631130_รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 19
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/16NggsjGoS_na-pZUcS8SX2olG2_58NTZDPKNuYhEp4Q/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1vQeWoJ_q7P69TA6FBsmn4qCvIdWAsnlj/view?usp=sharing
ยูทูปที่
_สู่แดนธรรม… วันนี้วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันพระ ที่จะได้รับมาพบกับผู้รู้ เพื่อจะได้พบกันทางประเสริฐแห่งชีวิต ที่หน้าพ่อท่านวันนี้เราจะเห็นความรุ่งเรื่องและโรย ให้เห็นสัจธรรมของชีวิต
พ่อครูไม่แก่เพียงแต่อายุยาวเท่านั้น
พ่อครูว่า…พรุ่งนี้ขึ้นเดือนธันวาคม ขึ้นเดือนธันวาคมอย่างไรก็เป็นหน้าหนาว ที่จริงธรรมดาเดือนตุลาคมก็จะเริ่มหนาวแล้ว พฤศจิกายนธันวาคมก็หนาว มกราคมก็หนาว กุมภาพันธ์ก็ร้อน ฤดูกาลของโลกก็เปลี่ยนไป ประเทศอื่นอาจจะมีฤดูใบไม้ร่วงใบไม้ผลิก็ว่าไปแต่เมืองไทยมี 3 ฤดูกาล คนเราก็เดินทางไปตามเวลา แต่เวลามันไม่เคยหยุด ทั้งไม่เคยหยุดไม่เคยพัก ไปเรื่อยๆเลย
คนเราเกิดมาไม่มีอายุยาวก็ไม่ได้ แต่ที่สำคัญก็คือ มันไม่แก่ก็ได้ คือเราประมาณการแก่หรือไม่แก่ ได้จากสภาพของสังขารร่างกาย ท่าทางกำลังเรี่ยวแรงของคน อาตมาว่าอาตมามีท่าทางไม่เหมือนคนแก่นะ ยังไม่เข้าเกณฑ์ความแก่ จริงที่อาจจะเข้าเกณฑ์ผู้อายุยาวหน่อย แต่มันไม่ได้เข้าเกณฑ์แก่ ดูพฤติกรรมแล้วแต่เวลามันก็ยาวไป 86 ปี 5 เดือน กำลังจะ 6 เดือน ถึงวันที่ 5 ธันวาคมก็เต็ม 6 เดือน อาตมาจำได้ เพราะตรงกับในหลวง ในหลวง 5 ธันวาคม ของอาตมา 5 มิถุนายน ห่างกัน 6 เดือน อายุเรามันก็เป็นไปตามตัวเลขแย้งไม่ได้ แต่อาตมาจะพยายามฝืนความแก่จะไม่ให้มันแก่เร็ว ดีดที่มือก็ยังไม่แก่ ดังป๊องๆๆ
ที่อาตมาพูดไปเหมือนไร้สาระแต่ที่จริงแล้วเป็นเนื้อแท้สาระว่า คนเราเกิดมามีความรู้ ความรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นความรู้ที่ช่วยให้เรามีอายุ อายุก็ไปตามตัวเลขตามเวลา แต่ช่วยให้เรามีสภาพของสังขารร่างกาย ที่บอกว่าเกิดแก่เจ็บตาย สังขารร่างกายจะแก่ ตามสภาพที่ควรจะเป็น แต่นี่มันดูดีกว่าสภาพที่ควรจะเป็น มันจะต้องเหี่ยวต้องโรยเสื่อมไปก็ช้า
อันนี้อาตมาได้พยายามใช้ทั้งรูปธรรม 8 อ. ใช้ทั้งทางจิต ใช้ทั้งนามธรรม เพื่อที่จะไม่ให้มันโรยๆ ไปตามเวลาเท่าไหร่ ก็ดูจะได้ผล ว่าไหม
จริงๆแล้วอาตมาว่าไม่ใช่อาตมาคนเดียว แต่ชาวอโศกหลายผู้คน อย่างใจแก้วนี่เท่าไหร่ … 70 เต็ม ตอน 19 ตุลา ตอนนี้ย่าง 71 ยังไม่แก่นอกจากจะผมหงอกบ้าง ใช่ไหม
ที่พูดไปนี้มันก็ทำให้เรา ยัง สังขารร่างกายเราไปได้ดี มันไม่แก่มันไม่เสื่อมมันไม่โรยรามันก็อยู่ด้วยดี ถ้ามันแก่หง่อม เป็นไปตามธรรมดาธรรมชาติของโลกห้ามไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ที่จริงแล้วมันเป็นทั้งความพยายามที่เราจะพยายาม ให้มันปรุงแต่งดินน้ำไฟลม สังขาร โดยมีจิตเป็นประธานช่วยด้วย แล้วมีวิบากของแต่ละคนด้วยมันเป็น
อันนี้แหละ เป็นธรรมะที่อาตมาว่า จะใช้กับมนุษย์ ในชาวอโศกนะว่าจริงๆแล้ว คนแก่อายุมากๆ 60 70 80 ปี นี้มีเยอะ แต่ก็ไม่เหมือนข้างนอกเขา ข้างนอกเขา 70 80 ปี ก็นั่งวีลแชร์ สามขา สี่ขา หกขา เดินไป หรือนอนติดเตียงกันไปแล้วเยอะ แต่พวกเรานี้คนแก่เยอะ เดินไปโรงครัว เฮือนหยังกินเช้าๆโอ้โห นั่งเด็ดผัก อายุมากกันทั้งนั้น 60 70 80 ปี เต็มกัน เขาถือว่าเป็นหน้าที่ของคนแก่ทำให้กิน คนหนุ่มคนสาวไปทำอย่างอื่นกำลังมันแรงกว่า พวกเราก็รู้ มีคนชอบจริงๆ หนุ่มสาวที่ชอบทำอาหารก็พอมีบ้าง (โยมว่า ชื่อกลุ่ม วัย 555 กลุ่มนิสิต ว.นบ.) นี่เราก็จัดสรรกันตามความเหมาะสม
พูดจริงๆแล้วที่อาตมาทำงานมา 50 ปีอาตมาก็มาทำงานกับมนุษย์กับสังคมมนุษย์ หรือจริงๆแล้ว อาตมาตั้งแต่อายุ 36 ไม่ได้ใช้ชีวิตไปกับการที่จะต้องไปหาเงินทองลาภยศเหมือนโลกเขาไม่เกี่ยวเลย มาทำงานกับมนุษยชาติ พามนุษยชาติให้เจริญ เจริญจากที่พระพุทธเจ้าท่านหมาย พระพุทธเจ้าท่านหมายถึงเจริญด้วยกรรม ด้วยปัญญา ด้วยความเฉลียวฉลาดที่เป็นโลกุตระ โดยเฉพาะรู้จักโลกุตรธรรมนี่สุดยอด สุดยอดจริงๆ
มนุษย์ประเสริฐแบบพระพุทธเจ้าสอน
ผู้ที่ยังไม่เข้าใจจริงๆว่า พระพุทธเจ้านี้เป็นคนเหมือนกับทุกๆคนเลย แล้วท่านก็แสวงหาความสุดยอดของความเป็นมนุษย์ ฟังคำว่า “ความสุดยอดของความเป็นมนุษย์”
