640127_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ชาติ 5 แยกวิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/14bS769RQ5H25Wa49HI9UztpfCCwiyhiTgaMeLobHm-4/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1D4aZacaQPQNSA2T7FLJK8NNHtGoFPuFf/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/120306856629095
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 27 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก สองวันนี้โควิดในประเทศไทยก็ติดเชื้อวันละเกือบ1,000 คน ทั่วโลกมีคนตกงาน 225 ล้านตำแหน่ง
ชาวอโศกปฏิบัติธรรมตามคำสอนพ่อครู ก็ปฏิบัติธรรม ก็ทำให้เป็นอยู่ผาสุก
ดินน้ำไฟลมหาที่สุดได้ตรงไหน
พ่อครูว่า…พ่อครูยกหอมหัวใหญ่มาชื่นชม…คนก็อาจเพ่งโทษ
คุณจงสำคัญให้แม่นมั่นว่าปัจจุบันธรรมนั้นมีความต่างจากอดีต
ปัจจุบันนั้นมี จิ๊ดนึง จากนั้นก็เป็นอดีตแล้ว ปัจจุบันมันละเอียด อาตมาสื่อให้เห็น
อาตมาไม่ใช่ตัวดื้อด้านดึงดัน จนกระทั่งไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเลยจะพัฒนาขึ้นเปลี่ยนแปลงในทางสัมมาทิฏฐิมีปรโตโฆษะ อาตมาไม่ใช่คนเช่นนั้นแต่อาตมาต่างหากเป็นคนที่จะเตือนย้ำซ้ำซากสำหรับคนที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่อย่างนั้น อาตมาก็พูดไปไม่รู้กี่ทีกี่ครั้งกี่คราวและว่าที่คุณยึดอยู่นั้น คุณมั่นใจว่าเป็น อรหัตตผลแล้ว เป็นธรรมะที่บรรลุแล้วจริง
1 คือคนที่เขายังไม่แน่ใจยังไม่รู้ชัดเจนว่าอรหันต์คืออะไรก็ตอบไม่ได้
2 ก็จะมีคนที่หลงผิดมิจฉาทิฏฐิ ไปยึดอรหันต์เก๊ที่ตัวเองได้สภาวะเก๊ที่ว่าเป็นอรหันต์แล้วก็ยึดถือด้วยอวิชชาก็หลงหัวปักหัวปำ คนคนนี้จะอีกนานกว่า อาตมาไม่หวังเท่าไหร่หรอกคนที่ยึดถืออย่างนี้ ยึดหัวปักหัวปำว่าที่ฉันได้นี้เป็นจริงทั้งที่เป็นของผิดเพราะคนยึดถือด้วยอวิชชาด้วยความโง่ คุณไม่คิดจะเปลี่ยนอวิชชาของคุณเลย พูดเท่าไหร่คุณไม่กระเทือนเลย อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบวิญญาณและนามรูป
วิญญาณและนามรูปท่านขยายความว่าเหมือนกับโจรปล้นศาสนาที่ไม่เรียนรู้นามรูปไม่รู้จักนามรูป ตัวสำคัญที่จะต้องแยกความเป็น 2 เพื่อที่จะมาทำงานกับตัววิญญาณที่เป็นตัวกลางเป็นองค์รวมของรูปเวทนาสัญญาสังขารอีก 4 เจตสิก
วิญญาณขันธ์ หรือ วิญญาณธาตุเป็นองค์ประธานของ 4 อันนี้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร เลยต้องมาแยกกันอีก
