำประชามติก่อนมั้ย?
มันเป็นเรื่องต้องตกลงนอกรอบกันก่อนทั้งนั้น เมื่อตกลงกันแล้ว เปิดสภาเดือน พ.ย.ค่อยโหวต
แบบนี้ ๙๙.๙๙% เป็นไปได้ที่ ส.ส.-ส.ว.จะร่วมกันรับหลักการ
แต่ไม่คิด-ไม่ตรองกัน จ้องแต่หาช่องสร้างเหตุก่อกวนบ้านเมือง ซึ่งคนส่วนใหญ่ ไม่ว่าซีกไหน ตอนนี้ เขาทุเรศพวก “รุ่นใหม่สมองหมู” กันทั้งบ้าน-ทั้งเมือง
เอาล่ะ ย้อนไปคุยเรื่องญัตติ “แก้ไขรัฐธรรมนูญให้ตั้ง ส.ส.ร.เขียนใหม่ทั้งฉบับ” ซักนิด
ประเด็นแก้ ๒๕๖ ตั้ง ส.ส.ร. “เขียนใหม่” ทั้งฉบับ ญัตติฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้านเป็นแนวทางเดียวกัน
พรรคร่วม นอกจากพรรคลุงกำนัน “พรรครวมพลังประชาชาติไทย” ที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญแล้ว
ยังมี ส.ส.ประชาธิปัตย์อีกท่าน “นายชุมพล จุลใส” หรือ ส.ส.ลูกหมี จังหวัดชุมพร ไม่เห็นด้วยกับการแก้
อภิปรายด้วยเหตุผลประกอบข้อมูลเป็นมาตรฐานวุฒิภาวะ ส.ส.ได้น่ารับฟังมาก ผมจะนำมาให้อ่านกัน ดังนี้
“ผมมีความเห็นเช่นเดียวกับประชาชนจำนวน ๑๖ ล้าน ๘ แสนคน ที่ลงมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ผมมองว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีอยู่แล้ว เหมาะสมกับสถานการณ์ประเทศขณะนี้
โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดไว้ว่า นายกรัฐมนตรีต้องเป็นบุคคลพิเศษ มีคุณสมบัติเหมาะสมที่พรรคการเมืองได้กลั่นกรองแล้ว
เสนอชื่อให้ประชาชนพิจารณา ก่อนจะมีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั่วไป ทำให้ประชาชนได้รู้จักประวัติ-ผลงานต่างๆ ก่อนการเลือกตั้งได้เป็นอย่างดี
การเลือกตั้งที่ผ่านมา คนไทยส่วนใหญ่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ด้วยความตั้งใจที่จะให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นนายกฯ เพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาของประเทศ
คนที่ไปใช้สิทธิ์ในวันนั้น ตัดสินใจ ๒ แนวทาง คือ ‘เอาประยุทธ์’ กับ ‘ไม่เอาประยุทธ์’
ถ้ารัฐธรรมนูญไม่บัญญัติบังคับไว้ แม้เลือกตั้งผ่านไป ประชาชนก็ไม่รู้ ส.ส.ในสภาจะเลือกใครเป็นนายกฯ ต้องลุ้นจนถึงวันประชุมสภา เพื่อลงคะแนนเลือกนายกฯ
ผมมีประสบการณ์ในบรรยากาศลงคะแนนเสียงในสภาผู้แทน เพื่อเลือกนายกฯ มาแล้วหลายครั้ง เช่น การเลือกตั้งทั่วไป ปี ๒๕๕๐
การเลือกตั้งทั่วไปในครั้งเดียว มีเหตุให้สภาชุดนั้นเลือกนายกฯ ถึง ๓ ครั้ง ครั้งแรกสภาผู้แทนลงคะแนนเสียงข้างมากเลือก ‘นายสมัคร สุนทรเวช’ เป็นนายกฯ
หลังจากนั้น มีการเลือกนายกฯ ขึ้นมาใหม่ สมาชิกสภาผู้แทนเสียงข้างมาก เลือก ‘นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์’
และครั้งต่อไปเลือก ‘นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ ตามลำดับ แต่ในการเลือกตั้งครั้งที่ ๓ เกิดปัญหา คือ ‘ฝ่ายแพ้ไม่ยอมแพ้’ อ้างว่า การดำรงตำแหน่งนายกฯ ของนายอภิสิทธิ์ไม่ชอบธรรม
ทั้งที่เป็นสภาและ ส.ส.ชุดเดิม เป็นผู้ลงคะแนนเลือกนายกฯ เหมือนกันทั้ง ๓ ครั้ง!
