631102_รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 15
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1lxjiydWTx6OwJd_1BvEjNpAdRVLrBQFUdt8KrGqdvSQ/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1xVLFD1tADE9AWPwMC-26qPA9enFDwVOA/view?usp=sharing
ยูทูปที่ https://youtu.be/krgv_A_FeY8
_สู่แดนธรรม… วันนี้วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563 ที่บวรราชธานีอโศก บ้านราช เมืองฮุ่งเฮือง คือเมืองรุ่งเรือง เป็นเมืองที่มีบักหุ่งเยอะ ไปที่ไหนก็มีแต่มะละกอ เอาไปแจกกัน
พ่อครูว่า…ตอนนี้ใกล้จะถึงครบรอบบวช 50 ปีวันที่ 7 พฤศจิกายน อีกไม่กี่วันก็ถึงวันที่ 7 พฤศจิกายน เป็นวันบวชของอาตมา ถือว่าเป็นวันครบรอบการบวชมา 50 ปี อาตมาบวช 2513
มีคนเขียนเรื่องของทำงานมา 50 ปีโพธิกิจ เป็นกวี ของอโศกสัมปวังโก
สู่แดนทองคำแท้ ฉลอง๕๐ปี โพธิกิจ (มหาปวารณา ๒๕๖๓)
สังคมพุทธ สุดทางไป ไร้จรณะ สิ้นอาริยะ ผู้ยืนยัน สามัญญผล
สิ้นวิสัย ความเป็นสงฆ์ องค์ทศพล พุทธจักร ไร้มรรคผล ปนโลกีย์
สัตบุรุษ พุทธการก ชนกนาถ ธรรมิกราช ประกาศสู้ กู้ศักดิ์ศรี
ทรงสยัง อภิญญา กลปรานี ศิริมหา-มายาวี วิธีการ
ธรรมคุตต์ พุทธพลี ศรีพระศาสน์ ธรรมวาที สีหนาท สุดอาจหาญ
วรยุทธ์ สุดลึกล้ำ ทรงธรรมทาน ปรีชาญาณ ฌานวิสัย ไร้เทียมทัน
คือนักสู้ กู้สัทธรรม ย้ำบริสุทธิ์ คือจอมยุทธ์ โลกุตระ ผู้อรหันต์
คือจอมทัพ ธรรมาวุธ ไร้ยุทธภัณฑ์ สืบภาระ ภควัน พุทธบัญชา
ขอบันทึก จารึกไว้ ให้โลกรู้ โพธิรักษ์ ยอดนักสู้ ผู้อหิงสา
โพธิสัตว์ ผู้พิชิต อวิชชา โพธิกิจ กู้ศาสนา ฝ่าอาธรรม์
เกิดหัวเชื้อ เนื้อแท้ แผ่สัตถุศาสน์ เกิดเชื้อชาติ ชาวอโศก ผู้สร้างสรร
เกิดสมณะ อาริยสงฆ์ สืบพงษ์พันธุ์ เกิดสังคม พรหมจรรย์ สืบมรรคา
อโศก สัมปวังโก
ฌานวิสัยอันลึกซึ้ง
พ่อครูว่า…หมายความว่าสังคมพุทธทุกวันนี้มันสุดสิ้นทางที่จะดำเนินไปเป็นพุทธแล้วเพราะมันไร้จรณะ โดยเฉพาะพุทธคุณ 9 มีวิชชาจรณสัมปันโนเป็นเครื่องชี้บ่งที่เป็นเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ
คำว่า วิสัย เป็นคำลึก เช่น พุทธวิสัย ฌานวิสัย มันมี
อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย ที่อาตมาเคยแยกแยะให้ฟัง
ถ้าอาศัยคือ พฤติกรรมสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ถ้าสิ่งที่อาศัยนั้นซึมซับเข้าไปอยู่ในเนื้อของคน เป็นพฤติกรรมของคน ก็ลึกเข้าไป ทรงสภาพ จนเกิดเป็นความประพฤติอยู่ในตนได้ เรียกว่า นิสัย