คุณไม่สามารถตีแตก คุณไม่ได้แยกก็จึงยึดมั่นถือมั่นอยู่นั่นแหละ แม้แต่ความเป็น 2 คุณก็ไม่ตีแตก คุณเอาแต่ 1 และ 1 1 1 ฉันเป็นหนึ่งตลอดกาลนานทั้งที่มันไม่เป็น 1 มันเป็น 2 อยู่แล้วก็มี 3 4 5 6 7 8 9 10 ไปเรื่อยๆคุณก็ยังไม่ยอมเหมือนพวกเทวนิยม 1 อยู่แตะไม่ได้เลย ตีไม่แตกอยู่อย่างนี้นิรันดร ยึดว่าจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ของพระเจ้านั้นเที่ยงนิรันดร
อาตมาก็พูดให้คุณสะดุดแล้วเปลี่ยนสิ อาตมาให้ดูทฤษฎีพระพุทธเจ้าที่อาตมาพาทำ เปลี่ยนมาทำดู คุณจะได้เห็น 2 อย่าง คุณได้อย่างนั้นอาตมาไม่สงสัยทำอย่างเที่ยงๆอย่างนั้นอาตมาก็เคยทำมาเคยหลงมา แล้ว ก็มาเปลี่ยนแปลงจนมาเป็นอย่างนี้ อาตมาเลยได้ทั้ง 2 อย่างเป็นเทวะ แต่คุณหลงทิศทางเดียวเป็น โลกียะที่เป็น อัญญะ เป็นอันอื่นที่ต่างจากที่คุณมี เป็นอัญญธาตุ
อัญญธาตุ เป็นของของอื่นของใหม่ การอธิบายโลกนี้โลกอื่น
โลกนี้โลกอื่นในสัมมาทิฏฐิ 10 จะมีตัวที่ 4 กรรม ตัวที่ 5 โลกนี้ ตัวที่ 6 โลกหน้า หรือโลกอื่นโลกใหม่ ที่ต่างจากโลกนี้ๆๆ ไม่เปลี่ยนเป็น 2 เลยไม่เปลี่ยนเป็นอื่น เพราะฉะนั้นคนที่จะมาอธิบายขยายความในโลกนี้กับโลกอื่น
มันมีโลกหน้าโลกใหม่ที่แตกต่าง จนกระทั่งถึงขั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิง เพราะคุณไปมีอย่างหาที่สุดไม่ได้ แต่อันนี้ไม่มี ไม่มี และ 0 สุดเลย และรู้ถึงความมีอย่างไม่มีที่สุดด้วย แต่ทางโน้นรู้อย่างเดียวและไม่รู้ที่สุดของตัวเองด้วย เหมือนอย่าง โลหิตตัส ไปหาที่สุดของดินน้ำลมไฟอยู่ที่ไหน ไปถามพระพรหมที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นเจ้าของความจริงความรู้ที่ใหญ่ที่สุด พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าตัวเองก็ใหญ่เหมือนกันแต่ไม่ได้ประกาศแบบพระพรหม พระพรหมประกาศไปคนก็หลงเชื่อ ไปถามว่าดินน้ำลมไฟจะมีที่สุดที่ไหน พระพรหมก็อั้นตู้ไม่รู้ เพราะไม่รู้ที่สุดแห่งดินน้ำไฟลม แล้วถามต่อหน้าบริวาร ถามว่าดินน้ำลมไฟมีที่สุดอยู่ที่ไหน พระพรหมก็บอกว่าข้านี่แหละใหญ่ อยู่ 3 ที พระพหรมก็ไล่กลับให้ไปถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเธอไม่ควรถามเช่นนั้น ควรถามว่าดินน้ำไฟลมไม่หยั่งลงที่ไหนจึงจะสำเร็จ มีที่สุดอยู่ที่ไหนนั้นไม่มีใครรู้หรอก
ถ้ามหาจักรวาลนี้หายไปหมดเลยนั่นแหละดินน้ำลมไฟถึงจะหายไปแล้วใครจะทำให้ดินน้ำลมไฟมันหาย..พระเจ้าหรือ พระพุทธเจ้าก็เลยสาธยายให้ฟังว่าไม่หยั่งลงคืออะไร ไม่มีที่สุดคืออะไร ไม่มีที่สุดก็คือไม่รู้ที่สุดแต่หยั่งลงก็คือไม่ให้หยั่งลงเป็น โอกกันติ
เรียนรู้ธาตุดินน้ำไฟลมธาตุพีช จิต แล้วเรียนรู้ว่ามันปรุงแต่งกันอยู่ขนาดไหน มีพลังงานร่วมปรุงแต่ง เสร็จแล้วเร็วก็เรียนรู้แค่ให้มันไม่หยั่งลง หมดความเป็นชาติ ให้หมดความเป็นชีวิตินทรีย์ก็หมดชาติ
