630925_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เศรษฐกิจจะดีต้องมีวรรณะ 9
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1gN3SUwbV0JXz60EDWXLKYvsbCxwDZMWwj5mnCpc30cc/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1tcDeMJI2RkLFnJbEYA9AIoxFYhe516hu/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/ot6ULqyO8k4
สมณะเดินดินว่า… วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 15 กันยายน 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ประเทศไทยก็ผ่านเหตุการณ์ระทึกในวันที่ 19 และวันที่ 24 แต่ก็ทำให้สังคมมองภาพชัดขึ้น คืนวันที่ 24 เขาก็นัดชุมนุมหน้ารัฐสภา เพื่อกดดัน สส.สว.รณรงค์โหวต แก้ รธน. แต่ สว.ที่ไม่กลัวกระแสกดดันก็กล้าคัดค้าน ทำให้สรุปแล้วต้องเลื่อนไปอีก 1 เดือน พวกที่มาประท้วงก็ไม่พอใจ ออกมาตะโกนด่าอย่างหยาบคาย ทำให้คนเห็นว่าไม่น่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ยิ่งแกนนำที่เป็นผู้หญิงก็ไปเขียนให้อวัยวะเพศผู้ชายกับประธานชวน ซึ่งใครๆก็ยอมรับนับถือว่า ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอด
พ่อครูว่า..ผกาเงินกลิ่นหอมกว่าผกาไพร
สายลมแผ่วพัดพริ้ว รำเพย
เสียงขลุ่ยครวญเช่นเคย กล่อมไซร้
นิทราหลับเคียงเขนย เสพสุข สูเอย
จวบรุ่งอรุณปลุกให้ อลเวง
แรกอุทัยไก่แจ้ ขานขัน
ต้อนรับดวงตะวัน รุ่งแล้ว
ต้องรีบตื่นโดยพลัน อย่าชัก-ช้าเลย
แสงดุจเพชรเพริศแพร้ว พิศพริ้งพรรณราย
โควิดทำโลกสะท้าน สั่นสะเทือน
มิใช่มิตรมาเยือน สู่เหย้า
ใครประมาทถูกเฉือน ชีพดับ ดิ้นเฮย
อาวุธร้ายของเจ้า ผ่อนสู้โรคา
กลิ่นผกาหอมยั่วให้ ภุมริน
โฉบเฉี่ยวเชี่ยวโบยบิน คลุกเคล้า
หมู่ภมรเสพถวิล หลงรสผกาฤา
สิ้นสุขภมรเศร้า โศกซึ้งกำสรวล
หน้าฉงนมีดอกเบี้ย เงินตรา
ไร้กลิ่นสู่นาสา สักน้อย
คนสมมุติมันมา ในโลกนี้เฮย
เสียงสวดประสานสร้อย เสร็จแล้วรับซอง
ถึงกาลแก่หง่อมแล้ว ทำไฉน
ยอมลดหมดอาลัย บ่สู้
ศาสนาพุทธฝึกใจ กล้าแกร่ง
ปัจจุบันรับรู้ ห่อนท้อถอยหลัง
ก่อนปิดฉากสุดท้าย วายชนม์
บรรลุฤๅมรรคผล พุทธแท้
โลกุตระควรดล เงี่ยโสต สดับธรรม
มุ่งสู่สุคติแล้ แห่งห้วงอรหันต์
ครู พงษ์พากเพียร เตียงประโคน บันทึก
อ. เป็นต้น นาประโคน ประพันธ์
23 กันยายน 2563
SMS วันที่ 23-24 ก.ย. 2563
_คอยใคร : ต่างชาติบอกว่าคนไทยโชคดีที่มีกษัตริย์ที่รักประชาชนทำงานเพื่อประชาชน แต่คนไทยบางคนบอกไม่อยากให้มีกษัตริย์ อยากมีประธานาธิบดี ..เศร้าครับ
พ่อครูว่า..กษัตริย์มีการสืบสันตติวงศ์สืบชาติเชื้อกันมา แต่ว่าแบบประธานาธิบดีนั้นใช้แทคติกใช้วิธีการอะไรขึ้นมาก็ได้เป็น มันก็คือเรื่องของวิธีการกลเม็ดความฉลาดแกมโกงทั้งนั้นที่ได้มาเป็นประธานาธิบดี ส่วนพระเจ้าแผ่นดินนั้น ลึกๆไปกว่านั้น จะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน มันมีบารมีทางวิบากเก่า อยู่ดีๆจะไปเกิดเป็นลูกหลานพระเจ้าแผ่นดินเป็นเชื้อพระวงศ์ไม่ได้หรอก อยู่ๆคุณก็เกิดเป็นเชื้อพระวงศ์ไม่ได้ อยากเกิดก็ไปเกิดเอาไม่ได้ มันมีวิบากกรรมสั่งสมมา อันนี้เป็นอจินไตย มีความสืบทอดของกรรมพันธุ สืบทอดของแต่ละคนมาด้วย
กรรมพันธุ เป็นของตนคนเดียวจะมีบารมีสั่งสมมาก็ต้องมีเองสั่งสมมาไม่รู้กี่ชาติ ไม่ใช่ธรรมดาจะเกิดมาเลยเกิดมาได้ง่ายๆจะเป็นเชื้อพระวงศ์ได้ง่ายๆเอาสตางค์ซื้อเอา ก็ไม่ได้หรอก
_คอยใคร…กราบเคารพพ่อครูครับ
เมื่อวันพุธผมกำลังฟังพ่อครูอ่านแมสเสทของคนที่ว่า(ด่า)พ่อครูแล้วมีญาติธรรมท่านนึงของขึ้นส่งแมสเสทว่าสวนกลับไป ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาด้านหลังผมว่า ” แมสเสทที่ส่งมามันเป็นพวกอวตานไม่มีตัวตนหรือไม่ก็พวกรับจ้างมาว่าอโศก ” เป็นเสียงแฟนผมที่กำลังเล่นมือถืออยู่ครับ แต่ประเด็นคือผมไม่สนว่าที่แฟนผมพูดจริงหรือไม่จริง ประเด็นมีอยู่ที่ เขาก็ฟังพ่อครูอยู่เช่นกัน แสดงว่าน้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างจาน แชมพูล้างรถ ทำให้เขาสนใจชาวอโศกขึ้นมาบ้างแล้วครับ
คำถามครับ ทำไมแชมพูสระผมน้ำมันมะพร้าวของบ้านราชถึงไม่มีกลิ่นน้ำมันมะพร้าว หรือมีก็น้อยมาก มีแต่กลิ่นน้ำยาที่ผสมมากกว่า แฟนผมขอถามฝ่ายผลิตบ้านราชด้วยครับ กราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยความเคารพครับ
คำตอบจากหม่องแชมพู อธิบายว่า ที่ไม่ค่อยมีกลิ่นน้ำมันมะพร้าวเพราะใส่น้อย ใส่มากไม่ได้ จะทำให้แชมพูเสีย .. ถ้าต้องการกลิ่นหรือตัวน้ำมันมะพร้าว เราเองต้องเติมใส่ต่างหาก และขอขอบคุณที่บอกมา ต่อไปจะปรับปรุงฉลากให้เข้าใจชัดเจนขึ้นค่ะ