ส่วน สัย หรือ สย แปลว่า ตัวตน ตัวเรา ยิ่งวิสัย ก็ยิ่งสูงส่ง วิ แปลว่ายิ่งเลิศยอดหรือแปลว่าไม่มีก็ได้ เพราะฉะนั้น สย ที่ไม่มีตัวตนที่ไม่มีกิเลสเป็น สย ที่เลิศยอดก็คือคำว่าวิสัย
เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถสร้างวิสัยได้สูงสุด เรียกว่าพุทธะวิสัย
รองลงมาก็คือฌานวิสัย สามารถสร้างพลังงานจิตให้มันไปเผากิเลสเป็นฌาน เผากิเลสได้เรียก ฌานวิสัย
คำว่า ฌาน จึงเป็นภาษาที่สื่อสภาวะสูงส่งมาก แต่เอาไปใช้กัน ฝั้นเฝือ เดียรถีย์เอาไปใช้อย่างผิดเพี้ยน เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาก็เอากลับมาใช้ให้ถูกต้อง เสร็จแล้วก็ผิดเพี้ยนไปอีกอย่างทุกวันนี้คำว่า ฌาน ก็ผิดเพี้ยนไป เอามานั่งหลับตาปฏิบัติให้จิตนิ่ง ไม่ให้เกิดนิวรณ์นั่งสะกดจิตไม่ให้เกิดนิวรณ์ 5 ก็ถือว่าเป็น ฌาน ได้
จริง จิตใจที่ไม่มีนิวรณ์ 5 ก็คือ ฌาน ตรงรูปแบบ แต่จะเป็นฌานที่สมบูรณ์แบบแล้วไม่มีนิวรณ์ 5 ได้นั้นของพระพุทธเจ้านั้นมีวิธีที่เกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 เกิดจากศีล อปันกปฏิปทา 3 เกิดจาก สัทธรรม 7 เกิดจาก ฌาน 4 และก็มีวิชชา 8 กำกับเป็นยาดำ คือความรู้ ช่วยกันมาเรื่อย เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา หรืออธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ช่วยกันให้เจริญได้
ฌานวิสัย เดี๋ยวนี้ผิดเพี้ยนไปเป็น ฌาน ฤาษีไปหมดแล้ว อาตมาก็เอากลับมาเป็น ฌาน ที่เกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 ให้ได้ที่เกิดจากการปฏิบัติแบบลืมตาปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 นี่แหละฌาน
สัตบุรุษ ผู้ที่เป็นพุทธการก เป็นเจ้าของผู้ที่จะมาทำพุทธ เป็นพ่อ เป็นที่พึ่ง เป็นสัตบุรุษนั้นเรียกว่าธรรมิกราช มีสยังอภิญญา มีสิ่งที่เป็นมาแต่ชาติปางก่อน
กลปรานี อาตมาบัญญัติเอง มันเป็นเชิงกล แต่ไม่ใช่มายากล เป็นเชิงกลที่เหมือนมีความซับซ้อนย้อนแย้งกันอยู่ในตัว dialagtic แต่มันเป็นสภาพจริง สภาพที่ถูกต้องตามสภาวะ คนไม่รู้ก็หาว่าพูดสับสนกำกวมไม่เห็นชัดเจน แต่ผู้ที่รู้ชัดเจนนี่แหละเป็นสิริมหามายาตัวจริงไม่ใช่มายา
พุทธนี้เป็นเรื่องของความพลี ความสละออก พุทธพลี
ธรรมวาที ไม่ใช่อธรรมวาที บรรลือสีหนาท เป็นจอมยุทธประกาศโลกุตระเป็นอรหันต์ รบมือเปล่าที่ใช้ธรรมาวุธ
มาสืบสานสัมภาระที่รับมาจากพระพุทธเจ้า ที่ได้บัญชาไว้