ไม่ให้เกิดอย่างเป็นจิตนิยาม ให้มันเกิดเป็นอย่างลดลงมาตามลำดับเป็นพีชนิยาม ซึ่งมันหมดสุขหมดทุกข์ ไม่มีพยาบาทไม่มีรักไม่มีชังไม่ก่อวิบากอีกก็ยังไม่หมด ชีวะ ดับชีวิตินทรีย์ให้ได้ แยกเป็นอุตุธาตุดินน้ำไฟลม ไม่ให้ดินน้ำไฟลมหยั่งลงในที่ๆเป็นพีชะหรือจิตนิยาม
ดินน้ำไฟลมหยั่งลงในพีชนิยามจิตนิยาม ที่เราไม่ต้องการให้หยั่งลง เรารู้เธอแล้วมาร เราพังเรือนยอดของมารแล้ว ไม่เหลือแล้ว อยู่ไม่ได้ จิตก็หายไป พีชะก็หายไป สุดท้ายก็มีแต่อุตุ ดินน้ำไฟลม ทำได้แค่นี้หมดแม้แต่ความเป็น ชีวะ ระดับพืช หมดแม้แต่ความเป็นชีวะระดับจิตหมดไปเลยไม่มีชีวะ เพราะในมหาจักรวาลนี้ดินน้ำไฟลมเป็นพื้น แล้วพัฒนาเป็นพืชเป็นจิต แล้วเป็นจิตอวิชชามาก่อน รักกันฆ่ากัน เป็นนิยายนับไม่ถ้วน ยังจะมีคนเขียนนิยายเขียนเองคิดเองด้วยความไม่เข้าใจจริง เขียนไปปอีกกี่ร้อยเรื่อง
อาตมาเกิดมาก็อยากเป็นนักประพันธ์เขียนให้มันพิสดารแปลกๆกันเยอะ แต่เขียนแล้วมันเป็นเชิงคุณธรรม เขียนแล้วคนไม่เข้าใจ มันเป็นโลกุตรธรรม มันเป็นนิยายโลกุตรธรรม คนก็เข้าใจไม่ได้ส่งไปที่ไหนเขาก็ไม่ค่อยลง ลงบ้างก็ไม่มากแต่เขียนจังเลย ดีไม่ดีส่งประกวดแล้วมันจะได้รางวัลอะไรเพราะกรรมการเขาไม่มีปัญญาจะรู้โลกุตรธรรม มันก็สมน้ำหน้าอยากได้รางวัลจะไปได้อย่างไร เขียนไปให้เขาไม่รู้เรื่องเพราะว่าไม่ได้เขียนอย่างโลกๆ เขียนอย่างไรเขียนอะไรเขาก็ไม่รู้เรื่อง
ชาติ 5 ของพระพุทธเจ้า
ในคำว่า “ชาติ” ทวนอีก
“ชาติ” พระพุทธเจ้าตรัสไว้ 5
ชาติ, สัญชาติ, โอกกันติ, นิพพัตติ, อภินิพพัตติ
โอกกันตะ ในขณะปัจจุบันทำจนจบแล้วก็เรียกว่า “โอคทา” เป็นจิตวิมุติสำเร็จ ก็หยั่งลง สั่งสมเป็นอมตะ จากวิมุติแล้วเป็นอมตะในมูลสูตร(ข้อ 9 ) ปรินิพพานเป็นปริโยสานเป็นข้อ 10
ไปสู่ ชาติ, สัญชาติ, โอกกันติ, นิพพัตติ, อภินิพพัตติ
“ชาติ” คือ การเกิดทั่วไปรวมกันเกือบทุกอย่าง ชาติปิ การเกิดทุกอย่าง เมื่อยังมีการเกิดอยู่เมื่อใดก็มีทุกข์เมื่อนั้น แม้แต่การเกิดของพระอรหันต์ การเกิดของกุศลสิ่งดีงามมันก็ยังเป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ที่ยังจำนนเพราะยังไม่แตกสลายเป็นปรินิพพานปริโยสาน ยังไม่แตกธาตุที่เป็นธาตุไม่มีวิญญาณ จบธาตุรู้กลายเป็นดินน้ำไฟลม ถ้าตราบใดยังมีชีวะเป็นจิตนิยามอยู่ นั่นคือชาติปิทุกขา
“สัญชาติ” คือมีตัวสั่งสม “สัญญะ” ลง เป็นคลังของความจำ เรียกว่าสัญชาติ
“สัญชาตญาณ” คือ สัตว์โลกเกิดมาจะมีสัญชาตญาณของตัวเองเอามาให้เป็นไปตามชาติแล้วก็มีอวิชชา ไม่รู้หรอกเพราะทำตามสัญชาตญาณ
