631105_เทศน์ทำวัตรเช้า มหาปวารณา ครั้งที่ 38 สู่แดนทองคำแพง ฉลอง 50 ปีโพธิกิจ ตอน 1
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1GO0ePcITGKzVO8U9pnSY29brouzYzAGfAfrl_EBPQw0/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1SCIiOxCRLM_YK4Zo7g8Ni4uRrmVbLX_y/view?usp=sharing
ยูทูปที่
พระเจ้า คือ อนุสัย
พ่อครูว่า…วันนี้วันที่ 5 พฤศจิกายน 2563 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 5 ค่ำ เดือน 12 ปีชวด วันนี้เรา สู่แดนทองคำแพง ฉลอง 50 ปีโพธิกิจ
ผู้ใดยังไม่ได้มาสู่แดนทองคำแพง ทองที่คำแพง ทองนี่คือทองคำ แล้วก็เป็นทองคำอย่างแพง อย่างถูกไม่เอา มันเป็นเครื่องหมาย แต่ละชาติก็มีภาษาเป็นสื่อสำคัญ คนใบ้ก็มีเสียงแต่พูดไม่เป็น คนใบ้คือคนหูหนวก ภาษาอีสานเรียก ปากกืก มันมีเสียงนะ แต่ไม่ได้ยินเสียงตัวเอง ก็ออกเสียงอะไรออกไปก็ไม่ได้ยินตัวเอง แต่ก่อนบ้านอาตมาอยู่ที่ทุ่งมหาเมฆ อยู่รั้วติดกับโรงเรียนสอนคนหูหนวก แล้วโรงเรียนคนหูหนวกมีคนเยอะนะ คิดดูเถอะเสียงจะเป็นอย่างไร เสียงเขาก็ไม่เป็นส่ำเพราะพูดไม่เป็นภาษา
ชาติเดียวกันก็ยังมีหลายภาษาสื่อให้รู้กัน สื่อให้รู้ตั้งแต่นิมิต กำหนดหมายสัญญา สัญญากำหนดอย่างนั้นอย่างนี้ จิตจะเป็นตัวกำหนดว่าจะให้เป็นอย่างนั้นต้องการอย่างนี้ จะให้เกิดอย่างนั้นให้เกิดเคลื่อนไหวทางกายอย่างนั้น ให้เกิดเคลื่อนไหวทางวาจาอย่างนั้นอย่างนี้ ให้เกิดเคลื่อนไหวใจแล้วมันก็ให้เกิดใจที่เป็นตัวประธานทั้งหมด ในตัวใจที่เป็นตัวประธานพระพุทธเจ้าตรัสรู้ เป็นตัวประธานจริงๆ ใจมันจะสั่งให้เป็นอย่างไร ก็มีตัวข้างในอีกตัวนึงเลยเรียกว่าตัวอนุสัย
ตัวอนุสัยเป็นตัวแกนของใจเลย อนุคือตัวเล็กๆ เล็ก ที่เล็กที่เป็นของตน สย สยัง ตัวเล็กๆ มีพลังอำนาจ เพราะทุกคนมีอนุสัยเป็นพระเจ้า สามารถจัดการกับพระเจ้าของตัวเอง ขอบคุณพระเจ้าของเราเองให้พระเจ้าทำงานตามที่เรานี่แหละ จะให้เป็นเช่นไร คนเราเกิดมามีอวิชชาเป็นตัวพาให้เกิดมามันยังไม่รู้เรื่อง ได้สั่งสมจิตวิญญาณให้เกิดมีกรรมมีวิบากสั่งสมมามีความรู้เท่าไหร่ก็เก็บ ยึดมั่นถือมั่นอะไร ยึดมั่นถือมั่นมากก็ใช้มันออกมา อะไรยึดมั่นถือมั่นน้อยก็ใช้น้อย ยึดถือกลางๆก็ใช้อย่างกลางๆ