Wanida Daly (วนิดา ดาลี่) : ชอบพระอโศกทุก ๆรูป น่าเลื่อมใสมากค่ะ สาธุ ๆ ๆ
กัลยา ณ พัทลุง : ขอบคุณที่โลกนี้ยังมีความจริงแท้ ๆ ให้ได้เห็น เช่นชาวอโศก สาธุค่ะ
พ่อครูว่า…ก็มีคนมีดวงตาเห็นว่าชาวอโศกมาสืบศาสนา ผู้ที่ไม่รู้ไม่เอาใจใส่ก็เหมือนเป็ดไก่เห็นเพชรพลอยก็ไม่ยินดี
_คนบ้านราชฯ
๒๐ ต.ค. ๖๓
กราบนมัสการค่ะพ่อครู ที่เคารพอย่างสูงยิ่ง
ดิฉันมีปัญญาน้อย แต่ก่อนดิฉันอ่านจิตแล้ว เห็นอาการจิตที่เกิดขึ้นรวดเร็วมาก จับอาการได้ยาก จึงเปรียบเทียบว่า มันรวดเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ(เร็วเหมือนแสง)
แต่พ่อครูบอก “เร็วยิ่งกว่าแสง”
คราวนี้ดิฉันก็เข้าใจว่า “เพราะทิฐิวิปลาส จึงทำให้จิตวิปลาส” แต่พ่อครูกล่าวว่า “เพราะจิตวิปลาส จึงทำให้ทิฐิวิปลาส”
คำถาม
-
ระหว่างทิฐิวิปลาส กับ จิตวิปลาส อะไรเกิดก่อนกันแน่คะ
-
พ่อครูเคยกล่าวว่า “การนั่งคิดพิจารณาไตร่ตรองตามธรรม แล้วเกิดปัญญารู้แจ้งแทงทะลุ เป็นแค่ปัญญาตรรกะเท่านั้น” และ “ปัญญาคือการเห็นกิเลส แล้วลดกิเลสได้ จึงเรียกปัญญา”
แต่ใน “วิมุติสูตร” (พตฏ เล่ม 22 ข้อ 26) พระพุทธเจ้ากล่าวถึงเหตุแห่งการวิมุติ 5 ประการ ล้วนแต่เป็นการคิดพิจารณาไตร่ตรองตามธรรมทั้งสิ้น
จึงขอความกรุณาพ่อครูอธิบาย เรื่องเหตุแห่งการวิมุติ ด้วยค่ะ
กราบขอบพระคุณค่ะ
“คนบ้านราช
เหตุแห่งวิมุติต้องเกิดจากการลืมตาปฏิบัติ
พ่อครูว่า..เหตุแห่งวิมุติ 5 เป็นผลต่อจิตภิกษุผู้ไม่ประมาทได้บำเพ็ญเพียรมีใจเด็ดเดี่ยวมาก่อนแล้ว ทั้ง 5 ข้อล้วนแล้วแต่เป็นการบรรลุธรรมเพราะเหตุแห่งการได้ฟังธรรมจากพระศาสดาหรือสัตบุรุษผู้อยู่ในฐานะครู แล้วจิตท่านได้เจโตวิมุติมาก่อนแล้ว ขาดแต่การลงบัญชี จากการฟังธรรมเท่านั้น จึงไม่ใช่การเกิดคิดค้นเดาเอาตามตรรกะตามที่มีผู้ถามมา
เรื่องนี้ก็ขอแจกแจงให้ฟัง
การสั่งสมบารมีผู้ที่เกิดในยุคพระพุทธเจ้าเป็นคนมีบารมีฟังธรรม 4 ประโยคก็บรรลุอรหันต์แล้ว อย่างพระพาหิยะทารุจริยะ หรือพระยสะก็ฟังธรรม 2 กัณฑ์ก็บรรลุพระอรหันต์ เป็นผู้ที่มีทั้งเจโต และมีทั้งปัญญาเก่า แต่ว่าปัญญายังไม่ถ้วนเท่านั้น แต่มีเจโตมาแล้ว พอฟังปัญญาเข้าใจอีกนิดเดียวก็บรรลุได้
เพราะฉะนั้นคนแต่ละคนจึงมีบารมีสั่งสมมาไม่เท่ากัน คนเหมือนกัน คุณไพศาล พืชมงคลเคยถามอาตมาเหมือนกันว่า ทำไมผมอ่านพระไตรปิฎกตั้งมากมายทำไมไม่บรรลุพระโสดาบันเหมือนพระยสะสักที เคยตอบไปแล้วว่าสั่งสมบารมีต่างกันคนที่มีบารมีแล้วนิดเดียวก็บรรลุ