สัญชาติอย่างโหดก็ทำอย่างโหด สัญชาติอย่างเมตตาก็ทำอย่างเมตตา ที่ตัวเองมีมา จะโหดหรือเมตตาก็ศึกษา เลิกอย่างโหด ทำอย่างเมตตาให้ได้ หากจะอยู่กับโลกเขาต่อไปเราก็ทำจิตเป็นพระพรหม มีเมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา เป็นพรหม 4 หน้า
พรหมวิหาร 4 (ที่อยู่ของจิตพระเจ้า หรือ.. อัปปมัญญา 4)
-
เมตตา (ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข)
-
กรุณา (ลงมือสร้าง-ช่วยให้เขาพ้นทุกข์)
-
มุทิตา (ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี-พ้นทุกข์)
-
อุเบกขา (เป็นฐานอาศัย วางใจเป็นกลาง ไม่ติดยึดว่าเป็นความดีของเรา หรือผลสำเร็จนั้นเกิดจากเรา) (พตปฎ. เล่ม 35 ข้อ 741)
เมตตาเป็นอย่างไร กรุณาเป็นอย่างไร มุทิตาเป็นอย่างไร อุเบกขาเป็นอย่างไรพยัญชนะเรานั้นสภาวะเป็นอย่างไร ของอาการจิตเราก็เรียนรู้พลังงานอาการจิตต่างๆ จนทำถูกต้อง ทำเป็นทำได้ เราก็ทำตามภูมิรู้ไปตามลำดับ
สัญชาติก็คือ ชาติที่ยังติดมาตามคลังความจำแล้วก็เอามาใช้ จนกระทั่งเราสามารถเรียนรู้คุมสัญชาติได้ รู้จักสัญชาติเก่าที่มีอยู่ในตัวคลังความจำของเรา แล้วเราก็มาปรับปรุงชาติ ปรับปรุงการเกิดให้มาเป็นความเกิดเฉพาะที่มีคุณค่าประโยชน์ ที่ไม่ดีนั้นให้มันตายสูญตายอย่างสนิทตายแบบไม่เกิดอีกเลย ส่วนความดีนั้นเราอาศัย เราต้องอาศัยผู้อื่นให้ ใครก็ต้องอาศัยสิ่งที่ดีที่เป็นกุศลก็รักษาไว้ปล่อยไว้ แม้จะรักษาไว้ปล่อยไว้มันก็ไม่เที่ยงหรอก แต่เราสามารถควบคุมได้เพราะเรามีพลังงานจิตพลังงานวิญญาณทำกับสิ่งเหล่านี้ จนเป็นผู้ที่อยู่ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้สูงสุด ควบคุมจิตได้ จัดการได้เป็นประธานของตัวเอง
ผู้สามารถเรียนรู้จิตที่มันเกิดจากกรรม สั่งสมสะสมลง รวมลง สโมสรณา หรือโอกกันติก็จะรวมลงหยั่งลงในอัตภาพของเรา โอกกันติ จึงเป็นตัวกลาง คนที่อวิชชาก็ไม่เรียนรู้ควบคุม ที่เป็นชาติอย่างดีบ้างชั่วบ้าง ชั่วเยอะกว่าดีมันก็หยั่งลงด้วยคุณไม่รู้เรื่องมีอวิชชา ไม่รู้ดีไม่รู้ชั่วแยกแยกชั่วไม่ได้ คุณก็ทำเละเทะเลยส่วนมากก็เป็นความชั่วมันก็ สั่งสมเป็นของตน กรรมที่ทำเป็นของของตน คุณต้องเป็นทายาทของกรรมของตนเอง และกรรมของตนเองนี่แหละ กัมมโยนิ จะพาให้เป็นไปต่างๆนานา แล้วสั่งสมเป็นเผ่าพันธุ์ เป็นตระกูล ตระกูลชั่วตระกูลโหดด้วย เห็นแต่ละคนแสดงบทบาทตามจริงของเขาทั้งนั้นเลย จิตของเขาเป็น เป็นไปตามที่วิบากและเป็นไปตามจิตจริงเขาแสดงออกด้วย ไม่ว่าจะเป็น โดนัล ทรัมป์ หรือเป็นทักษิณ ยิ่งลักษณ์ ใครต่อใครหลายคนยังไม่อยากกลับชื่อไปหมดยังไม่ตายก็มี ก็เป็นจริงตามจริง ไม่ได้ทำเกินกว่าที่ตัวเองมีที่ตัวเองเป็นหลัก