ความชอบธรรมอยู่แค่จุดปัจจุบันเล็กนิดเดียว
_จาก ส.บินก้าว : ต้องกราบนมัสการถามพ่อท่านให้ช่วยอธิบาย และให้คำนิยาม ต่อคำว่า ” ขาดความชอบธรรม ” หลายครั้งในคำพูดคนจะบอกว่า หมอนี่ขาดความชอบธรรมแล้ว ออกไปได้แล้วและมันคืออย่างไรจริงๆ
ฆราวาส ขาดความชอบธรรม นักบวช ขาดความชอบธรรม คือ ลักษณะใดครับ
พ่อครูว่า..ขาดความชอบธรรมหมายความว่าง่ายๆก็คือ มันไม่ถูกกับหลักเกณฑ์ไม่ถูกกับความที่ควรจะเป็น มันออกนอกลู่นอกทาง มันไม่ควรจะต้องเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่าอย่างนั้น คำว่าธรรมะหมายความว่าทรงอยู่ เพราะฉะนั้นองค์ประกอบที่ทรงอยู่ในทุก status quo ในทุกสถานการณ์ปัจจุบันขณะนั้น มันก็คือองค์ประกอบอยู่ในขณะนั้น เดี๋ยวมันก็มีเหตุปัจจัยเข้ามาทำให้เปลี่ยนแปลง อย่าไปยึดมั่นถือมั่นในลักษณะปัจจุบันนั้นๆ อาตมาก็บอกว่า ความจริงที่จริงมันเล็กนิดเดียว ปัจจุบันเป็นจุดเล็กนิดเดียว พอเวลาเคลื่อนไป มันก็จะเปลี่ยนแล้วเคลื่อนที่ไปมันก็จะเปลี่ยนมีเหตุปัจจัยอื่นมาผสมอีกไม่คงที่ก็ไม่ใช่ของเดิม ดังนี้เป็นต้น
พระพุทธเจ้าถึงสรุปว่าความจริงมีสิ่งเดียวเลย คุณมี 0 ของกิเลสอย่างเที่ยงแท้มั่นคงแน่นอน คุณทำ 0 นั้นอย่าง คุณมี 0 เท่ากันทุกคนตั้งแต่พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทุกองค์และพระอรหันต์ขี้กะโล้โท้ ก็มี 0 เท่ากัน นอกนั้นไม่มีอะไรเท่ากันมี 1 มี 2 ก็ไม่เท่ากัน มีหลากหลายมิติไปเรื่อยๆ นี่ก็สำทับ หรือว่าย้ำซ้ำ จะเรียกว่าสรุป จี้ลงไปให้เห็นว่า สัจธรรมอย่างเดียวไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายๆ อยู่ในจูฬวิยูหสูตร อ่านดีๆ คุณจะหัวแตกไปง่ายๆ อ่านดีๆ
สังคมที่มีเศรษฐกิจดีเป็นเช่นนี้
พ่อครูว่า..มาเข้าเรื่องคำว่าเศรษฐกิจมาจากคำว่า เศรษฐะหรือเสฏโฐ แปลว่าความประเสริฐความเจริญของอะไรก็แล้วแต่
เศรษฐกิจเป็นความเจริญองค์รวมของสิ่งที่อาศัย ใช้สอยใช้กินใช้อยู่ ในสังคมใดก็แล้วแต่ก็ถือว่าสังคมกลุ่มนั้นมีเศรษฐกิจดีหรือไม่ ตั้งแต่บ้านๆหนึ่งครอบครัวหนึ่งก็เป็นเศรษฐกิจของครอบครัว เมื่อมีหลายบ้าน ก็เป็นหมู่บ้าน ก็เป็นเศรษฐกิจของหมู่บ้าน มีหลายๆหมู่บ้านก็เป็นตำบล ก็เป็นเศรษฐกิจของตำบล จากหลายๆตำบลก็เป็นอำเภอ จากหลายอำเภอก็เป็นจังหวัด หลายจังหวัดรวมกันก็เป็นประเทศ ก็เป็นเศรษฐกิจของประเทศ
ก็คือสิ่งที่มีกินมีใช้ในประเทศต่างๆตรงนี้มันเฉลี่ยกันแบ่งกัน มันไปได้ดีแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ไม่แย่งชิงกันไม่ฆ่าแกงกัน ไม่หดทำอะไรต่อกันอบอุ่น เพื่อแพร่แจกจ่ายมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ต่างคนต่างขยันพากเพียรสร้างสรรค์อันไหนดูดี
แม้จะไม่มีคงคลังเก็บไว้ในที่กักเก็บมาก แต่เราก็สร้างทุกวัน อาตมาถึงบอกว่า ทรัพย์อยู่ที่กองคลังหรือกองทุนที่เก็บไว้คือทรัพย์แท้ อันนั้นคือความโลภแสดงถึงรูปธรรมของความโลภคนคนนั้นประเทศนั้น ทรัพย์แท้ๆนั้นอยู่ที่ความสามารถและความรู้และความขยัน คุณมีความรู้ความสามารถและคุณก็ขยันทำ ผลผลิตออกมามีแรงงานออกมามันก็เกิดผลผลิตแรงงานที่เอาไปใช้ แล้วมันก็หมดไป ก็ขยันทำอยู่อย่างนี้ ขยันทำขยันสร้างมันก็มีเรื่อยๆ มันก็เกิดขึ้นมาเรื่อยๆตามแรงงานความสามารถกับความขยัน หากว่าคุณมีความรู้แต่ไม่ลงมือทำมันจะเกิดอะไรขึ้น หรือพวกที่ขยันแต่ไม่มีความรู้เขาบอกว่าพวกที่ขยันแต่โง่คนพวกนี้ทำให้เกิดความบรรลัย ชิบหายหมดเลย ขยันทำเสียหายหมดเลยมันก็ไม่ได้ จึงมีนิยามชัดเจนว่าทรัพย์คืออะไร ทรัพย์ของมนุษย์คือความรู้ความสามารถและความขยัน
อันนี้แหละอาตมาพาพวกเราทำสำเร็จ เป็นแสงสว่าง ที่พูดกันว่าเศรษฐกิจตกต่ำ มีคนบอกว่าเศรษฐกิจเมืองไทยย่ำแย่ตกต่ำ คือเป็นการพูดใส่ร้าย คนที่พูดอย่างนี้ ขณะนี้อาตมาก็ขอยืนยันว่าเศรษฐกิจเมืองไทยดีที่สุดในโลก คนที่พูดว่าเศรษฐกิจไทยย่ำแย่ทุกวันนี้คือคนที่ไม่มีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์เลย เข้าใจทางเศรษฐศาสตร์ผิดไปหมด ยังไม่ถูกต้องรวมตัวไม่ได้จบดอกเตอร์ 3 ใบ 5 ใบทางเศรษฐศาสตร์มาด้วย
ความรู้ที่เป็น เสฏฐะหรือเสฏโฐ แปลว่าความประเสริฐที่สุด หรือแปลว่าวัตถุ อะไรที่บอกว่าเศรษฐกิจ ธนบัตร เศรษฐกิจผลไม้เศรษฐกิจทองคำเศรษฐกิจเพชรนิลจินดา
คุณต้องการอะไรในสิ่งที่ควรต้องได้ต้องมีต้องเป็น หากว่าจะเป็นเศรษฐกิจอยากได้อะไรก็เอามาให้ได้อย่างนั้นมันโง่แล้ว มันได้สิ่งนั้นตามปรารถนา เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจคำว่าเศรษฐศาสตร์ไม่ได้เลยมีเยอะมาก จะสรุปนิยามคำว่าเศรษฐกิจดีลงไปให้มันชัดเจนไม่ง่ายเลย อาตมาก็พูดมานานแล้ว นี่ก็กำลังสรุปและขยายในตัว
