631207_รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 20
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/15y0i0q2rRR00sHjVJfaFkvtuQjJPkzb5C2l1WPlB2Qk/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1JMorgiEJ6ALKNOO37Zug8h9DzRyWIvP_/view?usp=sharing
ยูทูปที่ https://youtu.be/hWt5MPBr6zQ
_สู่แดนธรรม…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้ทางราชการก็ถือว่าเป็นวันหยุดชดเชยวันที่ 5 ธันวาคม 2563 ซึ่งผ่านไปแล้ว 1 วัน เป็นวันสำคัญคือวันพ่อแห่งชาติ วันดินโลก และวันชาติไทย
วันดินโลก ทำให้นึกถึงความหมายที่พระพุทธเจ้าให้แยกกายแยกจิต ทำจิตให้เป็นอุตุให้ได้ ในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึง อุตุไว้อย่างไร เช่น ที่ว่า ราหุล เธอจงทำใจให้เสมออย่างแผ่นดินเถิด เพราะว่าแผ่นดินไม่ทุกข์ไม่สุข เมื่อมีคนเหยียบย่ำอย่างไรก็ตาม พ่อครูก็สอนให้พวกเราทำจิตให้เป็นหนึ่งและเป็นศูนย์ให้ได้เป็นความหมายของอุตุ ฃ
การมีชีวิตที่ไม่เนรคุณโลก ไม่เนรคุณใครคืออย่างไร
พ่อครูว่า…วันนี้วันที่ 7 เดือน 11แรม 7 ค่ำเดือนอ้าย อาตมาอายุ 86 ปี 6 เดือน 2 วันนะ ไล่ไปเรื่อยๆ พอขึ้นพุทธศักราช 2564 คนก็นับตัวเลขได้ก็จะนับเป็น 87 ปี ได้ ถ้าไปอายุ 88 ปี ก็ใกล้ 89 ปี พออายุ 90 ปี ดูว่า อาตมาจะสุขภาพ Active แข็งแรงปราดเปรียวยิ่งกว่านี้คอยดู อีก 3 ปี อาตมาก็ดูแลร่างกายพยายามออกกำลังกายทำตาม 8 อ. พร้อมกับการใช้จิต ซึ่งเป็นนามธรรมที่ยากมาก ใช้จิต ที่พยายามเติมการก้าวหน้าทางจิตใจที่จะทำให้มัน Fresh up สดใสใหม่เอี่ยมเป็น Freshy เสมอ กลับไปสู่ เฟรชชี่ ตอนนี้มันมี seniority ก็พยายามให้มัน ไล่จากยาวมาหาสั้น จากสูงมาหาต่ำ
ก็พยายามใช้พยัญชนะแทนสภาวะซึ่งไม่มีภาษาเรียก ทำจริงๆ ถ้าเผื่ออาตมาลากสังขารไปจนถึงอายุ 100 ปี ก็เป็นผลสำเร็จแล้วนะ ผลสำเร็จ คนจะต้องมาค้นคว้า ตั้งชื่อให้ระดับขั้นต่อไปในอนาคต พวกเรานี่แหละ ต้องมาใช้ภาษาตั้งหลักเกณฑ์ไปก็ค่อยๆก้าวหน้าพัฒนา อาตมาเป็นไก่ตัวพี่เป็นหัวเจาะ นำไปก่อนบุกลุยไปก่อนทำไป ก็คิดว่าจะเป็นไปได้
ขณะนี้ก็ไม่รู้สึกว่ามันจะอ่อนแอ หรือว่ามันจะไปไม่รอด ไม่ใช่ มันไปได้ อาตมาดูแล้วไปได้ เพราะฉะนั้นก็ไม่ประมาทอีก 3 ปีก็ 90 ปี ถ้าครบ 90 ปี จะไปถึง 96 ปี ก็สบายมาก ครบอีก 1 นักษัตร จาก 72 ปีไป 84 ปี และไป 96 ปี เรียกว่า 3 นักษัตรเลย จาก 96 ปี ก็ไปหา 108 ปี อีก 36 ปี แหมถ้าถึง 108 ปี ก็โบกธงเลยนะ โบกธงชัยเลย
_สู่แดนธรรม…ในวงการที่พวกผมสังเกตอายุของคนจะมีวงรอบทุก 10 ปี ตอนนั้นพ่อท่านอายุ 60 ปีได้มาฉลองที่ริมแม่น้ำมูล ปีนั้นพ่อท่านน้ำข้ามแม่น้ำมูล
พ่อครูว่า…เริ่มที่ราชธานีอโศกนี้ตอนอายุ 60 ปี ตอนนี้ก็ยกมือไหว้แม่น้ำมูลได้ ข้ามฝั่ง
_สู่แดนธรรม…ตอนนั้นพ่อท่านมีนิมิตให้ลูกๆได้ดู แต่ตอนนี้ยังไม่เห็น หรือน่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสีผิวพรรณที่สีชมพูขึ้น เด้ง พ่อท่านแสดงอภินิหารโดยไม่ต้องอวดอะไรที่เกินธรรมชาติ เป็นการแสดงอิทธิบาท
