640203_พุทธศาสนาตามภูมิ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของวรรณะ 9
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1SZys–KWIll5aVltPLdkyyqQZGHIHqdwONT_Z1Q4Sbg/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1WADGn-IhesB9loXxOJtnYKTpFk3QFTru/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/_OODBj7sIeU
สมณะฟ้าไว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ใกล้จะถึงเวลาที่จะมีงานพุทธาภิเษกฯ เราจะจัดออนไลน์ พ่อครูเมตตาเทศน์ตอนเช้าเริ่มเวลา 06.00 น. จะมีการเน้นเรื่องกสิกรรม ใครปลูกอะไรบ้าง ก็นำมาบอกเล่ากัน
งานพุทธาภิเษกฯจะสอบในเรื่องที่พ่อครูเทศน์ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ในยุคสมัยนี้พระพุทธเจ้าให้ฟังคนระดับเช่นสัตบุรุษ 7 ภาษาบาลี บุรุษที่ 7
อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของวรรณะ 9
พ่อครูว่า…ต่อที่ท่านฟ้าไทพูด บุรุษระดับ 7 สยังอภิญญา เป็นผู้รู้เองของตนเองมาแล้วอาตมาก็นึกว่าเป็นสัตบุรุษเพราะว่าเป็นบุรุษระดับ 7 “สัตตะ” แปลว่า 7 เป็นผู้รู้ของตัวเองมา เลข 7 ระดับ 7 มีอะไรเป็นเครื่องวัดว่าบุรุษผู้นี้เป็นสัตบุรุษเป็นบุรุษระดับ 7 โพธิสัตว์ระดับ 7 รู้เองมาเอง “สยัง” แปลว่า เอง “อภิญญา” คือมีความรู้ของพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องมีอาจารย์ในยุคนี้ จึงเรียกว่ามาด้วยตัวเองยังไม่เรียกว่าสยัมภู ยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า ได้มีความรู้มาด้วยตัวเองมาแล้ว ไม่ต้องอาศัยครูบาอาจารย์คนไหนในชาตินี้
มีอะไรชี้บ่งว่า เป็นสัตบุรุษ สยังอภิญญาจริง ก็คือในวรรคนี้แหละ ท่านยืนยันว่าเป็นผู้รู้โลกนี้โลกหน้าแล้วอธิบายชี้ให้เห็นโลกนี้โลกหน้า ถ้าใช้แค่บัญญัติว่าโลกนี้ อยังโลโก แปลว่าโลกนี้ “ปโรโลโก” แปลว่าโลกหน้า ก็แปลเป็นภาษาได้ทุกคนแต่ที่จะยืนยันว่าไม่ใช่เพียงแค่รู้ภาษาแต่ยืนยันว่า “โลกนี้” คือโลกโลกียะ, “โลกหน้า” คือโลกโลกุตระ ใครก็แปลได้อีก แปลภาษาสู่ภาษาได้อีกแหละ มีอะไรยืนยันได้ยิ่งกว่านั้น ก็ยืนยันว่าโลกโลกียะ คือ มีการพฤติกรรมของมนุษย์วนเวียนอยู่ในโลกนั้น คือวนในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ยืนยันได้ บางคนก็เรื่องลาภน้อย แต่ยังติดยศชั้น บางคนก็มีสรรเสริญมันก็ลึกซึ้งไป ไม่ติดยศแล้วเหลือแต่สรรเสริญ ไม่ติดในสรรเสริญแล้วยังเหลือแต่สุขโลกีย์ นี่เป็นตัวพยัญชนะ ชี้บอกอาการ
แล้วก็ต้องยืนยันว่าลาภยศสรรเสริญคืออะไร ลาภ สิ่งที่ได้มาแล้วยังสุขทุกข์ ดีอกดีใจไม่ดีอกดีใจ เสื่อมไปเสียไปก็เสียใจ ได้มาก็ดีใจอะไรต่างๆนานา ลาภก็ตามยศก็ตามสรรเสริญก็ตามสุขก็ตาม ยังติดยังอยู่กับตัวท่านมันก็ยืนยันความจริงผู้ที่ไม่ติดในลาภยศสรรเสริญสุขแล้ว ในรูปธรรมก็พอดูได้ว่า เป็นผู้ที่ไม่แสวงหาลาภไม่พูดให้ได้ลาภยศสรรเสริญ ไม่มี พยัญชนะบอกเช่นนั้นแต่พฤติกรรมชีวิตที่ท่านเป็นอยู่เป็นไหม
และสูงไปกว่านั้นผู้ที่มีคุณธรรมจริง เป็นผู้มีคุณธรรมถึงขั้นได้กับตัวเองและบรรลุธรรมนั้น ไม่มีลาภยศไม่ได้ติดลาภยศสรรเสริญสุขอะไรแล้ว ยิ่งเป็นพระอรหันต์เลย แล้วก็มาทำงานกับสิ่งที่เป็นลาภสิ่งที่เป็นยศสิ่งที่เป็นสรรเสริญสิ่งที่เป็นสุขอยู่