เช่น พระพุทธเจ้าท่านนั่งทบทวนธรรมะของพระองค์วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ใต้ต้นโพธิ์ เสร็จแล้วท่านก็ระลึกถึงธรรมะ เขาเรียกกันว่าวันตรัสรู้เลยนะ ที่จริงแล้วท่านทบทวนขึ้นมา ไม่ใช่ท่านมาตรัสรู้วันนั้นหรอก ท่านมีพระสัมมาสัมโพธิญาณมาแล้วบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้ว ในปางที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะท่านจะมาประกาศศาสนา ท่านไม่ได้มาปฏิบัติธรรมอะไร มีแต่ไปปฏิบัติลิงลมอมข้าวพอง ถูกสังคมโลกครอบงำไปกับเขา เสียเวลาตั้ง 6 ปีท่านก็ถือว่าเป็นวิบากของท่าน ซึ่งลิงลมอมข้าวพองเป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติที่คนจะต้องเจอแล้วค่อยๆหลุดพ้นออกมา ของตัวเองมีแล้ว ถ้าของตัวเองไม่มีหลุดพ้นไม่ได้หรอก
อย่างอาตมาปางนี้ชาตินี้ไม่ได้เรียนจากใคร อาตมาก็บอกว่าอาตมามีสยังอภิญญา ไม่มีใครมีภูมิปัญญาเข้าใจตรงนี้ พอพูดตอนแรกๆเขาก็หาว่าประกาศตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าเหรอไม่มีครูบาอาจารย์ตรัสรู้เองเลยเหรอ อาตมาไม่เคยประกาศเป็นพระพุทธเจ้าสักที ก็ประกาศบอกเป็นพระโพธิสัตว์ระดับ 7 บอกตำแหน่งด้วยไม่ได้บอกว่าเป็นระดับ 8 ด้วย แต่คนที่ไม่ค่อยเข้าใจไม่ได้ศึกษาเขาก็ว่าไปที่ เขาไม่เข้าใจไม่เลื่อมใสอาตมาเพราะว่าเขาไปยึดถือความรู้ความเข้าใจในทิฐิหรือทฤษฎีที่เขาได้เป็นมิจฉาทิฐิไป แล้วพอฟังอาตมามันก็ขัดแย้งกันเพราะเป็นสัมมาทิฏฐิ เขายึดถือว่าอย่างนั้นเป็นเรื่องถูกต้องแล้วปฏิบัติต่อกันมานานหลายร้อยปีมาแล้วจนจะเป็นพันปีแล้ว พออาตมาพูดขึ้นมามันก็ค้านแย้งเพราะอันนึงผิดอันนึงก็ต้องถูกใช่ไหม เขาก็ว่าของอาตมาผิดของเขาถูกมันก็เป็นธรรมดาไม่ได้สงสัยอะไร มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ มันยิ่งยืนยันชัดเจนว่าถ้าอาตมาประกาศสิ่งที่ถูกแล้วไม่ขัดแย้งกับสิ่งที่ผิด อาตมาก็เข้าใจผิดสิ ใช่ไหม ก็อาตมามั่นใจว่าของอาตมาถูกแล้วมันแย้งไม่เหมือนกันกับของคุณมันแย้ง ก็แสดงชัดเจนว่าของคุณมันผิดไม่เห็นจะมางงอะไรเลยมันก็ยืนยันความจริงอยู่
สู่แดนธรรม…ถ้าเขาเห็นด้วยตรงกับพ่อท่านคงถูกกันหมด ก็คงไม่มีใครผิด ต้องถูกเหมือนกันหมดครับ
พ่อครูว่า…ใช่ ถ้าเขามาเห็นด้วยกับอาตมารับรองประเทศไทยมันจะเจริญขนาดไหน คุณพูดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่าคิดเลย