พ่อครูว่า…การมีชีวิตยืนยาวไปอย่างน้อยก็เปลืองพื้นที่อย่างน้อยก็สูดลมหายใจ แผ่นดินก็กินพื้นที่ ดูลมหายใจเข้าออก กินลมอยู่ตลอดเวลา กินอาหาร ถ้าเราเป็นคนอกตัญญู เกิดมาเสียชาติเกิด คนธรรมชาติเนรคุณแผ่นดินได้รับคุณอากาศ เนรคุณสิ่งที่เขาให้เราอาศัย มันก็ถือว่าเลวนะ เพราะฉะนั้นเราจะต้องเป็นคนที่มีคุณค่าประโยชน์
คุณค่าประโยชน์คืออะไร คือจะต้องมีพลังงานในตัวเราสร้างสรรทำการงาน สร้างตั้งแต่วัสดุที่เป็นประโยชน์คุณค่าเป็นปัจจัยของชีวิต ซึ่งเราพยายามสรุปไว้ว่าอาหารที่เรากิน กวฬิงการาหาร รักษาร่างกายเป็นที่ 1 ไม่มีอะไรอย่างอื่น
สัตว์โลกตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวจนกระทั่งไปถึงเป็นมนุษย์ เป็นอาริยบุคคลอย่างพวกเรา ก็ต้องกินอาหาร เป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องเสวยอาหารทั้งนั้น อาหารเป็นเครื่องประกอบแก่ร่างกาย ฉะนั้นมันจะต้องเป็น 1 ในโลก แล้วทำไมถึงบอกว่าพวกเราให้ยืนยันเลย อันนี้แหละอาตมาขอสำทับกับพวกเรายึดฐานการสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร
พวกเราไม่ยุ่งเกี่ยวกับปศุสัตว์การประมงทั้งหลาย ไม่เอาทั้งนั้น เรารู้จักวิบากกรรมเรื่องของการหมุนเวียน อย่างดียิ่ง เพราะฉะนั้นเราจะไม่ไปสร้างวิบากต่อกับสัตว์ใดๆ มีแต่จะเป็นประโยชน์กับเขาทั้งนั้น
อันนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ บาป ไม่ใช่บุญเป็นอันมากเลย 5 ประการในชีวกสูตร ที่คนเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ เพราะมันละเอียดลออในเรื่องของวิบากบาป แค่
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร เล่ม 13 ข้อ60
เอาอาหารอย่างประณีตปรุงอย่างดีสุด แล้วนำไปถวายพระพุทธเจ้าหรือภิกษุทั้งหลาย โดยเจตนาให้ท่านยินดีในเนื้อนี้เป็นกัปปิยะ บาปครบขั้นที่ 5 บริบูรณ์เลย 5 ประการนี้เป็นบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย
ถ้าหากเข้าใจ 5 ประการนี้คุณจะไม่มาเถียงเลย ที่จะไปกินเนื้อสัตว์ให้ปากเปรอะ วิบากเป็นอันทำกรรมเป็นอันทำแล้วบอกว่าไม่ทำไม่ได้นะ เมื่อทำไปแล้วก็เป็นอันได้วิบาก
มีสินค้ามาเสนอ… ปฏิทินใหม่เอี่ยมถอดด้าม พิเศษนะมีผีเสื้อบินมีดอกไม้ ใบไม้ (ปีนี้มีฉลุกระดาษ pop up ให้ด้วย)
มีคำความ เราควรทำชีวิตให้เบิกบานยิ่งกว่าดอกไม้ แผ่นละ 1 บาท ไปหาซื้อได้
สินค้าอีกอย่างหนึ่งคือหนังสือ อีคิวโลกุตระ …พิมพ์มาครั้งที่ 4 แล้ว
อาตมาหนังสือเล่มนี้เสร็จ เป็นลมสลบคาห้องน้ำเลย ต้องหามไปโรงพยาบาลเลย ใช้พลังงานปรุงแต่งมาก ละเอียด มาอ่านดู อาตมาก็เขียนอธิบายไว้หมดแล้ว อธิบายเจตสิกต่างๆโดยใช้คำว่า Emotional quotient หรือ EQ
หมายความว่าการกรองหาผลลัพธ์ความละเอียดต่างๆของอารมณ์ ผลลัพธ์ที่บวกลบคูณหาร เป็นคูณร่วมน้อยหารร่วมมาก เอาตัวที่สุดแห่งที่สุดออกมา ได้
สำหรับคนสนใจธรรมะที่เป็นปรมัตถ์ไปสู่นิพพานจริงๆก็เชิญ