เท่าที่อาตมาเข้าใจว่าเศรษฐศาสตร์ที่ควรจะเป็น ที่อธิบายว่าเศรษฐศาสตร์แบบคนจน เศรษฐกิจแบบคนจน มันคืออะไร แล้วมันจะดีขึ้นจะประเสริฐอย่างไรคนจน เพราะเขามี Concept คำว่าคนจนคือคนขาดแคลนคนเดือดร้อนคนดิ้นรนคนที่ทุกข์ยาก มันก็เข้าใจยังมันได้เหมือนกัน ในบริบทของเขากับบริบทของเรามันต่างกัน องค์ประกอบของเขากับองค์ประกอบของเรามันต่างกัน คุณพูดอย่างนั้นเพราะคุณก็เข้าใจแบบของคุณก็ไม่ได้ไม่พอสักที คนรวยก็รวยล้น คนจนก็จนมากมาย มันก็ไม่จบสักทีไม่ดีสักที
อย่างชาวอโศกไม่มีใครรวยหรือว่าไม่มีคนจนกันมากมาย แต่จนมาพบกันเสมอกันมาหาความสูญ มันมีวันจบ เศรษฐศาสตร์ที่มาหาความจนเป็นหลักและเป็นเศรษฐศาสตร์ที่ไม่มีของของตนอย่างนี้คนโลกีย์เข้าใจได้ยาก มันจะอยู่อย่างไรมันไม่มีของของตน มันจะกินใช้อย่างไร เราก็อธิบายว่ากินกับส่วนกลางใช้กับของส่วนกลาง ส่วนกลางอุดมสมบูรณ์
เขาก็จะบอกว่าชาวอโศกไปเอาของของกลางมาใช้อย่างไร
พ่อครูว่า…ของส่วนกลางของเขาเอามาใช้ไม่ได้นะ แต่ของที่นี่เอามาใช้ได้ทุกคน เขาคิดไม่ออก เพราะไม่มีประสบการณ์ ไม่เคยเห็นคนแบบนี้ ไม่เคยอยู่กับคนประเภทนี้ แต่คนที่มาอยู่ที่นี่แล้วเข้าใจว่ามันมีสาธารณโภคีของส่วนกลาง แบ่งกันกินกันใช้อยู่ เขาอยู่กันอย่างสบายไม่เดือดร้อนไม่วุ่นวาย ไม่มีวุ่นวายเรื่องเงินทอง วันๆนึง อย่าว่าแต่วันหนึ่งเลย เดือนหนึ่งก็ไม่ได้ใช้เงินสักบาทอะไรอย่างนี้ อยู่กันไปกินกันอย่างสุขสำราญ เดือนนึง 5 เดือนไม่ต้อง หรือว่าเดือนนึงก็ใช้เงินบ้างสักวันสองวันนิดๆหน่อยๆของส่วนกลาง เราต้องรู้ว่าเราเอาเงินของส่วนกลางไปกินไปใช้ส่วนตัวนะ มันก็มีความเข้าใจกันได้
สู่แดนธรรม…ถ้าบอกว่าทำงานแล้วเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์เขายิ่งฟังไม่ได้
พ่อครูว่า…เขาก็ยิ่งไม่เชื่อแต่เขาไม่กล้าขัดแย้งเพราะเราทำได้แต่เขาไม่กล้ามาพิสูจน์เพราะกลัวจะเจอความจริง เมื่อเจอความจริงเข้าแล้ว เขาเองเขาทำไม่ได้ เขาก็ละอาย ก็เชิญมาพิสูจน์ผู้ที่จะศึกษาความจริง
เท่าที่เขาเองนิยามความเป็นเศรษฐกิจดีคืออย่างไรของแต่ละคน แต่ทีนี้ของเราเศรษฐกิจดีของเราคือเอาที่แต่ละคนไม่มีความเป็นตัวกูของกู ไม่ยึดถือว่ามีอะไรเป็นตัวกูของกู ก็มีของส่งกลาง เราก็ชัดเจนว่าของที่นี่มีส่วนที่เป็นของส่วนกลางจริงๆคุณก็มีสิทธิ์ที่จะกินใช้เขาตกลงดูแลกันแล้ว ว่าคนนี้ควรให้เขาก็ให้ แต่คนไหนไม่ควรเขาก็ไม่ให้ เห็นแล้วว่าเขาเอาไปทำเป็นประโยชน์ไม่ใช่เพื่อการเสพบำเรอตน สิ่งที่ควรเขาก็ให้ นี่คือสัจจะที่ละเอียดลออ
เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจไม่ตรงกันว่าเศรษฐกิจดีคืออะไร เศรษฐกิจที่เป็นของสังคมประเสริฐสุดเป็นเสฏฐะ เข้าใจถึงขั้นสูงสุดสมบูรณ์แบบเป็นสาธารณโภคีมันสุดยอดแล้ว พระพุทธเจ้าทำอันนี้ตั้งแต่สมัยเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นยุคที่มนุษย์ไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชนเป็นพวกทาสและพวกลูกทาส นายทาสก็เอาเปรียบเอารัดข่มเหงได้เอา ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปแย้ง แต่ของพระพุทธเจ้าทำได้ ในวงของท่าน ต้องมาเป็นนักบวช ถ้าไปเป็นฆราวาสต้องอยู่ในอาณัติของพระเจ้าแผ่นดินเป็นทาส แต่เมื่อมาบวชกับพระพุทธเจ้าแล้วไม่ต้องไปเป็นทาส พระพุทธเจ้านั้นจึงยิ่งใหญ่
มีข้าราชบริพารที่รับใช้ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดิน แต่เมื่อเขามาบวชอยู่กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถามพระเจ้าแผ่นดินว่าจะเอาคนของท่านคืนไปไหม พระเจ้าแผ่นดินก็บอกว่าไม่เอาคืนหรอก ต้องยิ่งส่งเสริมให้ไปเป็นนักบวช
ขนาดพระเจ้าอชาตศัตรูก็ไม่สามารถเป็นพระโสดาบันได้ เพราะว่ามีอนันตริยกรรมทำปิตุฆาต ก็ยังบอกอย่างนั้นเลย เพราะท่านเป็นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นผู้ที่ไม่เป็นภัยต่อโลก แล้วก็ยังรับใช้โลกช่วยเหลือมนุษยชาติด้วย ซึ่งเป็นคนที่มีคุณสมบัติประเสริฐแล้ว ไม่เป็นพิษภัยต่อใคร แต่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นไปแล้ว ต้องลุกรับลุกไหว้แก่ท่านด้วย ส่งเสริมเกื้อกูลสิ่งที่ท่านขาดแคลน เพราะท่านเป็นคนไม่สะสมเป็นคนไม่มีของของตน เป็นคนที่มีเศรษฐกิจที่สะพัดเร็ว มีอะไรมาก็สะพัดได้ทันทีไม่สะสม การไม่สะสมของพระพุทธเจ้านั้น แม้แต่อาหาร แม้แต่ยาที่เป็นปัจจัยชีวิต ก็ไม่สะสมไว้ให้มันเกิน 7 วัน จะมาสะสมเกินเวลาไม่ได้ ยาวกลิก ยามชีวิก ต่างๆ มีรายละเอียดอีกเยอะ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