หลังจากนั้น เกิดเหตุจลาจลในบ้านเมือง มีการปิดล้อมรัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งล้อมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน
นำกำลังติดอาวุธออกมาเข่นฆ่าประชาชน ทำให้ประเทศเสียหายอย่างรุนแรง
และประสบการณ์ครั้งล่าสุด ได้ร่วมกับ ส.ส.ในสภานี้ ลงคะแนนเสียงเลือกนายกฯ คนปัจจุบัน
วันนั้น ถ้าจำได้ เป็นการแข่งขันระหว่าง ‘พลเอกประยุทธ์’ และ ‘นายธนาธร’
ปรากฏว่า ส.ส.ในสภาเลือก ‘พลเอกประยุทธ์’ เป็นนายกฯ ๒๕๑ คน เลือก ‘นายธนาธร’ ๒๒๔ คน
จากผลลงคะแนน พลเอกประยุทธ์ได้เป็นนายกฯ ทำให้เกิด ‘ขบวนการนอกสภา’ โจมตีพลเอกประยุทธ์ คือ ‘นายกฯ เผด็จการ’
นี่ก็เช่นเดียวกัน ที่เป็นเรื่องของ ‘ฝ่ายแพ้แล้วไม่ยอมแพ้’ ซึ่งเหตุการณ์นี้ เหมือนกับเหตุการณ์ในอดีต เพราะทั้งนายอภิสิทธิ์และพลเอกประยุทธ์ ได้เป็นนายกฯ ตามระบบรัฐสภา
เมื่อเลือกตั้งเสร็จ โหวตเลือกนายกฯ แข่งกัน เมื่อแข่งแพ้ ก็โจมตีฝ่ายชนะว่า ‘เป็นนายกฯ เผด็จการ’
สำหรับการที่เรียกร้องให้ออกมาแก้ไขรัฐธรรมนูญในคราวนี้ ก็เพราะว่า ‘แพ้เลือกตั้ง’ แพ้ที่ลงคะแนนเลือกนายกฯ ในสภา
หากฝ่ายตนเองชนะการเลือกตั้ง ก็จะไม่พูดว่า ‘นายกฯ เผด็จการ’
สิ่งที่เกิดเรื่อง สมัยปี ๒๕๕๔ (ยุคยิ่งลักษณ์-เปลว) เป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดที่อยู่ในสภาแห่งนี้มา รัฐบาลในขณะนั้น ได้ใช้เสียงข้างมากในการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยไม่ฟังเสียงใคร
ออกมาเพื่อล้างผิดให้ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ และพวกพ้องให้พ้นผิด นั่นคือ รัฐบาลเลือกตั้ง ที่ไม่ฟังเสียงประชาชน เป็นรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยฉบับหนึ่ง
จนในที่สุด มีประชาชนจำนวนหนึ่งออกมาประท้วงต่อต้าน ยาวนานถึง ๗ เดือน
ผมเป็นคนหนึ่งที่ลาออกจากการเป็น ส.ส.และออกไปเป็นแกนนำต่อสู้ร่วมกับประชาชน เพราะไม่มีทางเลือกอื่น รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน…..