_ใบฟ้า ธัมทมาลา…ขออ่านคำความที่ว่า “เราควรทำชีวิตของเราให้เบิกบานยิ่งกว่าดอกไม้ ถ้าเราไม่เบิกบาน ก็สู้ดอกไม้ไม่ได้ เราควรจะทำชีวิตของเราให้มีคุณค่ายิ่งกว่าดอกไม้” …สมณะโพธิรักษ์
ดิฉันนึกถึงที่พ่อครูว่า ..ยุคหน้าชาวอโศกจะเป็นยุค เป่าขลุ่ยเพลงหนังบนหลังควาย เป็นมงคล 38 ที่ อโสกัง วิรชัง เขมัง ขอกรุณาพ่อครูอธิบายข้อความในปฏิทินและทำความที่ว่าตามมงคล 38 ด้วย
จิตไม่บวกไม่ลบ หมดธุลีหมองธุลีเริงคือเช่นนี้
พ่อครูว่า…เอาตัวสุดท้ายของมงคล 38 อโสกัง วิรชัง เขมัง
อโสกัง (ขัอ 36. จิตไม่มีธุลีหมอง ในอาสวะฝ่ายโศก)
วิรชัง (ข้อ 37. จิตไม่มีธุลีหมอง ในอาสวะฝ่ายโศก)
เขมัง (ข้อ 38. เป็นจิตเกษม) แต่ละคาถามีบทสรุปว่า เอตัมมังคลมุตตมัง (นี้เป็นมงคลอันอุดม) (พตปฎ. เล่ม 25 ข้อ 6)
อโสกัง ก็ อโศก คือพวกเรา มีฉายาว่าชาวอโศกคือเป็นคนที่ไม่โศกเศร้า เบิกบานร่าเริง อาตมาว่า อาตมามีตลอดเวลา อาตมาไม่มีอาการโศกเศร้าไม่ได้แสดงอาการโศกเศร้าเลย …ใครเห็นว่าอาตมาโศกเศร้าบ้าง ..มีแต่เบิกบาน จนร่าซ่า ไม่สงวนท่าที มีแต่ความรื่นเริงเบิกบาน จิตใจไม่มีโศกเศร้าข้างนอกก็ออกมาไม่โศกเศร้า นั่นเป็นตัวต้นของชีวิตมนุษย์
มนุษย์คนที่ไม่มีโศกไม่มีเศร้าแล้วสุดยอด
ทีนี้ มันเบิกบานร่าเริง จะร่าซ่า ร่าเริง วิรชังก็อีกรส
รสไม่โศกไม่เศร้าก็เป็นทิศทางที่มันเป็น ลบ
วิรชัง ก็เป็นบวก บวกเกินไปมันจะมากเกินไปอีก รชะ คือรสอร่อย สนุก รชะ ก็คือวิเศษ
เป็นตัวที่ 37
สุดท้ายเข้าใจหมดเลยในความไม่โศก บวกลบ จะชอบชัง เศร้าโศกหรือดีใจ ไม่มีเศร้าโศกไม่มีดีใจ ชัดเจนเลย รู้ ความเป็นไปอย่างนั้น และเป็นผู้รู้ที่รู้ความควรไม่ควร
เช่นว่า เรารู้ว่าอาการโศกเป็นเช่นนี้ อาการชื่น อาการร่าเริงเป็นเช่นนี้ สองอย่าง เป็นเทวะ สองสภาพ เป็นสภาวะสอง เราก็รู้ว่าเราควรจะอยู่ในสภาวะไหน
ควรจะอยู่ในภาวะ ค่อนไปทางโศก หรือควรจะอยู่ในสภาวะที่ค่อนไปในทางร่าเริง …ก็ควรอาศัยอารมณ์ร่าเริงดีกว่า
พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ในอานาปานสติสูตร อภิปโมทยังจิตตัง จิตยินดีปราโมท
เป็นจิตร่าเริงอย่างยิ่ง อภิปโมทยังจิตตัง ซึ่งต้องดูรายละเอียดเลย
จิตปราโมทย์ ในรายละเอียดไล่ไปตั้งแต่ อวิปฏิสาร
-
อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)
-
ปามุชชะ – ปราโมทย์ (มีความยินดี)
-
ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)
-
ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)
-
สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)
-
สมาธิ (จิตมั่นคง)
-
ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)
-
นิพพิทา (เบื่อหน่าย)
-
วิราคะ (คลายกิเลส)
10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน)
(กิมัตถิยสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 1 , 208)
จิตที่อาตมาไล่มา ตั้งแต่อวิปฏิสาร จิตไม่เดือดร้อน ไม่ร้อนใจ มันเย็น ปฏิบัติศีล มีคุณสมบัติ 10 ใน กิมัตถิยสูตร พระไตรปิฎกเล่ม 24 ข้อ 1 กับข้อ 208
