631225_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ชาวอโศกคือชุมชนบุญนิยมที่มีมรรคผลจริง
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1Cx4vSq2SM4u0ODNNc5g1N9TXBKZFwKO20zBhp5dewhA/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1i-gqFuJMiaUwctaiU8857TwMoFotDG-O/view?usp=sharing
และยูทูปที่
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 ที่บวรสันติอโศก พ่อครูได้มาเหมือนกับส่งท้ายปีเก่าที่สันติอโศกในวันคริสต์มาส ศาสนาคริสต์เน้นในเรื่องความรักแต่สนาพุทธนั้นเน้นเรื่องความทุกข์ แต่ท่านจันทร์บอกว่าศาสนาพุทธนั้นเน้นเรื่องความรู้ วิธีออกจากทุกข์ด้วย
ตอนนี้ ใครๆก็กำลังพูดแต่เรื่องโควิด แต่ดูเหมือนคำของลาว จะให้ความหมายชัดเจนกว่าที่เรียกว่าโรคห่าตำปอด มันมีห่าตำปอด กับโรคห่าร้ายลงเมือง คือห่าหวย เหล้า การพนัน ต่างๆ เมื่อไหร่ห่าตำปอดร่วมมือกับห่าลงเมือง ก็เอาไม่อยู่
ชาวอโศกคือชุมชนบุญนิยมที่มีมรรคผลจริง
พ่อครูว่า…ก่อนอื่นขอโอภาปราศรัยในฐานะที่ไม่ได้มาที่นี่เสียนาน พวกเราเท่าที่ได้ฟังข่าวคราวของชุมชนชาวอโศกที่มีอยู่ 10 – 20 ชุมชนที่เป็นอยู่ ชุมชนที่อยู่กันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ก็รู้สึกว่า 50 ปีที่อาตมาได้ทำงานด้านนี้มา อาตมาทำงานศาสนา จะไม่เหมือนพระ เจ้าสำนักใดๆในศาสนาพุทธเขาทำ เพราะว่าอาตมาทำแล้วมันเกิดมวลชน รวมตัวกันเข้าเป็นชุมชนจนกระทั่งเป็นหมู่บ้าน หมู่บ้านทางนิตินัยเรียบร้อย เป็นต้น
เป็นหมู่บ้านจริงๆเลย บริหารปกครองกันอยู่อย่างถูกต้องตามแบบฉบับของสังคมสากลเขา แต่มีวัฒนธรรมต่างกัน หมู่บ้านชุมชนอื่นใดเขาก็มีวัฒนธรรมของเขาอีกอย่าง แม้เป็นพุทธด้วยกันแต่เขาก็จะไม่เหมือนกับของเรา พวกเราคงจะมองออกว่าไม่เหมือนอย่างไร
อย่างสำคัญที่สุดคือหมู่บ้านของเราไม่มีพาหนะที่จะนำโควิดมาได้เลยไม่ว่าเขาจะระบาดอย่างไร คือมันไม่มาตามสัตว์ มันจะมาตามกุ้งกับปลา ตามเนื้ออะไร มันมีแต่เจ้าประคุณเอ๋ย เห็นแล้วก็เป็นตาออนซอน (พ่อครูยกผักคื่นไฉ่ฝรั่งมาดู)
อันนี้ก็เป็นความภาคภูมิใจในสิ่งที่พวกเราสามารถทำพืชผักไร้สารพิษ นี่มันฝรั่ง เป็น Organic แน่นอน 100% เอาดินเอาน้ำมาตรวจแล้ว ประสบผลสำเร็จอย่างน่าภาคภูมิใจที่เราสามารถทำพืชพันธุ์ธัญญาหารไร้สารพิษ แต่ก่อนมันทำไม่ค่อยได้ดี ถูกโรคถูกเพลี้ย แต่เอาเข้าจริงเราทำมันไม่มีโรค หรือจะว่ามันไม่เหมือนกับกสิกรรมของเขา เราก็ทำแต่ทำไมมันไม่เหมือนกัน เราก็ไม่ได้เอาอะไรพิสดารมาใส่ ก็ใส่ปุ๋ยสะอาดธรรมดา เป็นแต่เพียงว่าเราไม่ได้เอาสารเคมีไม่ได้เอายาฆ่าแมลงลงไปเท่านั้นเอง แต่มันก็ไม่ลงไม่อะไร อาตมาเคยฉงนกังขาเรื่องนี้เหมือนกัน ทำไมเราทำได้คนอื่นทำไม่ได้ เราก็ไม่ได้ทำอะไรพิสดารกว่าเขา
อันนี้ทำให้อาตมากังขาฉงนอยู่ ว่าอะไร ประกอบด้วยจิตเมตตาหรือไม่อย่างไร เขาทำไมทำไม่ได้ ใส่ยาฆ่าแมลงเขาไม่ได้กินเลยนะ ทำไม
อาตมาเอาชีวิตมาทำงานด้านนี้มา 50 ปีแล้ว ก็ชื่นใจ ยังคิดว่าเราเกิดมาไม่เสียชาติเกิด เราไปเสียชาติเกิดมาตั้ง 36 ปีไปอยู่ทางโลกมา 36 ปีก็ไปแย่งชิงแย่งลาภยศสรรเสริญอะไรกับเขาอยู่ แต่แย่งไม่ค่อยได้ แย่งสู้เขาไม่ได้ แย่งลาภสู้เขาไม่ได้ ราคาค่าตัวของเราก็ต่ำกว่าเขาทำมาก ได้น้อยอะไรอย่างนี้ ยศไม่มีเลย ชาตินี้ไม่มียศกับเขาเลย ตรีโทเอกไม่มีชั้นจัตวายังไม่ได้เลยไม่มียศฐานันดรอะไรกับเขาสักอย่าง ลาภไม่มียศไม่มี มาถึงวันนี้บอกได้เลยว่าสุขก็ไม่มี ก่อนก็คงจะระเริงไปกับเขาเหมือนกัน มันเป็นสุขอย่างโลกีย์ก็ระเริงระริกระรี้กับเขาไปตามเรื่องตามราวก็ไม่มี
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ดับทุกข์ดับทุกข์ จริงๆแล้วทุกข์กับสุขมันเป็นคู่ที่แยกกันไม่ได้ มันเป็นเทวเป็นคู่หูที่แยกกันไม่ออก เทวะ แปลว่า 2แปลว่าธรรมะสอง