มนุษย์จะดีอย่างไร มนุษย์จะรู้อย่างไร มนุษย์จะประเสริฐอย่างไร จะสุดยอดอย่างไร ท่านแสวงหามาตลอด อาตมาพูดเพราะอาตมาเป็นโพธิสัตว์ อาตมารู้ว่า ชีวิตมนุษย์ไม่มีอะไรหรอก มีการแย่งเงินทอง ลาภยศโลกียสุข แย่งกันผ่านมาแล้วทั้งนั้น เป็นแต่เพียงมารู้ทิศทางที่สำคัญ
ทางโลกีย์เขาก็พยายามให้คนมีความสูงส่งให้คนนับถือ เขาก็ทำแต่ความดีๆๆๆ ตามที่เขาเข้าใจ แล้วก็ได้ความยอมรับนับถือจริงๆ จนที่สุดก็เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่ง ถ้าไม่ได้เรียนรู้ธรรมะที่เป็นโลกุตระ เขาก็จะวนเวียนอยู่กับศาสดา มีวิบากก็ลงไป คนอื่นก็มาแทน ดีไม่ดีวิบากมาก ลดลงไป เป็นอะไรต่ออะไรอีกได้ ซึ่งเทวนิยม เขาจะไม่รู้การเวียนว่ายตายเกิด เขาจะไม่ได้เรียนกรรมวิบาก เพราะว่า ศาสดาไม่รู้เรื่องนี้ เพราะฉะนั้นก็ไม่สอน
มีแต่ว่า พระเจ้าจะสั่งให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เจริญหรือไม่เจริญให้เสื่อมหรือไม่เสื่อมก็พระเจ้าทั้งนั้น แม้แต่ที่สุดจะดีหรือชั่วก็พระเจ้าสั่งการ ก็เลยกลายเป็นคนมีตัวเองที่จะ 1. เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สั่ง หรือ 2. ก็กิเลส ตัวเองก็เป็นตัวกิเลสฉันจะทำแบบนี้ โดยฉันไม่กังวล จะเป็นผลบวกลบ เป็นกุศลอกุศลสั่งสมเป็นวิบากสะสม บวกลบคูณหาร วิบากต่างๆที่จะให้ตัวเราเองได้ดีตกยาก ปัญญาทราม ปัญญาดีอะไรก็แล้วแต่ เขาก็จะไม่รู้จักความละเอียดละออเหล่านั้น
โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าจับหัวใจของมนุษย์ เป็นจุดสำคัญตรงที่ว่า มันจะรู้จักจิตวิญญาณ แล้วก็เป็นประธานสิ่งทั้งปวง แล้วจัดการควบคุมจิตวิญญาณ ให้จิตวิญญาณปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ 1 ดีนั้นแน่นอน ไม่ปฏิบัติชั่ว 2. รู้เหตุที่ทำให้ไม่ฉลาด เหตุที่ทำให้ไม่ฉลาด รู้จักตัวกิเลส นี่แหละเป็นตัวสำคัญที่สุด เรียกเป็นภาษาเทวนิยมเป็นซาตาน หรือไซตอน แต่เขาไม่สนใจหรอก ศาสนาพุทธสนใจ เรียกว่าอกุศลจิตหรือมารหรือผี แล้วจัดการเหตุที่จิต เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ จัดการตัวนี้ให้ดับสิ้นไปเลย
พอดับสิ้นแล้ว จึงชัดว่า อ๋อ จิตวิญญาณไม่ใช่เป็นของพระเจ้า แต่จิตวิญญาณเป็นของเราเอง เพราะฉะนั้นจึงสามารถทำให้จิตวิญญาณสลายหายไปเลย จากมหาจักรวาลนี้ได้ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุจิตวิญญาณออกเป็นอุตุธาตุ เป็นดินน้ำไฟลม หมดความเป็นชีวะ เป็นพืชก็ไม่เป็น หมดความเป็นสัตว์ ก็สลายได้หมด นี่แหละคือสุดที่สุด
อาตมาคิดว่า ผู้ที่เป็นชาวเทวนิยมศาสนาอื่นก็ตาม ถ้าไม่มีอคติ ตั้งใจฟังดีๆจะรู้เลยว่า อ๋อ ประเด็นที่ควรจะรู้ก็คือ
-
จิตวิญญาณไม่ใช่ของพระเจ้า
-
จิตวิญญาณไม่อยู่เป็นอัตภาพนิรันดร
สลายหายสูญไปได้เลยด้วยตัวเอง ตนเองทำให้จิตวิญญาณตัวเองสลายหายสูญไปได้เอง นี่แหละเป็นการพิสูจน์ว่าจิตวิญญาณไม่ใช่เป็นของพระเจ้าเป็นตัวการ ไม่ใช่ มีปรินิพพานเป็นปริโยสานได้จริง อันนี้ อาตมาถึงว่า
ศาสนาเทวนิยม ไม่ว่าจะเป็น คริสต์ อิสลาม หรืออื่นๆ จะเป็นศาสนาบาไฮ ศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศาสนาฮินดู(พ่อครูว่าฮินดูมีนิพพาน แต่เขาเข้าใจผิดว่าไม่มี) มันสลับสับไปมา ฮินดูก็คือ ศาสนาพราหมณ์
จริงๆแล้วศาสนาพุทธทุกวันนี้เป็นศาสนาพราหมณ์ ที่เขามีทิฐิมีความเข้าใจและประพฤติปฏิบัติกันอยู่เป็นแบบพราหมณ์ เป็นแต่เพียงว่าเอาภาษาศาสนาพุทธไปใช้แทน เพราะเอาภาษาพุทธไปใช้แทน จึงเสียหมด คำว่า ฌาน สมาธิ ปัญญา เป็นแบบพราหมณ์หรือ เป็นฮินดูไปหมด แต่เขาเข้าใจไม่ได้เท่านั้นเอง ก็เลยไม่มีผลสำเร็จในการได้รับการศึกษาธรรมะ
เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธทุกวันนี้จึงกลายเป็นศาสนาที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน พระสูตรที่บอกว่าศาสนาพุทธตอนนี้มีแต่ดอกใบผลเท่านั้น แค่สีลัพพตุปาทานไม่ได้แม้แต่สีลัพพตปรามาส สีลัพพตุปาทานคือทำตามครูบาอาจารย์ถ้าทำเท่านั้น ปฏิบัติศีลก็บอกว่าควบคุมแค่กายวาจา ไม่ใช่ทำแบบกิมัตถิยสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าปฏิบัติศีลแล้วจิตใจจะมี
-
อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) .