เป็นคุณสมบัติเป็นประโยชน์ของผู้ปฏิบัติ ศีล แล้วจะได้อาการ 10 ระดับนี้
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติ ศีล เป็นผลต่อจิต จิตจะเจริญ ไม่ใช่ปฏิบัติศีลแล้วจะเจริญทางกายวาจาเท่านั้น ซึ่งมันขัดแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้า ในพระสูตรนี้
คนที่สอนผิด ว่า ศีล ข้อปฏิบัติ ศีลอธิบาย สีลัพพตุปาทาน รับศีลไปแล้วไม่ได้ปฏิบัติถึงจิต ไม่เกิดศรัทธาเลย ไม่มีหิริ โอตตัปปะ ไม่เข้าใจไม่เข้าถึงไม่รู้สึกอาการของจิตเลย ที่จะเข้าถึงศรัทธาหิริโอตตัปปะในจรณะ 15 ผู้ที่ปฏิบัติธรรมะตามพระพุทธเจ้าแล้วจะได้สัทธรรม 7
ศีลข้อที่ 1 เราเกี่ยวข้องกับสัตว์แล้วจิตของเรามีอกุศลจิตเกิดหรือไม่ ถ้ามันเกิดเราก็จะละอาย หิริ เราต้องปรารถนาดีต่อสัตว์ การชังเขาก็ไม่ดี หมายร้ายกับเขา ดีไม่ดีฆ่ามันเลย สำเร็จผลทางวิบากก็เสร็จเลยฆ่าเขา ไม่ฆ่ามา.. แค่กินก็ตาม
จะเข้าใจรายละเอียดของกรรมกิริยาทางจิต ละเอียดลอออย่างนี้ พระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่สุดยอดในโลก พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้อันนี้ อาตมาไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าก็อธิบายอันนี้ไปเรื่อยๆ แล้วจะอธิบายยิ่งกว่านี้ไปเรื่อยๆอาตมานี้คือโพธิสัตว์ระดับ 7 เมื่อไปเป็นโพธิสัตว์ระดับ 8 เป็นพระพุทธเจ้าก็ยิ่งชัดเจน
ไม่ใช่ว่าพูดเล่นๆเอาที่ไหนมา ไม่ได้เอาที่ไหนมาแต่มันเป็นของจริงในตัวเราเอามาพูด ไม่ได้เอามาจากตำราไหนหรอก เอามาจากของตัวเองโดยตรง อาตมาสะสมสัมภาระวิบากเป็นโพธิสัตว์มา ก็เป็นความจริงไม่ได้มาอวดอ้างอะไร แล้วก็ทำให้เห็นพิสูจน์ไป
เพราะฉะนั้นคนที่ตั้งใจดีเจตนาดีแสวงหาดีอย่างไม่มีอคติก็จะชัดเจนศึกษาตาม รู้ว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ควรมิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีจะต้องมาอยู่ด้วย เพราะว่าไม่มีอะไรหรอกสุดแพงที่สุด มาเป็นเช่นนี้ เสร็จแล้วจะเป็นโพธิสัตว์ไปอีกก็เชิญ ซับซ้อน ได้อรหันต์แล้วจะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็เชิญ แต่ถ้าผู้ที่จะอยู่อีกก็มันสุดยอดนะ อรหันต์ก็ไม่เป็นทุกข์แล้วเหลือแต่ความรู้สึกเหนื่อยพากเพียรประโยชน์ท่านศึกษา เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที จะแยกธาตุให้เป็นอุตุธาตุสูญหายไปเลยก็ไม่มีปัญหา แต่คนไหนเห็นว่าน่าลองนะก็มาศึกษาต่อ
เมื่อตอนยังไม่เป็นอรหันต์ก็ยังไม่ตั้งจิตเป็นโพธิสัตว์ แต่เมื่อถึงอรหันต์แล้วมันก็จะรู้สึกว่าน่าจะต่อนะ น้อยคนที่จะไม่ต่อ ลจนกว่าจะไปเป็นโพธิสัตว์ระดับ 4 ระดับ 5 ระดับ 6 ขึ้นไป ก็รู้สึกว่ามันจะเมื่อยนะ กว่าจะขึ้นระดับ 7 นี้ อื้อหือไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ระดับ 5 ระดับ 6 ต้องสู้หนัก
สู่แดนธรรมว่า…ส่วนมากจะรีไทร์ในระดับไหนครับ
พ่อครูว่า…ระดับ 6 ระดับ 7 นี่แหละ