คบคุ้นไปจะเห็นได้ว่า ท่านไม่ได้แสวงหาแต่มันมีได้ คนเขาเอามาให้ ท่านก็ไม่ได้เอา ไม่ได้ไปกอบโกยหอบลาภยศสรรเสริญสุขอะไรอยู่ มันจะเห็นได้ นอกจากท่านได้อย่างนี้แล้วท่านยังเอามาสอนเอามาแนะนำบอกคนอื่น คนอื่นก็ละลด ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มาๆๆ อยู่กันอย่างเป็นสุขสงบสร้างสรร ขยันเพียร มีวรรณะ 9 (เครื่องชี้วัดของพระพุทธเจ้า) มาอยู่กันเป็นคนกินง่ายๆ นั่งง่ายๆไปง่ายมาง่ายๆมีชีวิตเลี้ยงง่ายบำรุงง่าย หรือ จะพัฒนาพาทำสิ่งที่เจริญก็ง่าย สุโปสะ เป็นคนมักน้อย ไม่สะไม่สม(ข้อ 8 ) เอาน้อยๆไว้น้อย ไม่ได้หอบหามมามาก แต่กระจายไปสะพัดให้ผู้อื่นมันจะมีพฤติกรรมจริงๆ มีกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมแสดงออกเห็นอยู่ชัดๆ ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่ลึกลับอะไรแต่เป็นเรื่องจริง เรื่องยืนยันพิสูจน์ได้เป็นจริงดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เป็นพระอนุสาสนีก็บอกไปว่าไม่จริงเป็นจริงสันโดษ พอ ไม่ต้องมากมายอะไร น้อยแค่นี้ก็พอ ทั้งมักน้อยสันโดษ ชีวิตก็มีการขัดเกลากายกรรมวจีกรรมมโนกรรมที่มันควรขัดเกลาออก มีกิเลสมีความไม่เหมาะควร พฤติกรรมยังไม่ดียังไม่ดูดี ก็ปรับลดเปลี่ยนแปลงขัดเกลาให้มันดีตามที่ทั้งสมมติสัจจะทั้งปรมัตถสัจจะ
สัลเลขะ ตามหลักพระพุทธเจ้า ธูตะ ข้อปฏิบัติตามหลักพระพุทธเจ้าไม่ว่าจะเป็นศีลหรือวินัยตามหลักพระพุทธเจ้ากำหนดมาเป็นธรรมวินัยปฏิบัติตามลำดับ มีธูตะ บรรลุได้ แล้วสูงขึ้นเคร่งขึ้น เช่นมีจุลศีล 26 ข้อ ต่างๆ เราก็เรียนรู้ว่าเรามีสิ่งเหล่านี้แต่ไม่ได้ติดยึดสิ่งเหล่านี้ มีสิ่งเหล่านี้อาศัยอยู่กับชีวิตไปตามเหมาะควร ซึ่งเป็นคนหลุดพ้นเห็นๆอยู่กับสิ่งที่มีอยู่ในโลกที่เขามีคนติดก็ติดกันไป แต่ท่านไม่ติด แต่ท่านก็รู้จักการใช้เอามาประยุกต์เอามาสังขารเอามาปรุงแต่งใช้ไป เพื่อประโยชน์ตัวเองน้อย ตัวเองใช้อะไรไม่มากแต่เอามาปรุงแต่งสร้างสรรค์ช่วยให้คนอื่นได้ ส่วนตัวเองนั้นปรุงแต่งจิตล้างกิเลสในจิตเป็นอภิสังขาร มีปุญญาภิสังขาร จนหมด จนไม่ต้องทำแล้วอปุญญาภิสังขาร จนหมดบุญหมดบาป ปุญญปาปปริกขีโณ ไม่ทำบาปทั้งปวง สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง มีแต่ทำกุศลไป กุสลัสสูปสัมปทา เพราะมีจิตใจที่สะอาดแล้วเป็น สจิตตปริโยทปนัง
สรุปคือมีชีวิตที่ไม่สะสมอะไรเลย อปจยะ แต่ขยันพากเพียรปรารภความเพียร วิริยารัมภะ แต่ไม่สะสมอะไรเลยในชีวิต ไม่ต้องมีอะไร เป็นคนตัวเปล่าว่างเปล่าแต่สร้างสรรอุดมสมบูรณ์มากมายอย่างนี้ สร้างสรรมาแล้วไม่ต้องยึดถือเป็นเราเป็นของเราเลย เอาไปแบ่งแจกกันกินกันใช้อุดมสมบูรณ์ ซึ่งมันเป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลยของพระพุทธเจ้า เป็นเศรษฐศาสตร์ชั้นหนึ่งเลย ผู้ที่รู้จักวรรณะ 9 นี่แหละคือผู้ที่ปฏิบัติตนบรรลุธรรมอันนี้และสุดยอดนักเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์