ส.เดินดินว่า…
พ่อครูว่า..พูดถึงตรงนี้ก็นึกถึงหลวงปู่พุทธะอิสระ แจกอาหารอยู่ที่โน่น มีคนส่งคนมาเก็บมะละกอที่นี่เลย เดี๋ยวน้ำมันจะท่วมนะ เก็บใส่ไปรับรองได้หลายตัน เอาไปทำแจกทางโน้น เราก็ไม่มีแรงงานไม่มีผู้คนที่จะเก็บผลผลิตส่งไปให้ ท่านมีคนมีรถมารับไปเลย
เศรษฐกิจดีต้องมีวรรณะ 9
เศรษฐกิจดีก็คือ คนมีคนดีๆ คนที่ประเสริฐคนชั้นสูงเรียกว่าคนมีวรรณะ The Classic เป็นคนชั้นสูงแต่ไม่ได้เป็นชั้นวรรณะที่เป็นพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ สูตรอย่างนั้น แต่เป็นวรรณะ 9 เป็นคนมักน้อย สันโดษ ใจพอ เป็นคนมีศีลเคร่ง ธูตะ มีอาการหน้าเริ่มใส ไม่สะสมยอดขยัน คุณสมบัติ 9 อย่างนี้อยู่ในคนแต่ละคนมากหรือน้อยก็แล้วแต่ คนที่มีคุณสมบัติ 9 อย่างนี้เต็มครบก็ยิ่งสูงสุดประเสริฐเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้น 1 อยู่ในนั้น แล้วคนที่มีคุณสมบัติวรรณะ 9 นี้แหละมารวมกันเป็นสังคมก็จะเกิดสังคมสาธารณโภคีหรือสังคมสาราณียธรรม 6 ก็จะอยู่กันด้วยกายกรรมก็มีเมตตากัน วจีกรรมก็มีเมตตากัน มโนกรรมก็อยู่ด้วยเมตตากัน แล้วก็มีสาธารณโภคีมี ลาภโดยธรรม สร้างผลผลิตได้ขึ้นมาก็เอามารวมกันกินใช้ เหลือเฟือก็แบ่งแจกคนอื่นไป แล้วก็พัฒนาตนไปตามลำดับ มีศีลสามัญญตา มีทิฏฐิสามัญญตา ตามลำดับ หมายความว่าพัฒนาตามหลักเกณฑ์ ความเห็นสูงสุดก็เป็นนิพพาน ส่วนมีศีลนั้นตามหลักเกณฑ์พระโสดาบันเสมอพระโสดาบัน ผลจากพระโสดาบันก็เป็นพระสกิทาคามี ก็จะมีเสมอกับสกิทาคามีมี Adaptation เช่นอีกไม่รู้กี่ชั้น ซับซ้อนกันอยู่
จากพระสกิทาคามีก็เป็นพระอนาคามี จากพระอนาคามีก็มีระดับชั้นอีก อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ อาตมานี้นิยตโพธิสัตว์ จากนั้นก็เป็นมหาโพธิสัตว์อีก พิสูจน์กันไป เราก็ต้องทำไปจนคนตาบอดเห็นได้เลย เป็นสำนวนโวหาร จนคนไม่รู้ประสีประสาสามารถรู้ได้ สัมผัสได้ว่าอย่างนี้เจริญ คนตาบอดก็รู้ได้อย่างนี้เป็นต้น ไม่ใช่แค่ภาษาปากเปล่าความจริงต้องเป็นเช่นนั้นก็ทำให้ถึงขั้นนั้น แต่มันไม่ง่ายแต่มันดี
คนที่ยังไม่รู้ค่ารวม Concept ที่เข้าใจว่าเศรษฐกิจดีคืออะไร อย่างไร เช่น เข้าใจง่ายๆตื่นๆว่าเศรษฐกิจดี คือ ประชาชนคนในหมู่ของเขารวยกันหมดเลย คนอื่นประเทศอื่นก็เลยจน เห็นไหม มันลำเอียงเข้าข้างตัวเอง ตัวเองรวยแต่คนอื่นจน ต้องกอบโกยจากคนอื่นมาจากประเทศอื่นมาเป็นของตนอย่างที่เขาคิด GDP ซึ่งอาตมาอธิบาย GDP หลายครั้งแล้วว่าคุณใช้เล่ห์คุณไม่จริง GDP ต้องเป็นของภายใน ไม่ใช่ขี้โกงเอาเปรียบจากภายนอกมารวมด้วยเกินกว่าของสิ่งที่ตัวเองเป็น แล้วไปนับเอาเป็น โดเมสติก ของตัวเอง แต่ที่จริงแล้วเราจะต้องสร้างสรรค์ผลผลิตให้ได้มากเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น แล้วสะพัดภายในแจกสู่คนอื่นอย่างนี้สิถึงเรียกว่า GDP ดี เศรษฐกิจดี มุมเหลี่ยมอย่างนี้ถ้าเห็นไม่ได้อย่างนี้ก็จะพัฒนาเศรษฐกิจดีได้อย่างไร แต่คุณกลับไปพัฒนาความเห็นแก่ตัวให้มากๆ มีอัตตาตัวตนใหญ่ ความหมายชัดเจน พัฒนาความเห็นแก่ตัวให้ตัวเองได้มากๆอย่างนั้นเรียกว่าเศรษฐกิจดีมันไม่ใช่ เศรษฐกิจดีคือตัวเองเป็น 0 อยู่กับหมู่กลุ่มนี้ พึ่งพากันได้ ปรปฏิพัทธาเมชีวิกา ตัวเองไม่มีสักบาทเลยให้คนอื่นเลี้ยงไว้ก็อยู่ได้ อยู่ได้ด้วยความดีของตน แล้วพวกเรานี้พิสูจน์กันได้เลย จนตาย เขาก็เผาให้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่มันไม่ใช่ง่ายๆที่จะมีเป็นดาษดื่น มันเป็นเรื่องสุดวิเศษหายาก คนจึงไม่ค่อยเชื่อก็ไม่เป็นไร
เชื่อหรือไม่เชื่อแต่เรามีจริงก็แล้วกัน ใช่ไหม เราเป็นจริง …จริง เราเป็นจริงก็แล้วกันเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ เราก็อยู่มาได้หลายสิบปีมันยังไม่ถึงร้อยปี เขาก็ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ต้องพิสูจน์ไปให้ถึง 100 ปี อาตมาทำไปได้ 50 ปีและจะอยู่ไปอีก จนถึง 151 ปี
นักรบธรรมว่า…คนตาบอดเข้าใจได้คนหูหนวกเข้าใจดี
พ่อครูว่า..อย่างนี้ภาษาอีสานเรียกว่า “สอย” จั่งซี่เรียกว่าสอย เสริมแทรกไป