ระดับ 6 จะทำงานเป็นรูปธรรมมาก ระดับ 7 จะทำงานทางนามธรรมมาก ทางนามธรรมนี้จะนาน ระดับ 7 กว่าจะขึ้นระดับ 8 ถ้าระดับ 8 ก็แสดงผล โชว์ผล ระดับ 7 นี่ โควิดขึ้นคอ ไม่ใช่หืดหรือมะเร็งขึ้นคอนะ
สู่แดนธรรม…ผมคิดตามตรรกะว่า เพราะว่านามธรรมนั้นคนเห็นได้ยาก
พ่อครูว่า…ใช่ นามธรรมนั้นคนเห็นยากกว่า
_0852 : สมัยก่อนมีครูเฒ่า ชนะ ทรัพย์แก้วโปรโมเตอร์มวยชื่อดัง สมัยนี้มีพ่อเฒ่าโพธิรักษ์ สัมมาสัมพุทธสาวก แม้ร่างกายจะอ่อนกำลังลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น แต่ปฏิภาณปัญญากลับเพิ่มพูน แรง หนัก คมชัดละเอียดลออขึ้นทุกครั้งแม้คู่ต่อสู้อีกฝ่ายคือสมาธิหลับตาหรือนิพพานโลกีย์หรืออรูปพรหมจะหนาปึก แต่ด้วยเมตตาและความอึด(ขันติ)ก็คงจะช่วยให้ยืนระยะไปให้นานจนกว่าจะถึงระดับ9 ซึ่งก็น่าจะเบากว่าปางนี้ ขอกราบคารวะอย่างสูง สายลมหวาน
เป็นพระอรหันต์แต่บอกกันไม่ได้ คือความล้มเหลวของศาสนาพุทธ
_นิยม เขียวอ่อน : ในพระพุทธกาลมีพระท่านปฎิบัติจนบรรลุพระอรหันต์ ได้บอกให้พระองค์อื่นให้ท่านทราบ จนพระท่านไปสอบถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสว่าท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วแต่พระองค์ท่านตรัสไม่สรรเสริญคนพระอรหันต์ที่สำเสร็จแล้วแล้วบอกให้คนอื่นทราบ อาจเป็นพระคนไม่เข้าใจว่าพระอรหันต์ท่านเป็นอย่างไร หรือเหตุผลในที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ซึ่งในพุทธกาลสำเสร็จแล้วพูดว่าสำเสร็จแล้วแต่มีน้อยมาก ต่อพระพุทธเจ้าท่านทรงห้ามไว้
พระอรหันต์สามารถตรวจสองได้ทางธรรม โดยตรวจสอบธรรมนิพพานจากพระอรหันต์ด้วยกันจะบอกได้ว่าท่านเป็นพระอรหันต์หรือยั
พ่อครูว่า…ผู้ที่มีคติความเชื่อที่ว่าเป็นอรหันต์แล้วบอกใครไม่ได้คนนี้มีคติที่ไปไม่เป็นเดรัจฉานก็สัตว์นรก
โลหิจจสูตร (ผู้บรรลุธรรมแล้วควรบอกผู้อื่นหรือไม่)
โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่… ฯลฯ ” .
พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีคติ ๒ คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 358)
การบอกผู้อื่นอีกว่า ผู้บอกผู้อื่นว่าบรรลุผู้นั้นไม่ใช่ผู้บรรลุ อันนี้เป็นความคิดและคำพูดที่ค้านแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้าอย่างมาก เพราะว่าถ้าเข้าใจอย่างนั้น อรหันต์ก็จะเป็นอรหันต์ เดาเอาหมด เพราะว่าเป็นอรหันต์และบอกคนอื่นไม่ได้คนอื่นจะรู้ได้อย่างไร เขาก็เดาไปทั้งนั้น นี่คือคำพูดที่ไม่คมไม่ชัด ทำให้ผิดเพี้ยนไป
ถ้าคนอยากบอกผู้อื่นพระพุทธเจ้าก็ไม่สรรเสริญน่ะสิ แต่ถ้าไม่ได้อยาก แต่ควรบอกก็ต้องบอก ให้รู้กันเพื่อเป็นประโยชน์ ไม่ใช่เป็นการอวดอ้าง ไม่มีอคติไม่มีสาเฐยจิต แต่ควรบอกเพื่อให้รู้ความจริง อย่างอาตมาบอกนี้ อาตมาไม่ได้บอกเล่นๆง่ายๆ
อาตมาบอกมาว่าตัวเองเป็นอรหันต์เมื่อ พ.ศ. 2548 คิดดูสิ อาตมาทำงานตั้งแต่ พ.ศ. 2513 อาตมาบอกว่าแสดงเป็นโพธิสัตว์ก่อน แต่อาตมามาบอกว่าตนเองเป็นอรหันต์เมื่อ พ.ศ. 2558 ไม่ใช่ว่าอยากบอกเล่นๆง่ายๆ แต่อาตมาก็มีหลักฐาน