เมื่อทำได้แล้วมาอยู่เป็นหมู่กลุ่มอยู่กันไปอย่างมีความสุข มีเมตตา กรุณา มุทิตาอุเบกขา กายกรรมเมตตา วจีกรรมเมตตา มโนกรรมเมตตา ได้ลาภยศสรรเสริญข้าวของมารวมกับกองกลางแบ่งกันกินตามสาธารณโภคี สิ่งที่สร้างได้แต่ละคนเอามารวมกันใช้กินร่วมกันเป็นสาธารณโภคี แล้วก็ปฏิบัติตนไปตามศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา โสดาบันเสมอโสดาบัน สกิทาคามีเสมอสกิทาคามี อนาคามีเสมออนาคามี อรหันต์เสมออรหันต์ เสมอสมานกันอยู่เป็น “สาราณิยธรรม 6”
สาราณิยธรรม 6 (ธรรมเป็นเหตุให้อยู่ร่วมกันอย่างมีเอกภาพ)
-
เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
-
เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
-
เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
-
แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (ลาภา ธัมมิกา – มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี)
-
มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (สีลสามัญญตา)
6.มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย
(ทิฏฐิสามัญญตา) (ล.22 ข. 282-283)
ไม่สะสมยอดขยัน เอามาพูดซ้ำซากจนน่าเบื่อ แต่มันเป็นจริงได้ มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ มนุษย์เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติเป็นปาฏิหาริย์ที่เรียกว่าอนุสาสนีปาฏิหาริย์ บรรลุธรรมได้สำเร็จจริงๆ มันสุดออนซอนเด๊ สุดยอดเลยมันน่าชื่นชม น่าได้น่ามีน่าเป็นน่าชื่นชมจริงๆ มันเป็นเรื่องจริงได้
อาตมาถึงได้พูดย้ำซ้ำซากไม่คิดที่ว่าอาตมาเกิดมาในชาตินี้ ทำงานมา 50 ปีอาตมาประสบผลสำเร็จ ตนเองทำงานมาได้ผลเกิดมาในชาตินี้แต่สิ่งที่ดีกว่านี้ยังมีอีกต้องทำอีก แล้วก็ดูองค์รวมไปไกลผู้ที่ยังไม่ได้มีอีกเยอะ แล้วก็มองไปอีกไกลยังมีผู้ยังไม่ได้อีกเยอะก็ต้องสร้างกลุ่มให้ไปช่วยคนอีกเยอะ พูดอย่างไรก็เป็นสัจจะที่เป็นหนึ่งเดียวอย่างนี้ จะให้พูดซ้ำซ้ำซากอยู่ได้ที่ออกไปต่างๆนานานี้มันไม่ใช่สัจจะ เป็นเรื่องปรุงแต่งเยอะแต่สัจจะมันมีหนึ่งเดียวก็ต้องซ้ำซากสิ นี่เป็นสัจจะมันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นคนเข้าใจไม่ได้ก็มาท้วง ก็ต้องหาของใหม่ของแปลกอยู่ด้วยนั่นแหละคนหลงโลก โลกมันหลอกคุณไป สัจจะมันจบมีหนึ่งเดียวแล้วก็รู้จบทำให้จบๆ ถ้าคุณไปมีใหม่เรื่อยๆแล้วเมื่อไหร่มันจะจบล่ะ เมื่อไหร่มันไม่มีวันจบหรอก คนที่เข้าใจผิดที่ควรจบคุณก็เข้าใจผิดแล้วมาท้วงอาตมา คำท้วงก็สอนให้เห็นแล้วว่าคุณเป็นคนไม่มีทิศทางที่สัมมาทิฏฐิ ไม่สามารถที่จะบรรลุได้เพราะฉะนั้นมันจะต้องฟังซ้ำซากของเก่านี่แหละ เพราะสัจจะจะสรุปมาเรื่อยมาด้วยวิธีพระพุทธเจ้าฝึก
เปรียบเทียบกันทีละ 2 เรียกว่า “เทวะ” อ๋อ..อันนี้ถูกต้องลงไป อีกทีละ2 สรุปลงมาสิ่งที่ไม่ใช่มันจะออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายจะมีเหลือสัจจะมีหนึ่งเดียว ไม่มี 2 เห็นไหม ไอ้ที่ยังเถียง แย้งกันอยู่ คนนั้นยังไม่ลงท้ายที่สุดจะมีหนึ่งเดียวจบเลย ผู้ที่ยังเถียงอยู่นั้นยังจบไม่เป็น ยังไม่รู้ที่จบ เราผู้ที่รู้ที่จบก็จะรู้ที่จบ พูดขยายไปอีกก็จะรู้ที่ขยาย รู้ว่ามันถึงที่จบก็จะรู้ว่ามันจบ มันเป็นอย่างนั้น
นี่ก็ต่อจากที่ท่านฟ้าไทว่าไว้
_SMS วันที่ 31 ม.ค. – 1 ก.พ. 2564
_แก่นนวน มาลัยขวัญ : น้อมกราบนมัสการ พ่อครูมาด้วยความเคารพอย่างสูงเจ่าค่ะ.