-
ปามุชชะ – ปราโมทย์ (มีความยินดี)
-
ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .
-
ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)
-
สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)
-
สมาธิ (จิตมั่นคง)
-
ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .
-
นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .
-
วิราคะ (คลายกิเลส)
10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน)
(กิมัตถิยสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 1 , 208)
ซึ่งเดี๋ยวนี้การปฏิบัติศีลไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย เพราะฉะนั้นเขาจึงออกจากศาสนาพุทธหมด ก็คือ …นี่มันโสเหล่นะ…
เดี๋ยวถามผู้ที่อยู่ในจอทั้งหมด อาตมาจะอธิบายจรณะ 15 วิชชา 8 ต่อ
สู่แดนธรรม…พ่อท่านกำลังอธิบายอยู่ พวกเราก็ทักทายพ่อท่านสักเล็กน้อย เดี๋ยวก็จะกลับเข้ามาสู่จรณะ 15 วิชชา 8
_น้อมผ่องพุทธ กล้าจน(จากประเทศเนเธอร์แลนด์) …ก่อนจะมาก็ต้องลงทะเบียนกับสถานทูตเพื่อขอรับการกักตัวจากรัฐบาลด้วย เพราะว่า ถ้าเราลงทะเบียนไปกักตัวเอง ไปเห็นราคา 48,000 – 50,000 บาท ถ้าเลือก Alternative State quarantine ก็เสียเงินเอง แต่หากเลือกของ State quarantineกับรัฐบาลไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย แล้วก็จะมีโควต้าให้ในเที่ยวบินแต่ละสัปดาห์ เราลงทะเบียนล่วงหน้าแล้วก็ต้องขอเอกสาร ให้เขาตรวจว่าเราสุขภาพแข็งแรงพอจะเป็นได้ ถ้าเป็นฝรั่งจะต้องกักตัวเองแล้วตรวจ โควิด ก็จะมีค่าใช้จ่ายในการตรวจ ก็ลุ้นมาก เพราะค่าตั๋วเราซื้อแล้วเอกสารเราซื้อแล้ว ถ้าเราป่วยก่อนเดินทางเช่นมีไข้เราก็จะไม่ได้บิน ก็มีความตื่นเต้นตรงนี้ ตั๋วเครื่องบินช่วงนี้ก็จะแพงกว่าปกติ
ตอนแรกก็เข้าใจว่าเขาจะให้เรานั่งห่างกันในเครื่องบินค่ะ แต่ปรากฏว่าเขานั่งเบียดกันเต็มเลย เจอคนนั่งข้างหลังเป็นคนอินโดนีเซีย เขาจะบินต่อไปจาการ์ตา เส้นเดียวเขาก็ไอเดี๋ยวเขาก็ไอ หันไปมองเขา เขาปิดปากแต่ไม่ปิดจมูก ก็สยอง ก็เลยเดินไปบอก แอร์โฮสเตส ว่าให้ไปดูหน่อย เขาก็คอยตรวจทุกคน ก็นึกได้ว่า ตัวเองมีภูมิคุ้มกันแล้วไม่ต้องกลัว เพราะพ่อบ้านติดโควิดแล้ว เขาก็หายแล้ว ก็ใช้วิธีตามที่หมอเขียวสอน 3 วันก็หาย
พอลงเครื่องมา เขาก็ว่ารักษาระยะห่างอย่าเบียดกัน เขาก็ขำกันเพราะไม่มีใครฟัง ออกจากเครื่องบินก็จะมีการตรวจเอกสาร ให้รักษาระยะห่าง 2 เมตรๆ ถัดมาก็จะมีเก้าอี้รอเป็นแถว 4 แถว ห่างกันให้เรานั่งรอ เจ้าหน้าที่ก็จะมาตรวจอีกครั้งหนึ่ง ไม่นานเพราะเจอคนรู้จัก เป็นเที่ยวบินที่คนไทยเยอะมาก มีเจ้าหน้าที่มาฉีดยาฆ่าเชื้อ ส่งขึ้นรถบัส รัฐบาลไทยดูแลดีเขาให้นั่งห่างกันไม่ถึงครึ่งคัน คนยังไม่เต็ม มีรถบัส 10 คันพามาที่พัทยา ตอนนี้หนูกักตัวอยู่ที่พัทยาเป็นโรงแรม ก่อนลงรถก็ตรวจอีก ให้ลงทีละคน มีสะเทือนใจตรงที่ว่าเขาเรียกหนูว่า ป้า(หนูไม่เคย) เขาว่าเดินมาป้าหยุดก่อน รักษาระยะห่างครับ
_สู่แดนธรรม…ชาวอโศกคนไหน อยากจะได้รับบรรยากาศอย่างนี้ก็หาทำเอานะครับ
การเกิดแบบโอปปาติกะคือการเกิดที่สำคัญของพุทธ
_ด.ช.พงษ์พิพุทธ วารีสระ (น้องธัมโม)…จะมาตอบคำถาม ธรรมะ 3 คืออะไรครับ
_ด.ช.ธรรมรุจน์ วารีสระ (น้องธัมมะ)…โยนิ 4 คืออะไรครับ
_ศาลีอโศก…ดช.อาร์ม…อาหาร 4 คืออะไรครับ
พ่อครูว่า…นี่เด็กชาวอโศก อาตมาว่า ที่พวกเราถาม สำนักต่างๆของพุทธศาสนาเขาไม่ค่อยพูดกัน หัวข้อธรรมหรือหลักธรรมที่ควรจะต้องเรียน เขาไม่รู้เรื่องกันหรอก อาตมาเชื่อมั่นเลยท้าทาย เขาไม่รู้เรื่อง ธรรมะ 3 ก็พอจะรู้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
โยนิ 4 การเกิด 4 แล้วก็อาหาร 4 เขาจะรู้เรื่องหรือ แล้วมันสำคัญด้วยนะ