อาตมาบอกว่าตนเองเป็นอรหันต์ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2520 เคยบอกไป 2 คนคืออาจารย์ดร.ขวัญดีกับอาจารย์แสง จันทร์งาม
อ.แสง จันทร์งาม เคยมีคนไปถามว่าจำได้หรือไม่ท่านก็บอกว่าจำไม่ได้ ตอนนั้นอาจารย์แสงก็อายุ 90 กว่าแล้วก็บอกว่าจำไม่ได้
ถ้าเผื่อว่า อ.แสง จำไม่ได้ ที่ไม่เคยบอก มันน่าจะจำได้มากกว่า เคยบอกแล้วจำไม่ได้ก็เอาล่ะ แต่ถ้าไม่เคยบอกนี่ น่าจะจำได้มากกว่า
ซึ่งอ.แสง เคยมาเซ้าซี้ถามว่า อาตมาเป็นอรหันต์หรือไม่อาตมาก็เคยตอบว่าเป็นจริง
แล้ว อ.ขวัญดีก็เคยถามมา อาตมาก็เคยบอกว่าใช่
มีที่ไหนที่พระพุทธเจ้าห้ามพูดว่าเป็นอรหันต์ ซึ่งคนที่ไม่มีจริงในตนนั้นพระพุทธเจ้าท่านห้ามบอก แน่นอน ถึงเป็นปาราชิกเลย ถ้าไปอวดตัวว่าเป็นอรหันต์โดยที่ตัวเองไม่มีจริงเป็นพระปาราชิกได้นะตามพระวินัย นี่ยิ่งใหญ่เลย อันนี้ห้ามแน่นอน หรือมีอีกนัยยะหนึ่ง อย่าไปบอกคุณธรรมที่คนรู้ไม่ได้ คือบอกความรู้ ที่เกินจากภูมิของผู้ที่ฟังที่ควรรู้เรียกว่า อนุปสัมบัน คือผู้มีฐานที่ยังไม่ถึงที่จะฟังได้ เราก็ไม่ควรบอก อย่างนี้มันมีรายละเอียด อย่าเพิ่งไปบอก ถ้าบอกผิดฐาน พระพุทธเจ้าท่านปรับอาบัติปาจิตตีย์ ไม่ใช่เป็นปาราชิก เพราะว่ามีคุณธรรมนั้นในตน แต่บอกผิดฐานะ กาละอันควร โดยเฉพาะบุคคลที่เป็น อนุปสัมบัน คำว่าอนุปสัมบันก็แปลต่างกัน ทางโน้นแปลว่า เป็นภิกษุสงฆ์ผู้คนห่มจีวร ก็ให้บอกได้ แต่ที่จริง ไม่มีภูมิพอจะรู้ได้พูดบอกไปก็เละเทะ แม้จะบวชได้รูปร่างนุ่งห่มจีวรก็ตาม ซึ่งมันต้องเอาตามฐานะแท้ของฐานของจิตวิญญาณ เป็นอุปสัมบัน มีภูมิถึงขีดที่ควรจะรู้ แต่ถ้าไม่มีภูมิจะรู้ได้ก็เละเทะ แถมได้พยัญชนะภาษาไปต่อเติมอีกเละเทะเสียผล ตีกลับ
ผู้เป็นพระอรหันต์ก็ตรวจสอบได้ของกันและกันก็จริง พระอรหันต์ด้วยกันก็จะรู้จักอริยสัจ 4 และรู้จักจิตเจตสิก โดยเฉพาะรู้จักจิตที่เป็นกิเลสอาสวะ อาสวะขั้นไหน ขั้นที่ยังมีอุทธัจจกุกกุจจะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ก็ต้องดูอาการของสิ่งเหล่านี้ มันมีอาการที่มีดีกรีต่างกัน แล้วจิตใจของเราหมดแล้ว สัมผัสเกี่ยวข้องกับสัตว์เราก็ไม่มีจิตอาสวะพวกนี้
สัมผัสกับข้าวของวัตถุกับพืชเป็นศีลข้อที่ 2 สัตว์อย่างหนึ่ง ของอย่างหนึ่ง ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวข้องกับของ อย่าทุจริตได้เรื่องเกี่ยวกับของ
ศีลข้อที่ 1 อย่าไปทำร้ายกัน ศีลข้อที่ 2 นี้ ทำกับพืชกับของ มันไม่มีจิตวิญญาณไม่มีวิบากบาปบุญอะไรไม่มีเวทนาอะไร
เพราะฉะนั้น พีชะ หรืออุตุ ก็คือศีลข้อที่ 2 เป็นแต่เพียงว่าอย่าไปทำกรรมที่ทุจริต ส่วนศีลข้อที่ 3 นั้นเป็น รสของกามคุณ 5 (ตาหูจมูกลิ้นกาย)
ต้องเกี่ยวข้องกับศีลทั้ง 3 ข้อนี้ ถ้าทั้งหมดนี้ไม่มีกิเลสร่วมเลยคุณก็เป็นพระอรหันต์ในศีลทั้ง 3 ข้อนี้ เข้าใจให้ละเอียดเถอะ