มันแตกต่างกันที่มี ลิงคะ มีสอง โดยเฉพาะคู่ที่สำคัญคือสุขกับทุกข์มันมีนัยยะมีอาการที่ต่างกันของเวทนาผู้วิชชา เวทนาผู้อวิชชา ยังมีสุขมีทุกข์ศาสนาอเทวนิยมศาสนาอื่นใดในโลกเขาไม่รู้จักทุกข์ เขาไม่เรียนรู้แล้วเขาก็แสวงหาความสุข พยายามที่จะดิ้นรนเพื่อที่จะไปสู่ความสุข
ความสุขของเขาจะได้ก็คือความสุขที่บำเรอด้วยลาภยศสรรเสริญ สัมผัส นี่คือสุขของโลกีย์สุขของศาสนาเทวนิยมทั้งหลาย แต่ของพระพุทธเจ้านั้นจบเลย รู้เรื่องนี้แล้วก็พาปฏิบัติเรื่องนี้เป็นอริยะเป็นของคนผู้ประเสริฐ คนไม่ใช่เป็นอารยะไม่ใช่ผู้ประเสริฐแท้ไม่ได้ อริยะก็คือศิวิไลซ์ของศาสนาอังกฤษเขา แต่ศิวิไลซ์ของเขาอยู่ในกรอบของโลกีย แต่อันนี้ของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระมันเลยกรอบกองโลกีย์เขา ไปเป็นโลกุตระ มันยิ่งกว่าสุข เขาแปลว่าสุขอย่างยิ่ง ปรมังสุขัง ที่จริงแล้วมันยิ่งกว่าสุขมันเกินกว่าที่จะคิดมันไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์มันสบายยิ่งกว่าสุขกว่าทุกข์
สัปปายะคือสบายยิ่งกว่าสุขกว่าทุกข์ใครได้ลิ้มรสอันนี้บ้าง …ยกมือกัน
ใครได้ลิ้มรสไม่สุขไม่ทุกข์ได้บ้าง…ยกมือมากขึ้น ตั้งหลักได้บ้าง
รส ไม่สุขไม่ทุกข์เช่นเราเคยไปติดอบายมุข ผู้หญิงที่เคยไปติดลิปสติกถ้าไม่ได้ทาลิปสติกก็จะร้อนอกร้อนใจ ไปพบหน้าผู้คนไม่ได้ต้องทาลิปสติกก่อนจึงจะเดินหน้าผู้คนได้แต่เดี๋ยวนี้ โอ้ ลดแล้วเลิกแล้ว ไม่จำเป็นเลยบางคนอาจจะรังเกียจด้วยซ้ำไป แต่บางคนก็วางใจได้แล้ว ทามันก็มีอะไรมาแปดเปื้อนเท่านั้น เอาออกไม่จำเป็นจะต้องทาด้วยซ้ำไป มันก็ธรรมดาไม่ผลักไม่ดูด ไม่ชอบไม่ชังสำเร็จบริบูรณ์ได้
หรือใครชอบการพนันอบายมุขติดเหล้าสูบยาเคี้ยวหมากกินอะไรที่มันเป็นของที่เขาเรียกว่าเป็นสิ่งเสพติด มันมีสิ่งที่เป็นธาตุทําปฏิกิริยากับประสาท มีคาเฟอีน นิโคติน จะไปติดไปกินบ้างก็ดี เดี๋ยวตาย ไซยาไนด์ ผู้ที่เคยติดมาแล้วเลิกได้ก็จะรู้ว่ามันไม่เที่ยงมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ อารมณ์คนที่เคยมีอันเก่าอันนั้นที่เคยเสพแล้วสุข พอมารู้แล้วว่าภาระมันเป็นทุกข์มันเป็นคู่ของสุข มันหลอกเป็นมายาพวกนี้เป็นนักเล่นกลหลอกเรา เดี๋ยวนี้เราก็ชัดเจนไม่ให้มันหลอกเราได้ มันเป็นเรื่องจริงเป็นแบบชัดเจน
ศาสนาพุทธรู้เรื่องความรัก รู้เรื่องนี้อย่างชัดเจนสำคัญในเรื่องมายา คำว่า มายา คำนี้นี่สุดยอดในศาสนาพุทธนี้ เพราะฉะนั้นผู้ใดสามารถทำจิตของตัวเองให้เป็นสิริมหามายาได้ แล้วก็คลอดจิต โอปปาติกโยนิ ของเราเองทำคลอดของเราเองโดยเราเป็น มาตา ปิตา มีปัญญาเป็นพ่อ มีศีลเป็นแม่เป็นต้น มีโพชฌงค์ 7 เป็นพ่อ มีมรรคองค์ 8 เป็นแม่ทำให้เกิด จิตวิญญาณที่เรียกว่าโอปปาติกะ เกิดมาเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานเกิดใหม่ เกิดเป็นอาริยบุคคล เกิดเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี จนเป็นพระอรหันต์ นี่คือสัมมาทิฎฐิข้อที่ 7 8 9 มาตา ปิตา สัตตาโอปปาติกา และสมณพราหมณ์ฯ
แม่พ่อ ผู้ที่จะสัมมาทิฎฐิได้รู้ว่าแม่คำว่าพ่อในสัมมาทิฏฐิ10 ไม่ใช่เรื่องง่ายไม่ใช่เรื่องธรรมดา ผู้ที่ไม่สัมมาทิฏฐิก็แปลไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง เขาไปแปลว่าบุญคุณของความเป็นแม่ บุญคุณของความเป็นพ่อ มันคนละเรื่องเลย มันไม่ใช่ มันเป็นเรื่องปรมัตถธรรม เป็นเรื่องจิตเจตสิกของตัวเองทั้งนั้น ฉะนั้นความรู้เรื่องสัมมาทิฏฐิ 10 ในมรรคมีองค์ 8 เป็นประธานของมรรคมีองค์ 8
ถ้ารู้ ความจริงความหมายอย่างถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิในการ ทาน
ทานอย่างไรถึงจะรู้จักกิเลสแล้วทำให้กิเลสลดลงได้ หรือศีล ปฏิบัติศีลอย่างไรหรือปฏิบัติวิธีปฏิบัติ (ยิตถัง) ที่ปฏิบัติแล้วศีลสมาธิปัญญาทำให้กิเลสลดได้จริง