“อยู่ไกลเหมือนอยู่ใกล้เมื่อใส่ใจธรรมมะของพ่อครู”. เช้าเสาร์อาทิตย์. ร่วมกันทำวัตรเช้า
_Sutas Supapattarnon (สุทัศ สุภาภัทรานนท์) : กินคนเดียวอยู่ยากกินหลายคนอยู่สบาย
_กุญแจ เงินทอง : ถ้าเราโกรธบ่อย หงุดหงิดง่าย ฮอร์โมนแห่งความเครียดจะออกมาทำงาน ทำให้เราหิวเก่ง นอนเก่ง ร่างกายเก็บน้ำ และเกลือไว้มากกว่าปกติ จะทำให้เราอ้วนและไม่สวย ❤️ อะไรปล่อยได้ก็ปล่อย ^^
_Nadam Sakon (นาดาม สาคร) : สงบน้อยขยันน้อยกิเลสมาก สงบมากขยันมากกิเลสน้อย
SMS วันที่ 2 ก.พ. 2564
_เดชา อำพร : อโศกมีโศลกคำคมคติข้อคิดหลักการดีๆในอดีตอยู่มากมาย แต่กลุ่มอโศกมักได้ใหม่แล้วลืมเก่า ไม่เก็บนำมาทบทวน เพราะมัวแต่เอาใจผู้นำอโศกกับโศลกใหม่ๆที่ปล่อยออกมาเรื่อยๆ เราอยากให้ทีมนี้ล่ะ มีอีกซัก1รายการ ให้ ท่านซาบซึ้ง ท่านจันทร์(เป็นฝ่ายค้าน) สม.สัจฉิกตา และให้ท่านลานศิลป์เป็นพิธีกร ขอให้นำโศลกคำคมคติข้อคิดหลักการดีๆของอโศกตั้งแต่เริ่มต้นที่มีออกมา นำมาทบทวนตามลำดับ แล้วร่วมกันวิเคราะห์วิจัยว่าอันไหนควรนำมาปฏิบัติต่อไป หรืออันใดที่ควรแก้ไขปรับปรุง หรืออันไหนที่ควรยกเลิก อย่าให้เป็นแบบ”ได้ใหม่ลืมเก่า” นะครับ
ทีมนี้เป็นทีมที่ยึดมั่นในหลักการกันดีจริงๆ คน(ทั้งฆราวาสและนักบวช)ที่สันติอโศกต้องยอมรับว่าเป็นคนที่ซื่อตรงและมีคุณภาพในทางธรรมค่อนข้างสูง เหมือนคนชาวกรุงนั่นแหละ ที่มักเป็นคนที่มีคุณภาพและแข็งแกร่งในการดำเนินชีวิตมากกว่าคนชาวชนบทมาก
ณ วันนี้…
1.ท่านซาบซึ้ง เยี่ยมมากๆ วิเคราะห์แจกแจงได้เคี่ยวข้น ตรงไปตรงมา
2.ท่านลานศิลป์ เป็นผู้ตรงต่อหลักการ และขวนขวายใฝ่ศึกษามาก
3.สม.สัจฉิกตา ยังเป็นผู้ที่มีท่วงท่าของนักวิชาการที่ละเอียด และยังมีฐานจิตที่หนักแน่น มั่นคงดี
คำว่า”ลูบคลำ”ในสังคมไทย” มักใช้สื่อไปในเรื่องทางเพศของคนคู่ ฟังคำนี้เมื่อไหร่ ไม่ว่าใครก็ต้องมีจิตเฉี่ยวความคิดไปในเรื่องการร่วมเพศสังวาสทันที
จึงในบริบทของความเป็นนักบวชหรือสมณะ หรือแม้เป็นฆราวาสที่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมก็ตาม เราจึงเห็นว่า ไม่ควรใช้คำนี้ ถือว่าคำว่า”ลูบคลำ”อยู่ในสถานะของ”คำลามก”ก็ว่าได้
พ่อครูว่า…
พ้นอวิชชาด้วยจรณะ
มาสู่ ปฏิจจสมุปบาท คนเราเกิดมาพร้อมอวิชชา ถ้าเป็นสัตว์โลกที่มันไม่ประสีประสาไม่รู้เรื่องที่จะมาศึกษาธรรมะ อย่างผู้ที่มีฐานะที่รู้ค่าของชีวิตแล้วค่าของชีวิตนี้ ถ้าไม่ศึกษาธรรมะมันไม่เจริญมันจะตกต่ำ ตกต่ำอย่างไร มันจะไปหลง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แล้วพยายามใช้ชีวิตแสวงหา ลาภ ด้วยวิธีเฉลียวฉลาดโลกีย ให้ได้มาซึ่งลาภที่ดูดี ยศที่ดูดี สรรเสริญที่ดูดีแล้วก็หลงความสุข คำว่า “สุข” นี่ คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าเอามาศึกษาเป็นแกนของโลกุตระ ต้องเรียนรู้สึกนี่แหละอะไรที่สุดแค่นั้นก็เป็นทุกข์สุขกับทุกข์มันเป็นมายา โดยเฉพาะตัวสุขมันเป็นมายาหลอก