เรามาเรียนรู้สภาวะที่สั่งสมลงได้แล้วแยกไม่เอา สิ่งที่เลวสิ่งที่ชั่วไม่ไปก่อกิริยาบาปกรรมไม่ไปก่อกรรมขึ้นมาเมื่อไม่กลัวมันก็ไม่มีหยั่งลงในสิ่งชั่ว มีแต่หยั่งลงในสิ่งที่ดี หยั่งลงแต่สิ่งที่ไม่มีกิเลสมาร่วมเป็นโลกุตระ ดีชั่วนั้นยังเป็นสมมติสัจจะ ส่วนสุขทุกข์ตัวหลักนี้ใหญ่มากใหญ่กว่าดีชั่วเยอะ เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก
คนที่หลงในความสุขนิรันดร สุขเที่ยงสุขเทวนิยมก็ไปอยู่กับพวกเทวนิยมไม่รู้จักสุข ซึ่งเป็นสิ่งที่แยกไม่ออกแต่คุณนั่นแหละแยกไม่ออก ถ้าเรียนรู้แล้วจะแยกออกสุขกับทุกข์อาการมันเป็นยังไง รู้มันแยกไม่ได้หรอกแต่แยกรู้ได้รู้อาการมันได้ อาการเหมือนกระดาษแผ่นเดียวหน้าหนึ่งมันสุข หน้าหนึ่งมันทุกข์ มันเป็นจอมมายา มันหลอกคุณเอาแต่ด้านหน้าสุขมาหลอกคุณแล้วก็บอกว่าไม่เอาความสุขอย่างไรจะได้บำรุงอัตตา ไม่ว่าจะรักหรือชังสั่งให้สมอัตตาได้ก็เป็นสุขสม รักก็เป็นสุขสม ความชังก็เป็นความสุข อาฆาตพยาบาทแล้วฆ่าเขาได้ก็เป็นสุข รักของเขาและเอามาเป็นของเราอย่าให้แตกแยกเลยนะด้วยความหลง แตกแยกจากฉันไปไม่ได้นะคุณก็ยึดถืออยู่อย่างนั้นตลอดกาลนาน
อาตมาซอยให้เห็นอวิชชา คุณรู้อาการพวกนี้ก็ทำของคุณออกอย่าให้มันเกิด มันก็ไม่เกิดชาติ ทำให้ไม่เกิดชาติได้ หยั่งลงทุกกรรมก็หยั่งลงเป็นนิพพัตติ อภินิพพัติ เพราะคุณรู้โลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้า ก็ไม่ทำให้มันเกิดสิ่งที่ไม่ดี ให้แต่สิ่งที่ควรเกิดเป็นโลกุตระจิต เจตสิก
คนที่มีความรู้อย่างนี้คือ นิพพัตติ คือเกิดไปหานิพพาน ก่อรูปนิพพาน คนที่ทำชาติให้เกิดเป็น นิพพัตติ คือ คนเดินทางอยู่ในโลกุตระเป็นผู้ที่มีหวังได้ว่าจะบรรลุนิพพาน สูงสุด อภินิพพัตติ คือจุดนิพพาน นี่คือชาติ 5 ของพระพุทธเจ้า
ชาติ 5 แบบมหาปเทส
10 ชาติ 1.ชาติที่มีร่างกาย 2.ชาติที่มีใจ 3.การเกิดแบบลิงลมข้าวพอง 4.การเกิดเป็นประเทศชาติหรือชาติรัฐ 5.การเกิดแบบ ตรรกะ ยึดทิฏฐิ ยึดอัตตา
อาตมาไม่ได้บัญญัติสิ่งไหนที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ แต่อาตมาคลี่ขยายความละเอียดละออสิ่งเหล่านี้เพิ่มเติมขึ้นมา ไม่ได้ไปล้มล้างและไม่ได้ทำใหม่ คำกล่าวของพระพุทธเจ้าแต่ขยายออกไป พระพุทธเจ้าสมณโคดมสอนใบไม้กำมือเดียวไม่ได้สอนทั้งป่าพระโพธิสัตว์จะรู้ใบไม้ทั้งป่า อาตมายังรู้ไม่หมดหรอก ไม่ได้รู้ทั้งหมดป่าแต่รู้เพิ่มเรื่อยๆ ในระดับ 7 ก็รู้ได้มากพอสมควร