หุตัง เมื่อทำการปฏิบัติทั้งทานและศีลก็รู้ว่ากิเลสลดลงได้เป็นเช่นนี้ ผู้ใดที่รู้จริงๆเลยอาตมาอธิบายจากสภาวะ ในคำแปล เขาก็แปลตามภาษาโบราณบอกว่า สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล มันก็เลยคิดไปถึงพวกเทวนิยมหรือว่าพวกบวงสรวงของลัทธิศาสนาทั้งหลาย เป็นยันต์พิธีต่างๆจนกระทั่งเป็นการไหว้เจ้า หรือแม้แต่ทางด้านโน้นเขา บวงสรวงกัน เอาโจนออฟอาร์คไปทำพิธีมัดบวงสรวงเผาทั้งเป็นโจนออฟอาร์คเลย อย่างนี้เป็นต้น
เขาก็เข้าใจเป็นอย่างนั้น ซึ่งมันไม่เข้าหาปรมัตถธรรม ก็เลยไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้สำเร็จ ไม่รู้ความหมายที่เป็นปรมัตถธรรม หมายถึงกิเลส หมายถึงการรู้จักกิเลสในนัยยะต่างๆของสภาพกิเลส มันเข้าใจไม่ได้
อาตมาว่าอาตมามาทำงานศาสนา อาตมามีสภาวะจริงตามที่พูดอธิบายไป อาตมาอธิบายจากสภาวะที่มี ไม่ได้ไปอาศัย ก็อาศัยบ้างเป็นอาศัยสื่อกลางพยัญชนะที่ท่านแปลกันมา แต่อาตมาก็อาศัยอันนั้นเท่านั้น แต่ขยายความ สาธยายความหมายต่างๆ อธิบายความหมายต่างๆไปตามที่อาตมารู้สภาวะจริงของมันเป็นเช่นใด แล้วก็ขยายสู่กันฟัง พวกเราจึงสามารถที่จะเรียนรู้แล้วก็ปฏิบัติได้ความจริง ถูกสภาวะของจริง ที่เป็นกิเลสของคนนี้แหละ รู้จริงปฏิบัติจริงได้ จึงลดกิเลสได้
เพราะอาตมาทำแล้วพวกเราได้ปฏิบัติธรรมบรรลุมรรคผลจริง อาตมาถึงประกาศอย่างอาสโภเลย ประกาศอย่างมั่นใจ อาจหาญแกล้วกล้า ไม่ได้ประกาศอย่างเหยาะแหยะ กลัวคนจะมาท้วงว่าพูดเกินไปว่าพูดผิด ไม่กลัวเลยอาตมาว่าอาตมาไม่ได้พูดผิดอาตมาพูดถูกต้องแน่นอน ใครที่เป็นผู้รู้จะมาสอบทานอยากจะมาพิสูจน์ มาตรวจสอบ มาเช็คมาตรวจก็แล้วแต่ เพื่อที่จะรู้ว่ามันถูกจริงหรือผิดจริงก็ได้ ยินดีเต็มที่
เพราะอาตมาทำงานชาตินี้เป็นการทำงานที่มั่นใจจริงๆว่าอาตมาเป็นตัวจริงของผู้ที่จะมาทำงานทางศาสนา มาทำไม่ใช่เล่น เหลาะแหละ ที่เป็นการทำอย่างต้องการลาภยศสรรเสริญโลกียสุข..ไม่ใช่ แต่เพื่อทำให้เกิด รู้ธรรมะ ให้คนได้ชัดเจนในธรรมะ แล้วปฏิบัติตนตามความรู้ความเข้าใจที่อาตมาให้ ให้เกิดความเป็นจริงในแต่ละคนจริงๆ ..ได้กันไหมล่ะ …ได้
โอ้โห! ..พวกคุณพูดกันอย่างมั่นอกมั่นใจตอบกันอย่างมั่นอกมั่นใจว่าได้ธรรมะ
ธรรมะที่ได้คืออย่างไร ธรรมะที่ได้คือของพระพุทธเจ้านะ ธรรมะที่ได้คือพูดตีเข้าหัวใจเลย ได้ลดกิเลส รู้จักกิเลส รู้อาการกิเลส กิเลสโลภ รู้กิเลสโลภ กิเลสโกรธรู้กิเลสโกรธ ปฏิบัติแล้วกิเลสโกรธเราลดจริงๆ ไม่ใช่ไปแบบที่เขานั่งหลับตาสะกดจิตให้กิเลสความโกรธความโลภ กิเลสราคะมันลด โดยอธิบายไม่ได้ รู้อาการลิงคนิมิตมันไม่ได้ จนกระทั่งไม่ออกมาทางกายวาจาและทางใจ ที่ไม่มีกิเลสทางกายวาจาใจแล้วยังเศร้าโศกถึงมีก็มีอย่างอ่อน
จริงนะ 50 ปี พวกเรามาอยู่นี่ ราคะ โทสะ โมหะ มันจะมากจนเกิดกรณี เรียกว่าเกิดคดี มันก็ไม่มีวิวาทกันด้วย แย่งยศสรรเสริญ แม้แต่แย่งคู่ผัวตัวเมียที่ดูกันอย่างโลกๆ ที่เขาหยาบๆคายๆ มันก็ไม่
อาตมาพาทำกันอย่าง สหะ คือรวม เป็นสหศึกษาทั้งภิกษุทั้ง สิกขมาตุ จนแรกๆเขาก็บอกว่า มันก็คงจะมีลูกเณรออกมาหรอก เขาไม่ไว้ใจหรอก แต่ 50 ปีผ่านมาแล้วพวกเราไม่มีกรณีพวกนี้เลย ไม่ได้ปิดบัง ไม่ได้ปกปิด สะอาดบริสุทธิ์ เพราะอะไร เพราะมันลดกิเลสได้จริง มันมีมรรคผลจริง มันจึงไม่เกิดกรณีพวกนี้
แม่ชีกรุณา เราได้คุณธรรมเหล่านี้ covid จึงทำอะไรเราไม่ได้
พ่อครูว่า…ทันสมัยนะนี่ จะว่าพวกเราไม่ทันสมัยไม่ได้
มาไข ความตรงนี้วิจัยตรงนี้นิดหน่อย ทำไมโควิดทำอะไรเราไม่ได้
แม่ชีว่า…เราลดละความเห็นแก่ตัวได้ เข้าใจ ชัดเจน การลดกิเลสไม่ใช่ลดได้ง่ายๆ
พ่อครูว่า…มันไม่ใช่ง่าย แต่ทำไมพวกเราทำได้
แม่ชีกรุณาว่า…ตอนมีระเบิดมาแต่ก็ไม่โดนเรา ไปตามเหตุปัจจัย
พ่อครูว่า…เรื่องนี้เป็น อจินไตย เราอย่าไปท้าทาย สํานวนไทยโบราณบอกว่าทำแล้วพระจะคุ้มครอง แต่ของพระพุทธเจ้าบอกว่า ธัมโมหเว รักขะติ ธัมมะจาริง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมรักษา อย่างอาตมามาทำงานศาสนาถ้าหากอาตมาไม่มีธรรมะรักษา ป่านนี้แหลกเป็นขี้เถ้าไปแล้ว จริง ที่ว่าแหลกเป็นขี้เถ้าเพราะว่าอะไร