แต่ที่จริงมันเป็นตัวทุกข์ มันตัวเดียวกันแต่มันหลอกอยู่ในโลก โดยคนไม่รู้เท่าทันก็ไม่รู้ มันมี 2 ส่วน “สุข” กับ “ทุกข์’ คู่กันตลอดเวลาคนที่อวิชชาก็ไม่รู้จักสุข รู้ว่า ฉันต้องการส่งแต่ไม่รู้ว่าสุขนี้มันมีตัวสนิทอยู่ด้วยกันฉีกไม่ออกเหมือนกระดาษแผ่นเดียว เขาไม่รู้เขาจะหลงแต่เอาหน้าความสุขแต่ความทุกข์มันก็มาด้วย ไม่รู้กี่ชาติก็วนเวียนอยู่ในเทวนิยมเอาแต่สุข คนที่ประสบผลสำเร็จที่สุดก็คือคนที่อยู่กับพระเจ้าหรือเป็นพระเจ้าหรือลูกพระเจ้าได้ความสุข เพราะฉะนั้นเจ้าของสุขคือพระเจ้า พระเจ้าไม่เกี่ยวกับทุกข์ไร้ความทุกข์ไม่รู้เรื่องเขาเรียกว่าซาตานเหมือนกัน แต่ไม่เอาถ่านไม่รู้เรื่อง มันจะอยู่อย่างไรช่างหัวมันแต่มันก็เล่นงานตนเองให้เมาหลงอยู่กับความสุข หน้ามืดตาบอดไม่รู้เรื่องจนเราไม่รู้เลยว่าพระเจ้าอยู่ตรงไหน พระบุตร ปรากฏตัวมา บอกว่านี่คือคำสอนพระเจ้า
ที่ยืนยันว่าพระบุตรหรือพระเจ้าไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าคำสอนนี้เป็นของใคร ไม่รู้เจ้าของคำสอนคือใคร ไม่รู้ แล้วก็สอนเอาๆ ว่านี่ของพระเจ้า ที่แท้ความรู้เหล่านั้นคือของตัวพระศาสดาเองที่ได้สั่งสมบารมีมา แต่เพราะไม่รู้ตัวเอง ไม่รู้ความเป็นอัตตาคือตัวเอง ไม่รู้ ก็ไม่เชื่อว่า เรามีความรู้นี้ด้วยหรือ มันไม่ใช่ของเรามั้ง มันเป็นของพระเจ้าเพราะฉันก็พยายามอย่าให้ผิดของพระเจ้านะพยายามรักษา อธิบายขยายความตามพระเจ้าให้ได้อย่างดี
โดยที่เขาทำยังไม่มั่นใจอย่างไม่รู้ตัวเองเลย ว่าตัวเองเป็นเจ้าของความรู้ เป็นธรรมะสามี เป็นเจ้าของความรู้ความจริงอันนี้เลยเขาไม่รู้ตัว
คนที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัวเอง ความรู้ของตัวเองก็ยังไม่มั่นใจในความรู้ตัวเอง แล้วมันจะไปบริบูรณ์ได้อย่างไร ของพระพุทธเจ้านั้นสอนแม้แต่ความรู้นั้นยังไม่ต้องถึงพระศาสดา ก็รู้แล้วว่าเรารู้ด้วยตัวเอง เริ่มต้นรู้แล้วก็ปฏิบัติจนมันเป็นความจริงลำดับที่ 1 2 3 ไป ก็จะรู้ความจริงนั้นได้ด้วยตนเรียกว่า ปัจจัตตัง ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ ท่านรู้ความรู้นั้นแล้วก็ทำความจริงจนรู้เองจึงไม่หลง ว่าความรู้เหล่านั้นเป็นของเราเอง มีพระพุทธเจ้าค้นพบรู้สูงสุดมีความรู้กับความจริงมากที่สุด เราก็เรียนตามเรียนรู้ได้ตามเป็นปัจจัตตัง เป็นปัจเจก เป็นสยังอภิญญา จนกระทั่งเป็นสยัมภูเป็นพระพุทธเจ้ามีความรู้สูงสุดที่ใครก็ไล่ไม่ทัน แต่เขาไม่รู้ครบความจริงสมบูรณ์แบบ แต่อันนี้รู้ความจริงสมบูรณ์แบบ นี่คือความแตกต่าง พูดไปแล้วก็เกรงใจพวกเทวนิยม เกรงใจที่เราพูดจริงสิ่งเหนือกว่าเทวนิยมที่เขาเป็นไม่ได้ เลยเหมือน ข่ม ดูถูกดูแคลน อาตมาขออภัย ไม่มีเจตนาเช่นนั้น มีแต่สงสารว่าน่าจะมาศึกษาอย่างนี้ทำอย่างนี้ ถ้ามาศึกษาเสียแล้วจะได้รู้ความจริงว่าอย่างนั้นเราก็รู้ เพราะว่าผู้เรียนรู้จริงๆจะได้รู้ว่าสิ่งที่มีในโลกจนกระทั่งรู้หมดอย่างที่ทางด้านเทวนิยม รู้ด้วยทั้ง 2 อย่างเรียกว่าเทวะ