แต่พระพุทธเจ้าสมณโคดมท่านวางมือไปแล้ว เพราะท่านทำไว้มาก ไม่ใช่ว่าท่านต่ำกว่าพระพุทธเจ้าองค์ก่อน แต่ท่านทำมามากกว่าองค์ก่อนๆ จะทำร่วมกับพระพุทธเจ้าหรือเป็นโพธิสัตว์ทำเองจนเป็นพระพุทธเจ้าทำเองได้ใหญ่ได้มากได้กว้างได้เยอะ จนกระทั่งสังคมเสริมไป โลกเสื่อมไปก็ได้น้อยลงจนมาถึงน้อยขนาดนี้ จนกระทั่งอุบัติขึ้นมาสุดท้ายตรวจพลโลกดูแล้วว่าเท่านี้มันไม่คุ้มหรอก เสียของหมดเลย จะไม่ประกาศตัวไม่เปิดเผยไม่แสดงธรรมดีกว่า ท่านมีความปริวิตกอันนี้ แต่สหัมบดีพรหม 4 ทิศ รวมมาอาราธนา ก็ตรวจอีก ยังมีผู้มีธุลีในดวงตาน้อยเหลืออยู่ ท่านก็ประกาศศาสนาเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
เมื่อพระพุทธเจ้าสำเร็จสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พ้นโพธิสัตว์ระดับ 8 ขึ้นเป็นพระพุทธเจ้าครบสัมมาสัมโพธิญาณ มีคุณวิเศษ คุณธรรมอันวิเศษ ขนาดระดับสัมมาสัมโพธิญาณ คือ ความตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง เป็นเจ้าของธรรมะเอง สูงสุดยอดไม่มีใครมีเท่า พอได้แล้วก็จะออกมาเปิดเผย สอนรุ่นแรกๆก็ได้ พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ไป แล้วก็สอนต่อไปในยุคต่อไปอีก ก็จะค่อยๆมีคนสั่งสมบารมีขึ้นมาเรื่อยๆ ติดตามกันมาเรื่อยๆ ก็เป็นหมู่มวลที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนมากจนเมื่อย จนยุคสมัยจะกลียุคแล้ว เพราะฉะนั้นไม่เหมาะสมที่พระพุทธเจ้าจะมาทำงานในกลียุคนี้เพราะจะเสียสภาพคุณธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่สมฐานะท่านก็ขอปรินิพพานไป
ก็เหลือแต่พระโพธิสัตว์ที่เหลือจะนำอันนี้สืบต่อไปให้หมดในพุทธกัป ของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้เหลือ 5,000 ปี ถึงวาระที่ท่านจะปรินิพพานไปเมื่อ 2,500 กว่าปีท่านก็ไปแล้ว จากนั้นก็มีแต่พระโพธิสัตว์สืบทอดมา พยายามสืบทอดตามที่พระพุทธเจ้ามอบหมาย
อาตมาก็บอกพูดไปแล้วว่าอาตมารับมอบหมายจากปากพระพุทธเจ้าจริงๆ ด้วยสยังอภิญญา มีผู้มอบสืบทอดไว้แล้วก็ดำเนินมาอีกหลายชาติ ในศาสนาพระสมณโคดมอาตมาเกิดมาหลายชาติแล้ว พยายามทำงานมาเรื่อยๆสืบทอดมาเรื่อยๆ พูดไปแล้วก็ไม่มีหลักฐานอะไรจะยืนยันและหลักฐานแค่นี้ก็เอามายืนยันเท่านี้ นอกนั้นก็ยืนยันเป็นตัวบุคคลบ้าง ยืนยันไปแล้วผู้ที่เชื่อก็เชื่อ ผู้ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ แล้วจะไม่เชื่อหนักอาตมาก็ไม่ต้องพูด ผู้ที่เชื่อยืนยันไปแล้วก็แล้วไป คุณพิสูจน์ตามไปอีก อาตมาไม่จำเป็นต้องไปคุยว่าเป็นผู้นั้นผู้นี้อีก คุณก็พิสูจน์เนื้อหาสาระไปก็แล้วกัน ต้องเห็นใจผู้ที่เขาไม่เชื่อ ผู้ที่เขาจะอาเจียนเป็นโลหิตร้อนพุ่งออกจากปาก มันก็ไม่ดี ก็ไม่ต้องพูดอีก อธิบายแต่เนื้อหาธรรมะสาระ
