640129_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เจโตปริยญาณ 16 มาตรวัดจิตสมาธินิมิต
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1dwnFXVed5LomYWggK1xtEzJyN1eRFT9lFfq-bP-VEEw/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1KETkJx8PoKvMvgJnUc6FlwtW9E1HiRNf/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/8mKd6hEZqJA
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก สถานการณ์โควิด ตอนนี้ครบรอบ 1 ปีแล้วที่ระบาดไปทั่วโลก ก็ได้ทบทวนว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร
ถ้ามองมุมพวกเราที่ต้องอยู่กับที่ แต่ดีไม่ดีอย่างไรทุกคนต้องเปลี่ยนแปลง แม้แต่พวกเราก็ต้องเปลี่ยนแปลง เดิมเดินทางไปมาหาสู่กันก็ต้องอยู่กับที่ ที่เคยไปซื้อของที่ตลาดก็ต้องหยุดไป คนข้างนอกเขาแค่เดือนนึงก็จะเป็นจะตายแต่พวกเราอยู่เป็นปีก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร กลายเป็นชีวิตแบบ New Normal สบายง่ายทำตนให้เป็นประโยชน์ได้มากขึ้น มีคนเห็นความสำคัญที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทิ้งมรดกไว้ให้พวกเราคือบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ที่จะทำวัคซีนให้คนไทยได้ โดยวางปรัชญาไว้ว่าคือขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ถ้าเป็นพวกนายทุนคงไม่กล้าทำ ซึ่งเมื่อเราสามารถผลิตวัคซีนเองได้จะเป็นประโยชน์ต่อคนไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีแต่ที่นี่ที่ผลิตได้ เรียกว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีสายพระเนตรอันยาวไกล สร้างบริษัทนี้มาแก้ปัญหาวิกฤตที่เกิดขึ้นในขณะนี้ได้
มีตัวอย่างของการนำเอาหลักขาดทุนของเราคือกำไรของเรามาใช้จริง อย่างเช่น นายก อบต.พันท้ายนรสิงห์ ที่ออกทุนสร้างรพ.สนามโดย มี 2 อาคาร มีเตียงรองรับผู้ติดเชื้อ 1,000 เตียง โดยความอนุเคราะห์ของนายวัฒนา แตงมณี นายก อบต.พันท้ายฯ ที่ให้ใช้ที่ดินส่วนตัว และออกเงินค่าก่อสร้างเองทั้งหมด เพื่อหวังให้ชาวจังหวัดสมุทรสาคร และแรงงานในสถานที่แห่งนี้มีที่รักษาตัวจากการติดเชื้อโควิด-19
ผู้ว่าฯจ.สมุทรสาคร ที่กำลังป่วยหนักด้วยโรค covid พอได้ทราบข่าวการสร้างโรงพยาบาลสนามนี้เสร็จ สัญญาณชีพของผู้ว่าฯก็ดีขึ้นทันที มีน้ำตาคลอออกมาด้วย
พ่อครูว่า…อาตมาขอเอา SMS ก่อนค้างมาหลายวันแล้ว
ผู้มีภูมิธรรมจะแสวงหาทางออกจากทุกข์
ตุ๊ก อัศวิน : ดังคำกล่าวว่า..”ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ”ดังนี้ จักหมายว่า สุข คือ ทุกข์ที่ลดน้อยลงๆๆๆๆๆ..จนสิ้นทุกข์ (นิพพาน)ได้ไหมเจ้าคะ
พ่อครูว่า…ได้ คำว่าสุขว่าทุกข์เป็นสัจธรรมที่วิเศษต้องรู้ให้จริง มันเป็นธรรมะคู่ที่คนหลงแยกไม่ออก แล้วก็ทำไม่สำเร็จ ในอะไรต่างๆพระพุทธเจ้าจับเป้าที่สุดทุกข์ในคน ที่เกิดตัวตนมีอวิชชา ก็บานปลายเป็นปากกรวย จึงเกิดความวุ่นวายในโลก ทั้ล พุทธนิยม อธิบายได้ตามนี้เลย อาตมาอยากจะทำตรงนี้อีกทีนึงเนี่ยตรงนี้ตรงนี้ มีคนเอามาขยายความยุติธรรม งหมดจึงต้องเอาให้หมดความสุขความทุกข์ คนเราก็ไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะมาบำเรอตัวบำเรอสุขให้แก่ตนแล้ว มันแถมการรู้โลกรู้ อัตตาสารพัด ว่าความรู้เหล่านี้เกิดจากการปรุงแต่ง เมื่อเราพ้นทุกข์แล้วชีวิตเราจะอยู่ทำไม ก็เอาสิ่งที่รู้แล้วมาสอนคนให้รู้ความจริงตามๆๆๆ มันก็เป็นคุณค่า พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าคนเราจะมีคุณค่าตรงนี้ คุณจะไปหาเงินให้ทำอะไรให้คนนั้นคนนี้ไปรับใช้อะไรต่างๆนานาสารพัด มันก็สู้ให้คนรู้จักอาริยสัจ 4 แล้วไปปฏิบัติให้พ้นทุกข์เด็ดขาด แล้วจะเป็นผู้ที่ได้จุดสำคัญที่สุดของชีวิตแล้ว ก็ช่วยโลกเขาได้เลย อันนี้สำเร็จ ปุ๊บนิพพาน มันจะเห็นความปรุงแต่งกันอยู่ ตามบารมีของแต่ละคน แม้รู้ไม่มากนัก ก็จะช่วยคนได้เป็นการช่วยที่บริสุทธิ์ใจที่สุดเต็มใจที่สุด เป็นหลักอริยสัจทั้งนั้นเพราะเราได้แล้วรู้แล้ว มันก็เป็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่