ร่างขึ้นโดยกำหนดกฎเกณฑ์ในการปกครองบ้านเมือง เพื่อแก้ไขไม่ให้มีเหตุการณ์ทางการเมืองที่เลวร้ายอีก
คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ จึงร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ขึ้น โดยมีบทบัญญัติต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ของประเทศ ประชาชน ๑๖.๘ ล้านคน ได้พร้อมใจกันลงมติเห็นชอบให้ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ
ใช้มา ๓ ปีแล้ว ประชาชนเห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้แก้ปัญหาในประเทศ คือ ‘แก้ปัญหาเผด็จการรัฐสภา’
มาวันนี้ จึงมองไม่เห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีอะไรที่บกพร่อง เสียหาย จนต้องฉีกทิ้ง ยกเลิก และร่างใหม่
หากมีความบกพร่องในทางการเมืองหรือการปกครองในขณะนี้ ก็เป็นเรื่องของคน, นักการเมือง หรือพรรคการเมือง ไม่ใช่ความบกพร่องของรัฐธรรมนูญ
สำหรับในแง่ตัวบทกฎหมาย บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญหมวดที่ ๑๕ ว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติม โดยเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
‘อนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมมาตราใดมาตราหนึ่ง ไม่ใช่เขียนใหม่ทั้งฉบับ’
จึงเห็นว่า ญัตติให้ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ทั้งฉบับนั้น ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ใช้ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ญัตติแก้ไข มาตรา ๒๗๒ เข้าใจว่า มีความประสงค์ไม่ให้ ส.ว.ออกเสียงเลือกนายกฯ
ข้อเท็จจริง มาตรานี้ เป็นมาตราหนึ่งในบทเฉพาะกาลที่บังคับใช้เฉพาะ ๕ ปีแรกเท่านั้น เมื่อพ้น ๕ ปีแรก ส.ว.ทั้งหลาย หมดสิทธิ์ที่จะเลือกนายกฯ
การเลือกนายกฯ ต้องปฏิบัติตามมาตรา ๑๕๙ คือ ส.ส.เท่านั้น ที่จะสามารถให้ความเห็นชอบ
ซึ่งในทางปฏิบัติ ใครจะเป็นนายกฯ ได้ ต้องมีเสียง ส.ส.สนับสนุนเกินครึ่งของสภาผู้แทน แม้ ส.ว.ลงคะแนนให้ สุดท้าย ก็ต้องใช้เสียง ส.ส.สนับสนุน
หากวันใดที่มีการเสนอ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ในวาระแรก มีเสียงสนับสนุนไม่ถึงครึ่ง ก็ต้องลาออก
หากเป็นเช่นนั้น ก็คงเป็นรัฐบาลได้เพียงเดือนเดียว ดังนั้น มาตรา ๒๗๒ จะแก้ไขหรือยกเลิก ไม่ใช่สาระสำคัญ”
ครับ…..
นี่คือคำอภิปรายของ “ส.ส.ชุมพล จุลใส” ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ที่สังกัด ตัวซี้-ตัวสั่น จะแก้เพื่อตั้ง ส.ส.ร.ท่าเดียว
“นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” อ่านซะ………
สำนึกภาวะ “หัวหน้าพรรค” จะได้เกิด!