ยกเอาตัวตั้ง ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านบอกว่าต้องมาบริหารแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา คุณขาดทุนให้แก่คนอื่นได้เสมอนั่นแหละคือคุณกำไรอยู่เสมอเสมอ แล้วเป็นจริงนะ แล้วทำไมมาขาดทุนได้ จะไม่ขาดทุนได้อย่างไร เราสร้าง 1,000 แล้วเราก็กินใช้แค่ 200 มันก็เหลืออีกตั้ง 800 แล้ว 800 เราให้คุณก็คือเราขาดทุน เราชักเนื้อให้คุณ 800 นี้ของเรานะ เราให้คุณนะ เราก็กินใช้แค่ 200 แล้วเราก็ขยันทำทุกวันมันก็มีเพื่อนอยู่ทุกวัน หลายคนมารวมกันต่างคนต่างเหลือก็ยิ่งมีเหลือเยอะ ก็ยิ่งสะพัดกระจายไปช่วยผู้อื่นได้
ถ้านักเศรษฐศาสตร์ฟังแค่นี้ก็คงจะเข้าใจ ที่เป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องโมเม
เศรษฐศาสตร์เจริญ คือ เศรษฐศาสตร์คนจน เพราะฉะนั้นจะไปเข้าใจว่า เศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจพอเพียงนี้รวยก็ได้ นี่คือคนยังไม่เข้าใจ คนๆนี้คือยังไม่เข้าใจว่ามาจนมันจะอยู่ได้อย่างไร มันเข้าใจไม่ได้ ที่จริงแล้วจนมันอยู่ได้ เพราะมันไม่ได้อยู่คนเดียว แล้วคุณวิเศษอย่างนี้อยู่ในหมู่คนไม่ใช่ร้อยคนพันคนหนึ่งคนแสนคน ของเราหมู่บ้านราชธานีอโศกอุบลมีไม่ถึงพัน แต่คนหมู่บ้านอื่น ก็ได้รับการเกื้อกูล หมู่บ้านราชธานีอโศกขาดแคลน หมู่บ้านอื่นมีมากกว่าก็แชร์มาให้ หมู่บ้านราชธานีอโศกมีอันนี้มากก็เอาส่งไปให้หมู่บ้านอื่น ก็ส่งที่เรามีมากส่วนเกินไปให้คนอื่น คนอื่นเขามีมากเขาก็เอามาให้ โดยไม่มีความหวงแหน ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นกระจายผลผลิตต่อไป จนกระทั่งในหมู่ตัวเองก็เผื่อแผ่แจกจ่าย กินอยู่กันอย่างอุดมสมบูรณ์ จนกระทั่งแจกจ่ายคนอื่นที่ไม่ใช่พวกเราเผื่อคนอื่นที่ไม่ใช่พวกเราได้อีก อย่างนี้คือคนมีเศรษฐกิจเจริญ และในคงคลังมีไหม ไม่มี
แต่ละคนชาวอโศก นัดแนะพวกคุณมา 100 คน แล้วชาวอโศกก็มาอีก 100 คนแล้วไม่ต้องบอกว่าไปทำไม ก็ให้ควักกระเป๋าออกมาว่ามีทรัพย์สมบัติอยู่กี่บาทในกระเป๋า ชาวอโศกควักเงินในกระเป๋าออกมารวมกันแล้วมีแค่นี้แหละ ก็จะมีน้อยกว่าพวกเขามากเลยเพราะแต่ละคนเราไม่ได้สะสมไม่ได้มีเครื่องเพชรนิลจินดาหรูหรา ส่วนทางโน้นบางคนเขาคนเดียว 2 คนเท่ากับเรา 100 คน เขามีเพชรราคาหลายสิบล้าน ส่วนของพวกเรารวมแล้ว 100 คน หมด ไม่ถึงล้าน แสนนึงก็ไม่ถึง นี่เป็นเรื่องจริงไม่ใช่พูดเล่น แล้วเป็นอยู่มีความสุขไหม สบม ทมด ปกต หห จจ มชยลล จจ
เพราะฉะนั้นในความเป็นเศรษฐกิจ ในภาษาว่าเศรษฐกิจ ในสารัตถะพฤติกรรมจริงในความเป็นมนุษย์ และความเป็นสังคมเศรษฐกิจนี้ มันมีพฤติกรรมอยู่เช่นไรในรายละเอียด
นักบริหารประเทศโดยผู้ที่ชื่อว่ารับหน้าที่บริหารเศรษฐกิจในประเทศ ยังมี Concept มีความเข้าใจความเป็นเศรษฐกิจดี จะต้องให้รวยๆแข่งกันรวย ทุกคนมีรวยกันให้มาก คนอื่นจะจนอย่างไรก็ช่างหัว คนข้างนอกจะเป็นเช่นไรก็ช่างมันไปแย่งเอามาจากต่างประเทศหรือแต่ ในหมู่พวกเราเองก็ตามก็แย่งกัน ให้กลุ่มของเรา คณะของเรา บริษัทของเรารวย บริษัทอื่นคณะอื่นจะร่อยหรอลงไปก็ช่างมันของเราให้มีเศรษฐกิจดี อย่างนี้ก็คือความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ส่วนตัวเป็นตัวกูของกู สะสมดึงดูดเอามาให้มาก
ถ้ามีแต่ความคิดอย่างนี้มันก็จะแย่งกัน อาตมาถึงสรุปว่าเป็นสมบัติผลัดกันชม ใครมาแย่งได้ก็ได้มากแล้วคนอื่นก็จะมาแย่งคืนแย่งกันไปแย่งกันมา คุณรักษาไว้ไม่ทันหรอกเดี๋ยวคนอื่นก็หาวิธีแย่ง ดีไม่ดีเขาก็ฆ่าคุณเลย แล้วเขาก็เอาเงินคนอื่นมา มันก็ฆ่ากันมาไม่รู้กี่ชาติแล้วถ้ามันต้องการอย่างแรง ขาดแคลนมาก มันก็ไม่ได้สร้างความมักน้อยสันโดษ มันก็ต้องเอาให้ได้มากๆมา ก็ต้องไปฆ่าคนอื่นเอา มันเป็นเช่นนั้น
เพราะฉะนั้นถ้าไม่ไปสร้างความรู้ความจริงให้รู้ว่าคนเรานี้ต้องมีใจพอ มีน้อยก็พอแล้ว ไม่ต้องมีมากหรอกชีวิตนี้ มีไว้เพื่ออาศัยเป็นเครื่องกินเครื่องใช้ เรียกว่า “ปัจจัย” ในชีวิต จะมีเครื่องประกอบที่เรียกว่า “บริขาร” องค์ประกอบไม่ต้องมากอะไรหรอก
ยิ่ง เครื่องประกอบบริขารนั้นหรูหราฟู่ฟ่าอีก มันเป็นความเบ่งอวด มันใหญ่หรูหรา มันมากมาย มันเขื่อง มันไม่ได้เรื่อง มันมาข่มกันเฉยๆ ยกตัวอย่างง่ายๆมีนาฬิกาฝังเพชร เพชรล้อมนาฬิกา เป็นเพชรชั้นเยี่ยมเลย มีตั้งเกือบ 100 เม็ด รวมราคาเป็น 10 ล้าน 20 ล้าน แค่นาฬิกาเรือนนี้สาระมันคือเวลา ถ้านาฬิกาเรือนนี้เดินไม่ได้เรื่องเลยจะใส่เพชรไปไม่รู้กี่อันก็ตามอย่าเอามาใช้เลย เวลาของคุณมันเก๊ไม่ตรงกับเขาเลย นาฬิกาของคุณมันเก๊ มันไม่ใช่เครื่องบอกเวลาที่จะใช้ได้ดี มันเป็นของเก๊ของไม่ได้เรื่อง แม้จะมีเพชรตั้ง 100 เม็ดอยู่ในนี้ นาฬิกา มันไม่ใช่นาฬิกาหรอกมันเป็นนาฬิเก๊ นาฬิห่วย อย่างนี้เป็นต้น เราต้องรู้แก่นสารสาระเนื้อแท้ของความหมาย ว่าอันนี้คืออะไร