อาตมายังหวังอยู่ว่าสัจธรรมพระพุทธเจ้าจะแพร่หลายกว้างไกลไปอีก จริงๆทุกวันนี้มันทุกข์กันมาก แล้วที่พยายามแสวงหาอยู่ก็มี อยากได้ พวกที่ยังหลงโลกอยู่ก็แล้วไปแต่เขาก็ทุกข์หนัก สักวันหนึ่งเขาก็ต้องหาทางออก ให้พ้นทุกข์อย่างที่มีทฤษฎีสำคัญที่สุดคือทฤษฎีอันนี้ของพระพุทธเจ้า มันต้องเป็นโครงสร้างเดียวกันที่ซับซ้อนอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านเล่าว่า ท่านได้ถูกครอบงำมอมเมาจนกระทั่งไม่รู้จักความแก่ความเจ็บความตายไม่รู้ว่ามีในโลก เมื่อท่านได้รู้แล้วคนเราต้องแก่มันเป็นทุกข์ ตายก็เป็นทุกข์ เจ็บก็เป็นทุกข์ อันนี้ เป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่มันเป็นทุกข์ เห็นความเกิดก็เป็นทุกข์ เห็นความเจ็บก็เป็นทุกข์เห็นความแก่ก็เป็นทุกข์เห็นความตายก็เป็นทุกข์ ทุกอย่างเป็นทุกข์หมด ชาติปิทุกขา ชัดเจน
ทำอย่างไรก็ต้องหาทางพ้นทุกข์ พระพุทธเจ้าเห็นแค่ 3 เทวทูต ก็รู้ว่าทุกข์ แล้วมันมีทางออกหรือไม่พอดีมีสมณะเป็นเทวทูตที่ 4 เห็นสมณะเดินบิณฑบาตไม่เหมือนใคร ท่านก็ถามว่าอะไร เขาก็ตอบว่าสมณะ หาทางออกจากการเกิดแก่เจ็บตาย ท่านก็อ๋อ ต้องศึกษาปฏิบัติบำเพ็ญแบบนี้ถึงจะออกจากความทุกข์ได้ นายฉันนะก็บอกว่าใช่แล้ว ท่านก็ว่าจะเอาอย่างนี้
ตั้งแต่วันนั้นก็หาทางออกสุดท้ายหาเรื่องได้เพราะลูกเกิด ปั๊บ! พูดเป็นภาษาเลยว่ะ ราหุลังพันธนังชาตัง ถือเป็นเหตุให้ออกบวชเลย คนก็ต้านไม่ได้ เพราะว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อนเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยิ่งใหญ่ ออกบวช ไปกับนายฉันนะ ควบนั่งม้ากัณฐกะไปด้วยกันเลย เขาไปเขียนรูปเป็นอภินิหารพาเหาะไปเลย
ซึ่งเป็นเรื่องที่อาตมาเห็นแล้วเข้าใจแล้วก็มาแยกให้ฟังซ้ำหลายทีแล้ว รู้สึกซาบซึ้งมันเป็นสัจธรรมที่ลึกซึ้ง หลายคนที่เขาไม่เข้าถึงธรรมก็รู้สึกว่าเล่าซ้ำซากไม่เห็นเข้าท่า เขาจะไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่องสำคัญเป็นเรื่องวิเศษเลยเขาจะไม่รู้สึกหรอก แต่คนพอมีภูมิธรรมหรือว่ามีพุทธนิยม หรือว่ามีธรรมนิยมที่เข้าทีแล้วจะรู้สึกว่าโอ้ อธิบายได้ซาบซึ้ง
อาตมาอยากจะซ้ำที่ว่า…ตรงที่พระพุทธเจ้าตรัสแล้วพระสารีบุตรเอามาขยายความให้ชัดเจนลึกซึ้งเข้าไปอีก ตรงที่ว่า ผู้ที่พบสัตบุรุษ ผู้ที่พบพระพุทธเจ้า หรือพบผู้ที่อยู่ในฐานะของครูที่สัมมาทิฏฐิ พูดถึงเรื่องโลกุตรธรรม คนที่เขามีภูมิปัญญา หลงผิด ว่า พระพุทธเจ้านี้ ไม่ได้เรื่องอะไรหรอก สัตบุรุษ เคยดูถูก เคยเข้าใจผิด แต่พอศึกษาค้นคว้าปฏิบัติไป วันหนึ่ง เข้าใจได้ ก็ว่าเราตาบอดมานาน โอ้โห! มันเกิดถ้วนรอบของเขา มันรู้สึก เราดูถูกดูแคลนประมาทข่มขี่ นึกว่าของเราถูกแต่ที่จริงเราแบกขยะอยู่แท้ๆไว้ พอรู้สึกตัวเท่านั้น ก็รู้สึกว่าละอายอย่างหนัก ละอายอย่างแรงกล้า (ติปปัง) เราเข้าใจผิดเหลือเกิน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
หิริโอตตัปปะ ท่านรวม 2 คำไว้ ละอายเกรงกลัว จึงต้องเข้าไปหาอย่างเกรงกลัว สำนึกอย่างแรงกล้า เคารพอย่างแรงกล้า มีความรักอย่างแรงกล้า
พระพุทธเจ้าท่านตรัสอันนี้ไว้เห็นจริงเลย คนที่สำนึกอย่างนี้ น่าเคารพบูชา รู้สึกละอายในสิ่งที่เราเคยไปดูถูกลบหลู่ มันมีมุมกลับสะท้อนกัน อาตมาเห็นว่าอันนี้ยิ่งใหญ่ อันนี้อยู่ไหน คุหัฏฐกสูตร สูตรยาวดูอีกซ้ำแล้วซำ้อีก ตอนนี้เอามาเขียนขยายความให้เป็นภาษาที่รู้เรื่องซึ่งมันไม่ง่าย
ปัญญา 18 ปัญญา 13 มีอะไรอีกมาก แค่ปัญญาก็น่าอธิบายอย่างยิ่งทั้งสรุปทั้งขยายความมีองค์ประกอบ อาตมาว่าพวกเราเรียนมาแล้วมีของพอสมควรจะชัดเจนจะได้ ประโยชน์ อีกมาก มันมีอย่างนี้ก็เลยตายไม่ลง
_Boonyakorn Pattanasattaporn (บุญญากร พัฒนสัตถาพร) : อยากให้ท่านพ่อครูอธิบายเรื่องการละอาสวะครับ เคยอ่านหนังสือปัญหาสังคมที่แก้ไขไม่ได้เพราะการศึกษาพุทธศาสนาที่ผิดพลาด..ผมขอยกพระไตรปิฏกพอสังเขปขอรับ..กราบเท้าพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งครับ
สัพพาสวสังวรสูตร เป็นพระสูตรใน พระสุตตันตปิฎก หมวดมัชฌิมนิกาย หมวดย่อยมูลปัณณาสก์ และอยู่ในวรรคที่ชื่อ มูลปริยายวรรค สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระสูตรนี้ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
โดยทรงแสดงต่อภิกษุทั้งหลายว่าด้วยการสำรวมระวังอาสวะทุกชนิด โดยมี 7 หลักการใหญ่ คืออาสวะที่พึงละได้ด้วย 1. การเห็น 2. การสำรวมระวัง 3. การส้องเสพ 4. การอดทน 5. การงดเว้น 6. การบรรเทา และ 7. การอบรม
พ่อครูว่า…ท่านพุทธทาส ท่านก็ไม่รุนแรง หนังสือปัญหาสังคมที่แก้ไม่ได้เพราะการศึกษาพุทธศาสนาผิดพลาด ท่านเอาหนังสือเล่มนี้ไปจัดเอาไว้ในหมวดหนังสือที่เขาด่าเรา ท่านจัดหนังสือต่างๆเอาไว้เป็นหมวดหมู่ ซึ่งเราไม่ได้ด่า เราชี้แจงเหตุปัจจัยมีสิ่งวิเคราะห์วิจัยอะไรอย่างไร อย่างนี้เป็นต้น
เจโตปริยญาณ 16 มาตรวัดจิตสมาธินิมิต
_สมณะ ข้าฟ้า
วิมุตติสูตร พ.ต.ฎ ฉบับหลวง เล่ม 22 ข้อ 26
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งวิมุตติ 5 ประการนี้ ซึ่งเป็นเหตุให้จิตของภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวที่ยังไม่หลุดพ้น ย่อมหลุดพ้นอาสวะที่ยังไม่สิ้นย่อมถึงความสิ้นไป หรือเธอย่อมบรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะชั้นเยี่ยมที่ยังไม่ได้บรรลุ เหตุแห่งวิมุตติ 5 ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลายพระศาสดาหรือเพื่อนสพรหมจารีผู้อยู่ในฐานะครูบางรูป แสดงธรรมแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอย่อมเข้าใจอรรถเข้าใจธรรมในธรรมนั้นตามที่พระศาสดาหรือเพื่อนสพรหมจารี ผู้อยู่ในฐานะครูแสดงแก่เธอ เมื่อเธอเข้าใจอรรถ เข้าใจธรรมย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อเกิดปราโมทย์แล้วย่อมเกิดปีติ เมื่อใจเกิดปีติกายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบแล้ว ย่อมได้เสวยสุข เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เป็นเหตุแห่งวิมุตติข้อที่ 1
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมแสดงธรรมเท่าที่ได้สดับ ได้ศึกษาเล่าเรียนมาแก่ชนเหล่าอื่นโดยพิสดาร………….นี้เป็นเหตุแห่งวิมุติข้อที่ 2
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมทำการสาธยายธรรมเท่าที่ได้สดับ ได้ศึกษาเล่าเรียนมาโดยพิสดาร…………นี้เป็นเหตุแห่งวิมุติข้อที่ 3
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมตรึกตรองใคร่ครวญธรรมเท่าที่ได้สดับ ได้ศึกษาเล่าเรียนมาด้วยใจ……….นี้เป็นเหตุแห่งวิมุติข้อที่ 4
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง สมาธินิมิตอย่างใดอย่างหนึ่ง เธอเล่าเรียนมาด้วยดี ทำไว้ในใจด้วยดี ทรงไว้ด้วยดี แทงตลอดด้วยดี ด้วยปัญญา เธอย่อมเข้าใจอรรถ เข้าใจธรรมในธรรมนั้น ตามที่เธอเล่าเรียนสมาธินิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งมาด้วยดี ทำไว้ในใจด้วยดี ทรงไว้ด้วยดี แทงตลอดด้วยดี ด้วยปัญญา เมื่อเธอเข้าใจอรรถ เข้าใจธรรม ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อเกิดปราโมทย์แล้วย่อมเกิดปีติ เมื่อมีใจเกิดปีติ กายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบแล้วย่อมได้เสวยสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เป็นเหตุแห่งวิมุตติข้อที่ 5
ข้อ 1 ถึง 4 พอเข้าใจได้ แต่ข้อที่ 5 คือ สมาธินิมิตนี่ คือฝึกโดยนั่งหลับตาหรือเปล่าครับ
พ่อครูว่า…สมาธิยกตัวอย่างเช่น 2 อย่างคือสมาธินั่งหลับตาและสมาธิอย่างที่พวกเราปฏิบัติกันก็เป็น 2 อย่าง สมาธิอีกอย่างคือสมาธิอย่างที่ท่านติชนัทฮันห์ทำ ท่านก็นั่งหลับตาด้วยแต่ท่านก็ใช้วิธีลืมตาแล้วใช้วิธีทำจิตให้เบิกบานร่าเริง ท่านก็สุขใจมีปีติอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส กายก็สงบ จิตก็บรรลุธรรม
กายสงบ จิต บรรลุธรรม พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้เป็นลำดับๆ เดี๋ยวนี้ต้องอธิบายลึกกว่านี้ กายสงบ จิตเป็นสุข ก็ยังไม่พ้นทุกข์สิ สำหรับพวกเรารู้เลยไปแล้ว กายสงบ จิตก็เป็นสุข ก็บรรลุธรรมอธิบายง่ายๆสำหรับคนที่ทำเท่านี้ก่อน ผู้ที่ทำได้อย่างนี้ได้แล้วก็เป็นฐาน เข้าใจคำว่ากาย คำว่าจิต แล้วก็รู้ความสงบ แต่ยังอธิบายจิตว่า จิตยังอาศัย ยังเป็นสุขอยู่ ก็เป็นระดับหนึ่ง
เมื่ออธิบายลึกเข้าไปอีก กายมี 2 อย่าง สุข-ทุกข์ ก็เป็น 2 อย่าง ติดสุขอยู่ก็ยังไม่หมดทุกข์ ต้องดับทั้ง 2 อย่างดับเทวะจึงจะเป็นนิพพาน ดับให้ไม่เหลือตัวตนต้องดับทั้งสุขและทุกข์ จึงจะเป็นนิพพาน
พระพุทธเจ้าท่านอนุโลมปฏิโลมมาหลายขั้นตอนกว่าจะมาถึงขั้นที่พูดนี้ มาถึงวันนี้อาตมาอธิบายอย่างไม่ไว้หน้าอย่างสมบูรณ์แบบให้ชัดเจนพวกเราก็จะฟังได้ แม้ว่าพวกคุณทำไป บรรลุขั้นตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสอนุโลมไว้แค่นี้มันก็ไม่มีปัญหาหรอก คุณอยู่ไปอีก ฐานของโลกุตรธรรม มันรู้จักสุขรู้จักทุกข์รู้จักโลก มีภูมิธรรมขนาดนี้ ถ้าจะบอกว่าอนาคามีหรือ อรหัตตมรรค ก็อยู่ในระดับนั้นแล้ว แล้วความรู้มาถึงขั้นนี้คุณจะถอยหลังไปหรือ? ก็ไม่หรอกมีแต่สัมโพธิปรายนะ ไปสู่ที่สูงที่สุด คุณจะรู้สึกเองว่าเราจะไม่อยู่แค่ตรงนี้หรอกคุณก็จะหาทางเพิ่ม พวกเราไม่ติดอยู่แค่นี้ ก็เห็นก็รู้ ทำไมเขาเข้าใจทำไมเราไม่เข้าใจคุณก็จะต้องแน่นอนต้องพากเพียรไปให้ถึงที่สูงที่สุดๆๆๆให้ได้
สมาธินิมิต “นิมิต” แปลว่าเครื่องหมาย เครื่องหมายของความเป็นสมาธิมีอะไรก็แล้วแต่ จิตที่ตั้งมั่น
คำว่า “สมาธิ” เป็นคำกลางๆทั่วโลก “สมาธิ” ของพระพุทธเจ้านั้นเรียกว่า “สัมมาสมาธิ” เอาคำว่าสัมมามากำกับ เป็นเงื่อนไขว่าต้องเป็นสมาธิแบบพระพุทธเจ้าสัมมาสมาธิหมายถึงแบบนั้น ทีนี้ ในความเป็นสมาธิที่จริงของพระพุทธเจ้าต้องแนวของพระพุทธเจ้า จิตสะอาดบริสุทธิ์เป็น “อุเบกขา” ปริสุทธา, ปริโยทาตา, มุทุ, กัมมัญญา, ปภัสสรา
ในจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่มีคำว่าสมาธิ สมาธิเกิดจากผลของจรณะ 15 วิชชา 8 ปฏิบัติจนเกิดจิต อุเบกขา ในฌานทั้ง 4 เราก็ทำแล้วทำอีกเป็นอภิสังขาร 3 อันสุดท้ายคือ “อเนญชาภิสังขาร” เรียกว่าไม่หวั่นไหวตั้งมั่น อภิสังขาร 3, ปุญญาภิสังขาร, อปุญญาภิสังขาร ได้ผลสูงขึ้นเป็น ปริสุทธา, ปริโยทาตา, มุทุ, กัมมัญญา, ปภัสสรา มากยิ่งขึ้นๆ คุณธรรม 5 ของอุเบกขานี้จะยิ่งมีปฏิภาคทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแล้วก็สั่งสมลงเป็น จิต ตกผลึก ผนึกกันเข้า เป็นสมาธิที่เป็นความตั้งมั่นที่เรียกว่า สมาหิโต อยู่ในเจโตปริยญาณ ข้อคู่เกือบสุดท้าย วิมุติ อวิมุติ เป็นคู่สุดท้าย
จิตที่ดีแล้วได้แล้ว สอุตรังจิตตัง แต่จิตที่ดีกว่านี้ยังมีอีก จนกว่าจะอนุตรังจิตตัง จิตที่ดีที่สุดคือจิตอะไร?.. คือจิตที่เป็นสมาธิกับจิตวิมุติ ก็ทบทวนอีกสองคู่ทบทวนสมาธิคือ สมาหิโตกับอสมาหิโต และคู่สุดท้ายคือ วิมุติกับอวิมุติ ทบทวนคู่สุดท้ายจึงจะจบที่จริงเป็น อนุตตรจิตที่สมบูรณ์ สามเส้าสุดท้ายกับ สมาหิโตกับวิมุติเป็น “เจโตปริยญาณ” คือเครื่องวัดจิต
-
สราคจิต (จิตมีราคะ)
-
วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ)
-
สโทสจิต (จิตมีโทสะ)
-
วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ)
-
สโมหจิต (จิตมีโมหะ)
-
วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)
-
สังขิตฺตํจิตตํ (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่)
-
วิกขิตฺตํจิตตํ (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)
-
มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)
-
อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)
-
สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)
-
อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า)
-
สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)
-
อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)
-
วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น)
-
อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง)
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)
คนจะมีสิ่งอาศัย ก็อาศัยสิ่งที่สำคัญของชีวิตเท่านั้น สุดท้ายก็จะมาอยู่อย่างพวกเราเป็นสาธารณโภคีสุดยอด จบแล้วนะ เจโตปริยญาณ 16
นิมนต์พ่อครู พักจิบน้ำ
สมณะเดินดินว่า…เจโตปริยญาณ 16 เป็นตัวอธิบายอนุสาสนีปาฏิหาริย์ของศาสนาพุทธ (พ่อครูว่า…เป็นมาตรวัดจิตเจตสิกที่เป็นกิเลสไม่เป็นกิเลสการหลุดพ้นไม่หลุดพ้น) พวกเกจิมิจฉาทิฏฐิจะบอกว่า เจโตปริยญาณ 16 คือไปรู้ใจคนอื่น ซึ่งมันตรงกันข้ามกับจโตปริยญาณของศาสนาพุทธ
_กุญแจเงินทอง : เมื่อเราได้ “ด่า” เขา เราคิดว่าเราได้ “เสรีภาพ” หรือมีเสรีภาพ แต่ที่จริงเมื่อเราด่าเขานั่นแหละ เราสูญเสียเสรีภาพหมด คือกิเลสมันครอบงำ มันย่ำยี ไม่มีเสรีภาพเหลืออยู่ในจิตใจของเรา ทั้งที่ภายนอกเราด่าเขา
พ่อครูว่า…สำหรับพวกเราก็ไม่ยาก การเป็นภัยเป็นโทษกับคนอื่นเท่ากับเราเองสร้างวิบากเรายังมีสิ่งที่เป็นวิบาก เรายังไม่มีอโหสิกรรม ยังไม่มีเมตตา เราเองเราเป็นผู้ที่ทำคุณค่าประโยชน์กับคนอื่นเราเป็นเจ้าหนี้ เจ้าหนี้มีสิทธิ์เลิกกันได้ ลูกหนี้ไม่ต้องมาตอบแทนไม่ต้องมาใช้หนี้ก็ได้ แต่ลูกหนี้จะบอกว่า เจ้าหนี้วางปล่อยผมเถอะจะได้ไหม ไม่ได้ ไม่มีทางยกตัวอย่างง่ายๆ
_Jakkajanthip Sawanglaum (จักจั่นทิพย์ สว่างล้ำ) : ท่านสมณะท่านสิกขมาตุ ที่มีมรรคผล ท่านต้องเดินตามคำสอนพ่อท่าน แน่นอนค่ะ พ่อท่านอายุตั้ง 200 ปี (ต่อให้อีกค่ะ) สาธุๆๆๆ เราคงไม่อยู่เห็นถึงกาลนั้น
พ่อครูว่า… พวกคุณก็ต้องตามไปด้วยกันนะ อย่าปล่อยอาตมาไปคนเดียว
_เทพ คงถาวร : เรื่องอาชีพ การงานพื้นๆ ก็สามารถเชื่อมโยงถึงจิตวิญญาณได้อย่างเห็นผลชัดเจน..!/ ก็คงจะมีแต่สมณะชาวอโศกเท่านั้นกระมังที่เทศน์เรื่องเกี่ยวกับโลกุตระธรรมกันชัดๆ ง่ายๆ แต่ลึกซึ้งถึงจิตกันแท้ๆ ทีเดียว..!
พ่อครูว่า…แสดงว่าคุณเทพ คงถาวร มีดวงตามองชัดเจน ทุกอย่างโลกียะกับโลกุตตระจริงๆแล้วไม่แยกกัน ตื้นๆก่อนอื่นคือ คุณปฏิบัติธรรมตั้งแต่ต้นมาคุณก็ปฏิบัติธรรมกับโลกียทั้งนั้น เสร็จแล้ว คุณก็เรียนรู้กิเลสเรา อ๋อ กิเลสเรากับโลกียะ เราก็ฆ่ากิเลสเมื่อกิเลสหมดก็อยู่เหนือโลกียะ คุณก็ช่วยคนอื่นก็ต้องอยู่กับโลกียะอีก โลกียะ หยาบ กลาง ละเอียดอย่างเช่นอบายมุขเราก็อยู่กับเขาได้ ขนาดนี้อาตมายังไม่ได้ลงถึงอบายมุขคนที่อยู่ทางใกล้เคียงก็ช่วยกันก่อน อาตมาขอช่วยสูงๆขึ้นไป ไม่เช่นนั้นจะต่อไม่ครบมันเป็นระดับไป ไม่ได้หมายความว่า เราไปดูถูกให้คนเล็กทำไม่ใช่ แต่แบ่งงานกันทำตามเหมาะควร
_ตุ๊ก อัศวิน : ในอนาคตขอโอกาส..มีส่วนร่วม..ลง work shop ปลูกข้าว..บ้างได้ไหมคะ ขอขอบพระคุณล่วงหน้า..เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…มาเลย เอาเลย ยินดีมาก
_แดง ลานกราบ : ฟังธรรมวันนี้รู้สึกยินดีที่ได้ฟังค่ะ รู้สึกง่วงนอนแต่ก็พยายามฝืนมาฟังให้จบ จึงหายง่วงได้ค่ะ ธรรมะที่ได้คือ ได้รู้ว่าวิชารัฐศาสตร์คือการมาเรียนเรื่องการอยู่ร่วมกัน ได้รู้ว่า การที่ตามมาฟังพ่อครูอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะมีใจอยากฟังธรรมะและกำลังฝึกลด ละ เลิกนิสัยเก่าเรื่อยๆ กำลังเดินไปสู่โลกใหม่ค่ะ
_ตุ๊ก อัศวิน : ในห่วงโซ่แห่งทุกข์..ปฎิจจสมุปบาท..เปรียบดัง Loop.. หมุนวนเวียนจะขึ้นสูง หรือ ไหลลงต่ำ มีจุดอ่อนอยู่ที่ ‘เวทนา’ คือ ทำเวทนาจาก๒ เป็น๑ และเป็น๐ ใช่ไหมเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…ใช่ พวกเราเข้าใจ กัน
_6031: รับฟังทางกล่องอินโฟเชทผ่านเนตไวไฟเคลื่อนที่(ฮอตสปอต)ชัดเจน .. ที่ท้ายเหมือง จ.พังงาฟังได้ชัดเจนมากครับ..ไม่สะดุดเลยครับ(ไม่มีไวไฟบ้าน)
_วันชัย สหมโนธรรม : ญาติธรรมชาวอโศก.คงจะเหนื่อยจริงๆนะครับ.ตื่นแต่เช้าตี ๓ มาฟังธรรมบ้าง สายๆก็ทำงานหนัก.ไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน.ตกเย็นนั่งฟังธรรมอีก.บางคนก็เลยงีบหลับบ้าง.แต่ส่วนใหญ่แล้วตั้งใจฟังธรรมกันแบบปกติ.ขออนุโมทนาสาธุกับผู้ใฝ่ในธรรมทุกท่านครับ.
_เกษม สันทอง : วันนี้พี่น้องรื่นเริงบันเทิงธรรมดีเหลือเกิน โดยเฉพาะกัณฑ์ของท่านด่วนดี ..
_แดง ลานกราบ : ฟังท่านด่วนดีแล้ว คิดถึงตัวเองแล้วเป็นเหมือนท่านเลย เมื่อก่อนตีทิ้งคนอื่นหมด แต่ตอนนี้เข้าใจคนอื่นมากขึ้นค่ะ
พ่อครูว่า…
พ่อครูเป็นสยังอภิญญาที่สามารถตรวจสอบได้ตามพระไตรปิฎก
_Bebe Phone (บีบีโฟน).. 28 มกราคม 2564
ผมถึงกล้าฟันธง กล้าบอกกับชาวอโศก กล้าบอกชาวพุทธทั้งโลก กล้าบอกว่า โพธิรักษ์ไม่ใช่พระอรหันต์แบบบของพระพุทธเจ้า แต่เป็นอรหันต์ตรรก อรหันต์นึกเอาเองด้วยญาณ ด้วยปัญญา ข้อวัตรปฏิบัติของตนอย่างนั้นๆ เชื่ออย่างนั้นๆ เป็นผู้มีทิฏฐุปาทาน และอัตวาทุปาทานยังมีภวตัณหาอยู่ เป็นอรหันต์ไม่ได้ยังพูดจาด่าทอคนที่ท่านไม่ชอบ
สมณะโล้นทั้งหลายในอโศกน่าจะมีปัญญาคิดได้บ้าง(ผมอาจใช้ถ้อยคำแรงไปหน่อยก็ต้องกราบขออภัยแต่ใจไม่มีอคติเลย)พวกท่านจะหานิพพานแบบพระพุทธเจ้าไม่เจอ แต่พวกท่านยังจะเดินตามจ่าฝูงที่เดินนำทางผิดก็ตามใจท่าน ห้ามไม่ได้ครับ
ฌาน อภิญญา สมาบัติ วิโมกข์ วิมุต ท่านได้บรรลุแบบที่พระพุทธเจ้าแสดงแล้วหรือยัง
หลงในทิฏฐุปาทาน อัตวาทุปาทาน ของเจ้าสน.เทวทัต2 เมื่อไหร่ท่านจะเกิดปัญญาเองกันบ้าง ผมท้วงติงด้วยเมตตาต่อท่านทั้งหลาย ไม่ได้คิดอิจฉาริษยาต่อท่านทั้งหลายเลย อย่านำสาวกออกนอกคำสอนของพระศาสดาผิดเพี้ยนตีขลุมกลบคำสอนของพระพุทธเจ้า
ท่านสมณะโพธิรักษ์คงจะสำนึกได้ก่อนตาย แล้วกราบขอขมาอดโทษต่อพระพุทธเจ้าเสีย
ขอเตือนสติท่าน
พ่อครูว่า…ฌานอาตมาก็ได้ อภิญญาอาตมาได้ อาตมาเป็นสยังอภิญญา ฌาน อภิญญา สมาบัติ วิโมกข์ วิมุต อาตมาได้ครบบริบูรณ์ อาตมาได้ครบถูกต้องตามของพระพุทธเจ้า คุณไปสำรวจของคุณให้ดี อาตมาสงสารคุณมากไปตรวจให้ดี อย่างมงาย ตรวจตามตำราให้ดีเลยในพระไตรปิฎก 45 เล่ม อ่านทวนให้ได้ครบๆเลย อ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ได้เท่าไหร่ยิ่งดี
อ่านไปก็ชัดเจน ความเห็นของคุณกับความเห็นของอาตมาคนละอย่างกันแล้ว ก็เป็นนานาสังวาสกัน เป็นพุทธเหมือนกัน อย่าทิ้งอาตมานะ อาตมายินดีอธิบายให้คุณฟัง โดยที่อาตมาอธิบายไปทั้งหมดกำลังอธิบายให้คุณฟังทั้งนั้น ตั้งใจฟังไปตลอดให้ดีๆทบทวนให้ดีๆ คุณอัดไว้ฟังบ้างสิเพื่อทบทวน อย่าฟังแต่เดียว คุณเปิดจิตบ้าง ปรโตโฆษะบ้างแล้วฟัง
สัมมาทิฏฐิจะเกิดต้องมี 1.ปรโตโฆษะ 2.โยนิโสมนสิการ ขอฝากคุณไว้ คุณทำความเข้าใจกับคำว่า “โยนิโสมนสิการ” ให้ดีทั้งพยัญชนะและสภาวะ ท่านเอาโยนิโสมนสิการไปไว้ในสุริยเปยยาลสูตร ปัญญาวุฒิสูตรเป็นต้น อาหารของอวิชชาก็มี คำว่าโยนิโสมนสิการสำคัญมาก
_สู่แดนธรรม…คุณ bebe phone เขามีทิฏฐิตรงกันข้ามกับพ่อท่านสอน เช่น ทำคนเดียวเป็นหลายคน เขาก็ไปเอาเรื่องเสกใบมะขาม…
พ่อครูว่า…ไม่มีปัญหาก็เข้าใจเขาก็เข้าใจว่ามันต้องต่างกันสรุปได้ว่าคุณ bebe phone กับเรา ความเห็นไม่ตรงกันเข้าใจกันคนละอย่างพระพุทธเจ้าก็จบตรงนี้เป็นนานาสังวาสเป็นวินัย ข้อที่ 2 สำนักนั้น แน่นอนเพราะมันต่างกันชัด ธรรมะยิ่งใหญ่ ให้อิสระเสรีภาพกับทุกคน คุณก็มีอิสระเสรีภาพจะคิดจะศึกษาไม่มีบังคับกันต่างคนต่างศึกษา ทีนี้จะตัดสินอย่างไร
การตัดสิน จะมีสำนักสองสำนัก ผู้ใดสนใจสำนักไหนก็ไปอยู่กับสำนักนั้น แต่อย่าทิ้งอีกสำนัก ต้องฟังความสองข้างเสมอ คุณฟังไปดีๆด้วยใจ ไม่มีอคติ ฟังให้ดี ต้องฟังสองข้างเสมอ ฟังด้วยดี แล้วเอาไปปฏิบัติ แล้วก็ตรวจสอบของพระพุทธเจ้าเสมอ แล้วคุณก็จะได้เข้าใจได้เห็นว่าอันไหนควรเป็นอย่างไร
สุดท้ายนานาสังวาสพระพุทธเจ้าบอกว่าต่างคนต่างเห็นต่างคนต่างทำ เมื่อทำแล้ว สำหรับคุณ อาตมาก็ว่า อย่าทิ้งอาตมา ฟังไปเรื่อยๆและตรวจสอบกับของพระพุทธเจ้า คือ อาตมายืนยันว่าอาตมาถูกตามของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่มีตัวตนของพระพุทธเจ้าแล้วก็เอาตรวจสอบกับพระไตรปิฎกพระสูตรนั้นข้อนี้ อาตมานำมาอธิบายอยู่บ่อยๆคุณก็พิจารณาตามที่อาตมาอธิบายตามพระสูตรต่างๆ อาตมาอธิบายผิดอย่างไรถูกอย่างไรนี่แหละคุณแสดงมาถ้าคุณเห็นว่าอาตมาอธิบายผิดในพระสูตรใดๆที่อธิบายไปโปรดเขียนแสดงความเห็นของคนมาเลยจะได้เห็นเปรียบเทียบกัน ว่าอันใด มันควรจะเป็นอย่างไรกรุณาเลย
ถ้าคุณเอาแต่มองเพ่งอย่างเดียว ไม่พัฒนาเลยคุณก็จะอยู่กับหมู่เก่าความเห็นเก่าของคุณคุณก็จะจมอยู่อย่างนั้นน่าสงสาร อาตมาพูดอย่างจริงใจและสงสารคุณจริงๆ
อาตมาอธิบายให้คุณฟังคงจะเข้าใจยากว่าสงสารหมายถึง สงสารคือ คุณยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารหมุนอยู่ในวัฏสงสารก็เห็นจมอยู่อย่างนั้น ไม่งอกเงยไม่ออกมาไม่หลุดพ้นออกมา นี่คือความหมายง่ายๆของสงสาร มองเห็นสงสารที่คุณยังวนเวียนอยู่ในนั้น
อาตมานึกดีตรงที่ว่า คุณมาอยู่ในกะลาครอบไม่เห็นผลอะไรกับเขาเลย เห็นคุณว่ายอยู่ในกะลาที่มีน้ำ วนอยู่ในนั้น เห็นอย่างนั้นจริงๆก็น่าสงสารเมื่อไหร่จะออกจากกะลานี้ได้ คุณเปิดใจฟังอาตมานี้ดี ตรงที่คุณยังไม่อยู่แต่ในกะลาครอบไม่เห็นฟ้าเห็นฝนเลย หงายกะลาออกมา คุณก็ว่ายวนในกะลา อาตมาเห็นแล้วก็สงสารคุณวนอยู่ตรงนั้นออกไม่ได้ คุณออกไม่ได้นี่แหละน่าสงสาร ออกไม่ได้จากที่เก่า
พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบอันนี้ไว้กับฟองไข่ คนที่ออกมาจากฟองไข่ไม่ได้ ไม่รู้ยิ่งกว่า กบว่ายในกะลาหงาย ไก่ที่ยังไม่ได้เจาะกระเปาะไข่ ก็จะเน่าไป ดีไม่ดีเป็นไข่หินแข็งอยู่อย่างนั้นไม่ได้ออกมา เพราะฉะนั้นพยายามฟักให้ออกมาให้ได้ เจาะกระเปาะไข่ออกมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นคุณจะจมอยู่ในฟองไข่
ถ้าออกมาตอนนี้คุณไม่ได้อยู่ในฟองใครแล้ว แต่คุณยังเป็นกบในกะลาน้ำว่ายวนในนั้น เห็นแสงสว่างมาถึงบ้าง อาตมายกอุทาหรณ์ให้คุณฟัง ขออภัยนี้เป็นการแสดงธรรมไม่ได้ด่า ไม่ได้ว่าคุณ ไม่ได้ข่มคุณ แต่เห็นว่าคุณเข้าใจอย่างนั้นน่าสงสาร
_สู่แดนธรรม…แม้รูปธรรมง่ายๆ เขาก็เข้าใจผิดเขากล่าวหาว่าพ่อท่านหาเงินได้เป็นร้อยล้านพันล้าน เอาศาสนามาหากิน ซึ่งพวกเราเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาเราจะรู้ว่าคนนั้นรู้จริงหรือไม่จริง
พ่อครูว่า…ข้อมูลของคุณได้ไปผิดหมด ที่ว่าอาตมาเอาเงินจากศาสนามาหากินเอามาใช้ อาตมาอยู่กับพวกนุ่งเขียมห่มเขียมกินเขียมใช้เขียม ไม่ได้เป็นคนอย่างพวกคุณที่คุณเห็น ให้คุณเข้ามา ยินดีต้อนรับเข้ามาใกล้ๆ อาตมาสนใจคนใส่ใจในศาสนาอยู่ในธรรมสนใจมา ศึกษา
อย่างคุณนะ อย่างที่คุณรู้อย่างที่คุณได้อย่างที่คุณเป็น อาตมารู้แล้วอาตมาได้อาตมาเป็นมาหมดแล้ว แล้วเคยเข้าใจอย่างคุณมาหมดแล้ว ถึงรู้ว่าความเข้าใจผิดเป็นอย่างไร เป็นการเข้าใจผิด เป็นความเข้าใจความผิดเป็นความรู้ ก็เลยชื่อว่าไม่รู้ เรียกว่าอวิชชา ซึ่งแปลว่าไม่รู้เรื่อง อีกคำหนึ่งเป็นคำใช้แทนกันได้ก็คือแปลว่าโง่ ไม่ฉลาดพอ ยังไม่เข้าใจ คุณยังอยู่ในพวกนี้อยู่
ขออภัยที่ใช้พยัญชนะสื่อให้รู้สภาวะอาตมาพูด เรียกว่าเมตตาแล้ว พูดอย่างเห็นใจพูดอย่างไม่ได้กดขี่กดข่มหรือดูถูกดูแคลนเลยจริงๆ คุณจะเข้าใจที่อาตมาพูดด้วยความจริงใจหรือไม่อาตมาไม่รู้แต่อาตมาพูดความจริง ไม่มีอะไรเป็นเรื่องเอาอกเอาใจ พูดเล่นลิ้นไม่มี มีแต่ความจริงใจล้วน 100% ตั้งใจฟังดีๆอาตมาเข้าใจลักษณะที่คุณเป็น สิ่งที่อาตมาไม่ได้มีลักษณะที่คุณเป็น เพราะคุณแรง คุณจัดจ้านที่ยึดมั่นถือมั่น แล้วเพ่งโทษจัด อาตมาเลิกที่จะเป็นคนเช่นนั้นมานานแล้ว
คนที่เพ่งโทษนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ที่เพ่งโทษผู้อื่นอกุศลธรรมเจริญยิ่ง คุณมองให้เห็นคุณบ้างสิอย่ามองแต่โทษ คุณมองสิ่งที่ดีๆของอาตมาบ้าง ตรวจสอบในพระไตรปิฎก ถ้าหากตรวจสอบแล้วอาตมาพูดไม่ตรงอย่างนี้ ขยายความนี้เข้าใจได้คุณจะเริ่มอย่างนี้ อาตมาอธิบายธรรมะพระพุทธเจ้าเอาเป็นพยัญชนะ สภาวะ พยายามขยายมากจนกระทั่งเขาหาว่า อาตมาเป็นนักจำเก่งรู้มากซึ่งอาตมาไม่ใช่นักจำเลย อาตมาทุกวันนี้พยายามจำของใหม่ที่จะร่วมสมัยเก่าเป็นภาษาใหม่ๆ จำไม่ค่อยได้
คุณอย่างเพิ่งโกรธเกลียดกัน คบกันต่อไป ฟังธรรมอาตมาต่อไป จะส่งข้อความมายาวหรือสั้นก็ส่งมาเถอะ แม้จะอยู่ในลักษณะที่คุณเองจะต้องเพ่งโทษด่าว่าตำหนิ แย้ง ก็ทำเถอะ แล้วอาตมาจะนำข้อความของคุณต่างๆ เอามาขยายความเปรียบเทียบกันว่าอาตมาเข้าใจอย่างนี้คุณเข้าใจอย่างนี้นะ คุณก็ฟังบ้างสิ มีเหตุมีผลมีหลักมีฐานอะไรดูดีกว่าก็จะได้ฟังจะได้พัฒนาบ้างไม่อย่างนั้นคุณจะไม่ได้พัฒนา จะหลงปักมั่น จมอยู่ในความหลง ในคุหัฏฐกสูตร หยั่งลงจมลงในความหลง อย่างนี้ไม่ไหวมันไม่งอกไม่เงย
อาตมาจะนำไปเขียนเป็นหนังสืออีกเล่ม คุหัฏฐกสูตร ละเอียดลออดีมาก ยาว ตั้งแต่ข้อ 30 ถึง 69
ชาติ 5 ของอาตมา ที่อาตมาคลี่ขยาย ไม่ได้ไปบัญญัติใหม่ ขยายให้รู้ว่ามีอะไรบ้าง
-
ความเกิดที่มีร่างกายเป็นคนเป็นสัตว์ ถ้าหากตายก็หมดไปชาตินึง ก็สลายเป็นดินน้ำไฟลม
-
การเกิดทางใจโอปปาติกโยนิ ถ้าความเป็นสัตว์ตายจากใจ สัตตาวาส 9 คุณทำให้จิตของคุณพ้นจากความเป็นสัตว์ สัตว์ตายไปก็เกิดเป็นผู้เจริญเป็นอรหันต์จบเลย เกิดเป็น อุปัติเทพ ก็ต้องขยายความ พระพรหมก็ต้องขยายความ ผู้ที่จะตายจากใจหนึ่งกิเลสตาย กิเลสก็ คือใจ คืออกุศลจิตหรือบาปตายไปจากใจจิตคุณก็สะอาดเป็นผู้เจริญไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเป็นพระอรหันต์ สามารถที่จะมีภูมิธรรม สามารถที่จะตายอีก ครั้งสุดท้ายเรียกว่าตายอย่างปรินิพพานเป็นปริโยสาน การตายอย่างนั้นก็คือแยกจิตตัวเองได้ทำให้จิตตัวเองเป็นธาตุดินน้ำไฟลมไปเลย ตายครั้งสุดท้ายที่ตายแยกธาตุจิตให้เป็นอุตุ เป็นดินน้ำไฟลมไปเลยแม้แต่ พีชะ ก็ไม่เป็น เป็นน้ำไปลมเลยศูนย์เลยอัตภาพของคุณหมดไปจากวัฏสงสาร หมดไปจาก กาละ อันนี้ต้องทำการเกิดที่ใจโอปปาติกโยนิ ให้พ้นจากความเป็นโอปปาติกะสัตว์ให้หมดเลย
-
การเกิดแบบลิงลมอมข้าวพอง มีชีวิตหลงมัวเมาไปกับโลกีย์ชั่วคราว ท่านเรียกว่าชั่วคราว ไม่ได้เป็นไปตลอดกาล พระพุทธเจ้าก็เป็น อย่างเช่นพระพุทธเจ้าถูกครอบงำทางโลกอยู่ในวัง ก็ถูกพระราชบิดาครอบงำไม่เห็นไม่ให้รู้เลยว่าในมนุษยชาติมีคนแก่คนเจ็บคนตายมีนักบวช ส่วนการเกิดไม่ต้องพูด เพราะท่านก็เคยเห็นการเกิด ก็เห็นการเกิด ตัวท่านก็เกิดด้วยตนเองมาแล้ว มาวันหนึ่ง หวยออกนอกวันนี้ไปเที่ยวกับนายฉันนะ แล้วท่านก็รู้ว่าการเกิดมาเป็นทุกข์ อันนี้จะมีปฏิภาณในตัวเองนอกนั้นมันยังไม่ขึ้นมา ส่วนการแก่การเจ็บการตายถูกครอบงำได้สำเร็จ จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง ออกไปเที่ยวนอกวัง ไปกับนายฉันนะ ก็พาไปเจอคนแก่ อะไรน่ะ ทำไมงอกแงกๆ อยู่ในวังมีแต่คนสวยงามแข็งแรง พระราชบิดาเก็บหมดไม่เห็นคนแก่คนเฒ่า มีแต่คนหนุ่มสาวคัดสวยงามมากทั้งนั้น ไม่มีเจ็บป่วยมีแต่สุขสบายใจทุกอย่าง ครอบงำกันหนักมากเลย จนวันนึงเห็นคนเจ็บป่วย เห็นแล้วก็สะท้อนใจท่านเป็นพระพุทธเจ้าเท่านี้ก็สะดุดแล้ว เห็นคน คนตาย เห็นคนตายเป็นผู้หญิง ตาย ต้องตายด้วยเหรอ อย่างอาตมาเห็นคนตายเป็นเทวทูตก็เกิดความกลัวตาย เด็กพวกเรามีน้องบัว หรือน้องเพ็ญที่อยู่ภูผาฟ้าน้ำก็กลัวตาย
-
การเกิดขึ้นเป็นประเทศชาติชาติรัฐ
-
การเกิดแบบตรรกะความยึดถือทิฏฐิยึดถืออัตตา