สังคมเศรษฐกิจจะดีจริงต้องมาจากจิตประชาธิปไตย
พ่อครูว่า…ในประชาธิปไตยต้องมีฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลเป็นประชาธิปไตย แล้วประชาชนต้องออกความเห็นร่วม อะไรควรสนับสนุนอะไรควรจะคัดค้านเราก็ออกไปอย่างนี้โดยไม่ต้องไปในสภาหรอก เราเป็นพวกนอกสภา เราเป็นประชาชนเต็มขั้นแล้วก็มีส่วนมีสิทธิ์ตามสิทธิ์ของประชาชนในประเทศเพราะเป็นประชาธิปไตย ไม่ได้มีความผิดอะไร ไม่ได้ส่อเสียดไม่ได้หาเรื่องเป็นความจริงใจ ไม่ได้หยาบคายด้วย
เพราะฉะนั้นในความเป็นประชาธิปไตยของประเทศนี้จึงจะต้องมาทำความเข้าใจกันให้ดีๆ ประชาธิปไตยจะดี ก็ต้องประกอบไปด้วยเศรษฐกิจดีสังคมกิจดี ให้ชัดเจนไปกว่านั้นก็คือต้องมีธรรมกิจดีเป็นหลักเลย ประชาธิปไตยนี้สุดยอด
ประเทศใดที่มีธรรมะ เป็นธรรมดาอันประเสริฐ โดยเฉพาะเป็นโลกุตรธรรม เราจึงเป็นตัวอย่างของโลก ไม่ได้พูดอย่างลอยลม ไม่ได้หลงตัวตน แต่เป็นตัวจริงเรื่องจริง เพราะคนยังเข้าใจเรื่องของความสมบูรณ์แบบในคำว่าประชาธิปไตยในโลกนี้ ยังเข้าใจกันไม่ได้ยังหลงผิดกัน นึกว่าพฤติกรรมแบบอเมริกา ประชาธิปไตยที่เป็นตัวอย่างอันเยี่ยม นี่ดูทุกวันนี้ได้ดูกันว่าจะไปรอดหรือไม่รอด เอาตัวรอดให้ได้เถิด ดูกันไป
ตอนนี้จะเห็นได้ว่า 3 ประเด็นใหญ่ของอเมริกานี้คือ
-
สุขภาพ คะแนนตกที่ 100 เป็นอันดับ 1 ของสุขภาพแย่ โควิดมาคราวนี้มันชี้บอกให้เห็นเลยว่าไม่ได้มีความรู้ความสามารถที่จะป้องกัน covid ได้เลย นำโด่งเลย มีคนตายคนเจ็บเป็นที่หนึ่งเลย
-
อำนาจเงิน ตอนนี้ ดอลลาร์ก็เข้ารักษาตัวเลขอัตราของเขาได้ แต่ใครจะเล่นกับเขาล่ะ อาตมาว่า คนจะไปสะสมเงินหยวนมากกว่าเงินดอลลาร์แล้ว ประเทศไทยเราไม่ได้บังอาจจะไปแข่งขันเขาหรอก พวกเราเงินบาทไม่ไปแข่งขันกับเขาหรอก
-
อาวุธ อย่าทำเป็นเล่นไป แต่ก่อนนี้ใช่อเมริกาที่ 1 ทางรัสเซียก็ทำแข่ง ตะวันออกกลางก็ทำแข่ง หนักเข้า ยังไม่รู้ตัว เกาหลีเหนือประเทศเล็กๆมันแข่งชุ่มสร้างระเบิดนิวเคลียร์ จนตอนนี้เป็นตัวเด่นเลยนะ ถ้าไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ เกาหลีเหนืออยู่ไม่ได้หรอก ยุบไปแล้ว แต่นี่เก่งทำอันนี้ไว้ได้ ก็ใช้เป็นเรื่องของโลกที่ใช้เขี้ยวงา ใช้อำนาจบาทใหญ่ ซึ่งมันไม่ถาวรหรอกพวกนี้ มันตกยุคไปแล้ว ยุคเจงกิสข่าน อเล็กซานเดอร์มหาราช จะต้องใช้อาวุธใช้เขี้ยวงาไปเบ่งล่าอาณาจักร มันไม่ได้แล้วในยุคนี้ มันต้องเอาความดี เอาคุณธรรมเป็นสิ่งประเสริฐซึ่งกำลังขึ้น แต่ยังไม่ชัดเจนทีเดียว แต่พอรู้กันทั่วโลกแล้วคุณงามดีสิ่งที่ดี