อธิบายเนื้อหาสาระธรรมะมาเรื่อยๆก็ยังเข้าใจกันไม่ได้ง่าย ก็เหนื่อย แต่ก็ต้องทน เขาก็ถามอยู่เรื่อยๆไปเดินมาวันนี้เมื่อยไหม อาตมาก็ปรับเอาก็เรียนรู้ความเมื่อยและไม่เมื่อย กำลังทำงานขนาดนี้ แม้แต่กินอาหารก็เมื่อยทุกวันนี้กว่าจะจบ ถ้าคุณเข้าใจคำว่าเมื่อยคืออะไรมันฝืนอยู่ก็คือเมื่อย สิ่งที่ไม่ฝืนมันไม่เมื่อยหรอก ส่วนถ้ามันร่าเริงในธรรม มันมีรสชาติมีธรรมรส โลกียะรสเขายังเพลิดเพลินเลย แต่นี่เป็นธรรมรสก็เป็นธรรมชาติธรรมดาจะไม่เมื่อย แล้วไม่เสียหายหรอกถ้ายังไม่ Over ไม่เกินขีด ต้องรู้จักพักรู้จักเพียร ให้มันสมดุลหากเกินไปมันจะไม่ดี
ที่อาตมาทำงานมาจนถึงทุกวันนี้ คำ “ชาติ” ตัวเดียวในปฏิจจสมุปบาท จากตัวชาต แม้จะมีสมมุติสัจจะก็ยังมีชรามรณะ มรณะเป็นสงครามจิตวิญญาณจบไปในชาติหนึ่งชาติหนึ่ง มันจะต้องเป็น “อรณะ” คำว่า “รณะ” คือสงคาม “อรณะ” ก็คือหมดสงคราม แต่ถ้า “มรณะ” คือสงครามของจิตก็ยังต้องเกิดมาอีก ยิ่งอวิชชาเกิดมาก็ยิ่งสร้างภพชาติ จากชรามรณะ ก็เกิดภพชาติ แม้ว่ามันจะชรามรณะ คุณก็มามีชรา มรณะใหม่ มีโศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาส
มาเรียนรู้ชาติ คำว่า “ชา” แปลว่าความรู้ กับ “ติ” คือ 3 คือความรู้สามเส้า
ชานโต ปัสโต วิหรติ คำว่า “ติ” คือ 3 วงวน cyclic order วงแรก
เมื่อเรารู้อะไรต่างๆที่อาตมาแยกแยะอย่างละเอียดให้ฟัง เราก็สามารถที่จะนำสภาวะธรรมต่างๆออกมาใช้กับสิ่งที่มันจะเข้า หรือจะขัดจะทำลายกัน ก็เอามาใช้เอามาปรุงแต่ง
ผู้ที่รู้ชาติก็จะเริ่มรู้สังขาร เริ่มปฏิจจสมุปบาทแล้วนะ แต่ก่อนนี้อวิชชา สังขารก็ไม่รู้ ชาติก็ไม่รู้ ยาวมาตั้งแต่วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ
เมื่อไม่รู้ตั้งแต่สังขารคุณก็ไม่มีสิทธิ์จะรู้ชาติ
ชาติ ตัวนี้จึงเริ่มไปเรียนที่สังขาร มันปรุงแต่งกันอยู่จึงเป็นชาติ แล้วชาติอันแรกคือวิญญาณ จากสังขารปรุงแต่งเสร็จก็เป็นวิญญาณ เมื่อเกิดวิญญาณแล้วถ้าคุณไม่สามารถเรียนรู้วิญญาณ โดยแยกวิญญาณคือ เทวะ เทวะคือวิญญาณ เป็นธรรมะ 2 ได้แก่รูปนาม
พระพุทธเจ้าจึงจบในอาหาร 4 ตัวที่ 4 ว่าวิญญาณคือรูปนาม รู้เท่านี้ คุณจบ คุณรู้ชัดจริงเลยทั้งรูปนามและวิญญาณก็จบ แล้วคุณก็มาเรียนจบจาก กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร มีเจตนาก็เกิดกาม ภว กับ วิภวะ
อยู่ในอาหาร 4 ก็จบในตัวเหมือนกันถ้ารู้
อาหาร 4. . (เครื่องยังสัตว์ให้อยู่ได้) .