แล้วชีวะคือชีวิตของสัตว์โลกที่เป็นจิตนิยาม โดยเฉพาะมาเป็นมนุษย์แล้วก็มามีบทบาทอยู่ในโลกด้วยอนุสัยเป็นตัวสั่งการ หรือมีอนุสัยคือพระเจ้าสั่งการ สั่งให้เป็นเช่นนั้นเช่นนี้ พระพุทธเจ้าก็พยายามให้เรียนรู้ความจริงเท่าที่มันเป็นไปแล้วสะสมมาแล้ว เราจะแก้ไขมันให้ได้ แต่มันมีฤทธิ์ มันมีแล้วเป็นของเรามีฤทธิ์มีอำนาจ เราก็ต้องมาเรียนรู้ เราจะต้องสั่งสมใหม่ สั่งสมพลังงานใหม่ และสั่งสมพลังงานนี้ พลังงานที่มันเกิดแล้วเป็นอดีตเราแก้ไขมันไม่ได้ แต่มันเป็นพลังอยู่ในนั้นจะดีจะชั่วจะมีธาตุรู้มากหรือน้อย รู้ทางโลกีย์ธรรมดาอวิชชาไม่มีโลกุตระ
โลกุตระคืออะไร โลกุตระคือรู้โลกีย์รู้โลกนี่แหละ เสร็จแล้วมันก็จัดการเจ้าตัวอนุสัยหรือเจ้าตัวพลังงานตัวนี้ อย่าให้มันเกิดอย่างโง่ๆอย่างเก่า จัดการให้เกิดใหม่มันก็จะมีพลังงานใหม่ ที่เราสร้างและควบคุมอย่าให้มันเกิด อย่างน้อยที่สุดดีชั่ว เป็นเบื้องต้นเป็นโลกีย์ ดีชั่วเท่านั้นพระพุทธเจ้าท่านก็รู้ ว่าพฤติกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ของมนุษย์ ที่จะแสดงออกทางกายก็ดี วาจาก็ดี มโนก็ดี ชั่วคืออย่างไร ดีคืออย่างไร ศาสนาทุกศาสนาก็พยายามควบคุมกรรมที่รู้กายวาจา ใจก็พอรู้บ้าง แต่ไม่ลึกลงไปละเอียดลออถึงบทบาทของใจ แยกว่าเป็นปรมัตถ์ต่างๆ อภิธรรมต่างๆที่พระพุทธเจ้าท่านให้แยกแยะแจกแจงรายละเอียด แล้วก็รู้จักว่าตรงนี้มันเป็นเวทนาอาการอย่างนี้ ตัวนี้ตัวจัดการเลยตัวสัญญา ตัวกำหนดรู้เลยกำหนดรู้เวทนา ตัวนี้สังขารกำหนดรู้สังขาร ตัวนี้วิญญาณกำหนดรู้ เออเป็นวิญญาณ
มีลิงคะ มีความแตกต่างกันอย่างไร มีอาการ อาการของเจตสิก ถ้าจะแยกเรียกคำว่าจิตก็เป็นตัวย่อยของมันลงมาแจกแยกลงไปเป็นอย่างน้อยขันธ์ 5 ตัวจิตเองที่เรามีสัญญา เป็นตัวทำหน้าที่กำหนดรู้ รู้เวทนา เวทนาก็คือรูป ถูกรู้ มันเป็นตัวถูกรู้ เป็น object ตัวสัญญาก็กลายมาเป็น Subject ตัวประธาน รู้ แล้วก็กำหนดรู้ตัวเวทนา ตัวถูกรู้เป็นรูป แล้วก็เวทนาเป็นตัวถูกรู้
ตัวหนึ่งถูกรู้ตัวหนึ่งคือธาตุรู้ของเราเป็นตัวรับรู้ 2 ตัวนี้แหละคือตัวเก่งที่สุด 2 ตัวนี้ภาษาบาลีเรียกว่าเทวะ นี่แหละคือพระเจ้า 2 ตัวนี้แหละคือพระเจ้า คุณจะใหญ่คุณจะเล็กอย่างไรศาสนาเทวนิยมไม่รู้จักพระเจ้า มีแต่พระเจ้าสั่ง พระเจ้าคืออะไร พระเจ้าคืออนุสัย
เพราะฉะนั้นศาสนาเทวนิยม มีอนุสัยเป็นตัวสั่งการทั้งนั้นแต่เขาไม่รู้จักอนุสัย แล้วแก้อนุสัยไม่ได้ อาตมาได้อธิบายธรรมะให้พวกเราฟังจนสามารถเรียนรู้ถึงอนุสัย เสร็จแล้วแก้อนุสัยกลับอนุสัย จนกระทั่งพระอรหันต์คือผู้มีอนุสัยใหม่ แต่เขาเรียนรู้กันทั่วไปเขาก็เรียนรู้ว่าอนุสัยคือกิเลส แล้วก็อย่าให้กิเลสเกิด