เรื่องของตรรกการระลึกสิ่งที่เป็นไปได้มาแล้วมันไม่ใช่แค่ตรรกะ แต่เป็น เตวิชโช เป็นของเก่าบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ
แต่เขาไปคิดถึงเป็นตัวตนบุคคลเราเขาเป็นสัตว์บุคคลไป ไม่เข้าถึงเนื้อหาธรรมะ สิ่งที่เราเคยได้เคยมีเคยเป็นมาก่อนเราก็เอามารื้อฟื้น แต่เขาไม่เอาเนื้อหาสัจธรรม เขาเอาบุคคลตัวตนเราเขาไป มันก็เลยไม่เป็นธรรมะก็น่าสงสาร
ไม่ว่าจะเป็นวิชชา 3 บุพเพนิวาสานุสติญาณก็เข้าใจเป็นตัวตนบุคคลเราเขา ไม่เข้าใจปัญหาสภาวะหรอก ระลึกเป็นมีเรื่องราวมีตัวบุคคลมีละครอะไรต่างๆนานาไปก็ค่อยๆอธิบายกันไป
เพราะฉะนั้นในเรื่องของวิมุตติสุข ก็ขยายแล้ว ว่ามันเป็นเรื่องของธรรมะไม่ใช่เรื่องตัวตนบุคคลเราเขาแล้วก็เป็นเรื่องของการไตร่ตรองตรวจสอบหาวิมุติทั้งหลาย ไม่ใช่แค่การคิดแบบตรรกะ
คนไหนเป็นนั่งหลับตาสมาธิเข้าไปอยู่ในภพ ถ้าไม่มีของเก่ามาก่อนคุณก็เป็นเพียงตรรกะเท่านั้นเป็นสัญญาเท่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน พรหมชาลสูตร อดีต 18 อย่างโดยกำหนดอนาคตอีก 44 ประการ มันก็มีได้เท่านี้ที่เข้าไปอยู่ในภพ ที่เข้าไปนั่ง ท่านเรียกว่า เจโตสมาธิ มันไม่ใช่สมาธิที่เกิดปัญญา
ปัญญาต้องมีภายนอกต้องมีสัมผัส 6 ปัญญาต้องมีองค์ประกอบของโลกของอัตตา มีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก นี่คือหลักฐานพระพุทธเจ้ามาประกอบ แต่เดี๋ยวนี้เขาไปนั่งหลับตาให้จิตเป็นสมาธิแล้วปัญญาจะโผล่ขึ้นมาเอง เขาพูดขึ้นมาเอง พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนอย่างนี้ ปัญญาหลับตาไม่มี มีแต่สัญญา ปัญญาไม่ได้เกิดในการหลับตา ปัญญาต้องเกิดตอนลืมตา สัญญาจะกำหนดภายนอกก็ได้ แต่มันไม่ได้เกิดปัญญา แต่สัญญาที่เป็นปัญญามันต้องมีภายนอก เพราะฉะนั้นหลับตาเลยไม่มีภายนอกไม่เกิดปัญญาได้แต่สัญญาอย่างเดียว
สัญญาวิปลาส กับวิปลาส 4
เรื่องวิปลาส มันสำคัญมากเลยคนทั้งหลายในโลกมันวิปลาสทั้งนั้น แต่เขาไม่รู้ว่าเขาวิปลาส
วิปลาส เอ้า ถามก่อน ทิฏฐิวิปลาส สัญญาวิปลาส กับจิตวิปลาส
สัญญากำหนดรู้ต้องรู้หน้าที่ของจิตที่แจกออกเป็นเจตสิกต่างๆ หน้าที่ของสัญญาของสังขารของเจตนา หน้าที่ของทิฎฐิ หน้าที่ของมนสิการ เป็นต้น ก็รู้หน้าที่ของอาการจิตว่าทำงานตามหน้าที่อย่างนั้นอย่างนี้ ถ้ายังกำหนดหน้าที่ไม่ได้ เวทนาคืออย่างไรมันก็มีอาการรู้สึก สัญญาทำหน้าที่อย่างไรก็คือทำหน้าที่กำหนดรู้หรือจดจำ หน้าที่ของสังขารก็คือการปรุงแต่งเป็นปัจจุบันขณะนั้น หน้าที่ของเจตนาต้องมีจิตที่มุ่งหมาย มันมี 3 เจตนา เจตนาเป็นกรรมเจตนาเป็นภวตัณหา เจตนาเป็นวิภวตัณหา วิภวตัณหาเป็นเจตนาที่ไม่มีภพแล้วไม่มีกามไม่มีภวภพแล้ว แต่เขาอธิบายโดยพยัญชนะ บอกว่าวิภวตัณหาแปลว่า ไม่อยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็น เอาพยัญชนะมากลับกันเฉยๆไม่มีสภาวะเขาก็เลยไปอย่างนั้น