แต่อีกอย่างที่เทวะไม่มี คือ “อเทวะ” ก็คือสิ่งที่มันทวนกระแสกันมันย้อนแย้งกัน จึงได้เป็นศาสนาที่รู้จักความจริงว่า จริงๆแล้วมันไม่มีอะไร เป็นอนัตตา มันไม่มีความจริงๆที่จะนิรันดรหรอกพระเจ้านิรันดรไม่มี มีแต่เหตุปัจจัยที่ว่าของคู่ที่ปรุงแต่งกันอยู่ เข้าใจเหตุแห่งการปรุงแต่งแล้วแยกออกกันจากกันได้ ธาตุจิตก็หายไป สลายเป็นธาตุที่อยู่ในมหาจักรวาลก็ดินน้ำไฟลมแล้วก็ปรุงแต่งมาเป็น พืช เป็นจิต แล้วก็ไปก่อกรรม แล้วสั่งสมเป็นธรรมะ นี่คือ “ธรรมนิยาม 5” ผู้ที่รู้ครบแล้วแยกได้จริงๆ คืออรหันต์แยกได้จบจริง
เมื่อรู้แล้วอรหันต์แยกได้จะตายสูญแยกเป็นอุตุนิยามไปเลยก็ได้ อย่างโพธิสัตว์หรืออย่างของอาตมาทำได้แยกได้ ให้คนอื่นรู้ต่อได้รับสิ่งที่ดีที่สุดก็เอามาเผยแพร่ต่อสื่อสารความรู้ความจริงนี้ต่อไปเรียกว่าสืบสานพระศาสนา ก็มาทำต่อไป เพราะมันเป็นประโยชน์มีค่าที่สุดไม่มีอะไรเท่า เกิดมาเป็นร่างกายมนุษย์อันนี้เป็นความดีความรู้เป็นเทวะ 2 อย่างที่สูงที่สุดดีที่สุดประเสริฐที่สุดที่มนุษย์พึงได้พึงมีพึงเป็นให้ถึงที่สุด พอสุดแล้ว อยากจะอยู่ถ่ายทอดสิ่งที่เกิดมาเป็นอัตภาพเป็นจิตนิยาม เสร็จแล้วก็ให้คนให้สัตว์ให้มนุษย์ที่มีจิตนิยามได้รู้สิ่งนี้เหมือนกัน เพราะรู้หมดแล้วเป็นอนัตตาจริงๆ ท่านอยู่มันก็มีแต่ทุกข์มันไม่เที่ยง อยู่ก็ช่วยเขาเพราะว่าอยู่กับพวกนี้แล้ว สรุปผู้ที่เป็นอรหันต์ได้แล้วก็ไม่มีทุกข์พ้นทุกข์ได้แล้ว ก็ต้องช่วยเขาทำไปสืบทอดความจริงความรู้นี้ให้แก่ผู้ที่เป็นต่อ เขาจะได้แล้วก็จะได้เกิดมาเป็นคน แล้วก็สามารถได้รับความรู้ความจริงอันนี้ แล้วก็เลยต้องช่วยเขา ช่วยคนต่อให้ได้รู้ความจริงอันนี้แล้วก็ถึงวาระที่เราบอกว่าพอแล้วเมื่อยแล้ว ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป
เรื่อง ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แม้พยัญชนะนี้ อาตมาสัมผัสแล้วที่จบมันอยู่ตรงนี้ “ปริโยสาน” แปลว่าที่จบ อ๋อ! ปรินิพพานเขาเรียนกันเขาไม่มีปริโยสาน เขาไม่พูดถึงที่จบ อวสาน+ปริ อวสาน แปลว่าจบ ปริโยสาน จบด้วยการปรินิพพานนิพพานรอบที่สุดเลย ไม่มีอัตภาพนั้นอีก เป็นการจบสุด อาตมาพบอยู่ที่ข้อที่ 10 ของมูลสูตรจึงเห็นว่าสุดยอด จึงนำมาขยายความให้พวกเรารับรู้ทางโน้นเขาไม่รู้หรอกไม่ได้เรียนกันพูดแล้วเขาไม่ถึง มีค่าขนาดไหนอาตมารู้อาตมามีอัตลักษณ์เป็นอาตมาทำได้แต่ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน อย่างจะสืบทอดเอาความรู้อันนี้ สืบทอดเผยแพร่กระจายไป
_สู่แดนธรรม…แต่ก่อนผมเข้าใจว่าจบที่วิมุติ