ในจิตของเราปัจจุบันที่เป็นอรหันต์แล้ว กิเลสก็ไม่เกิดลงไปในอนุสัยอีก เราก็มีแต่อนุสัยที่เป็นจิตใหม่ที่เติมลงไปๆ เป็นจิตที่ไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้นต้องทำจิตแบบนี้แหละให้สำเร็จเป็นอรหันต์ ต้องเรียนรู้เลยว่าอาการที่มันจะมาสั่งสม ไม่ใช่ไปจัดการกับตัวที่มันสั่งสมแล้ว เมื่อสั่งสมแล้วก็เป็นอดีต
ทีนี้ อดีต เราจะไปแก้ไขมันไม่ได้ สัญญาที่จะกำหนดรูปภาวะที่เกิดเป็นกิเลสแล้วก็สะสมลงไป มันต้องเกิดในปัจจุบัน ปัจจุบันที่เรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ถ้าไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย หลับตา ปิดหู ไม่รับจมูกก็ไม่เกี่ยวไม่เอาจิตก็ไม่เกี่ยวข้อง ลิ้นก็ไม่ได้แตะสัมผัส กายร่างกายสัมผัสภายนอกก็ไม่เอาจิตเข้ามาเกี่ยวไม่รับรู้ด้วย ไปรับรู้แต่ใจในใจภายใน อย่างที่ศาสนา แม้แต่ศาสนาพุทธก็ตามผิดเพี้ยนไปจนกระทั่งไปสอนแต่จัดการภายใน คนนั้นก็จมอยู่แต่กับธาตุเก่า ธาตุใหม่ที่อยู่ในโลกของกาม โลก ตา หู จมูก ลิ้น กาย เรียกว่ากามคุณ 5 ไม่มีเกิดใหม่ มีแต่อนุสัยเก่า เพราะฉะนั้นพวกหลับตาเรียนจึงเรียนอยู่ในแต่อนุสัย
อดีต อนุสัย มันตายแล้ว เป็นแล้ว จะให้มันไม่เป็นอีก เปลี่ยนแปลงอีก มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะฉะนั้นพวกหลับตาปฏิบัติ จึงปฏิบัติธรรมแบบโมฆะบุคคลไปตลอดกาลนาน ไม่โมฆะเพราะเขายังมีอนาคตที่แก้ได้ เขาหลับตาก็มีอนาคตด้วยนะ แต่เป็นอนาคตที่ไม่บริบูรณ์เป็นไปในทางฟุ้งซ่านคิดทางจิตอย่างเดียว ซึ่งการคิดทางจิตอย่างเดียวมันง่าย มันไม่เกี่ยวอะไรเลยกับภายนอกที่เป็นเหตุปัจจัย เขามีกิเลสมันก็คิดโลดแล่นไปตัวเดียวไม่เกี่ยวอะไร ก็สร้างอะไรเอาความจำที่เรียกว่าอดีตเอามาคิด ท่านใช้คำว่าระลึกถึงขันธ์เก่าก็เอามาปรุงแต่ง ในพรหมชาลสูตรเขียนไว้ว่ามี 18 อย่างที่เป็นอดีต ส่วนอนาคตนั้นปรุงแต่งใหม่ พระพุทธเจ้าก็ประมวลว่าการปรุงแต่งของสังขารที่จะพิสดารอย่างไรก็ตาม มันได้ทำมาแล้วแล้วก็สะสมเก็บไว้ได้แค่ 18 กรณี 18 ประเด็น
พวกคิดใหม่ปรุงแต่งใหม่ทำไมมันมาก เพราะมันมีเรื่องที่เป็นไปไม่ได้คิดแล้วเป็นไปไม่ได้เลย คุณจะคิดอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ เอามาปรุงแต่งให้ครบตา หู จมูก ลิ้น กายไม่ได้ ที่ปรุงแต่งให้ครบตา หู จมูก ลิ้น กายได้เต็ม ก็มีแค่ 18 ประเด็นเท่านั้น แต่คิดไปเพ้อเจ้ออนาคตมันมีฟุ้งซ่าน ไปได้เยอะแยะพระพุทธเจ้าประมวลได้ 44 รวมแล้วเป็นทิฏฐิ 62