โยนิ 4 ก็สำคัญ การเกิดหรือกำเนิด 4 ก็สำคัญ
สำคัญที่ว่าถ้าเราไม่รู้ก็ไม่รู้จุดสำคัญที่ว่า เราปฏิบัติธรรมนี้เราจะปฏิบัติมุ่งอะไร ได้พูดกันแต่เรื่องของ 1 การเกิดของคน (ชลาพุชะ) การเกิดของสัตว์เป็นไข่ก่อน (อัณฑชะ) หรือการแตกตัวของสัตว์เล็กๆ โรคไวรัสจุลินทรีย์ต่างๆ (สังเสทชโยนิ)
ที่จริงศาสนาพุทธนั้นไม่ได้ศึกษาเรื่องพวกนี้มากเลย แต่มาศึกษา กำเนิดที่ 4 โอปปาติกโยนิ เพราะฉะนั้นจึงไม่ค่อยรู้เรื่องว่า โอปปาติกะคืออะไร เขาก็ไปเรียนรู้ว่าโอปปาติกะหมายถึงจิต แล้วเปรียบเทียบการเกิดเป็นเปรต เป็นผีเปรต เป็นมารเป็นตัวตนล่องลอยอยู่ แทนที่จะเข้าไปหาผุดเกิด อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสัมมาทิฏฐิ 10
มีมาตา ปิตา มีแม่มีพ่อแล้วมีสัตว์โอปปาติกะ มีแม่มีพ่อทำให้เกิด แล้วก็ไม่รู้ไปเขียนในตำราเลยว่า มาตานี่แปลว่า บุญคุณของแม่ ปิตา คือบุญคุณของพ่อ นั่นแสดงให้เห็นว่ามันออกนอกศาสนาพุทธไปแล้ว แล้ว ศาสนาพุทธเรียนสัตว์โอปปาติกะ เช่น สัตตาวาส 9 เป็นต้น ซึ่งก็ต้องเรียนให้สัมมาทิฏฐิ
ก็ต้องศึกษา กาย กับสัญญาคืออะไร หากกายกับสัญญาไม่รู้เรื่อง คุณจะปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าไม่รู้เรื่องเลย ไม่มีทางได้มรรคผลเลย สังโยชน์ 1 คือ ต้องรู้กายสักกายทิฏฐิ ต้องรู้จักและใช้กายของตน ปฏิบัติกับกาย ถ้าไม่รู้ว่ากายคือรูปกับนาม ต้องเกี่ยวข้องกัน ต้องสังขารกันต้องปรุงแต่งกันอยู่ตลอด ถ้าคุณไม่สามารถจะรู้อย่างนี้ คุณปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ได้เลย
หรือปฏิบัติปฏิจจสมุปบาทไม่ได้เลย ก็จะมีอวิชชาเพราะคุณจะมีสังขาร สังขารคือการปรุงแต่งของรูปนาม ปรุงแต่ง 2 สภาวะคือ สิ่งหนึ่งกับจิต นี่แหละ เรียกเป็นอีกสิ่งหนึ่งคือ กาย
กายนี้มีทั้งรูปและนามแยกกันไม่ออกแยกกันไม่ได้ กายเป็น 2 ตลอด ทีนี้จะแยกกายแยกจิตต้องแยกให้เป็น ถ้าแยกไม่เป็นก็ทำจิตให้เป็นอุตุนิยาม พีชนิยามไม่ได้ คุณก็ไม่มีทางทำมรรคผลที่จะสำเร็จ ก็คือคุณต้องทำจิตให้เป็นอุตุ เป็นพีชะได้ ด้วยกรรมทรงไว้เป็นธรรมะตั้งแต่เป็นๆ
การศึกษาธรรมะของศาสนาพุทธทุกวันนี้ไปหลับตาทิ้งกาย เขาก็รู้ว่ากายหมายถึงภายนอก เขาว่ากายหมายถึงภายนอกเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับจิต ก็ผิดไปหมดเลย กายเป็นแค่วัตถุดินน้ำไฟลมไปเลย ผิดไปหมด จึงน่าสงสารมากเลยศาสนาพุทธทุกวันนี้ ในประเทศไทย น่าสงสาร อาตมาพูดแบบนี้เหมือนกับอวดดีรู้อยู่คนเดียว จริงๆนะ อาตมาว่า ถ้าไม่มา ไม่มีการพูดถึงอันนี้กัน เพราะท่านก็เผยแพร่ธรรมะกันอยู่ก่อนอาตมา เขาไม่ได้พูดไม่ได้อธิบายอย่างที่อาตมาอธิบาย มันสูญหายอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเหมือนกับกลองอานกะ
กลองอานกะ มันเปลี่ยนสภาพ เป็นองค์ประกอบที่ไม่เป็นโลกุตระ สูญโลกุตระ นั่นคือกลองอานกะ แล้วไปเป็นพยัญชนะสวยหรู พูดกัน ผู้ที่จะมาพูดโลกุตระเขาจะไม่เอา ตรงกับพระพุทธเจ้าตรัส
อาตมาตอนนี้ตั้งใจจะอธิบายถึง จรณะ 15 วิชชา 8 เป็นหลัก วิจัย ถึงความผิดพลาดอะไรมาแล้วมาก ก็จะพยายามอธิบายสาระอันนี้ตลอด
ทำไมคนเราถึงต้องโกหก
_ด.ญ.ดาวเพ็ญเพชร (จากภูผาฯ)…ทำไมคนเราต้องโกหกด้วยคะ แล้วเราจะโกหกไปทำไมคะ
พ่อครูว่า…แล้วหนูเคยโกหกหรือเปล่า…(เคยค่ะ) ทำไมไม่ถามตัวเอง ถามตัวเองแล้วจะได้คำตอบ น่า คำตอบคือ เดี๋ยวหลวงปู่จะบอก
คำตอบคือเราจะต้องโกหกทำไม ก็คือว่า เราอยากได้สิ่งนี้มาก เราอยากให้คนเข้าใจตามที่เราพูดนี้ แม้รู้ว่าโกหกคือพูดไม่ตรงกับความจริง แต่ใจเราอยากให้เขาเข้าใจ ตรงตามที่เราต้องการ เราก็เลย พูดอันนั้นออกไป คำพูดอันนั้นจึงเป็นคำโกหก เข้าใจไหมนี่?
ทั้งๆที่รู้ว่าคำโกหกเป็นคำไม่จริง แล้วคนที่แสดงสิ่งที่ไม่จริงออกมาทั้งๆที่รู้คือคนหลอกคนอื่น คนหลอกคนอื่น คนไม่จริงนี่ดีหรือไม่ดี …ไม่ดีใช่ไหม
ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้ว อย่าโกหก ที่หลวงปู่บอกว่าอย่าโกหกมันดีทั้งในชีวิตประจำเป็นปัจจุบันนี้มันเป็นสิ่งประเสริฐ มันดีทั้งวิบาก ผลสั่งสมเป็นวิบากกุศลติดตัวเราไป ตกนรกหมกไหม้ไม่เข้าท่า อันนี้ศาสนาพุทธรู้จักจึงไม่โกหก โกหกแล้วจะบอกว่าเราไม่ทำบาปนี้แล้ว บอกว่าเราไม่ได้ทำไม่ได้ โกหกก็ต้องได้บาป
คนเราก็ต้องกลัวบาป คนไม่กลัวบาปเป็นคนประมาท ก็ได้บาป เพราะฉะนั้นอย่าทำ
สู่แดนธรรม…มีความซ้อนที่ว่า สัมปชานมุสาวาท โกหกทั้งๆที่ตัวเองก็รู้
พ่อครูว่า…อันนี้แย่มาก โกหกทั้งๆที่ตัวเองก็รู้ว่าโกหก พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนที่โกหกทั้งทั้งที่รู้ไม่มีความชั่วอันไหนที่ทำไม่ได้ คนนี้ทำชั่วได้ทุกอย่าง
สู่แดนธรรม…มีข้อยกเว้นสำหรับพวกเราที่พูดติดปาก ทำอะไรติดปากก็โกหกไปก่อนเช่นทำอะไรอยู่ …เปล่า อันนี้ถือว่าไม่ได้มีเจตนาหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า…มันติดปากมันชิน ก็เป็นวิบากกรรมน้อย หรือกรรมไม่มีเจตนาก็ไม่มีวิบากอะไรมากมาย ก็ไม่ควร ก็ควรจะต้องมีสติรู้ว่าอะไรที่โกหกก็อย่าพูดอย่าทำ ทำแล้วบอกว่าไม่ทำ ไม่ได้ ลบไม่ได้ ทำแล้วสะสมเป็นวิบาก
อาหาร 4 ประกอบกับจรณะ 15
พ่อครูว่า…อาหารที่ 1 คืออาหารที่กินเข้าปากเลี้ยงกาย เรียกด้วยภาษาวิชาการว่า กวฬิงการาหาร
อาหารที่ 2 คือ ผัสสะ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง โผฏฐัพพะ การกระทบสัมผัสเหล่านี้เรียกว่า ผัสสะ ซึ่ง ผู้ที่ไม่รู้จักสิ่งที่เป็นอาหารก็ดี ผัสสะก็ดี ไม่ได้ศึกษาแล้วก็ไม่มีตัวเริ่มต้นพวกนี้ คุณก็จะไม่สามารถที่จะเรียนรู้ไปถึงเจตนา ที่เป็นกรรม มโนสัญเจตนา
มโนสัญเจตนา จะไปแก้เจตนาที่มันมีกิเลส เจตนาด้วยกิเลสบังคับ กิเลสกาม แล้วก็เข้าไปภายในเป็น ภวตัณหา ต้องเรียนรู้แก้กิเลสตรงนี้เป็นจุดสำคัญและกำจัดกาม กามหมดแล้วก็เหลือภวะ เป็นรูป อรูป
เป็นรูป ก็จัดการก่อนแล้วเหลืออรูป กำจัดให้หมดอีก ก็จะบรรลุสูงสุดของศาสนาพุทธ
ตัวกิเลสหรือตัวตัณหา จะเป็นตัวประสมโรง หรือปรุงแต่งกันอยู่กับเวทนา จะต้องผัสสะมีเวทนา เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่รู้จักการกิน เครื่องกินเครื่องใช้
ข้อที่ 1 กวฬิงการาหาร อาหารนี้ โภชนะ มันมีทั้งเครื่องกินเครื่องใช้ แต่เรื่องกินไม่เป็น เอาก่อน การกระทบสัมผัสอาหารการกินก็จะมีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสครบอยู่ในนั้น แล้วก็จะเกิดเวทนา
เวทนาก็มีเจตนาภายใน ผู้ที่จะเรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า จับหลักไม่ได้ ไปนั่งหลับตาเสีย ปิด หู ตา จมูก ลิ้น กายไปหมด ไปนั่งหลับตานี้ออกนอกทางไปเป็นเดียรถีย์หมด ไม่มีศาสนาพุทธให้คุณปฏิบัติเลย เพราะฉะนั้นคุณจะต้องมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในจรณะ 15 มีโภชเนมัตตัญญุตา การสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ชาคริยานุโยคะ คุณต้องตื่น ทำความตื่น เราต้องมีสติสัมปชัญญะ เราต้องมีตัวรู้เต็ม
คุณก็รู้ไม่ครบ มะลำมะเลือง รู้อะไรไม่เต็ม จึงต้องตื่นแล้วก็สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ที่มันเกี่ยวข้องกันกับเครื่องกินเครื่องใช้ สัมผัสสัมพันธ์
การปฏิบัติธรรมจึงมี 3 อัน สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ถ้าไม่มี 3 อันนี้ไม่ใช่ปฏิบัติศาสนาพุทธ อยู่นอกรีตเลย เรียกว่า อปันกปฏิปทา 3
ทุกวันนี้ไม่มีเลย จรณะ 15 …3 ข้อนี้เป็นตัวบ่งบอก จรณะ 15 วิชชา 8 เป็นพุทธคุณสำคัญของศาสนาพุทธ ในศาสนาพุทธมีพุทธคุณ 9 ใครไล่ได้บ้าง
“พุทธคุณ 9 ประการ”
คุณของพระพุทธเจ้ามี 9 ประการ คือ
-
อรหํ เป็นพระอรหันต์
-
สมฺมาสมฺพุทโธ ตรัสรู้เองโดยชอบ
-
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
-
สุคโต เสด็จไปดีแล้ว
-
โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก
-
อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ไม่มีใครยิ่งกว่า
-
สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
-
พุทฺโธ เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว
-
ภควา เป็นผู้จำแนกธรรม เป็นผู้สุดยอดแล้ว
นอกจาก วิชชาจะระณะสัมปันโนแล้ว นอกนั้นบอกถึงคุณสมบัติพิเศษเป็นอลังการของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่สุดยอดแห่งจอมยุทธ ตัววิชชาจรณะสัมปันโน บ่งบอก เนื้อหาของศาสนาพุทธ นอกนั้นเป็นทางยศศักดิ์ เป็นทั้งด็อกเตอร์ เป็นทั้งพลเอก เป็นทั้งจอมพล เป็นทุกอย่างในโลกที่เขามีตำแหน่งอะไร 18 วิชาการ เต็มหมดทุกอย่างทั้งโลกเขา แต่คนไม่รู้วิชชาจะระณะสัมปันโน
สู่แดนธรรมว่า…คนธรรมดาจะทำได้หรือ
พ่อครูว่า…ทำได้หรือไม่ได้ถ้าคุณไม่เอาก็โมฆะไปจากศาสนาพุทธเลยจะเอาหรือไม่เอา วิชชา จะระณะสัมปันโน เริ่มต้นควรจะต้องมาศึกษาเรื่องนี้
จรณะ 15 เริ่มต้นมีศีล
-
ศีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล . . 9. วิริยะ ปรารภความเพียร
-
อินทรีย์สังวร คุ้มครองทวารอินทรีย์ 10. สติ อันเป็นอาริยะ . .
-
โภชเนมัตตัญญุตา ประมาณในโภชนา 11. ปัญญา . .
-
ชาคริยานุโยค ประกอบความตื่น 12. ปฐมฌาน .
-
ศรัทธา (เชื่อมั่น) . . 13. ทุติยฌาน
-
หิริ (ละอายต่อบาป) . 14. ตติยฌาน
-
โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป). 15. จตุตถฌาน
-
พาหุสัจจะ แทงตลอดในพหูสูต . (พตปฎ.ล.13/34)
วิชชานั้นเป็นวิชชา 8 เป็นของทุกคนไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ศีล ข้อ 1 2 3
ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์
ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับพืช
ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับ ทวาร 6 สิ่งที่สัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายเป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส
คุณต้องเข้าใจศีลแล้วก็ปฏิบัติศีลนี่แหละไม่มีอื่นเลย บอกแล้วว่าการนั่งหลับตาปฏิบัติไม่ได้ปฏิบัติศีลเลยเป็นผู้ออกนอกการปฏิบัติของศาสนาพุทธเรียบร้อยโรงเรียนมิจฉาทิฏฐิ
คุณจะปฏิบัติ ศีล คุณจะต้องมี ตาหูจมูกลิ้นกายใจ
หากปฏิบัติ ศีล ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจแล้วไม่มี ผัสสะ ที่จะไปสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 คือตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วคุณก็ไม่มีผัสสะ ในสิ่งที่กินที่ใช้แล้วคุณก็ไปตื่นรู้เต็มที่จะต้องไปมีสติสัมปชัญญะ ปัญญา ต้องมี สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ สัมผัสแล้วจะมีเวทนา แล้วมีปัญญาที่เป็นตัวกลาง มีวิธีการกำจัดกิเลสอย่างนี้อย่างนี้ อย่างนี้ พูดย้ำซ้ำซาก หากอาตมาเป็นคนเบื่อเป็นก็ไม่รู้จะเบื่อยังไงแล้ว พวกคุณฟังยังน่าเบื่อเลย แต่อาตมาเบื่อไม่ลง
เพราะฉะนั้นน่าสงสารศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้า พูดได้แล้วว่า เห็นใจเขา เขาก็หมั่นไส้ เขาลืมทิ้งไปหมดไปท่องพยัญชนะอะไรก็ไม่รู้ เอาตำราของอรรถกถาจารย์มาเรียน ดีไม่ดีทั้งพระไตรปิฎกแข่งกัน เท่านั้นเอง ไม่ได้ตื่นมาเรียนรู้วิธีวิจัย สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
เช่น ศีล เป็นต้น แล้วอปัณกธรรม3 ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้แยกแยะ
ถ้าศีล กับ อปัณกธรรม 3 คุณไม่มีแล้ว ก็ไม่มีหรอกศาสนาพุทธ ไม่ใช่ศาสนาพุทธเลย ไม่ต้องไปพูดถึง สัทธรรม 7 ฌาน 4 เลย ไม่มี มีแต่ชานหมากเป็นฌานโลกียะ ไม่ถูกต้องเลย
ขออภัยพูดไปที่ใช้ท่าทางเสียงเน้นให้มันแรงๆให้มันกระแทก ก็สะดุ้งสะเทือนบ้างสิก็มันไม่ใช่ ไปงมงายอยู่ทำไม มาตั้งใจฟังที่อาตมาอธิบาย
เมื่อเข้าใจจรณะ 15 ถ้าปฏิบัติไม่ใช่จรณะ 15 ด้วย กระบวนการของ ศีล อปัณกธรรม 3 สัทธรรม 7 ฌาน ฤาษี ก็มีแต่นั่งหลับตาปกติ เพ่งกสิณไป
ฌาน ของพระพุทธเจ้าปฏิบัติด้วยการลืมตา ฌานคือไฟ ฌานแปลว่าไฟ เผา ทำให้ร้อน ให้ละลาย ไม่ได้แปลว่าเพ่งด้วย เพ่ง เป็นพฤติกรรมที่คุณผิด เอาไปใช้เพ่ง เพ่ง เข้าไปที่จิต เข้าที่กสิณ ให้จิตมันสงบสมถะ แล้เอาตัวเพ่งมาเรียกวาฌาน แต่ฌาน แปลว่าไฟ
ฌาน หรือฌาปนะ มันแปลว่าไฟ แปลว่าเผา เป็นเครื่องละลายเป็นความร้อน ไม่ได้แปลว่าเพ่ง แล้วเพ่งให้รวมด้วยนะ แต่นี่ให้สลายให้กระจายให้สูญเสียทำให้มันแตกพังหมด แต่ฌาน ของเขาให้รวมเกาะแน่น มันคนละทิศเลย นี่อาตมาอธิบายสภาวะแท้
เพราะฉะนั้นเมื่อไม่ได้ปฏิบัติศีล ไม่มี อปัณกธรรม 3 ก็ไม่เกิดสัทธรรม 7 ศรัทธาของคุณก็เป็นศรัทธานอกรีต ไปศรัทธาไอ้ไข่ ศรัทธาต้นตะเคียน ทำบุญทำทานผ้าป่ากฐิน
ชาวอโศกมีสัมมาทิฏฐิมีอนาคามีเป็นผลที่ควรได้
ทำทาน ที่จะเกิดบุญ พูดถึงตรงนี้ สัมมาทิฏฐิ หรือมิจฉาทิฏฐิ 10
ข้อที่ 1 ทานที่ไม่เป็นผล(นัตถิทินนัง) ข้อใดก็ทำไม่ได้ไม่ถูกไม่เป็นผลของศาสนาพุทธ เขาทำทานไม่ได้ฆ่ากิเลส ทำทาน แล้วมีแต่เพิ่มความโลภ ทำทานแล้วสาธุขอให้ได้บุญ บุญเป็นตัวช้างม้าหรือยังไง เป็นตัวแทนก่อนหรืออย่างไร บุญ คือพลังงานที่มันสลายกิเลส
บุญเป็นสิ่งที่คนไม่ควรมีเลย แต่คุณยังมีกิเลสมันต้องใช้ มันเป็นอาวุธ มันไม่ควรมี อาวุธฆ่ากิเลส บุญน่ะ มันไม่ควรมี บุญนี่คือพลังงานที่ต่อเนื่องจาก ฌาน
ฌานก็เป็นปัญญา ฌานไม่มีปัญญาไม่ใช่ ฌาน มีปัญญาก็มีฌาน ฌานคือพลังงานที่เผากิเลส พอเผากิเลสหมดก็ชื่อว่าบุญ
อาตมามีสภาวะพวกนี้เอามาขยายความ อย่างไม่มีในตำรา ในอรรถกถาอาจารย์ต่างๆก็ไม่มี มีแต่ตำราของโพธิรักษ์ อธิบายสาระแก่นสารของพระพุทธเจ้าเลย ถ้าใครเข้าใจที่อาตมาพูดไป ฟังเข้าใจแล้วเอาไปทำก็เป็นพระอรหันต์ทำถูกต้องแล้วพากเพียรจริง นอกจากกิเลสมาก ชาตินี้ไม่ได้เป็นอรหันต์ อย่างน้อยก็เป็นอนาคามี อย่างชุมชนชาวอโศกนี้อาตมาบอกแล้วว่าเป็นชุมชนอนาคามี พวกคุณนี้อย่างน้อย เป็นอนาคามีเกือบทั้งนั้น เป็นแต่เพียงแลบเลียกิเลสกามบ้าง มันมีสัญญา
ต้องแยก ความไม่ลืมในสัญญา ที่จริงคุณก็ไม่ได้มีรสชาติมีเรื่องมีราวอะไรมาก แต่คุณที่ยังมีก็ไม่ใช่อนาคามี แต่คุณได้แล้วในเบื้องต้น อบายภูมิไม่มีแล้ว พวกเรานี้โสดาบันเป็นเรื่องขี้ผงทั้งนั้นอย่างน้อยก็สกิทาคามี นี่อาตมาพูดจริงนะไม่ได้พูดเล่นแต่อย่าหลงตัวตรวจสอบให้ได้ ถ้ามันยังไม่ใช่คุณก็ต้อง เจียรกิเลสของคุณให้มันชัดเจน ว่า มันยังงมงาย โง่ ได้ไม่รู้ได้ ได้โสดาบันก็ไม่รู่ว่าโสดาบัน ได้สกิทาคามีก็ไม่รู้ว่าได้ แต่เขาไปเรียนกันไม่รู้ขั้นตอนหรอก ขออภัยที่อาตมาพูด เหมือนกับตีทิ้งดูถูกดูแคลนเพราะมันก็น่าดูถูก เพราะไม่เข้าเรื่องของศาสนาเลย มันเป็นเรื่องของเดียรถีย์ เป็นเรื่องของชาวนอกรีต อาตมาพูดให้เข้าเรื่องของพระพุทธเจ้าเพราะมันไม่ได้เรื่อง มันออกนอกเรื่อง พูดนี่ไม่ได้ดูถูกดูแคลนไม่ได้พูดเล่น มันบาปนะ ถ้าพูดผิด ไปว่าเขาอย่างไม่จริง
สู่แดนธรรม…หากจะมาดูโลกุตระต้องมาดูที่อโศก
พ่อครูว่า…พูดแล้วเขาจะหมั่นไส้ว่าหลงตัวเอง แต่มันน่าสงสารที่เขาถูกครอบงำอย่างผิดมา พูดแต่ความจริงใจจริงๆเขาน่าสงสาร ทำไมหลงยึดมั่นถือมั่นกันขนาดนั้น
อาตมามันขี้เหร่มากเกินไปหรือยังไงพูดยังไงเขาก็ไม่ฟัง อาตมาว่าอาตมาก็ไม่ได้พูดจาขี้เหร่ขนาดนั้น หน้าไม่ได้ขี้เหร่ แต่มันพูดขี้เหร่ พูดแล้วไม่เข้าหูคน ก็คนที่แสวงหาซึ่งจะเข้าหูแต่คนที่ไม่แสวงหาคนที่ปฏิเสธก็ไม่เข้า
สู่แดนธรรมว่า…ของเราเป็นเรื่องของโลกุตระที่ไม่ได้ดึงดูดคนง่ายๆ เพราะประพฤติไม่ได้เพื่อหาบริวาร
พ่อครูว่า…ไม่เพื่อหาบริวาร ไม่ได้เพื่อหาลาภยศสรรเสริญสุขไม่ได้เพื่อเป็นเจ้าลัทธิไม่ได้เพื่อจะเป็นการล้มล้างลัทธิอื่นให้หมดไป แต่พูดเพื่อให้ล้างละหน่ายคลาย
อาตมาพูดตามที่พระพุทธเจ้าสอนไม่ได้โง่ไม่ได้งมงาย พูดอย่างตีทิ้งนี่แหละสัจจะแท้ๆเลย บุคลิกของลูกพระพุทธเจ้าจริงๆ นี่แหละ นี่พูดตัวจริงนะ แล้วคุณจะรู้ว่าอาตมาคือสารีบุตรจริงไหม เอาสาระมาเปิดเผยมาทำมาสอนจริงๆ อย่าไปเข้าใจเลยว่าพระสารีบุตรองค์นั้นมาเกิด แต่นี่คือสัจจะสาระแท้ๆแล้วอาตมาพูดนี้คือสาระเป็นโลกุตระธรรมแท้ๆเป็นผู้สืบทอด เอา DNA ของศาสนาพุทธมาสืบทอด เอาอันนี้สิ อย่าไปเอาดินน้ำลมไฟแท่งก้อน ในอุปติสสะ เอาดินน้ำลมไฟ ของมิสเตอร์อุปติสสะมาทำไม ก็ธรรมะของโพธิรักษ์พูดไม่ใช่ธรรมะของอุปติสสะ พูดในยุคพระพุทธเจ้า นี่ธรรมะอาตมาพูดแล้วไม่บอกว่าของมิสเตอร์อุปติสสะ มันคนละคน ธรรมะก็ไม่เหมือนกัน และองค์ประกอบสิ่งแวดล้อมไม่เหมือนกัน สื่อภาษาสำเนียงไม่เหมือนกัน เอาคนในยุคนั้นมาพูดกับคนในยุคนี้ก็ไม่รู้เรื่อง พระพุทธเจ้าบอกว่าให้สอนเป็นภาษาถิ่น นี่แหละคือดินแดนไทย สอนเป็นภาษาไทยให้คนไทย อ้างอิงภาษาบาลีเท่านั้นแต่จริงๆก็พูดภาษาไทย นี่คือภาษาถิ่น คุณไปเกิดที่สิงหลก็ไปพูดภาษาสิงหลไปเป็นฝรั่งก็พูดภาษาฝรั่ง เข้าใจกันได้เป็นมาเดอร์ทั้ง สื่อกันได้รู้เรื่อง จะเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นเนื้อแท้ๆแล้วขยายออกเป็นภาษา
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำครับ
_หมอเขียว ใจเพชร…ยกเวทีให้พ่อครู
สติปัฏฐาน กับ อปันกธรรม 3
พ่อครูว่า…ถ้าไม่มีอปัณกธรรม 3 จะไม่เกิด ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูตเลย เพราะไม่มีภาคปฏิบัติจะเกิดอะไรขึ้นมาให้คุณรู้สึกว่าจะละอาย จะเชื่อสิ่งที่ควรปฏิบัติต่างๆควรจะเชื่อแต่ตรรกะภาษาคำสอนครูบาอาจารย์สอนไปนั่น คุณจะไม่เชื่อสิ่งที่ควรปฏิบัติอย่างมีเหตุปัจจัยแล้วก็ มีเวทนาอ่านเวทนาแยกกิเลสออกได้ แล้วพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรมให้ชัดเจน เห็นไตรลักษณ์ชัดเจนกิเลสก็จะละลายหายไป
ปัญญา ท่านอธิบายว่าเป็นไตรลักษณ์ เห็นเป็นไตรลักษณ์ มันเป็นความเข้าใจความเห็นแจ้งเป็นตัวฉลาด ปัญญาที่มีฤทธิ์ ปัญญาที่มีฤทธิ์เป็นบุญ ปัญญาที่ละลายกิเลสได้เลย เพราะมันเป็นฌาน เป็นพลังงาน อุณหธาตุ เป็นพลังงานไฟเผา
เพราะฉะนั้นการไปนั่งกดข่ม นั่งหลับตาพวกนี้มันไม่เกิดผลสำเร็จเลย นอกจากจะมาทำพลังงานไฟให้เกิด ฌาน
เข้าใจฌาน ก็ไม่ถูก ไปนั่งหลับตานั้นมันไม่ใช่ ฌานจะเกิดจากการปฏิบัติศีลเป็นหลัก แล้วก็ปฏิบัติอปัณกธรรม 3 โดยสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ตื่นมีสติสัมปชัญญะ มีธรรมวิจัย มีวิริยะพากเพียร อ่านผัสสะ แล้วพระพุทธเจ้าก็ให้กรรมฐานคือเวทนา ถ้าไม่มีผัสสะไม่มีเวทนาไม่มีฐานให้การปฏิบัติ มีแต่กิเลส ตัณหา แส่หาทั้งนั้น ต้องมีเวทนาต้องมีผัสสะจึงจะมีฐานที่ตั้ง ฐีติ วิธีตั้งตรงนี้ที่จะปฏิบัติได้วิญญาณฐิติ
ถ้าไม่มีที่ตั้งที่จะปฏิบัติไม่มีฐีติ ไม่มีฐานแห่งการปฏิบัติไม่มีเวทนาให้ปฏิบัติก็ออกนอกรีต
สรุปแล้วทำไมพระพุทธเจ้าต้องรู้จักเวทนา ในสติปัฏฐาน 4 กาย เวทนา จิต ธรรม ธรรมะ ยกไว้ไม่ต้องอธิบาย เป็นสิ่งที่ทรงไว้ เอา 3 อย่าง กาย เวทนา จิต
จิต ในจิตนั้น พระพุทธเจ้าคือ ตารางสูตรคูณ หรือสูตรหารก็แล้วแต่ สูตรบอกถึงลักษณะกิเลสต่างๆคือเจโตปริยญาณ 16 จิตในจิต
คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) .
รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.
-
สราคจิต (จิตมีราคะ)
-
วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ)
-
สโทสจิต (จิตมีโทสะ)
-
วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ)
-
สโมหจิต (จิตมีโมหะ)
-
วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)
-
สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .
-
วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)
-
มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)
-
อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)
-
สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)
-
อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) .
-
สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)
-
อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)
-
วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . .
-
อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) .