พ่อครูว่า…วิมุติแล้ว ต่อเป็นอมตะอีก “อมตะ” คือจะเกิดก็ได้ จะตายก็ได้ จะอยู่หรือไม่อยู่ก็ได้ มันสุดยอดอิสระเสรีภาพ บริบูรณ์ที่สุดเลยอมตะบุคคล เพราะฉะนั้นจึงรู้ว่ามันสุดจริงๆก็คือปรินิพพานเป็นปริโยสาน ยังอยู่ไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็เป็นพระอริยบุคคลเป็นโพธิสัตว์ไปอย่างเช่นพระอวโลกิเตศวรอยู่เพื่อเผยแพร่สิ่งนี้ ท่านยิ่งใหญ่จะรื้อขนสัตว์ให้คนทุกคนในโลกนี้ได้รับเป็นอรหันต์หมดโลกก่อนแล้วตัวเองจึงจะปรินิพพานเป็นคนสุดท้าย สุดยอดเลยปณิธานนี้ อาตมาขอเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งแล้วก็ขอไปแล้ว
เป็นบัญญัติสมมุติสัจจะอันหนึ่งที่สุดแห่งที่สุดก็มีสมมติไว้เป็นได้หรือไม่ได้จริงหรือไม่จริงก็ไม่มีปัญหารู้จักความหมายก็ใช้ได้มันเป็นเรื่องดี แล้วพระอวโลกิเตศวรก็อวตารมาเป็นเจ้าแม่กวนอิมเป็นต้น และอธิบายว่าอวตารเป็นอะไรอีกหลายอย่างหาอะไรมาเป็นเครื่องประดับของแต่ละองค์คนนี้เด่นจุดนี้มุมนี้ไป ก็เป็นการสื่อให้รู้ว่าคนเรานี้สามารถมีความสามารถศึกษาแล้วก็สร้างตนเองให้มีความสามารถอย่างนั้นเพื่อที่จะเป็นมนุษย์ ซึ่งมีมาก โลกจินตา นับไม่ถ้วนปรุงแต่งขึ้นมาอีกก็ได้แต่ก็ควรจะอยู่ในกรอบ
กรอบ ของสิ่งที่สำคัญพระพุทธเจ้าท่านสรุปมาอยู่ในจรณะ 15 วิชชา 8 นี่คือกรอบ สรุปขึ้นมาเรียกว่าพุทธคุณนอกเกินกว่านั้นเรียกว่าพุทธโทษ เฟ้อ เอาแค่นี้แหละพุทธคุณมีจรณะ 15 มีวิชชา 8 เรียนรู้เท่านี้จบ จบ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็จบอยู่แค่นี้
แล้วรู้ลำดับด้วยถ้าเรียนรู้เป็นลำดับจะจับแกนของศาสนาพุทธได้คือ
-
ศีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล . . มีศีล 5 8 10 จุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีล
มหาศีลคือศีลของหมู่กลุ่ม ท่านให้ละเว้นอย่าให้มี แต่ทุกวันนี้พุทธกระแสหลักเขาไม่ปฏิบัติศีลข้อนี้แล้ว พระพุทธเจ้าท่านให้เวรมณีมาแล้ว แต่เขาเต็มกันไปในศาสนา แม้แต่มัชฌิมศีลหมายถึงสิ่งที่จะต้องอยู่กับชีวิตต้องละเว้น จะบอกว่าสำคัญก็สำคัญเพราะมันจะต้องอยู่ในสังคมอยู่ในความเป็นมนุษย์ของสังคมมัชฌิมศีลทั้ง 10 ข้อ ก็เรียนรู้ลดละลงมาอีก
ยิ่งจุลศีล แต่ละคนปฏิบัติในแต่ละข้อไม่ถึง 26 หรอกปฏิบัติให้สัมมาทิฏฐิเถอะ ปฏิบัติอย่างน้อย 5 ข้อ ที่จริงท่านแยกจุลศีลไว้ 1 2 3 4 แล้วขยายจุลศีล 5 6 7 8 ตั้งแต่ข้อ 5 ท่านก็ขยายเป็นคำพูด ขยายเป็นวาจาไว้ 4 ข้อ( 5 6 7 8) แล้วก็จาก 8 ไปก็อยู่ในพฤติการพฤติกรรม
จุลศีล ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล
-
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาตรามีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ข้อนี้เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
-
เธอละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
-
เธอละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกลเว้นขาดจากเมถุนอันเป็นกิจของชาวบ้าน แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
-
เธอละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์ มีถ้อยคำเป็นหลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอ ประการหนึ่ง.