เพราะฉะนั้นนักเศรษฐกิจ นักบริหารจึงจะต้องรู้ดีๆ โดยเฉพาะเราเองเป็นผู้มีน้อยใช้น้อยกินน้อย แล้วหมู่พวกเราก็มีความเห็นแก่ตัวน้อย หมู่คนพวกนี้ ก็มีแต่จะสร้างมากๆ สร้างสิ่งที่ดีมีคุณค่ามีสาระที่ดีมีคุณภาพสูง แล้วก็ทำได้มากแต่กินน้อยใช้น้อย เราพอแล้ว ตัวเราก็ใช้พอกินเท่านี้ ที่เหลือก็เอาไปให้คนอื่น แล้วไม่ต้องกลัวเปลือง เพราะทุกคนก็ขยันทำงานอยู่แล้วมันเพียงพอ พวกเรานี้ใช้จริงๆส่วนหนึ่งไม่กี่เปอร์เซ็นต์ แต่สมรรถภาพความขยันของเราแต่ละคนนั้นสร้างได้มากเหลือ ใน100 ที่เราสร้างได้เราใช้แค่ 10 20 เหลืออีก 80 ทุกวันเลย ดีไม่ดีสมรรถภาพของเราก็สูงขึ้นสร้างได้มากกว่า 100 อีก แต่เราก็กินใช้แค่นี้ 20 นอกนั้นทำได้เกินกว่า 100 ก็ตามก็กินใช้คงเดิม เพราะตัวร่างกายเราใช้อาศัยคงเดิม มันไม่มากขึ้นกว่าเก่าหรอก ถ้าคุณไม่ได้เที่ยวไปสร้างให้กระเพาะมันรับมากๆ มีความตะกละมาก ตัวก็ใหญ่ขึ้นมาก มันก็ทรมานไปเอง แต่ถ้าอยู่ในความเป็นคนสันทัด มันก็กินเท่านี้ ใช้เท่านี้แหละ ทำได้อย่างนี้ก็ครบแล้ว เป็นสัดส่วนที่พอเหมาะพอดีหมุนเวียนกันอาศัยใช้สอย นอกนั้นทุกวันทำงานสร้างสรร มันเจ็บมันป่วยคนอื่นก็ทำงานแทน
จึงเป็นสังคมที่มีเศรษฐกิจดี โดยไม่ต้องไปให้เขามาว่าได้เลย ว่าเศรษฐกิจ GDP ไปเอาของคนอื่นมาตีกินเป็นของกูเรียกว่าโดเมสติก ประเด็นนี้แหละมันไม่เข้าใจได้ง่ายๆหรอก ด็อกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์อีกเยอะ ยังเข้าใจไม่ได้ อาตมาก็ยืนยันไปว่าของโดเมสติกคือภายในไม่ใช่ของเขานะ ไม่ใช่อินเตอร์นะ แต่เป็นโดเมสติก เขาก็ยังเข้าใจไม่ได้ ต้องรอผลผลิตนี้มีพอแล้ว แล้วเราก็เหลือไปให้คนอื่นอีก เรารวยเราเจริญเราประเสริฐ หากไปเอาของคนอื่นมารวมเข้าไป ไปเอาจากประเทศอื่นๆมารวมกันในประเทศเราให้มาก แล้วก็บอกว่าเรามีเศรษฐกิจดี แล้วของเอ็งจริงๆของคุณ คุณทำอะไรได้แค่ไหน พูดไปแล้วคิดถึงสิงคโปร์
ประเทศสิงคโปร์ไม่ได้ผลิตสร้างอะไรเองได้หรอก เอาของคนอื่นมาลงรวม อย่างนี้เป็นต้น ก็น่าเห็นใจเขาเพราะว่าแผ่นดินเขามันไม่มีความอุดมสมบูรณ์ในทรัพยากร ก็ไม่รู้รายละเอียดภูมิประเทศของเขา ทรัพยากรในดินในทะเลของเขามันจะมีหรือไม่
สรุปแล้วเศรษฐศาสตร์ที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ตรัสไว้ว่า “ให้เอาแบบคนจน” จึงเป็นคำที่สั้นๆ แต่สุดยอด การบริหารประเทศต้องเอาแบบคนจน ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ได้ฟังแล้วก็ไม่กระดิกหู นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ ไม่รู้เรื่องว่ามันอะไร แต่ไม่กล้าไป.. (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน…เขาสรุปเศรษฐกิจที่เป็นจุดอ่อนของประเทศไทยคือเราไปหวังสินค้าส่งออก ไปหวังจากนักท่องเที่ยว ให้เข้ามาเที่ยวในประเทศ เมื่อเจอวิกฤตการณ์โควิด คนก็ไม่มาเที่ยว สินค้าก็ส่งออกไม่ได้ ก็เกิดความทรุดฮวบ แต่ของพวกเราเมื่อเราปิดหมู่บ้าน คนก็ไม่มาเที่ยว เราไม่ได้ขายของ แต่เศรษฐกิจเราดีขึ้นเพราะเรามีเวลาไปปลูกมะละกอ ปลูกผัก ปลูกกล้วยได้เยอะ ตอนนี้เราก็ส่งมะละกอไปตามโรงพยาบาลในอุบลราชธานี ไปโรงพยาบาล ไปค่ายทหาร แล้วก็ไปหน้าจวนผู้ว่าฯ เศรษฐกิจเรากลับยิ่งดีขึ้นเลย เพราะเราไม่ได้มุ่งหวังจะไปขายเพื่อให้ได้กำไรกลับมา แต่เรามุ่งมั่นที่จะสะพัดออกไป ไม่ต้องไปเสียเวลาขายของ แต่เร่งปลูก ผลผลิตของก็เลยเต็มโต๊ะจนไม่มีที่วางแล้ว
ทานโดยไม่หวังจึง
พ่อครูว่า..ถ้าเป็นนักเศรษฐศาสตร์เข้าใจความหมายองค์รวมของเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์อย่างดี ที่ถูกต้องเลยไม่ได้ ให้มาจนจริงๆมีวรรณะ 9
ไม่เป็นคนเรื่องมาก แต่เป็นคนสบายๆ พัฒนาให้เป็นคนเจริญ คนดี คนประเสริฐ คนเศรษฐกิจดีได้ง่าย เป็นคนมักน้อยมีน้อย หรือเป็นคนกล้าจน จนที่สุดคือเป็นคนมี 0 เป็นสมบัติ
มีสมบัติเท่าไหร่ ? 0 อะไร แล้ว 0 จะอยู่ได้อย่างไร ก็คือสังคมเราอุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องใช้คำว่ารวย อุดมสมบูรณ์มีใช้เหลือเฟือ เราก็อาศัยกินใช้กันได้จริง เพราะฉะนั้นจะไปสะสมทำไม ต่างคนต่างช่วยดูแลบริหารและก็สร้างขึ้นมาทดแทน มันพร่องก็ทำให้มันเต็ม เต็มแล้วก็สะพัดออกไป มันพร่องก็ทำให้มันเต็ม เต็มแล้วก็สะพัดออกไป เราก็ขยันทำให้ พร่องก็ทำให้เกิดบูรณาการเป็น Dynamic เสริมสร้างกันไปไม่ได้ขาดแคลน