44 นี้ หนึ่งเอาอดีตเป็นตัวรากฐานแล้วปรุงแต่งเพิ่มเป็น 44 แล้วเขาก็นึกว่าเขารู้แม้เขาจะกำหนดรู้ในการหลับตาพระพุทธเจ้าเรียกว่าสัญญา การรู้ในการหลับตา ในการไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายนี้ ไม่เรียกว่าปัญญาเลย จะมีปัญญาประกอบคุณจะต้องลืมตา คุณต้องเปิดหู จมูก ลิ้น กายกระทบสัมผัส มีเหตุปัจจัยจากภายนอกมาปรุงแต่ง สิ่งที่ปรุงแต่งเป็นปัจจุบันนั้นจึงจะเรียกความรู้นั้นว่า ปัญญา
จะมีอัญญาต้องผัสสะทางทวารทั้ง 6
ปัญญานี้ที่จริงนั้น แค่รู้ว่าถ้ารู้ที่เรารู้ครบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีการสั่งการปรุงแต่งก็เรียกว่าปัญญาได้ เริ่มเรียกว่าปัญญาได้ มันเริ่มรู้แล้วเรียกว่าปัญญา แต่ยังไม่ใช่ปัญญาที่จะเป็นความฉลาดรู้โลกุตระ เพิ่งเริ่มเป็นปัญญาที่เริ่มจาก อัญญธาตุ เป็นธาตุที่กำหนดได้ว่ามันมีความเต็มความครบ มีทั้งข้างนอกข้างใน ปรุงแต่งไปในอนาคต 44 มันไม่มีของจริงเลย มันมีบันทึกความจำบ้างเหมือนกัน แต่มันจะไม่แน่น เราไม่ได้สัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กายเป็นเหตุปัจจัยประกอบ มันได้แต่คิดแล้วก็ลืมง่าย ใครที่ไปหมกมุ่นอยู่ในอนาคต พวกนั่งหลับตานึกไปนึกฟุ้งซ่านอยู่ในอนาคตนั้นเป็นความจริงยิ่งกว่า ทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ก็เลยไปติดในสิ่งฟุ้งซ่านมากกว่า พวกนี้ พวกนั่งหลับตาเลยมีแต่ความโง่ โง่แล้วโง่ เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่จริง มันจะดีหรือไม่ดีคุณก็ปรุงแต่งเอาเอง ตามที่คุณชอบ ถ้าคุณชอบคุณก็ว่าดี คุณไม่ชอบคุณก็ว่าไม่ดี
สมมติสัจจะต้องรู้ร่วมกับคนอื่น เราสมมติว่าไอ้นี่ดี ไม่มีใครในโลกเลยจะมาร่วมรู้ด้วยเลยว่าไม่ดีเลย คนในโลกไปยึดถือแล้วว่าสิ่งนั้นดีสิ่งนั้นถูกต้อง เช่น เถรสมาคมยึดถือว่า หลับตา อย่างนั้นเป็นการปฏิบัติถูกต้องของพระพุทธเจ้า โพธิรักษ์มาบอกว่าไม่ใช่ เขาบอกว่าไม่ใช่ ไม่ถูก ไม่ดี เขาก็ไม่ทำ เขาก็รับแต่อย่างนั้น อาตมาถ้าเกิดมาแล้วคนเดียวบอกว่าอย่างนี้ดี ลืมตาปฏิบัติ ปฏิบัติตามแบบพระพุทธเจ้าจะได้เข้าหลักจรณะ 15 วิชชา 8 พวกคุณฟังแล้วก็บอกว่าเข้าท่า ใครที่มีความรู้เดิมมาแต่ปาง มาฟังอาตมาพูดปั๊บก็จะรู้สึกว่าอย่างนี้ใช่อย่างนี้ใช่ เพราะฉะนั้นผู้ที่มามาๆๆ นี่มีเชื้อเดิมมาทั้งนั้น คนที่จะสามารถรู้ได้ ที่เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า ที่เป็นโลกุตระธรรม จะต้องได้ฟัง