-
ภาษาง่ายๆเลยนะ ถ้าเผื่อว่าอาตมาไม่จริงอาตมาคือผีบุญของประเทศนะ เขาปราบเอาไปยิงเป้าไปประหารชีวิตเลยนะสำหรับผีบุญ ที่ความหมายของคำว่าผีบุญคืออะไร คือผู้มาสร้างอำนาจพิเศษให้แก่ตัวเองให้ประชาชนเขามายอมเคารพนับถือแล้วมีพวกมีหมู่กันแข็งแรงใหญ่โตจนเป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศสามารถที่จะกบฎต่อประเทศชาติได้ มีหมู่พวกสูงสุด แล้วมันก็เคยมีมาแล้วด้วย ผีบุญนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ ตั้งแต่มนุษย์ยุคเผ่าจนกระทั่งมาเป็นหัวหน้าเผ่าอะไรต่ออะไร ต้องมีเรื่องของทางศาสนาเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องจิตวิญญาณ เป็นผู้ที่เก่งทางจิตวิญญาณถึงจะสามารถควบคุมอะไรได้ เพราะฉะนั้นเทวนิยมเขาจะเป็นอย่างนั้น
ศาสนาเทวนิยมเขาจะเป็นอย่างนั้นอยู่ทั้งนั้น แม้แต่วันนี้เป็นวันคริสต์มาส มีฤทธิ์เดชมีอำนาจอะไรต่างๆนานาไม่ใช่เป็นอนุสาสนี เอาคำสอนที่เป็นคำสอนและปฏิบัติคำสอนพิสูจน์คำสอนได้ ใครปฏิบัติตามสามารถเป็นพระเจ้าหรือเป็นพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาที่จะประกาศศาสนาได้จนชื่อว่า ธรรมะสามี ชื่อว่าเป็นเจ้าของธรรมะไม่ใช่ของพระเจ้านะ แต่เป็นเจ้าของธรรมะเองตรัสรู้เองเป็นของตนเองไม่ใช่ไปเอาของใครมาประกาศ แล้วไม่รู้ว่าที่เอามาประกาศนี้เป็นของพระเจ้า และพระเจ้าตรัสเอาไว้เมื่อไหร่อย่างไรเขาไม่รู้ ไม่รู้คืออะไร ศาสดาของเทวนิยมไม่รู้ตัวเองว่า คำสอนที่ประกาศอยู่นั้นเป็นของตนเองไม่ใช่ของใคร ตนเองสั่งสมบารมีมาจนได้เป็นพระศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งในศาสนาเทวนิยม ของใครก็ของใคร ของอิสลามก็ของอิสลาม ของศาสนาคริสต์ก็ของศาสนาคริสต์ ของศาสนาบาไฮก็ของศาสนาบาไฮ ของศาสนาโซโรอัสเตอร์ก็ศาสนาโซโรอัสเตอร์ ของใครก็ของใครสั่งสมบารมีมาแต่เขาไม่รู้ตัวเอง
เขาไม่แน่ใจว่าข้าพเจ้าจะมีความรู้เช่นนี้ได้หรือ มันไม่ใช่กระมัง คงจะเป็นผู้รู้ท่านประธานมาให้เราเพราะว่าไม่มั่นใจ ไม่ไว้ใจ ว่าเราจะรู้ได้อย่างไรก็เลยได้เป็นเรื่องแฝงว่า ได้เพราะว่าพระเจ้า เห็นว่าเรานี้เป็นผู้ที่เชื่อใจมั่นใจที่สุดที่จะให้เอาความรู้นี้มาประกาศ ไม่เชื่อมั่นว่าความรู้นี้เป็นของคุณเองเป็นของศาสดาเอง ไม่เชื่อ เพราะว่าไม่ได้เรียนรู้เข้ามาหาจิตวิญญาณที่แท้จริง หรืออัตภาพที่แท้จริง อัตตาหรืออาตมัน จนสูงสุดถือว่าเป็นปรมาตมันหรือบรมอัตตา
ที่รู้ความจริงอันนี้ได้พิสูจน์อันนี้ได้คือ ต้องเรียนรู้อาตมันหรืออัตตา เรียนรู้จนกระทั่งสามารถดับอัตตา ดับอาตมัน เป็นปรินิพพานปริโยสานไปเลย สูญเลย ธาตุจิตวิญญาณไม่เหลือ พระเจ้าคอยเก้อเลย พวกนี้มันไม่มา พวกนี้มันไม่มาเลย พวกพุทธนี่ วิญญาณมันไปไหน พระเจ้าคอยเก้อ ของเราไม่มีพระเจ้าอย่างนั้น แล้วเราก็ไม่มีไป นอกจากไม่ใช่พระเจ้าแล้วยังสามารถทำลาย อาตมัน สลายเป็นดินน้ำไฟลมเป็นอุตุธาตุได้ด้วย จึงพิสูจน์ว่าพระเจ้าไม่มี เจ้าของจิตวิญญาณนั้นคือเราเป็นเจ้าของจิตวิญญาณตัวเราเอง ผู้ใดปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ ผู้นั้นก็คือพระเจ้าของตัวเอง สลายจิตวิญญาณตัวเองได้ ปรินิพพานได้ เป็นพระอรหันต์ปรินิพพานได้ทุกคน
อันนี้เป็นเรื่องที่ผู้ที่แสวงหาแม้จะเป็นเทวนิยมก็ตามในศาสนาใด ถ้าไม่ยึดมั่นในเทวนิยมจัดเกินไปจะได้ แต่มันก็ยากเหมือนกัน เพราะว่าต้องมีบารมีต้องมี อัญญธาตุ หากไม่มีอัญญธาตุ เข้าใจไม่ได้หรอก เพราะว่าเป็นของพิเศษ