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็น อาตมาความจริงอันนี้ไม่ใช่พูดปากเปล่า พูดแล้วพวกเราทำได้จริงไหม จริง เราก็ทำได้จริงด้วย อยู่ได้อย่างนี้ไปจะอีกกี่ชาติ มีแผ่นดินมีน้ำมีลมมีไฟเรามีความขยันมีปัญญาความรู้ของเราว่าจะทำอะไร พืชพันธุ์ธัญญาหารนี่แหละไม่ต้องไปเอาอะไรมาก เรื่องเกี่ยวกับสัตว์เราไม่เอามันมีวิบากร่วมกัน แต่พืชพันธุ์ธัญญาหารนี้มันไม่มีวิบาก มันไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ ไม่มีวิบาก ที่จะจองเวรจองกรรม มันจะรักเรามันจะชังเรามันไม่มี แต่ว่าสัตว์ สัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ก็ตาม มันมีเวทนามันมีวิญญาณแล้ว เพราะฉะนั้นมันจะจองเวรจองกรรมก็ได้ จะรักเราอย่างจี๋จ๋า รักผูกพันกับเราของข้าใครอย่าแตะเลยมันเป็นไปได้นะสัตว์เดรัจฉานมันเป็นไปได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราไม่เอา ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ ให้มันอยู่ไปตามยถากรรม วิบากใครวิบากมัน เรามีแต่อยู่กับพืชพันธุ์ธัญญาหารนี่แหละ ส่วนสัตว์นั้นเราก็เมตตา มันช่วยเขาได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็ปล่อยไปตามวิบากของใครของมัน ก็เท่านี้ ในการปล่อยวางความเป็นสัตว์ในโลก อยู่กันอย่างเมตตาเขา ไม่ไปสร้างวิบากเพิ่ม แต่ถ้าจะทำอะไรช่วยเขาเป็นกุศลแล้วก็ทำได้ตามโอกาส ช่วยแล้วเราก็ไม่คิดจะไปยึดถือว่าสิ่งที่เราไปช่วยนี้เรามีบุญคุณกับแก เรามีบุญคุณกับเธอ ต้องมาทดแทนบุญคุณนะ เราก็ไม่ต้องไปจำบุญคุณ ไม่ต้องไปทวงบุญคุณอะไรใครหรอก เป็นจากสัตว์หรือจากคนก็ตาม เรามีแต่ให้เกิดมามีแต่ให้เป็นผู้ให้จบจริงๆอยู่ที่ผู้ให้ ในทานสูตร ที่ไม่มีสาเปกโข ปฏิพัทธจิตโต สันนิธิเปกโข ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)
ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ครบหมดแล้วในทานสูตร หรือมันมีตัวที่ อัตตมนตา โสมมนัสสัง มีความภูมิใจในอัตตาตัวตนที่โตขึ้นไปอีก มาเป็นของตัวของตนเยอะมีอะไรใหญ่ อัตตมนตา โสมมนัสสัง ยิ่งตัวตนโต ยิ่งดีใจที่อัตตาโต ดีใจที่อัตตาตัวเองโต โง่ไม่เสร็จเลย อย่างนี้เป็นต้น แล้วไปสรุปว่า ปลื้มๆ อย่างธัมมชโยไปครอบงำคนอื่นให้หลงแล้วตัวเองก็ได้มากๆเป็น อัตตมนตา โสมมนัสสัง นี่ ทำให้อัตตาตนโตขึ้น ก็ดีใจ ก็ยังมีตัวกูของกูมากขึ้นก็ดีใจใหญ่เลย แล้วไปครอบงำความคิดคนอื่นให้เป็นอย่างนี้อีก ยิ่งปลื้มๆที่ตัวเองได้ อยากได้มาก แล้วซ้อนนะ ได้ใหญ่ได้มากแล้ว คุณเอามาให้ธัมมชโย ปิดบัญชีเลยนะจะได้ยิ่งใหญ่ เห็นไหมวิธีหลอกล่อให้คนอื่น เอามาทำให้ธัมมชโยนี้คุณจะยิ่งได้มากยิ่งกว่านี้นะ มาผ่านมาบริจาคให้ธัมมชโยจะยิ่งรวยยิ่งกว่านี้เลย หลอกเขา นี่โอ้โห
ขออภัยที่พูดนี้ไม่ได้ไปด่าว่าอะไรเขา เอาพฤติกรรมเขามาเปิดเผยเป็นวิชาการให้เข้าใจกัน ไม่ว่าจะเป็นธัมมชโยทำอย่างนี้ ก็เหมือนทุกคนนั่นแหละที่ทำกันแบบนี้ แต่ตัวธัมมชโยทำอย่างนี้คนอื่นเขาไหนก็แล้วแต่ที่ทำ ใครทำอย่างนี้ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นพวกนี้ มีศัพท์คำหนึ่งว่า “ปรทัตตูปชีวี” เป็นผู้ที่มีชีวิตโดยอาศัยผู้อื่น อย่างธัมมชโยนี่สุดยอดของเปรต เปรต คือ ต้องอาศัยผู้อื่น ถ้าตัวเองคนเดียวนั้นทำอะไรไม่ได้อดตาย ต้องหลอกคนอื่นเอามาให้ เปรตนั้นอยู่ได้เพราะคนอื่นเอามาให้ ชีวิตอยู่ได้เพราะคนอื่น ถ้าผู้อื่นไม่ให้ตาย ตายอย่างเขียดเหยียดขาตาย นี่คือ “ปรทัตตูชีวกเปรต”
นี่คือความหมายแท้ ไม่งั้นพูดเป็นภาษานิยายไปบอกว่าทำบุญส่งไปให้พ่อแม่ที่ต้องการไม่มีอยู่มีกินก็ส่งไปให้ ไม่เชื่อเรื่องกรรมเป็นของตนก็ตัวเองเป็นทายาทของกรรมตัวเอง ส่งให้ใครก็ไม่ถึงหรอก แต่มันเป็นทางสมมุติสัจจะว่าคุณมีกตัญญูกตเวที แม้ว่าพ่อแม่ตายแล้วก็ยังนึกถึง ควรจะได้อะไรก็ส่งไปให้อะไรอย่างนี้ มันก็เป็นลักษณะคุณธรรมชนิดหนึ่งเท่านั้นเองโดยสัจจะมันไม่ถึง มันไม่มีจริง แต่โดยพฤตินัยที่คุณเองกตัญญูต่อผู้มีพระคุณต่อเรานั้นมันดีใช่ไหม แยกแยะให้ออกสิตรงนี้ คุณทำดีก็น่าส่งเสริมในสมมติสัจจะ ทำอย่างนี้เป็นคนเผื่อแผ่เพื่อผู้มีคุณต่อเรา คุณก็ตอบแทนผู้มีคุณต่อเรามันก็ดี แต่สัจจะจริงๆนั้นคุณส่งไปให้ใคร พ่อเราชอบกินตับไก่หมก เราก็ได้ตับไก่มาหมก อย่างปรุงรสอร่อย ให้มันถูกปากพ่อเลยนะพ่อชอบรสไหนก็ปรุงให้ เสร็จแล้ววิธีจะให้ก็ทำอย่างไร เอาไปถวายพระ พระก็บอกว่าอะไรโยม …ตับไก่อ่อม …เสร็จแล้วก็เอามาถวายพระ พระก็กินบอกว่าแซ่บอีหลี ส่งไปให้พ่อหน่อย พ่อมัก ตับไก่ เออ ส่งไปให้แล้ว ตับไก่นี้พระก็กินใส่ไปในท้อง หน้าที่ของน้ำย่อยมันก็ย่อยไปเอาธาตุอาหารไปเลี้ยงขันธ์ พระก็บอกว่าพ่อได้รับแล้วเด้อ พระตอแหล มันไปได้อย่างไร ถามว่าตับไก่นั้นออกจากท้องพระไหม ไม่ ไปด้วยพาหนะอะไร อย่างดีก็เหลือเศษกากออกที่ เวจ พรุ่งนี้ พูดให้หนำใจ