-
เธอละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้วไม่ไปบอกข้างโน้นเพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้นแล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
-
เธอละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ เพราะหู ชวนให้รัก
จับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่ พอใจ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
-
เธอละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐาน มีที่อ้าง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์โดยกาลอันควร แม้ข้อนี้เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
-
เธอเว้นจากการพรากพืชคามและภูตคาม.
-
เธอฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดจากการฉันในเวลาวิกาล
-
เธอเว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรีและดูการเล่น อันเป็นข้าศึกแก่กุศล
-
เธอเว้นขาดจากการทัดทรงประดับ และตบแต่งร่างกายด้วยดอกไม้ ของหอมและเครื่องประเทืองผิว อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว.
-
เธอเว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่.
-
เธอเว้นขาดจากการรับทองและเงิน.
-
เธอเว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ.
-
เธอเว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ.
-
เธอเว้นขาดจากการรับสตรีและกุมารี.
-
เธอเว้นขาดจากการรับทาสีและทาส.
-
เธอเว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.
-
เธอเว้นขาดจากการรับไก่และสุกร.
-
เธอเว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา.
-
เธอเว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน.
-
เธอเว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้.
-
เธอเว้นขาดจากการซื้อการขาย.
-
เธอเว้นขาดจากการโกงด้วยตราชั่ง การโกงด้วยของปลอม และการโกงด้วยเครื่องตวงวัด.
-
เธอเว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวง และการตลบตะแลง.
-
เธอเว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิง การปล้น และกรรโชก
แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
ภิกษุหรือนักบวชเป็นผู้รับใช้สังคมเป็นคนยอดรับใช้แต่ไม่ใช่รับจ้าง เป็นผู้รับใช้เป็นผู้ที่มีประโยชน์คุณค่าต่อผู้อื่นเป็นผู้ที่เป็นประโยชน์พหุชนหิตายะ หรือโลกานุกัมปายะ
ธัมมชโยนี้ มีการโกง สมเด็จพระสังฆราช ก็มีคำสั่งออกมาแล้วว่าต้องปาราชิก แล้วตอนนี้หลบหนีหายไปไหนไม่รู้ไม่มีใครหาเจอ
ข้อสุดท้ายละเอียดมาก ทุจริตกันเล็กๆน้อยๆหรือหยาบถึงขนาดฆ่ากันหรือจองจำไว้ แม้แต่ตีชิงไปปล้นกรรโชกก็ไม่เอา ถ้าศึกษาตามข้อต่างๆในจุลศีล 26 ข้อ คุณปฏิบัติให้สัมมาทิฏฐิดีๆไม่ถึง 26 ข้อหรอก คุณเป็นพระอรหันต์ได้จริงๆ ขอให้สัมมาทิฏฐิเถอะ แม้แต่ศีล 5 ข้อ 3 ข้อก็เป็นพระอรหันต์ได้เพราะอีก 2 ข้อจาก 5 ข้อก็เป็นวจีกรรมมโนกรรม ก็เป็นตัวลึกซึ้งของ 3 ข้อแรก รวมแล้ว 3 ข้อหลักปฏิบัติให้ครบถ้าเข้าใจอย่างวิจิตรพิสดาร เข้าใจอย่างลึกซึ้งขยายความได้หมด เกี่ยวกับสัตว์ในโลกข้อที่ 1 เกี่ยวกับของกับพืชข้อที่ 2 วัตถุพืชดินน้ำไฟลมกับพืช ข้อ 3 เกี่ยวกับตาหูจมูกลิ้นกาย
_ขวัญรัก ถามว่า …ไม่มีวัวควาย งั้นเราก็เลี้ยงได้สิ
พ่อครูว่า…มีข้อที่ 20 ห้ามไว้ ท่านห้ามไว้หมดไม่ให้เลี้ยงสัตว์ ที่บอกชื่อมาเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…ศีลที่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว เราปฏิบัติก็จะได้ลดกิเลสแล้วก็จะเบาสบาย แต่ทุกวันนี้พระก็ไม่ปฏิบัติสิ่งเหล่านี้มีวินัยก็ปฏิบัติแทบไม่รอด
พ่อครูว่า…ต่อมาข้อ 2 3 4 ของจรณะ 15 ที่เป็นอปัณกปฏิปทา เป็นการ ปฏิบัติที่ไม่ผิด แต่หากปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วไม่มี 3 ข้อนี้ก็ไม่ใช่การปฏิบัติธรรมของพุทธ ทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่มี 3 ข้อนี่
อปัณณกปฏิปทา 3 (ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดทางพุทธ)
-
อินทรียสังวร (การสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ทวาร) .
-
โภชเนมัตตัญญุตา (ความรู้จักประมาณในสัดส่วน . ทั้งอาหารกาย, อาหารอารมณ์, อาหารวิญญาณ) .
-
ชาคริยานุโยค (การหมั่นตื่นออกจากกิเลสโลกีย์)