อัญญธาตุ เป็นธาตุรู้ที่สามารถรู้ไปถึงโลกุตระ เป็นธาตุรู้โลกุตระได้ เทวนิยมไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้โลกุตระได้ ไม่มีสิทธิ์ที่จะมี อัญญธาตุได้ อย่างไรก็ไม่มีสิทธิ์ถ้าไม่ได้มาได้ยินได้ฟังด้วยความยินดี ต้องได้ยินได้ฟังด้วยความยินดี จึงจะสามารถรู้ได้ นี่คือศาสนาพุทธ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดินว่า…ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมพวกเราปลูกผักได้งาม พวกเราปลูกผักในการสร้างดิน ส่วนในการสอนพ่อครูเน้นในการสร้างคน ซึ่งไม่เหมือนกับเจ้าสำนักที่ไหน ทำงานมา 50 ปีไม่ใช่ง่ายๆ
พ่อครูว่า…อาตมาเกิดมาชาตินี้ชอบเขียนหนังสือ แต่ก่อนนี้เขียนหนังสือออกมาต้องได้พิมพ์ ถ้าไม่ได้พิมพ์ก็ไม่รู้ว่าเป็นนักเขียน แต่เป็นนักเขียนนี้เขียนออกมาต้องได้ตีพิมพ์ เป็นหนังสือพิมพ์คอลัมน์นิตยสารรายสัปดาห์ก็ยิ่งดีถือว่าเป็นนักประพันธ์นักเขียนในบรรณโลกกับเขา
เขียนไปเขียนมาเราก็ไม่ได้เขียนไปทางกว้างอย่างโลกเขา แต่มาเขียนทางธรรมะ แล้วเขียนไปเขียนมาเจ้าประคุณเอ๋ยพิมพ์ออกมาไม่รู้กี่ล้านเล่มแล้ว เรื่องไม่รู้กี่เรื่องแล้ว เขาทำลิสต์มาถึง พ.ศ. 2560 เอง
จำนวนหนังสือที่ยังไม่ได้รวบรวมหมดนะ เขารวบรวมมาได้แค่ 1,638,589 เล่ม แต่ตอนหลังๆมาพิมพ์ทีละเยอะๆทีละหมื่น 1,638,589 เล่ม รวมสุทธิ สมัยเป็นฆราวาสถึงปัจจุบัน แล้วก็พิมพ์ออกไป ส่วนกี่เรื่องกี่เรื่องนี้ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
มากกว่าร้อยเรื่องเป็นหลายร้อยเรื่องหลายร้อยเล่ม หลายชื่อเรื่อง เทศน์นี่ไม่ต้องพูดเลย จนกระทั่งไม่มีที่เก็บแล้วแต่เขาก็เก็บกันอยู่ เทศน์บรรยาย อาตมาว่า ตื่นเช้าขึ้นมาไม่เทศก็เหมือนกับเทศน์ มานั่งแล้วประเดี๋ยวก็มา ดีไม่ดี ปรมัตถ์ลึกๆด้วยนะ พวกเรามาคุยกันเรื่องธรรมะ มันเป็นเรื่องอยู่ในกระแสเลือดและจิตวิญญาณของพวกเราเป็นผู้ที่ใฝ่ธรรมะ
ส่วนเรื่องอื่นๆมาถึงวันนี้แล้วมันสบายหมดแล้วจริงๆนะ จะมีอะไรปัจจัย 4 บริขารต่างๆมันหมดความห่วงกังวลมันไม่ต้องไปเดือดร้อนอะไรเลย ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน อย่างนั้นเลย เหมือนพูดเล่นๆแต่เป็นเรื่องจริงจึงเป็นสังคมที่ สบม ทมด ปกต หห จจ มชยลล
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ (มชยลล) ,ปกติ (ปกต), ธรรมดา (ธมด) ,หายห่วง (หห) ,จริงๆ (จจ)
พูดเหมือนพูดเล่นแต่เอาความจริงมาพูด ไม่ได้เป็นเรื่องเล่น เป็นเรื่องจริงที่มันดีจริง เพราะฉะนั้นในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สั้นสอนไว้ สัปปายะ 4
เสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะ อาหารสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ มีสถานที่ที่อุดมสมบูรณ์ ชื่นตาฟ้าเบิกบาน สถานที่รื่นรมย์ไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อกินสาธารณโภคีอยู่กันอย่างพี่น้องอยู่อย่างญาติโกโยติกาพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ได้พึ่งพาอาศัยแค่เล่นๆแต่พึ่งพาอาศัยกันได้
อาตมาอยากจะพูดว่ายิ่งกว่าญาติพี่น้องทางสายเลือดนะ อยากจะพูดว่าอย่างนั้น พึ่งพาอาศัยกันได้จริงๆกว่าญาติพี่น้องทางสายเลือดเพราะมีของกองกลาง ถึงไม่ใช่กองกลางส่วนตัวก็ยังช่วยกันได้เลยไม่ต้องไปถึงกับกองกลางก็ยังช่วยอยู่ มันเป็นเรื่องที่ไม่เป็นตัวกูของกู
มันมีอะไรก็เป็นเครื่องอาศัยที่ไม่ได้ยึดมั่นว่าเป็นตัวกูของกูมันสำเร็จ พิสูจน์ได้ยืนยันได้อย่างแท้จริง ที่พูดไปนี้มันเป็นความจริงทั้งนั้นจึงภาคภูมิใจว่าทำงานศาสนาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามายืนยันพิสูจน์ทางนี้สำเร็จเป็นโลกุตระธรรมเป็นของอริยชนแท้ๆจริงๆซึ่งเป็นโลกุตระเป็นอารยธรรมที่ไม่ใช่โลกีย์
ซึ่งมันต่างกันโลกียะกับโลกุตระกับอาริยะธรรมแท้ๆต่างกันกับโลกียเทวนิยม มันต่างกันตรงที่ปฏิบัติแล้วมันมีสิ่งรองรับเกิดจริงเป็นจริงจิตวิญญาณเกิดจริง วัตถุสถานที่สิ่งแวดล้อม ทั้งหมดมันเป็นจริง