เขาก็เลยไม่ไปไหนวนเวียนอยู่กับพยัญชนะ จริงๆแล้ววิภวตัญหาแปลว่าตัณหาที่ไม่มีตัณหาแล้ว ตัณหาไม่มีตัณหาที่มีกิเลสแล้วไม่มีภพชาติแล้ว ขอยืมคำว่าตัณหาคือความปรารถนาความต้องการที่ไม่มีภพชาติไม่มีกิเลสนำมาใช้
ส่แดนธรรม…ถ้าจะพูดว่าอยากได้ความไม่มีได้ไหมครับ
พ่อครูว่า…อยากได้ความไม่มีมันก็เป็นมรรค ถ้าสำเร็จแล้วมันก็ไม่มีแล้ว แต่อาตมาก็เคยบอก พระพุทธเจ้าทำงานด้วยวิภวตัณหาพระอรหันต์ทุกองค์ทำงานด้วยวิภวตัณหา แต่เขาก็ฟังไม่ออกเพราะว่าไม่เข้าใจสภาวะติดกันแค่พยัญชนะเท่านั้น
พระพุทธเจ้าท่านให้สัญญาจิตและก็ทิฏฐิ
สัญญาเป็นตัวทำงานตั้งแต่ต้นจนจบ หากไม่รู้จักสัญญาจับอาการหน้าที่ของสัญญาไม่ได้แล้วใช้สัญญาไม่เป็นก็เลิกเลย ปฏิบัติธรรมไม่ได้ ต้องใช้สัญญาเป็น จนสุดท้ายเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาเวทยิตังนิโรธังโหติ สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้อย่างสำคัญเลยในวิญญาณฐิติ 7 ในสัตตาวาส 9 เป็นต้น ต้องใช้สัญญาทำงานแล้วกำหนดรู้ กาย
ในวิญญาณฐิติ 7 ก็มีกายกับสัญญา กำหนดใช้งานแล้ว 4 ขั้นจนถึงขั้น อรูปฌาน
วิญญาณฐิติต้องขณะมีวิญญาณคือต้องลืมตาสัมผัส การหลับตาไม่มีวิญญาณไม่ถือเป็นวิญญาณ ภิกษุสาติ เข้าใจว่าวิญญาณเป็นแบบสัมภเวสีซึ่งเป็นมิจฉาทิฐิ วิญญาณจะต้องมีที่ตั้งมีทวารทั้ง 6 เป็นตัวตั้ง ทั้งปสาทรูป เกิดวิสยรูป เป็นอาการรูป (พ่อครู มีอาการแปล๊บที่เท้าซ้าย)
เพราะฉะนั้นการกำหนดรู้หน้าที่หรือการทำงานของเจตสิกที่เรียกว่าสัญญาเจตสิก สำคัญมาก หากผู้ใดสัญญาวิปลาสได้ กลัดกระดุมเม็ดแรกผิดแล้วกระดุมเม็ดอื่นก็ผิดหมด ทั้งนั้นเลย ขอผลัดคำว่า จิตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาสไปก่อน
มาอธิบายวิปลาส 4 เพราะสัญญาวิปลาส อีก 4 จึงไปกันใหญ่ เขาก็ไปเรียนรู้กำหนดผิดหมด
-
ความไม่เที่ยงก็เห็นว่าเที่ยง
-
คำว่าทุกข์ ก็เข้าใจวิปลาสว่าเป็นสุข
-
คำว่าไม่มีตัวตนก็ไปเข้าใจว่ามีตัวตน
-
สิ่งที่ไม่น่าจะไปนิยมชมชื่นก็ไปยึดถือเป็นสิ่งที่นิยมชมชื่นเป็นของควรมีควรได้ควรเป็น อสุภะก็เข้าใจว่าสุภะ