จากพระโอฏฐ์ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นคำสอนใหม่ ชี้ถูกชี้ผิด ถูกผิดของพระพุทธเจ้านั้นดีชั่วก็ไม่มีปัญหาเพราะดีชั่วนั้นไม่เที่ยง เช่นโดนัลด์ทรัมป์สมมุติว่าอันนี้ดี คิมจองอึนบอกว่าอย่างนี้ไม่ดี ซีจิ้นเผิ่งบอกว่าอย่างนี้ไม่ดี หรือดีก็ดีแบบซีจิ้นเผิ่งซึ่งไม่ตรงกับโดนัลด์ทรัมป์ อย่างนี้เป็นต้น
ก็ยึดดีกันคนละอย่าง มันไม่มีเหมือนกันหรอกละเอียดเข้ามาในยุคอย่างหยาบของความคิดคนโลกๆที่มีตัวอย่าง พวกเราก็ต่างคนต่างคิด คิดไม่เหมือนกันหรืออาจจะคล้ายๆกันยิ่งมามีทิฐิร่วมกัน มีความเข้าใจอย่างนี้ดี ตรงกันหมดสมมุติดีตรงกัน พวกเรานี้ไม่เอาอบายมุขไปแต่งเนื้อแต่งตัวทาปากไม่เอาไม่ดี เราก็มาทำตรงกัน เลิกอย่างนู้นมาเอาอย่างนี้ อย่างนี้เป็นต้น
มันก็ติดยึดหรือสมมุติตามที่เราเองเราชอบอนุสัยเราเป็นเจ้าเรือนเกิดมาสั่งสมมาเป็นแบบไหนเป็นแบบไหนไปตามที่เรากำหนด พระพุทธเจ้าบอกอดีตสั่งสมแล้วมันแก้ไขไม่ได้ เพราะฉะนั้นท่านไม่ให้ไปเรียนที่อดีต อะไรที่เป็นเดียรถีย์ก็สอนให้เป็นเรื่องอดีตเยอะไปงมงาย เกี่ยวกับการแก้ไขอดีตพระพุทธเจ้าก็เลิกให้มาแก้ที่ปัจจุบัน
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมถ้าไม่มีทิฏฐกาละไม่มีปัจจุบันณชาติ ชาติคือความเกิด ทิฏฐคือปัจจุบัน ถ้าไม่มีทิฏฐกาละ ไม่มีเวลาที่เป็นปัจจุบัน อันนั้นไม่ใช่ความจริงที่จะมาฝึกฝนแก้ไขและเป็นความไม่จริงด้วย ผ่านปัจจุบันแล้วไม่ใช่ความจริง ยังเป็นอนาคตอยู่ก็ยังไม่ใช่ความจริง ความจริงมันปัจจุบันที่สัมผัสอยู่หลัดๆ เลยวินาทีไปก็จะตกเป็นอดีตไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเราต้องปฏิบัติทันที รู้ให้ทัน รู้ให้เร็วตรงปัจจุบันสัมผัส คำว่าสัมผัสคือคำว่ากาย
ศาสนาพระพุทธเจ้าตัวนี้แหละเป็นตัวทองคำแพง กาย คำนี้แหละเป็นตัว ทองคำแพง เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธไม่รู้จักตัวนี้ต้องแก้ไขตัวนี้ตัวกาย รู้จักก่อน โลกุตรธรรมตัวแรกคือรู้จักกาย และต่อจากนั้นก็คือรู้จักกายในกาย
กายในกายก็ต่อไปเป็นเวทนา เวทนาก็คือรวมลงที่จิต เราก็แก้จิตนั้นแก้เวทนาแก้กายมันก็แก้เวทนามันก็รวมลงที่จิตแก้ได้ถ้ารู้จักความใหม่คือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ รู้จักจิต รู้จักเจตสิกแยกจิต เป็นเคหสิตเวทนา แยกเป็น เนกขัมสิตเวทนา ได้