ของศาสนาอื่นเขาก็มีจะออกมาเหมือนอย่างพวกเรา อย่างพวกชุมชน อามิช คิปบุช แต่เขาสู้ อามิชไม่ได้นะ เขาเป็นมาได้ 300-400 กว่าปี อาตมาว่ามันก็ได้ แต่จะแพร่หลายยากกว่าอย่างนี้ อาตมาไม่รู้นะว่าอาตมาทำอันนี้มาในยุคนี้ซึ่งเป็นยุคที่มีความเดือดร้อนมากในความเป็นอยู่ของมนุษยชาติ อาตมาว่าในระยะยาว 100 ปีขึ้นไป พวกคุณก็คงจะม่องเท่งกันไปหมดแล้ว เพราะแต่ละคนอายุ 40 50 60 ปี แล้วคุณจะอยู่อายุ 160-170 ปีเลย ม่องเท่งไปหมดแล้ว 100 ปีขึ้นไปอาตมาว่าเขาจะเห็นคุณค่าความจริงอันนี้
เพราะเราได้สถาปนาโลกุตระธรรมะของพระพุทธเจ้าลงไปแล้วทุกวันนี้บันทึกลงไปในอะไรของเขา สื่อสารสนเทศไอทีบันทึกไว้หมดแล้ว อยู่ใน YouTube อยู่ใน Google อยู่ในวิกิพีเดีย มันมีทั้งนั้น จะบันทึกไว้ทีหลังหรือไม่แต่ตั้งต้นก็ตามก็บันทึกไว้แล้ว แล้วคนก็แสวงหาคนก็พยายามจะเอามาใช้ให้จริง มันจะได้เพราะคนจะมีความเฉลียวฉลาดจะรู้ว่าอะไรคืออะไร เพราะฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ 100 ปีขึ้นไปจึงจะเจริญ..อยู่กันให้ถึงนะ
SMS วันที่ 24 ธ.ค. 2563
_รักธรรม สรหงษ์ : วันอาทิตย์นี้ตั้งใจจะใส่บาตร ที่สันติอโศก ยังมีพระบิณฑบาตอยู่ใช่ไหมคะ
_คอยใคร : นาน ๆ จะเห็นท่านทั้งสาม (ท่านเดินดิน ท่านดินไท ท่านแสนดิน) ออกรายการพร้อมกันได้ชมแล้วมีปิติครับ
_โฟกัส แทน : ชาวชุมชน รอดู ThaiPBS จะนำรายการออกมาให้ชม … “ราชธานีอโศก ต้นแบบของชุมชนปลอดโควิด-19” / ถ้าท่านดินไทไม่มาสันติก็คงไม่ได้ยินเสียงเทศน์
_พลิกดิน ดี : คิดถึงสามเณรที่สันติอโศกที่มีความสามารถในเรื่องเขียนแบบต่าง ๆ ออกทางหนังสือแสงศูนย์
_สุวรรณ สายอุดม : สังคมเช่นนี้ สังคมทั่วไปทำตามได้ยาก สาธุครับ
พ่อครูว่า…มันเป็นของจริง คุณจะทุจริตอย่างไรมันก็เป็นไม่ได้ ต้องมาทำจริงๆถึงจะเป็นได้ เป็นเรื่องสุดยอดของธรรมะ มันลอกเลียนไม่ได้ ปลอมแปลงไม่ได้ ทำเป็นเสแสร้ง พรีเทนเดอร์ (pretender) ไม่ได้
สู่แดนธรรมว่า…เขาคงอยากรู้ว่าจะขยายตัวออกไปได้ยังไงด้วยหรือป่าวครับ
พ่อครูว่า…ได้สิ อาตมาทำจากเล็กๆน้อยๆจนกระทั่งตอนนี้ขยายได้มากแล้วสิ่งที่มันไม่ง่ายมันทำตามได้ยากจริง แต่มันขยายอยู่อาตมาก็พูดไปแล้วว่าอีก 100 ปีถึงจะมีคนมาเข้าใจ คนไทยนี้อาตมาทำงานมา 50 ปีคนไทยก็คงได้ยินได้ฟังรู้หมดแล้ว แต่เป็นความซวยของคนไทยที่เถรสมาคมเขามา ดิสเครดิตพวกเรา ทำให้คนเข้าใจผิด
แน่นอนของยากมันก็ไม่ได้มาอย่างกรูเกรียว ที่อาตมาว่ามันจะเพิ่มขึ้น เพราะว่าคนที่ได้แล้วไม่แปรเปลี่ยน คนที่ได้แล้วคงมั่น จึงจะมีแต่คนใหม่เติมเข้ามา แต่คนที่ได้แล้วไม่ออกไปหรอก นอกจากคนที่แย่จริงๆ
แม่ชีกรุณาว่า…มันยิ่งกว่าจูงอูฐเข้ารูเข็ม
พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าถึงบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
สันตาคือ มันสงบจากกิเลส อย่างที่พวกเราทำกัน จึงเป็นหมู่กลุ่มสังคมที่สงบจากกิเลส
อตักกาวจรา รู้ไม่ได้ด้วยการใช้เหตุผลเชิงตรรกะคาดคะเนด้นเดา ต้องมารู้ด้วยบัณฑิตเวทนียา เพราะมันละเอียดระดับนิพพาน นิปุนา สงบสันติสงบอย่างไรสงบอย่างเสียงดัง สงบปราดเปรียว สงบคล่องแคล่วว่องไว กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา กายวาจาใจใจมีความคล่องแคล่วทุกอย่าง ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาเฉื่อยเนือยไม่ใช่ ศาสนาพุทธที่แท้คล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียวเหมือนกับหนังจีนที่เขาทำ หนังจีนก็ถอดมาจากพุทธนั่นแหละซึ่งมันเกินจากศาสนาที่จะพูด
สุดยอด บัณฑิตเวทนียา เรื่องของบัณฑิตเท่านั้นที่จะเข้าถึงความจริงอันนี้ด้วยบัณฑิตด้วยกันเอง ผู้ที่มารู้ศาสนาพุทธจึงไม่ใช่บุคคลทั่วไปไม่ใช่บัณฑิตจบปริญญาเอกมาจากมหาวิทยาลัยไหน ไม่ว่าจะเป็นพุทธศาสนบัณฑิตปริญญาเอกก็ตามแต่เป็นบัณฑิตที่เป็นสภาวะธรรม จบปริญญาทางธรรม
วิหิงสาสังกัปปะเป็นเช่นไร
_จาก กทม. : ในมรรคองค์ 8 ข้อ 2 สัมมาสังกัปปะนั้น คือ การไม่ดำริไปใน กาม พยาบาท วิหิงสา สำหรับคำว่า”วิหิงสา”นั้น หมายถึง กิเลสนอกเหนือจากกามพยาบาทในนิวรณ์ 5 หรือไม่อย่างไร ขอพ่อครูกรุณาอธิบายขยายความด้วย ขอบพระคุณครับ