ส่วนข้อ 4 ทางวาจาข้อ 5 ทางจิตวิญญาณ ซึ่งไปติดเมามายใน สุราเมรยมัชชะ เขาแปลว่าสุราคือน้ำเมา เมรยะคือน้ำเบียร์ อะไรพวกนี้ มันจัดหรืออ่อนกว่ากันก็ได้ แต่มันยิ่งกว่านั้น ยิ่งมัชชะนี้เมาอย่างไรเมายาลมยาดม อะไรอย่างนี้
_สู่แดนธรรม…5 มีนาคม 2558 พ่อครูได้ประกาศอรหันต์ ที่พุทธสถานศาลีอโศก มีผู้ชม หนึ่งแสนสองหมื่นกว่าคน มีวิจารณ์ไปคนละทิศคนละทาง
_ในปางฝัน(จากลานนาอโศก)…รายงานบรรยากาศ 5 ธันวาคม 2563 ทีมภูผาฯได้ไปร่วมเก็บขยะ 20 กว่าคน ได้เห็นบรรยากาศดีๆ บริเวณที่พวกเราไปก็ค่อนข้างคุ้นเคย ที่พระแม่ธรณีบีบมวยผม รู้สึกประทับใจ ผู้มาเป็นผู้สูงวัยก็เยอะจากกระบี่มาถึง 10 คันรถบัส
พ่อครูว่า…เป็นสัจจะเป็นเรื่อง อจินไตย เป็นเรื่องจิตวิญญาณไม่สามารถรู้ได้ง่ายๆเลยว่ามันเป็นอย่างไร เป็นเรื่องสำคัญมาก คนจะมีบารมีได้เป็นในหลวงฯไม่ใช่อยู่ดีๆได้เป็น เพราะว่าในหลวงฯสืบสายทางโลหิต ไม่ใช่เลือกตั้ง
การเลือกตั้งมีพลังงานแต่ภายนอก พลังงานสร้างเอาไม่ใช่อจินไตย จากการสืบสายเลือดสายจิตวิญญาณ การสืบสายเลือด แล้วไม่ใช่สืบสายเลือดโดยไม่ใช่ไม่มีอะไร สืบสายเลือดตามธรรมดาพ่อแม่เลี้ยงลูกก็จะให้ลูกเป็นคนดี พยายามสั่งสอนอบรมช่วยเหลือ เท่าที่จะสามารถ ยิ่งในสันตติวงศ์ มีกฎมณเฑียรบาลมีหลักเกณฑ์ มีองค์ประกอบของสิ่งที่ต้องฝึกฝน เป็นพระประยูรญาติสืบสันตติวงศ์ทุกพระองค์ จากในหลวงมา สำคัญมา ต้องมีการเลือกเฟ้นไม่ใช่อยู่ๆจะไปเป็นได้เลย ต้องผ่านชีวิตผ่านการฝึกฝนอบรมประกอบกันมา นั่นแหละเป็นองค์ประกอบภายนอก ส่วนภายในนั้นสืบ DNA เลย ที่เป็นการเลือกตั้งนั้นไม่ได้เป็นการสืบทอดจิตวิญญาณเลย ใครมีอำนาจทางค่ายกลทางการเงินเหมือนกับประธานาธิบดีทั้งหลาย หรือว่านายกการเลือกตั้งก็ตามมันไม่ใช่ อันนี้องค์ประกอบมันลึกซึ้งซับซ้อนมากกว่าเลย เพราะฉะนั้นเรื่อง อจินไตยพวกนี้คนไม่เข้าใจก็เลยคิดกันง่ายๆตื้นๆ พวกนี้มีวิบากนะ ไม่ใช่ว่าเป็นการขู่เล่น แต่เป็นวิบากไม่ดีเป็นอกุศลวิบากของเขา ที่เขาไปทำกับผู้ที่ไม่ควรกระทำ ผู้ที่เขาไม่มีบารมีเท่า
พูดให้ชัดง่ายๆ การที่คุณเป็นคนสามัญแล้วคุณไปฆ่าพระเจ้าแผ่นดิน วิบากมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่พูดให้ชัด พระเจ้าแผ่นดินที่ไม่ดีก็ตาม ใช่ไหม แล้วคุณจะไปทำร้ายไปพระเจ้าแผ่นดินที่ไม่ดี มันก็เป็นวิบาก ไม่ใช่ไม่มีวิบากมันซับซ้อนนะ คุณอาจจะปรารถนาดีนะ สิ่งที่ไม่ควรจะทำ พูดมากก็ไม่ค่อยสวย พอสมควรเพื่อเป็นการศึกษา
มรรคมีองค์ 8 และโพชฌงค์ 7 คืออะไร
_ด.ญ.เพ็ญน้ำค้าง (จากศาลีอโศก)…มรรคมีองค์ 8 คืออะไรคะหลวงปู่
_ด.ช.วุฒิชัย ขันทอง…โพชฌงค์ 7 คืออะไรครับหลวงปู่
พ่อครูว่า…ดี ถาม 2 อันนี้ดี
2 อันนี้คือ เทวะคือ 2 เป็นธรรมะเป็นหลักธรรมหัวข้อธรรม ที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระพุทธเจ้าไม่อุบัติมรรคมีองค์ 8 ไม่เกิดในโลก พระพุทธเจ้าไมอุบัติโพชฌงค์ 7 ไม่เกิดในโลก เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกมรรคมีองค์ 8 และโพชฌงค์ 7 จึงเกิดขึ้นในโลก
มรรคมีองค์ 8 อธิบายง่ายๆก็คือเหมือนกับถนนเหมือนกับทางเดิน