คือมันงมงายแล้วหลอกกันก็ต้องเปิดโปงพวกที่หลอก คุณหลอกจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม รู้ว่ามันไม่ถึงหรอก แต่คุณก็ทำเพื่อคุณจะได้ หรือคุณไม่รู้ ก็พอทำเนา ทำไปตามประสาคนไม่รู้ก็เหมือนเด็กมันไม่รู้เรื่องทำตามประสาไปอย่างนั้น บาปลดราคาหน่อย แต่มันก็ยังบาปอยู่ดี ก็หลอกล่อกันอยู่ก็โง่อยู่อย่างเดิม
เศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องใหญ่ไม่ว่าจะในยุคไหน
สรุปแล้วเรื่องเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ว่าจะเป็นในยุคไหน ในยุคของพระพุทธเจ้าเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือในยุคของทาส ในยุคที่คนไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน สิทธิในข้าวของ สิทธิในการแสดงออก สิทธิในการพูด ไม่รู้เรื่อง เหมือนกับสัตว์ตัวหนึ่งจะฆ่าจะแกงจะใช้ทำอะไรก็ได้หมด เขาก็ฆ่าได้โดยไม่ผิดกฎหมายด้วยเพราะเป็นทาสของเขา ซึ่งในยุคนี้มันไม่มีแล้ว ไม่ใช่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์แล้ว เป็นยุคที่คนรู้จักสิทธิมนุษยชนแล้ว ทำยังงั้นก็ไม่ถูกต้องตามกาละ เทศะ ฐานะ แล้ว เขาก็เลิกแล้ว
เศรษฐกิจทุกวันนี้จึงเป็นเศรษฐกิจที่สุดยอด ชาวอโศกเราเป็นตัวอย่างที่สุดยอด แล้วเราก็ต้องทำให้ยิ่งขึ้น เราทำนี้ ถ้าเราจะเป็นคนขยันสร้างสรรค์สิ่งนี้แล้วก็สะพัดเกื้อกูลแก่ผู้อื่น เราขาดทุนไหม ?….ขาดทุน แต่เรากำไร สับสนไหมที่พูดนี้ ไม่สับสน ถ้าบอกว่าไม่ขาดทุนได้แต่กำไรมันก็ใช่ แต่ที่จริงคุณเสีย คุณได้เสียสละ ก็คือการขาดทุนแต่นั่นแหละคือการที่คุณได้ เหมือนที่ในหลวงท่านตรัสตอนท้ายว่า ที่เราเสียนั่นแหละคือเราได้ นักเศรษฐศาสตร์ที่ยังไม่มี อัญญธาตุ ไม่มีโลกุตรธรรม ก็นั่งบื้อ ไม่รู้เรื่องหรอก เขาไม่ใช่แกล้งไม่รู้ แต่เขาไม่รู้จริงๆคิดไม่ออก มันมีด้วยเหรอคนแบบนั้น คนเข้าใจอย่างนั้น คนที่เสียให้คนอื่นแต่ว่าตัวเองได้มันมีด้วยหรือ ก็เสีย ภาษาก็ใช้ว่าเสีย แต่คุณว่าคุณได้ คุณได้อย่างไรลมๆแล้งๆ และสิ่งที่เสียไปล่ะเอาของชิ้นใหญ่ที่ให้ไปเลยเขาก็ได้ไป แล้วคุณก็บอกว่าคุณได้ เฮ้ย? มันได้อย่างไร ก็ได้เป็นผู้ที่ได้ให้มีประโยชน์ต่อเขา นี่มันของของเราแต่เราให้คุณ คุณก็ได้ประโยชน์จากที่เราสละให้คุณ นี่คือภาษาหมดแล้ว จบนะตรงนี้
เศรษฐศาสตร์พิสูจน์ได้ในผู้ที่มีภูมิปัญญาปฏิภาณฉลาด พูดกันรู้เรื่องเป็นคนที่มีคุณสมบัติวรรณะ 9 แล้วคนในสังคมมีสาราณียธรรม 6 มีสาธารณโภคีอยู่ในข้อที่ 4 ของสาราณียธรรม 6 พิสูจน์ได้นี่แหละคือเศรษฐศาสตร์ที่สูงสุดในโลก ขั้นยิ่งกว่าคิปบุช ยิ่งกว่าสะมะเอินอุนดง อิโตเอ็น สุดยอดแล้ว พิสูจน์มาตั้งแต่ยุคของพระพุทธเจ้า 2,500 กว่าปีแล้ว เอามาพูดตอนนี้ก็ยิ่งใหม่ ทันสมัยใหม่เสมอไม่มีเก่า เก่าก็เอี่ยม ทันสมัยใหม่เสมอ เก่าเอี่ยม อยู่ตลอดกาลนาน ของพระพุทธเจ้าสุดยอดใช้ได้ในทุกเวลาทุกโอกาส เจริญในทุกยุคไม่ตกยุค
เพราะฉะนั้นผู้ที่ศึกษาเศรษฐศาสตร์ถ้าไม่มาศึกษาเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้าจนกระทั่งเข้าใจ ทฤษฎี 2 สูตร ทฤษฎี 2 ทฤษฎี ทฤษฎีวรรณะ 9 กับสาราณียธรรม 6 คุณก็ไม่สามารถพิสูจน์เศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์แบบนี้ได้ คุณจะต้องมาศึกษาจรณะ 15 วิชชา 8
ในจรณะ 15 วิชชา 8 มันก็จะเกิดสั่งสมรากฐาน รากเหง้าตกผลึกเป็นรากเหง้า แล้วเจริญขึ้นไปตกผลึกเป็นรากเหง้าอีก 10 คือ มีฉันทะเป็นมูล
มูลสูตร 10
1.มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) คือความยินดีความต้องการ. ความประสงค์ความปรารถนาว่าอันนี้ดีนะ นำจิตใจเรา ไม่มีใครบังคับคุณหรอ
2.มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)
3.มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย)
4.มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)
-
มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) สุ
-
มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .
-
มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด
-
มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
-
มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน.
-
มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน