631123_รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 18
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1n-yhl9uj2x1BcH0Q9wp2MMmoif7HsPzfnoqv5XU7ZXQ/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/10YKfkPPECqXvGNhiDxfGuZPkxP3atMW8/view?usp=sharing
ยูทูปที่
_สู่แดนธรรม…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2563 ที่บวรราชธานีอโศก เมืองฮุ่งเฮืองราชธานี GDP สุดยอด พ่อครูค่อยทยอยเอาสภาวธรรม ออกมาสื่อเป็นภาษา
พ่อครูว่า…เจริญธรรมทุกคน ทั่วถึงกันแม้แต่ต่างประเทศ โสเหล่โลกุตระ ก็โอภาปราศรัย กันทางเครื่องมือเทคโนโลยี อาตมานี้ พูดคำไหนขึ้นมาก็ขยายเป็นธรรมะได้หมด ไปได้ถึงนิพพาน นิพพานนังปรมังวทันติพุทธา ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ พุทธา คือผู้รู้ อาตมาคือพุทธา ไม่ใช่พุทรานะ
ผู้รู้จะกล่าวคำใด วทันติ คือการกล่าว นิพพานนัง ปรมัง อย่างยิ่งยอด วทันติ คือจะกล่าวคำ ผู้รู้จะกล่าวคำใดก็ไปหานิพพาน จะเป็นเช่นนั้น จะให้เป็นลำดับที่สั้นก็ได้ หรือยาวก็ได้ ทุกวันนี้อาตมาขยายยาว แต่สั้นก็ได้
ตั้งแต่นิพพานอรหันต์ โสดาบัน อรหันต์ สกิทาคามี อรหันต์ อนาคามี อรหันต์ อรหันต์ ในอรหันต์ อรหันต์ใน…จนถึงอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้บางอันยังไม่ถึงก็มีอนาคตตังสญาณ มีแผนที่ไปได้ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ แน่นอนเรื่องของสัมมาสัมโพธิญาณยังไม่รู้ได้ เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็มีพุทธวิสัยมาบ้าง แน่นอน ฌานวิสัย กรรมวิบาก โลกจินตา อาตมาจึงสามารถรู้จักโลกจินตาได้ไม่น้อย คือ ความเข้าใจความคิดทางโลก คิดฟุ้งซ่านทางโลกเขาก็เราก็ทำได้ หรือที่โลกสมมุติขึ้นมาแล้วอดีตก็ตามปัจจุบันก็ตาม อนาคตที่ยังไม่ถึงก็ตาม หรือมีเรื่องอะไรที่คิดฟุ้งซ่านเป็นนิรมาณกาย ก็ได้ทั้งนั้น ก็ได้มากตามบารมี ตามฐานานุฐานะ ก็พูดไปบ้าง จนกระทั่งเยอะแยะมากมาย แล้วก็ขยายคำเดียว
โฆษณาหนังสือเล่มนี้ เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 1 ตอนแรกเป็นคอลัมน์ในหนังสือเราคิดอะไร ตอนแรกก็คิดว่าจะออกหนังสือพิมพ์เพียงเล่มเดียวและเลิกเลย พอทำไปแล้ว พวกเราก็เรียกร้อง อาตมาก็ทำต่อ จากเล่มเดียวไปได้ถึง 351 เล่ม ก็เลิกเลย ปิดฉากไม่เขียนต่อแล้ว
เล่มนี้เปิดยุคบุญนิยมเริ่มตั้งแต่ พฤศจิกายน เริ่ม 286 เปิดคอลัมน์เปิดยุคบุญนิยม เล่มนี้รวมเปิดยุคบุญนิยมเล่มหนึ่งก็มีความหนา 300 กว่าหน้า อาตมาหยิบมาอ่าน อ่านแล้วติดหมับเลย อาตมาอ่านหนังสือช้า แต่ตั้งใจอ่านให้จบเพื่อตรวจดู แน่นอนก็จะมีที่ไม่ตรงเป๊ะ ก็จะมาทบทวน ยังจะต้องทำความละเอียดยิ่งกว่า คมชัดยิ่งกว่าอีก ก็เลยตั้งใจจะอ่านให้ครบให้หมดไปด้วยทำงานไปด้วย
ทำงานตอนนี้ก็กำลังเก็บรวบรวม แต่ก็อดขยายต่อไปไม่ได้สักที ว่าจะไม่ขยายแต่พออ่านต่อไปก็อดไม่ได้ที่จะขยาย หนังสือเปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 ที่จริงเขียนจบไปแล้วนะ แต่ตอนนี้จาก 200 กว่าหน้า ไป 500 กว่าหน้าแล้ว ก็พยายามบอกตัวเองอย่าขยายต่อๆ แต่ก็อดไม่ได้ มันน่าขยาย
ศาลีอโศก
_สมณะลือคม…เชิญ ดญ.ไออุ่น ถามพ่อครู
เกิดมาเป็นคนควรปฏิบัติอย่างดีต่อกัน
_ด.ญ.ไออุ่น…หนูชื่อดญ.เพลงอโศก น้อง ไออุ่นหรือน้องเพลงอโศกจะถามพ่อครูโพธิรักษ์ ว่าพ่อเอมที่เสียชีวิต จากอุบัติเหตุที่นาแรงรักแรงฝัน
พ่อหนูจะกลับมาเกิดใหม่อีกไหมค่ะ
พ่อครูว่า…เกิดมาอีกสิ แต่หลวงปู่คงบอกไม่ได้ว่าจะเกิดมาเป็นใคร ก็เกิด ก็ไม่แน่หรอก อาจจะรู้จักกันก็ได้ ไม่เป็นไร พ่อเกิดใหม่แล้ว
ตอนนี้ฟังหลวงปู่นิดนึงนะ พ่อมีความรักเราติดตัวไปด้วย ก็ไม่ต้องไปกังวลไม่ต้องไปห่วงอะไรพ่อหรอก เราก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม เราก็หมดความเป็นพ่อลูกกันแล้วในชาตินี้เกิดมาใหม่พ่อก็ต้องอายุน้อยกว่าเรา จะเป็นพ่อน้องไม่ได้เพราะไปเกิดเป็นคนใหม่ อย่างเก่งก็แค่เป็นน้องแล้ว แต่ก่อนเป็นพ่อลูกเกิดมาใหม่ก็ไม่ได้เป็นพ่อลูกกันแล้ว ไม่ได้เป็นน้องที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกันแล้ว เกิดมาใหม่ก็คงเป็นลูกคนอื่นแน่นอน ก็ต้องแยกจากกัน
แต่เรื่องความดีต่อกัน ใครก็ได้เราก็ดีต่อคนนั้นคนนี้ทั้งหมดแหละ เราดีต่อคนนั้นคนนี้ได้เป็นพี่เป็นน้องกัน เป็นพี่น้องญาติธรรม ไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกัน แม้จะไม่ใช่ญาติทางสายเลือด ที่เป็นพี่ป้าน้าอา ปู่ย่าตายายเดียวกันก็ตาม เป็นสายเลือดคนอื่นก็ตาม เกิดมาพวกเรามีญาติเยอะ ยิ่งกว่ายุ้ย
เราก็เป็นคนเกิดมาร่วมโลกกันแล้วก็ต้องเป็นคนที่ดีต่อกัน ปรารถนาดีต่อกัน การทำดีต่อกันให้ได้ทุกๆคน จำไว้
_น้องอาร์ม.. อุเบกขาคืออะไรครับ
พ่อครูว่า…คงตอบไม่ต้องยาวนัก…อุเบกขาแปลว่า กลางๆ จิตของเราเป็นกลางๆ ไม่รัก ไม่ชัง ไม่สุข ไม่ทุกข์ จิตของเราเป็นอย่างนั้น มีแต่ความปรารถนาดี มีแต่ความคิดหวังดีต่อกันและกันเป็นต้น นี่คือจิตเป็นกลาง เอาเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน
อภิภู คืออะไร
_ไพรศีล…คำว่า “อภิภู” ที่พ่อท่านนำมาเทศน์ไม่เคยได้ยินมาก่อนไม่ทราบว่าพ่อท่านนำมาจากพระไตรปิฎกสูตรอะไรคะ
พ่อครูว่า…มีอยู่หลายสูตร แต่สูตรที่อาตมาเอามาคือ จากเล่ม 10 เล่ม 11
เล่ม 10 ข้อ 100 เล่ม 11 ข้อ 349 อภิภู เอามาจากพระไตรปิฎก แล้วความก็เหมือนกันในบาลีแต่ท่านอาจจะแปลมาไม่ตรงกันทีเดียว แต่ไม่มีปัญหาเพราะใกล้เคียงกันมาก แต่สำหรับภาษาบาลีแล้วอันเดียวกันหมด
อภิภู ก็คือคำว่า อภิ กับ ภู เป็น ภ.สำเภา แปลว่า เจริญ คำว่า ภู หรือ โพธิ์ แปลว่าเจริญ อภิ แปลว่ายิ่งๆขึ้น รวมคือ เจริญยิ่งๆขึ้น
อภิภู คือ เจริญมากสูงใกล้คำว่า สยัมภู เป็นความละเอียดละออมากจริงๆจับคู่ทีละคู่ ที่เป็นเทวะ คือ 2 หรือ อธิบายคำว่า กาย ก็เป็น 2 แต่มีนัยสำคัญกายกับเทวะนั้นต่างกัน
เทวะ แปลว่า 2 ทุกสิ่งทุกอย่างรวม เทวะหมด ในโลกนี้ สิ่งที่ยังไม่จบความรู้ลงเป็นหนึ่งได้ เป็น เอกสโมสรณา เป็น 2 หมด
เทวนิยมสรุป ว่า เป็นเอกสโมสรณาไม่ได้ เพราะไปหลงความเป็น 2 จนกระทั่งไปถึงความนับไม่ถ้วน สรุปว่า เป็น 1 ความเป็นอย่างนั้นก็เลยไปยกให้พระเจ้า หากพระเจ้าอธิบายอะไรไปแล้วก็เข้าใจตามนั้นเลย ความรู้ในศาสนาเทวนิยมจึงเป็นความรู้ที่ ไม่ค่อยขยายความ เหตุและผลมากนัก พระเจ้า ตรัสคำอะไรไว้ ทำความเข้าใจคำนั้นแหละให้ตรงตามที่พระเจ้าบอกไว้ ทำตามนั้น แล้วจบๆๆ
ความรู้เทวนิยมจึงเป็นความรู้ที่ถูกตีกรอบ แต่ความรู้ของศาสนาพระพุทธเจ้านั้น กลับเป็นอิทัปปัจจยตา เป็นปัจยการ เป็นความรู้ที่ต่อเนื่อง เพราะเหตุนี้จึงเป็นสิ่งนี้ เพราะสิ่งนี้จึงเป็นเหตุนี้เพราะเหตุนี้จึงเป็นสิ่งนี้ …ไป ต่อเนื่องไปยาวๆ แต่รู้ที่จบ คือจบด้วยรอบสั้นก็ได้ รอบยาวก็ได้ ได้ทุกรอบ มากรอบ สามารถจบในตัวและขยายได้ จึงเป็นความรู้อนันตัง เป็นความรู้ที่นับไม่ถ้วน
เตวิชโชไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตาทำ
_อโศกสัมปวังโก…สื่อธรรมะของพ่อท่านในอดีต เมื่อกล่าวถึงนั่งหลับตาสมาธิ มักโยงความสัมพันธ์เข้าหาเตวิชโช และให้ถือเป็นเพียงอุปการะแก่หมวดธรรมะดังกล่าวเท่านั้น แต่ในปัจจุบันพ่อท่านได้ลดความสำคัญของนั่งหลับตาสมาธิลงด้วยคำว่าตีทิ้งได้เลย กระผมอยากถามว่า “การสอนธรรมะของพระท่านในอดีตนั้นอยู่ภายใต้บริบททางสังคม” ที่จำเป็นจะต้องอะลุ่มอล่วยกับชาวพุทธในหมู่ใหญ่ในขณะนั้น ใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็แสดงว่าการปฏิบัติ เตวิชโช โดยแท้จริงไม่ต้องไปนั่งหลับตาเลยก็ได้ใช่หรือไม่
พ่อครูว่า…ตอบอันท้ายเลยว่า เตวิชโช แท้จริง ไม่ต้องนั่งหลับตาเลยใช่หรือ …ได้ ใช่เลย เตวิชโช หมายความว่า เต แปลว่า 3 วิชโช คือ ความรู้ เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าที่เป็นวิชชา จะระลึก เต 3 ระลึกอะไร
-
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (การย้อนระลึกถึงการเกิดกิเลสเก่าก่อน มารู้อริยสัจจะจนหายโง่จากอวิชชา)
-
จุตูปปาตญาณ (รู้เห็นการเกิด-การดับของจิตที่ดับเชื้อกิเลส แล้วเกิดเป็นสัตว์เทวดา หรืออาริยะสัตว์) .
-
อาสวักขยญาณ (ญาณที่รู้การหมดสิ้นอาสวะของตน)
บุพเพนิวาสานุสติ คือ ระลึกถึงอดีตที่ผ่านมาแล้ว อดีตที่จะระลึกได้คือสิ่งที่เราผ่านมาเอง สิ่งที่ผ่านมากับตัวเราสิ่งที่เราได้สัมพันธ์ สิ่งใดที่เราได้สัมผัสผ่านมา ยิ่งเป็นชาติที่แล้ว เรียกว่าชาติแต่ปางก่อน เรานี่เกิดมาไม่รู้กี่ชาติแต่ปางก่อนกว่าจะมาได้ฟังธรรมะที่อาตมาพูด โลกุตระระดับนี้ ไม่รู้กี่ล้านชาติมาแล้ว เกิดเป็นคนเป็นอเวไนยสัตว์ก็มี เต็มโลก จะไม่มีสิทธิ์บรรลุธรรมะพระพุทธเจ้าเลย กว่าจะได้มารู้ศาสนาพุทธนั้น ยากแสนยาก
คนในโลกนี้ 7 พันล้าน จะได้ยินเรื่องศาสนาพุทธไม่มากนักหรอก แต่ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ แต่น้อยกว่าศาสนาอื่นๆเช่น อิสลาม คริสต์ หรือฮินดูยังมากกว่าพุทธเลย เพราะฮินดูนี้เก่าแก่มาก
ก็เตวิชโช ไม่จำเป็นต้องมาหลับตาแต่ละนึกถึงอดีตได้ แล้วเจาะลงสู่ จุตูปปาตญาณ มีญาณรู้การเกิดการดับ เกิดเป็นตัวตน เกิดทางความนึกคิด เกิดเป็นความรู้ก็ได้ เมื่อมันเกิดขึ้น เราก็ตรวจสอบได้ว่าเคยเกิดเป็นอย่างไร เกิดเป็นความคิดเกิดเป็นความจำทุกคนได้ความจำนี้ได้ที่ใช้อันนี้โดยสัญชาตญาณจากความจำทั้งนั้นของตนเอง เป็นสัญชาตญาณ ที่รู้ขึ้นมาโดยฝังไว้ในสัญญาในความจำ จึงเรียกว่าสัญชาติ เกิดจากความจำได้เป็นคลังความรู้ของสัตว์ สัตว์เดรัจฉานก็มีสัญชาตญาณ เป็นคนก็มีสัญชาตญาณ
เมื่อมาเป็นคนที่มีธรรมะของพุทธ แคบเข้าไปอีกโดยเฉพาะโลกุตระ เป็นความรู้โลกุตระผู้ที่มีแล้วในตน ถ้ายังไม่มากยังไม่แน่น ก็จะระลึกเอาคืนมายาก จนกระทั่งมีมากพอสมควร หากมีมากๆก็จะระลึกขึ้นมาได้ง่ายขึ้น ในชาติปัจจุบันขณะปฏิบัติ
อย่างอาตมามาประกาศตัวว่าเป็น สยังอภิญญา เป็นผู้ที่มีความรู้ธรรมะเองในชาตินี้ ไม่มีครูบาอาจารย์ไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่มีสำนัก เกิดมา เป็นหัวหน้าสำนักเป็นเจ้าสำนัก ความรู้นี้อาตมาเป็นต้นธรรมเป็นไก่ตัวพี่ ออกมาจากอาตมา
ความรู้ของอาตมานี้แหละพอมาเกิดในชาตินี้ เอาความรู้ของตัวเองมาประกาศมาพูดมาบอก มันก็ไปขัดแย้งกับคณะใหญ่ คณะที่รู้กันทั่ว ในเถรสมาคมก็ตาม มันเสื่อมไปแล้วมันมีความถูกต้องไม่มีโลกุตระ อาตมาได้เอาโลกุตระมาพูดมันก็ เขาก็รับไม่ติด เขาก็ขัดแย้ง อาตมาก็ตั้งหน้าตั้งตามุ่งมั่นไม่ยอมหยุด เขาก็เลยเห็นว่าไอ้นี่มันดันทุรัง แต่ที่จริงไม่ใช่ อาตมาดันสุรัง อาตมาไม่ได้ดันอย่างผิดๆ
อาตมาเอามาประกาศ ก็ค้านแย้งกับที่เขายึดถือกันแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ก็ยังยึดมั่นถือมั่น พยายามตีให้แตก อาตมาฆ้อนหักไปมากมายแล้ว แต่ไม่ท้อ
อานาปานสติไม่จำเป็นต้องมีหลับตา
_แซมดิน…คำถามสันติอโศกที่จะกราบเรียนถามพ่อท่านค่ำนี้ครับ
-
พ่อท่านเคยทำอานาปานสติ หรือไม่
พ่อครูว่า…ที่เขาเข้าใจผิดก็คืออานาปานสติต้องนั่งหลับตา ที่คุณถามมาคงหมายถึงว่าอานาปานสติแบบนั่งหลับตา เป็นการเข้าใจผิด หลับตาก็ได้แต่จะลืมตามากกว่า อานา อาปานะแปลว่า ลมหายใจเข้ากับลมหายใจออก สลับกันก็ได้ หมายความว่าตราบที่คุณยังมีลมหายใจเข้าออกยังมีชีวิตอยู่คุณต้องมี อานา อาปานะ ยังไม่ตายคุณต้องมีสติ และมีสติเต็มที่ต้องรู้ทั้งกายกรรมข้างนอก ก็มีสติควบคุมดูแลในการสัมผัส คุณจะพูดอยู่ก็มีสติ แล้วรู้จักทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณได้รับสัมผัสแล้วคุณโอภาปราศรัยเจรจาไปด้วย หรือนักปฏิบัติก็ปฏิบัติได้ในขณะทำ ทางกายกรรม แม้ขณะทำวจีกรรม หรือในขณะนึกคิด มโนกรรม คุณต้องมีสติและปฏิบัติ ธรรมะพระพุทธเจ้าทั้งหมดตั้งแต่ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สติสัมโพชฌงค์ พากเพียรปฏิบัติให้เกิดผลคือรู้กิเลส แล้วก็มีวิธีทำให้กิเลสดับ ทำให้กิเลสลดลงไปจนดับได้ จนดับได้ถาวรก็จบ เป็นวิมุติญาณทัสนะนั่นคือจบรอบหนึ่ง
จบรอบหนึ่งก็ขยายเป็นกระบวนการออกไปเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ ก็จบไปเป็นเรื่อง ก็สะสมความรู้และความจริงอย่างนี้ไปเรื่อยๆเป็นฐานปฏิบัติจนมีจิตสำเร็จมีวิชาที่บรรลุสั่งสมลงไปเรื่อยๆ และจิตที่ประสบผลสำเร็จนั้นจะไปจบลงที่อุเบกขาจิตไม่มี 2 อย่างดีก็มี 1 เป็นที่อาศัย กับ 0 คือหมดกิเลส หมดตัณหา หมดสิ่งที่จะต้องกังวลเลย แล้วคุณก็มีชีวิตสบายโล่งโปร่งเบาทุกอย่าง เท่าที่คุณมีฐานะของแต่ละคน แต่ละเรื่อง
สรุปมาหาเตวิชโช
การระลึกถึง จุตูปปาตญาณ สิ่งที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นเก่าก็ตาม เราทำได้แล้วยัง ดับสนิทแล้ว หรือเหลือน้อย ก็ทำต่อ เพิ่งรู้ตัวจบ จบคือ สิ้นอาสวะ ก็ต้องรู้ว่าจิตที่เป็นกิเลส อาสวะ
อาสวะ จริงๆนี้ก็คือ เครื่องที่ตกผลึกอยู่ในจิตเรา ท่านแปลว่าน้ำหมักดองในจิตเรา จะมีปฏิกิริยาของสิ่งหนึ่งที่มีแล้วจะมีเชื้อทำงานอยู่ มีน้ำเชื้อ อาสวะคือน้ำเชื้อ และเป็นน้ำเชื้อที่ดีที่เป็นโลกุตระที่ทำงานอยู่กับเรา เป็นตัวไวรัส เดี๋ยวนี้ก็เป็นโควิด
-
ถ้าเคยทำ ทำอย่างไร หลับตาหรือไม่ครับ เพราะในพระไตรปิฎก เล่มที่ 19 ข้อ 1330 กล่าวไว้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล ถ้าแม้ภิกษุพึงหวังว่า แม้กายของเราไม่พึงลำบาก จักษุของเราไม่พึงลำบาก (จะหมายถึงหลับตารึเปล่า) และจิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ก็พึงมนสิการอานาปานสติสมาธินี้แหละให้ดี.
[1330] ตสฺมา ติห ภิกฺขเว ภิกฺขุ เจปิ อากงฺเขยฺย เนว เม
กาโยปิ กิลเมยฺย น จกฺขูนิ อนุปาทาย จ เม อาสเวหิ จิตฺตํ
วิมุจฺเจยฺยาติ อยเมว อานาปานสฺสติสมาธิ สาธุกํ มนสิกาตพฺโพ ฯ
พ่อครูว่า…ไม่ใช่หรอก คุณขี้ตู่อาตมา ไม่มีกิเลสต้องหลับตา นี่ตู่อย่างแรง แล้วต้องลืมตาด้วยถ้าหลับตาแล้วไม่มีกิเลสมันไม่จริง เพราะความจริงมันต้องลืมตา ความจริงเป็นปัญญา บรรลุกิเลสทางตาหูจมูกลิ้นกาย คุณจะล้างกิเลสได้จากความจำ มันไม่แท้ เพราะว่ามันเป็นอดีต อาตมาขยายความว่าเหมือนขี้มันหลุดออกไปแล้ว แล้วเอาขี้มาขยำ อย่าไปคิดอย่างนั้นมาเอาอย่างนั้น ให้เอาปัจจุบัน แม้ที่สุดเอาปัจจุบัน ก็เอาที่เป็นปัจจุบันสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย ทำวันนี้ให้เสร็จ หากไปเอาความจำที่ไปนั่งหลับตามาคิด แม้จะเอาความจำที่คิดมันก็คือความฝันลมๆแล้งๆ ไม่ใช่ว่าคุณทำกินเลยจริงๆ
เพราะกิเลสมันจะจริงสุด ต้องลืมตาเป็นปัจจุบัน ความจริงอยู่ที่ปัจจุบันเดี๋ยวนี้ซักพักอยู่แล้วก็จะมีจุดแห่งความเป็นปัจจุบันถ้าจุดนี้ต่อๆไปต่อเนื่องนี่คือปัจจุบัน มันขาดเมื่อไหร่มันก็เป็นอดีตซ้อนมาแทรก อยู่กับปัจจุบันที่ต่อไปนี่แหละคือปัจจุบัน ถัดจากการสัมผัสแล้วไม่มีปัจจุบันและไม่แท้จริงบริบูรณ์
_สู่แดนธรรม…ทันทีที่พี่แซมดินป้อนคำถามมาให้ผม พร้อมภาษาบาลี…ผมเห็น คำภาษาไทยซำกัน คือ กายของเราไม่พึงลำบาก จักษุของเราไม่พึงลำบาก แต่ในคำของพุทธเจ้าเป็นบาลีนั้นใช้คำต่างกัน “เนว เมกาโยปิ กิลเมยฺย คือ กายของเราไม่ลำบาก” “น จกฺขูนิ อนุปาทาย ก็คือแปลว่าไม่มีอุปทานในการสัมผัสทางตา”
กายต่างกันสัญญาต่างกัน ของพญานาคและพญาครุฑ
_สมณะลานศิลป์…มีคำถาม มองออกไปที่สังคม ทุกวันนี้ที่เรารู้กันจะแบ่งเป็น 2 ฝ่าย แต่ทุกวันนี้ ถือว่าจะทำให้เกิดการสังเคราะห์ในสังคม เพราะว่าแต่ละฝ่ายก็จะมีความเชื่อมั่นว่าฝ่ายของตนถูกต้องกว่าอีกฝ่าย ลักษณะที่เกิดขึ้นจะเปรียบเทียบได้ไหมว่า อย่างนี้คือกายต่างกันสัญญาต่างกัน
พ่อครูว่า…ใช่ กายต่างกันสัญญาต่างกัน มันก็เลยขัดแย้งกันเพราะมันต่างกัน มีคนร้อยคน กายต่างกันสัญญาต่างกัน คนร้อยคนก็มีกาย 100 กายสัญญา 100 สัญญา อย่างนั้นเลย ดีไม่ดีจะมากกว่า 100 ด้วย เพราะคนแต่ละคนนี้เฟื่องไม่ใช่รู้แค่100 รู้ตั้ง 500 พวกนี้เลยจัดอยู่ในพวก 500
_สมณะลานศิลป์…ตอนนี้สังคมแบ่งเป็น 2 ฝ่าย แต่ละฝ่ายก็เชื่อมั่นในของตน ก็เลยเกาะกลุ่มกัน ในฐานะที่เราเป็นคนไทยร่วมประเทศ เราจะประคองสถานการณ์นี้อย่างไรไม่ให้แต่ละฝ่ายที่เชื่ออย่างไรก็แล้วแต่ไม่ให้เกิดใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ การ Comment การกระทำ
พ่อครูว่า…สรุปคือ คุณอย่าคิดต่อ ถ้าคิดต่อคือคุณซวย ไปตามเขาเลย นี่คือมันไม่จบสักที รู้มากยากนานไปกับเขาหมดเลย นึกว่าจะฉลาดช่างดูอันนี้ ท่านผู้รู้ขณะนี้เป็นพญาครุฑ ในประเทศไทยคือผู้รู้ทางพุทธศาสนานี้ก็ตาม ทรงความเป็นพญาครุฑอยู่ในประเทศไทย แล้วความรู้ของท่านยังไม่จบอีกนะ ความรู้ของท่านไม่ทำให้จบท่านก็เลยขยายไปตอนนี้น่าสงสาร ทำไมเจาะเป็นลำดับเช่นศีลข้อที่ 1 ศีลข้อที่ 2 จบศีลข้อที่ 3 ที่ไม่จบก็คือนึกว่าตัวเองไม่มีแล้วก็กลบไว้ เรียกว่าสะกดไว้ทำเป็นลืมไม่สนใจ ไปสนใจสิ่งที่ดีดีดี รู้ หลงความรู้มาก หลง ความรู้เมาในความรู้ นี่ น่าสงสาร พญาครุฑ
ส่วนพญานาคนั้นลงในความดับดิ่งจมไปอยู่ในก้นบาดาล ไม่รู้เรื่องอะไร กว่าจะมีสติรู้ตัวขึ้นมา พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมา 1 องค์ แล้วพระพุทธเจ้าทั้งนั้นด้วยนะเกิดมาแล้วหรือ แล้วก็หลับต่อไปอีกจนกว่าพระพุทธเจ้าอีกองค์จะเกิดก็ตื่นขึ้นมาดูอีกแล้วก็จมอยู่ในบาดาลอยู่อย่างนี้ตลอดกาลนี่คือพญานาค
_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…คนที่ปฏิบัติธรรมเหมือนตรงทาง คือฟังพ่อครู แต่เตลิดไปเป็นพญาครุฑหรือพญานาคเพราะมรรคมีองค์ 8 ไม่สมบูรณ์หรือเปล่าคะ
สังเกตดู สังเกตคนที่ฟุ้งมากๆเขาไม่ค่อยชอบทำอะไรเลย เขาคิดเขาก็ไม่ทำเขาคิดให้คนอื่นทำ คิดว่าจะทำเองก็ทำไม่ได้นาน พลังงานในความคิดมันก็เลยสูงก็เลยเตลิด ก็ให้เวลาในอารมณ์ความคิดมากเกินไป ไม่มีกัมมันตะ อาชีวะ อันนี้หรือเปล่า คือ ครุฑ ถ้าเวลาไหนไม่ลงไปลุยไม่ทำ ไม่ลงไปสัมผัส ผัสสะ ไม่เปลี่ยนเรื่องเป็นราวเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วมันจะคงคิดไม่หยุด เรื่องเล็กๆเรื่องไร้ค่าก็คิดไม่หยุด เรื่องโลกๆ ก็คิดว่าหยุดแค่ดูข่าวก็บ้าไปกับเขา เพราะมรรคมีองค์ 8 ไม่เดินทั้ง 7 องค์ สังเกตดูว่าแม้เราเป็นชาวอโศก ฟังพ่อครูทุกวัน แต่ถ้าดิฉัน ไม่ทำให้ครบทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมไม่ไปกับมิตรดีสหายดีไม่ไปกับหมู่ ดิฉันยังต้องเป็นพญานาคหรือพญาครุฑอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วมันเป็นไม่ใช่เป็นธรรมดา ขนาดนั่งอยู่กับพ่อครู ก็คิดไปอีกเรื่องนึงไม่ได้คิดในเรื่องที่พ่อครูเทศน์ ก็เลยว่า พญาครุฑพญานาคไม่ได้อยู่ไกลจากศาลาเลย พ่อครูว่า มรรคมีองค์ 8 ไม่บริบูรณ์ มันใช่จริตไม่ใช่สายเจ้า แต่เจ้าของไม่ยอมเติมให้ครบเองหรือเปล่า หรือเจ้าของไม่อยากเติมยังติดภพนั้นอยู่คะ
พอครูว่า…ครุฑ คือ คระ กับ อุทธะ คระคือไปใหญ่ กับอุทธ คือลอยไปใหญ่เลย
ส่วน นาคะ คือ ไม่ไป นะคะ นาคะ ไม่ไปก็เลยได้แต่จมๆๆ ซึ่งเป็นพญานาค พยัญชนะมันสื่อถึงสภาวะ
คนก็ถามว่ามีตัวสัตว์ที่เป็นครุฑเป็นนาคมีจริงไหม ไม่มีหรอก แต่นี่แหละ มันเป็นตัวสภาวะ ซึ่งไปเทียบกับนกที่เหินเวหาเป็นครุฑ ครอบครองสัตว์ปีกทั้งหลาย ส่วนพญานาคนั้นนอน เอือกยาว อย่างเช่น งูเหลือมไปกินช้างตัวมันก็นอนไป จนกระทั่งอาตมาเคยอธิบาย หญ้าคาทะลุจากกลางตัวจนทะลุหลังงูเหลือมตัวนี้ แกก็ไม่รู้ไม่ตื่น ก็นอนเอือกอยู่อย่างนั้น
คนก็ไปเข้าใจว่ามีงูปลอมตัวมาบวชอะไรอย่างนี้เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิคิด
_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน ทำอย่างไรถึงจะถอนพิษพญานาคและพญาครุฑได้
พ่อครูว่า..สร้างความรู้ทั้งความจริง จะถอนได้ทั้งพญาครุฑและพญานาค
นาคมันไม่อยากคิดก็คิด ครุฑ หยุดคิดก็พยายามให้หยุดคิดว่าฉันนั้นท่านผู้รู้ทั้งหลายให้หยุดได้แล้ว ให้ปฏิบัติจริงในศีล สมาธิ ปัญญา ขยายไปเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 ให้ได้เพราะท่านรู้มากอยู่แล้ว เอาศีลข้อที่ 1 ปฏิบัติให้ถูก อปัณกปฏิปทา 3 แล้วจะเกิดสัทธรรม 7 เกิด ลดกิเลสด้วย ฌาน 1 – 4 สั่งสมจิตสะอาด ฌาน 4 หมดอาสวะ แล้วทำให้มาก อเนญชา จิตจึงตกผลึกเป็นสมาธิ สมาธิจึงเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เกิดง่ายๆ
แม้แต่คุณไปปฏิบัติใน สัทธรรม 7 ก็ไม่มีคำว่าสมาธินะ สัทธรรม 7 มี ศรัทธา หิริ โอตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา ไม่มีคำว่าสมาธิในนั้น
สมาธิเป็นผลของจรณะ 15 วิชชา 8 หมดอาสวะแล้วจิตไม่มีอาสวะแล้ว ทำให้จิตอเนญชา แล้วจิตจะตกผลึก ผนึกกันแน่นเข้าๆ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา แน่วแน่ แนบแน่น ปักมั่น
_ด.ญ.ใสกลางเพ็ญ (น้องน้ำมนต์)…ทำไมเวลาหนูจะถามหลวงปู่ แล้วหนูชอบลืมค่ะ
พ่อครูว่า…ก็ต้องพยายามทบทวน มันชอบลืมก็อย่าไปชอบมัน ทบทวนบ่อยๆแล้วก็จะได้จำได้ อันไหนเราคิดว่าควรจะอยู่ก็อย่าไปชอบลืม
เรียนที่อโศกคุ้มค่าที่สุด
_ด.ญ.ฟ้าเอ็นดู ประพันธา…ตอนนี้หนูอายุ 11 ปีแล้ว แล้ว ถ้าหนูขึ้น ม.1 แล้วหนูควรเรียนที่ไหนระหว่าง รร.ข้างนอกหรือที่ บ้านราชฯหรือที่อโศกดีคะ แล้วการที่หนูจะเรียนที่นี้ 6 ปี แล้วหนูจะคุ้มค่าแค่ไหนคะ
พ่อครูว่า…คาดว่าจะได้ผลอย่างไร? ทำแบบนักเศรษฐศาสตร์เลย
หลวงปู่ จะตอบไม่เอาใจใครนะ เรียนที่อโศกนี้ดีกว่า หลวงปู่เชื่อว่าพ่อก็ต้องการให้เรียนที่นี่ แม่ก็ต้องการให้เรียนที่นี่ดีกว่าแน่นอน ถ้าไม่แล้ว ไม่ยอมให้หนูมาที่นี่หรอกไม่ยอมให้มาพบหลวงปู่หรอก เดี๋ยวหลวงปู่จะเอาลูกฉันไป เพราะฉะนั้นแน่นอนจะยินดีมากกว่าให้ไปเรียนข้างนอก พ่อด้วยแม่ด้วย เชื่อว่าต้องการให้มาเรียนที่นี่ดีกว่า แล้วจริงๆเลยหลวงปู่ตอบด้วยความจริงที่สุดแห่งที่สุดเลย ที่นี่ดีกว่าแน่
เพราะที่นี่เป็นที่ ที่เป็นพี่เป็นน้องที่แท้จริงเรียกว่าเป็น ญาติธรรม เลี้ยงดูกันอย่าง สร้างให้พี่น้องลูกหลานต่างๆ โตมาอย่างเป็นคนดี อย่างจริงใจสะอาดบริสุทธิ์ ไม่ต้องป่วยการพูดถึงโลกข้างนอกที่จะต้องเสียเงินจะอะไรต่ออะไร อันนั้น ของเล็กน้อย แต่จิตที่ปรารถนาดีจิตที่ตั้งใจช่วยเหลือกันให้เป็นคนดีของโลกของสังคม ของมนุษยชาติ ในนี้มี เข้าใจไหมที่หลวงปู่พูดนี่เน้นน้ำหนัก
เพราะฉะนั้นสรุปเรียนที่นี่ดีที่สุด คุ้มค่าที่สุด
_ แล้วการที่หนูจะมาเรียนที่นี่ หนูจะได้ฝึกอะไรบ้างคะ
พ่อครูว่า…1 ที่นี่มีอะไรก็ได้ฝึกอันนั้นนะ เช่น เรื่องที่เขาจะชงเหล้าที่นี่ไม่มีหรอก หนูไม่ได้ฝึกแน่ จะมาเล่นอะไรที่ ที่นี่เขาไม่มีสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ที่นี่จะฝึกสิ่งที่เป็นสาระเช่นที่นี่จะฝึกดำนา ทำการกสิกรรม ที่นี่เน้นการทำกสิกรรม กสิกรรมเป็นเรื่องของอาหารที่มนุษย์ทุกคนต้องการ ไม่ละเว้นจะชั่วดีมีเลวอะไร ต่างๆนานาจะคนโง่คนฉลาดทุกคนก็ต้องกินอาหารใช่ไหม เพราะฉะนั้นอาหารที่เป็นหนึ่งในโลกเลย หลวงปู่กำลังจะพัฒนาพยายามให้พวกเราชาวอโศกเป็นเจ้าแห่งอาหารให้ได้ ไม่เก่งอะไรก็ไม่เป็นไร แต่เก่งเป็นชาวนาปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารแล้วไม่เน้นปศุสัตว์ ไม่เน้นเรื่องนม เรื่องการประมง ไม่กินเนื้อสัตว์ เรากินแต่ผักก็ปลูกพืชผักซึ่งไม่มีบาปไม่มีบุญ เพราะฉะนั้นมาที่นี่ปลอดภัยที่สุด เจริญที่สุด
แล้ว ป.อะไรแล้ว
_ฟ้าเอ็นดู..ป.5 ค่ะ
พ่อครูว่า…มาสอบเข้าให้ได้นะ เชื่อว่าจะได้อยู่หรอก เพราะมีพื้นฐาน
จรณะ 15 กับอานาปานสติ โดยย่อ
_ด.ช.ธรรมรุจน์ วารีสระ (น้องธัมมะ)…ผมอ่านหนังสือ รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ ถึงหน้า 122 ครับ
แล้ว จรณะ 15 คืออะไรครับ
พ่อครูว่า…จรณะ 15 มีตัวที่ 1. คือ ศีล ตัวที่ 2 คือจะต้อง สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่า สำรวมอินทรีย์ ทางทวารทั้ง 6 อย่าไปตีกินสำรวมแค่ในใจอย่างเดียว
-
จะต้องเรียนรู้ในชีวิตจริง ที่เราจะมีอะไรที่จะต้องกินต้องใช้ เรียกว่าโภชนะ ที่เราจะต้องอาศัยในชีวิต เมื่อเราอยู่กับสิ่งที่จะกินจะใช้ เข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วเกิดกิเลส เมื่อเกิดกิเลสเราก็เรียนรู้จัดการกับกิเลสให้ได้ เช่นอันนี้เรากำลังจะกินอันนี้เรากำลังจะใช้ มันจะมีกิเลสอยู่ เรื่องกินนี่แหละ ละ ยากมาก เพราะกินกับใช้ อะไรควรจะทำมากกว่ากัน กิน สิ เพราะกิเลสเรื่องของการกิน หากไม่กินก็ตายเลย เรื่องของใช้นั้นบางอันก็ไม่ต้องใช้ก็ได้ แต่กินนี่ จบกิจเป็นถึงพระพุทธเจ้าก็ต้องกิน
-
ต้องเป็นผู้ตื่นอยู่ตลอดเวลาถ้าเป็นเวลาตื่น เช่นเราตื่นจากการหลับ ก็ต้องตื่นรู้ทางตาก็ต้องรู้เต็ม หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัส ก็ต้องรู้เต็ม สัมผัสอะไรเป็นปัจจุบันก็รู้ อยู่กับตาก็รู้ทางตา อยู่กับเสียงก็รู้ทางเสียง อยู่กับกลิ่นก็รู้รับกลิ่น ให้สติของเราเต็มร้อย สติแปลว่าเต็มร้อย เต็มร้อยนี้ มีพฤติกรรม 3 สติ คือ ส ติ