พ่อครูว่า…นิวรณ์ 5 มี กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะวิจิกิจฉา
วิหิงสา มันคืออะไร
กาม กับ พยาบาท เป็นกิเลสสองขั้ว ขั้วกามกับขั้วโกรธ สองลักษณะใหญ่
อย่างหยาบเรียกว่ากามกับพยาบาท อย่างภายนอกอย่างโอฬาริกอัตตา เมื่อปอกลอกกิเลสอันนี้ออกไปได้ก่อน เหมือนกับหัวบีทรูท หากเราจะกินเนื้อข้างในมัน เราก็ต้องปอกลอกเอาเปลือกออกเสียก่อน คือกาม พยาบาท ข้างในเข้าไปท่านเรียกรวม ว่า วิหิงสา คือรูป กับอรูป เป็นกิเลสขั้นรูปราคะ อรูปราคะ หรือมานะอุทธัจจะ ตามลำดับไล่เข้าไปข้างใน
ไปปฏิบัติธรรมแบบนั่งหลับตาไม่ปอกเปลือกอันนี้ก่อน นั่งหลับตาแล้วลองว่าตัวเองอยู่ข้างในมันเป็นพวกเล่นลิเกและขอสมมตินามตามท้องเรื่องว่าข้าพเจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินสมมติกันเล่นเฉยๆ ศาสนาหลับตาปฏิบัติเป็นเรื่องสมมุตินามตามท้องเรื่อง มันไม่ได้แตะต้องของจริงเลย มันจะต้องแตะต้องของจริงต้องปอกเปลือกออกก่อนคือ กามกับพยาบาท ลอกออกไปแล้วก็จะเหลือแต่เนื้อในเป็น ราคะ รูปราคะ อรูปราคะ อวิหิงสา คือ กิเลสในชั้นต่อไปอีก
อาตมาเอาสภาวะมาอธิบายให้ชัดเจน
สู่แดนธรรมว่า…เมื่อก่อนพ่อครูเคยอธิบายว่า วิหิงสา คือ เบียดเบียนตน เบียดเบียนท่าน
พ่อครู…วิ คือยิ่ง หรือ เหลือ คือ ส่วนที่เหลือของการหมดกามพยาบาท เอา 2 อันนี้ออกก็จะเหลือข้างในการหลับตาปฏิบัตินั้น คุณไม่ได้ทำอะไรเลยกับก้อนกิเลสก้อนนี้ คุณไม่ได้ทำอะไร ขืนไปนั่งสมมุติใหม่เข้าไปในโลกหลับตาแล้วคุณก็นั่งเพ้อไปด้วยนิรมาณกายสัมโภคกาย อาทิตย์สมานกายไป ต่างคนต่างสมมุติอยู่ในโลกเพ้อเจ้อที่สร้างขึ้นมามันไม่ได้ปฏิบัติธรรมเข้าไปรู้ความจริงตามความเป็นจริงเลย
ศาสนาพุทธนั้นเรียนรู้กิเลสเป็นจริงตามความเป็นจริง ตาที่กระทบรูปเกิดกิเลสภายนอกหูกระทบเสียงเกิดกิเลสภายนอก ก็ล้างกิเลสภายนอกทางตาหูจมูกลิ้นกายให้หมด ให้ลด กาม พยาบาท ลดแล้วมันก็ไม่มี แม้ว่ามันไม่มีแล้วคุณก็ไม่ต้องไปหลับตาลืมตา กระทบอีกมันก็ไม่มีในรูป รส กาม พยาบาท มันไม่มีก็เป็นอนาคามีก็ล้างกิเลสที่เหลืออีกเป็นรูปราคะ อรูปราคะอีก ก็ลืมตาปฏิบัติกระทบรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แต่กิเลสชั้นหยาบของคุณหมดแล้ว โอฬาริกอัตตาหมดแล้วก็เหลือ มโนมยอัตตา ชั้นที่ 2 มันเป็นลำดับอย่างนี้
การไปนั่งหลับตานั้นมันไม่เป็นลำดับไม่รู้จะพูดอย่างไร มันเป็นของเดียรถีย์หมดเลยน่าสงสารจริงๆ เมื่อไหร่จะตื่นเสียที แต่เขาไม่ฟังอาตมาหรอกพวกนี้ คือยอมโง่ ตลอดกาลนาน ไม่รู้จะพูดอย่างไร อาตมาก็มีแต่คำว่าน่าสงสาร ไม่รู้จะทำอย่างไร
แม่ชีกรุณาว่า…ปรารถนาแก่นไม้ แต่ไปได้เปลือก กระพี้
พ่อครูว่า…พุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามันมีเปลือก มีสะเก็ด มีแก่น มีกระพี้ แต่เขาหลงว่ามุดเข้าไปเอาแก่น แต่คุณไม่ได้มุดเข้าไปเลย คุณไปสมมุติเอา
ในพระสูตรนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ศีล เปรียบเสมือนสะเก็ด สมาธิ เปรียบเหมือนเปลือก ปัญญาเปรียบเหมือกระพี้ วิมุติ เปรียบเหมือนแก่น
อุปมาพรหมจรรย์กับแก่นไม้
เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยมในลาภและความสรรเสริญ เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า เรามีลาภสักการะและความสรรเสริญ ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ไม่ปรากฏ มีศักดาน้อย. เขาย่อมมัวเมา ถึงความประมาท เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น เมื่อเป็นผู้ประมาทแล้วย่อมอยู่เป็นทุกข์
เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นอยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือก ละเลยเสก็ดไปเสีย ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น.