เป็น 2 อย่าง เทวะ โลกโลกียะ รู้แต่เคหสิตเวทนา เอาความรู้สึกเป็นพระเจ้าชอบสุขชอบทุกข์ แต่ไม่รู้อะไรเป็นเหตุปัจจัยปรุงแต่งกันเป็นสุขเป็นทุกข์คือแยกไม่ออก อะไรที่เป็นตัวการ เป็นพระเจ้าสั่งให้ปรุงแต่งอย่างนี้ได้อย่างนี้ก็เป็นสุข ทำชั่วถ้าตัวเองชอบก็ได้สุข ฆ่าผัวมันเสีย ทำชั่ว ได้เมียมันมา ที่จริงแล้วคุณได้กรรมในการฆ่าเขา นี่แหละเป็นของแถม ฆ่าเจ้าของทองคำนี้เสียและเอาทองคำมันมา กรรมเป็นของคน พระพุทธเจ้านี่ลึกซึ้งสุด รู้จักต้นเหตุ เรียกว่าต้นธาตุต้นธรรม
ต้นธาตุ ที่เป็นธาตุอกุศล ธาตุที่เป็นจิตปรมัตถ์ จิตนั้นไม่เรียกอกุศลแล้ว เรียกทาสบาป เทวะคือบาปกับบุญ
บุญคือพลังงานที่เป็นวิชฉา เกิดในปัจจุบัน ทำงานเสร็จไม่มีบุญตั้งอยู่ใน ณ ที่ไหนๆ จะมีในขณะปัจจุบันเท่านั้น ที่มีเหตุปัจจัยของกาย กายต้องมีภายนอกกับภายในต้องมี2 การปฏิบัติที่ขาดกาย กายต้องมีภายนอก พวกนั่งหลับตาไม่มีภายนอก นอกรีตพระพุทธเจ้าหมด อยากให้พวกนั่งหลับตาสายเถรสมาคม สายมหาบัวมาฟัง ตั้งใจดีๆเป็นกลาง จะมีอัญญธาตุสัมมาทิฏฐิช่วยศาสนาพุทธบ้าง นี่ไม่มี
พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้สิ่งที่สุดยอดจริงๆ ไม่มีอะไรเป็นเจ้าของชีวิต เจ้าของชีวิตเป็นจิตนิยาม แล้วท่านก็จัดการกับจิตนิยาม ความรู้ที่อาตมาเอามาอธิบายเป็นของพระพุทธเจ้าที่เอามาอธิบายอย่างพิสดารที่สุด แยกแยะตามปฏิภาณของอาตมาที่ใช้ภาษาสมัยนี้สื่อให้พวกเราเข้าใจโดยเป็นภาษาไทย แปลออกมาจากภาษาบาลี ก็อะไรที่รู้ก็เอามาเป็นภาษาไทยเอามาประกอบยืนยันอ้างอิง สำหรับพวกที่จะหาว่าอาตมาพูดเอาเอง ถ้ามีภาษาบาลีเขาก็จะมีรู้ว่ามีอ้างอิง
การรู้จิตในจิต เวทนาในเวทนา เวทนา 108 อาตมาพูดกับเขาไม่รู้เรื่องหรอก เพราะกระบวนการของเวทนา 108 เวทนา 2 เวทนา 3 เวทนา 5 เวทนา 6 เวทนา 18 เวทนา 36 เวทนา 108 พวกคุณก็ได้ฟังอาตมาก็อธิบายแจกแจงมีในตำรา พระไตรปิฎกไม่ได้แจกแจงอย่างนี้นะ ที่บันทึกไว้ก็มีแต่พยัญชนะตัวเลข ไม่รู้ว่าที่เขาสอนอภิธรรมจะแตกแยกแยะอย่างไร แต่เขาคงจะไม่เข้าใจถึงสภาวะ
-
เขาอาจจะรู้ กายิกเวทนาและเจตสิกเวทนา เวทนาที่ประกอบด้วยสัมผัสนอก กับพัฒนาที่ปรุงแต่งกันภายในเป็นเจตสิกเวทนา เขาต้องเรียนกันแน่ จะมากน้อยก็แล้วแต่
-
สุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เวทนา 3 เขาก็ต้องเรียนเขาก็ต้องรู้อยู่แล้ว ยังไม่ได้พูดว่าศาสนาพุทธตรัสรู้อะไร พระพุทธเจ้านั้นดีชั่วก็ต้องรู้เหมือนเขา ซึ่งความดีความชั่วมันไม่เที่ยงหรอก ความดีของเทวนิยมจริงๆก็คล้ายกัน คล้ายกันก็มีเยอะแต่ยึดว่าดี