โพชฌงค์ 7 ก็เหมือนกับการเดิน เป็นคนเดินเป็นผู้เดินเดินไปในทางเดินไปถึงที่หมาย
ทางเดินก็พาไปมีทางตรงไปสู่นิพพาน มรรคมีองค์ 8 คือทางตรงไปสู่นิพพาน ส่วนโพชฌงค์ก็คือคนต้องเดินเป็นการก้าวเดิน เป็นการเดินไปตามทางที่พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ให้เดินตรงทางอย่าออกนอกทาง เดินแล้วก็ต้องใช้กำลังความสามารถซึ่งไม่ใช่ง่าย ทางที่จะไปนิพพานนั้นเป็นทางทุรกันดารเป็นทางที่ยาก ถ้าเดินผิดนี้ไม่ตรงทางจะวนออกนอกทางมรรคมีองค์ 8 เลย ถ้าเดินถูกทางตรง ก็ต้องอุตสาหะพากเพียรเดินทางไปไกลแสนไกล ยากแสนยากสูงแสนสูงต้องปีนป่ายต้องหนัก ก็ไปให้ถึง เรียกว่าโพชฌงค์มี 7 ข้อ ส่วนทางนั้นมี 8 ข้อ
มรรคมีองค์ 8 นั้นมีรายละเอียดว่า
1.จะต้องเข้าใจ สัมมาทิฏฐิ ต้องเข้าใจให้ถูกต้องตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า
2.จะต้องคิด ให้ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า การคิดผิดนั้นมี 3 อย่าง คิดไปใน กาม พยาบาท วิหิงสา ก็ต้องงดเว้น
3.จะต้องพูดต้องมีวาจาให้ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าท่านสอนให้ดี ซึ่งก็มีแยกกันอีก การพูดที่เป็นมิจฉาทั้ง 4 ข้อจะต้องงดเว้นมีการพูดปด พูดเพ้อเจ้อพูดส่อเสียดพูดคำหยาบ
4.จะต้องมีการกระทำ กัมมันตะที่ไม่ดีอย่าไป ฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ประพฤติผิดในกาม
5.ทำงานเลี้ยงชีพ ก็ต้องงดเว้น โกง โกหก ตลบแตลง ต้องตั้งใจปฏิบัติให้ได้ตามลำดับคือเนมิตกตา ได้แล้วอย่าไปมอบตนกับคนผิดคนชั่วคนพาลทุนนิยม นิปเปสิกตา ข้อ 5 นี้ทำงานฟรีเลยไม่เอาสิ่งตอบแทนเลย ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ต้องปฏิบัติมิจฉาชีพห้าให้ได้
-
มีความพยายามพากเพียรสิ่งที่ถูกต้อง สัมมา
-
มีสติ ต้องมีสติตื่นเต็มทางกายกรรม วจีกรรมมโนกรรม มีสติเต็มร้อย มีความตื่นให้เต็มชาคริยานุโยคคะทั้งกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม
-
ทั้ง 7 ข้อนั้นปฏิบัติแล้วจะได้จิตสะอาดจิตบริสุทธิ์จากกิเลสแล้วสั่งส มตกผลึกเรียกว่าสัมมาสมาธิ ผู้ที่จะไปนั่งหลับตาสะกดจิตได้สมาธินั้นไม่ใช่ของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธนั้นปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์แล้วก็จิตใจตกผลึกสะสมลงเป็นจิตตั้งมั่นเรียกว่าสัมมาสมาธิ คือสมาหิโต
ส่วนโพชฌงค์ 7
-
สติสัมโพชฌงค์ มีความรู้ตัวมีสติรู้เท่าทันกิเลส
-
ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีการวิเคราะห์วิจัยแยกแยะเหตุที่มาแห่งกิเลส
-
วิริยสัมโพชฌงค์ มีความพากเพียรลดกิเลสอย่างสัมมาทิฏฐิ
-
ปีติสัมโพชฌงค์ ทำได้ก็จะดีใจแต่ต้องลดความดีใจลงเป็นความปกติคือ
-
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
-
สมาธิสัมโพชฌงค์ มีการสั่งสมจิตที่บริสุทธิ์สะอาด
-
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ จิตบริสุทธิ์สะอาดมีคุณสมบัติอุเบกขา 5