มหาสาโรปมสูตร เล่ม 12 ข้อ 347
ศีลเป็นสะเก็ด สมาธิเป็นเปลือก ปัญญาเป็นกระพี้ วิมุติเป็นแก่น ดอกใบผลเป็นลาภสักการะสรรเสริญ
คุณอยากได้แก่น คือวิมุต แต่คุณยังไม่ได้อะไรเลยแม้แต่ศีลก็มิจฉาทิฏฐิ สมาธิก็มิจฉาทิฏฐิ พันเปอร์เซ็นต์หรือล้านเปอร์เซ็นต์ ไม่มี ศีลก็ไม่ได้ เป็นสีลัพพตุปาทาน ยังไม่เข้าถึง สีลัพพตปรามาส
สีลัพพตุปาทานคือ ถือศีลตามประเพณี อยู่ในวัดก็ท่องรับศีล แต่ไม่รู้ว่าต้องเอาไปปฏิบัติ ไม่รู้ว่าศีลนี้คือ จะต้องปฏิบัติตามอปันกปฏิปทา 3
นี่คือคำสอนตามพระพุทธคุณ 9 อันนี้คือ วิชชาจะระณะสัมปันโน คือเนื้อแท้ของศาสนาพระพุทธเจ้าคือวิชากับจรณะ ถือศีลแล้วต้องมี อปัณกปฏิปทา 3 ถ้าไม่มีก็ไม่มีสมาธิไม่ต้องพูดถึงฌาณ ไม่ต้องพูดถึงวิชชาเลย ศีล มันยังโมฆะมันยังเลอะเทอะ ยังไม่ได้สัมมาทิฏฐิอะไรเลย
ถ้าคุณปฏิบัติธรรมไม่มีศีลเป็นหลัก ตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ พอไม่ฆ่าสัตว์แล้ว พลิกตำรามาเพิ่งจะถึงข้อที่ให้เปิด
พระไตรปิฎกเล่ม 24 ข้อ 1 กับข้อ 208 กิมัตถิยสูตร ฟังนะ ศีล ในประเทศไทยเขาสอนกันอย่างไร สอนว่า ศีลไปควบคุมกายกับวาจาให้ดี มันออกนอกเรื่องของพระพุทธเจ้าเลยพระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ ท่านตรัสไว้
ในกิมัตถิยสูตร เล่ม 24 ข้อ 1 และ 208
กิมัตถิยสูตร
[1] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้วได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ศีลที่เป็นกุศลมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอานนท์
ศีลที่เป็นกุศล มีอวิปปฏิสารเป็นผล มีอวิปปฏิสารเป็นอานิสงส์ ฯ
อานนท์.. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็อวิปปฏิสารมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พ. ดูกรอานนท์ อวิปปฏิสารมีปราโมทย์เป็นผล มีปราโมทย์เป็นอานิสงส์ ฯ
อานนท์.. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ปราโมทย์มีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พ. ดูกรอานนท์ ปราโมทย์มีปีติเป็นผล มีปีติเป็นอานิสงส์ ฯ
อานนท์.. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ปีติมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พ. ดูกรอานนท์ ปีติมีปัสสัทธิเป็นผล มีปัสสัทธิเป็นอานิสงส์ ฯ
อานนท์.. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ปัสสัทธิมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พ. ดูกรอานนท์ ปัสสัทธิมีสุขเป็นผล มีสุขเป็นอานิสงส์ ฯ
อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็สุขมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พ. ดูกรอานนท์ สุขมีสมาธิเป็นผล มีสมาธิเป็นอานิสงส์ ฯ
อานนท์.. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็สมาธิมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พ. ดูกรอานนท์ สมาธิมียถาภูตญาณทัสสนะเป็นผล มียถาภูตญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ ฯ
อานนท์.. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ยถาภูตญาณทัสสนะมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พ. ดูกรอานนท์ ยถาภูตญาณทัสสนะมีนิพพิทาวิราคะเป็นผล มีนิพพิทาวิราคะเป็นอานิสงส์ ฯ
อานนท์.. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็นิพพิทาวิราคะมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ ฯ
พ. ดูกรอานนท์ นิพพิทาวิราคะมีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นผล มีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ ดูกรอานนท์ ศีลที่เป็นกุศล มีอวิปปฏิสารเป็นผล มีอวิปปฏิสารเป็นอานิสงส์ อวิปปฏิสารมีปราโมทย์เป็นผล มีปราโมทย์เป็นอานิสงส์ปราโมทย์มีปีติเป็นผล มีปีติเป็นอานิสงส์ ปีติมีปัสสัทธิเป็นผล มีปัสสัทธิเป็นอานิสงส์ ปัสสัทธิมีสุขเป็นผล มีสุขเป็นอานิสงส์ สุขมีสมาธิเป็นผล มีสมาธิเป็นอานิสงส์ สมาธิมียถาภูตญาณทัสสนะเป็นผล มียถาภูตญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ ยถาภูตญาณทัสสนะ มีนิพพิทาวิราคะเป็นผล มีนิพพิทาวิราคะเป็นอานิสงส์ นิพพิทาวิราคะมีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นผล มีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ ด้วยประการดังนี้ ดูกรอานนท์ ศีลที่เป็นกุศลย่อมถึงอรหัตโดยลำดับด้วยประการดังนี้แล ฯ
จบสูตรที่ 1
พ่อครูว่า…แม้แต่เรื่องการกินเนื้อสัตว์ ศาสนาพุทธทั่วโลกเขารู้กันว่าชาวพุทธไม่กินเนื้อสัตว์แต่ชาวพุทธในเมืองไทย กลับกินเนื้อสัตว์เป็นปกติ ยินดีในเนื้อสัตว์
ชีวกสูตร
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร เล่ม 13 ข้อ 60