-
กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว ให้รู้กิเลสเบญจกาม) . .
-
ผัสสาหาร (อาหาร คือ ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) .
-
มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) . .
-
วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ กำหนดรู้นาม-รูป . อันเป็นปัจจัยให้ตั้งอยู่แห่งสังขาร เพื่อการเกิดในภพใหม่ คือมีปัจจัยเกิดชาติชรามรณะ ทุกข์ และความคับแค้น) .
(ปุตตมังสสูตร พตปฎ. เล่ม 16 ข้อ 241-244)
กรรมกิริยาที่เป็นการกระทำ ปรุงแต่งกันขึ้นด้วยอวิชชา คุณก็ปรุงแต่งด้วยโลกียะ คุณก็ไปไม่จบ แต่พอรู้ความจริงว่ามีสังขาร คุณก็มาแยกสังขารว่านี้คือกายสังขาร วจีสังขารหรือจิตสังขาร แต่ กาย เขาแยกไม่ออก กายเป็น วจี มโน แยกออก 3 อย่างนี้ต่างกันแน่ แต่จะไม่ทิ้งกันเลยจะอยู่ร่วมกันต้องใช้ร่วมกัน นอกจากคุณเป็นใบ้ก็จะใช้วจีไม่ได้ แต่ไม่เป็นใบ้ จะมาใช้ภาษาใบ้สื่อสารกันทำไม ซึ่งมันก็ยากไม่ละเอียดพออย่างไรอย่างไรก็ไม่ละเอียดจึงต้องพิการอย่างใบ้นี้ยาก พิการตา พิการเสียง พิการจมูกอะไรต่างๆ มันไม่ครบองค์ทั้งนั้น มันต้องครบองค์ถึงจะบริบูรณ์ ถ้าไม่ครบองค์จะไปบริบูรณ์ได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นผู้ที่เอาแต่จิตนั่งหลับตา ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย อาตมาถึงบอกแล้วพูดแล้วก็วน น่าสงสารเขา คุณปิดตาหลับตาปฏิบัตินั้นเป็นโมฆะจากการบรรลุธรรมอรหันต์
ทำเวทนาให้มีความรู้สึกแบบพืช
เพราะฉะนั้นมาเรียนรู้ที่อาตมาอธิบายให้ฟังตามลำดับเถอะ
เริ่มสังขาร เรียนอภิสังขาร กายสังขารทำได้จริงรู้รูปนาม กายคือ 2 ภายนอกภายใน กายนี้พิสดารมาก
กายสังขาร จะรวม วจี มโน เพราะกายขาดจิตไม่ได้ ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข.230
กายไม่มีจิตไม่ได้ แต่ต้องทำกายไม่ให้มีจิต โดยแยกกายแยกจิตให้ชัด แยกให้เป็นอาการของความรู้สึกคือเวทนาจะเป็นเครื่องตัดสิน ถ้าคุณทำความรู้สึกเวทนาให้ไม่มีความรู้สึกชนิดแบบจิต มีแต่ความรู้สึกชนิดพืชเท่านั้น ไม่เจ็บไม่ปวดไม่รักไม่ชังไม่ดูดไม่ผลัก ไม่บาปไม่บุญ มีแต่แค่สัญญากับสังขารไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ นี่แหละเป็นฐานที่คุณจะทำจิตให้เป็นเช่นนี้ให้ได้คุณก็จะได้ฐานอรหันต์ อาศัยว่าหมดความสุขความทุกข์ หมดบาปหมดบุญ หมดพยาบาท หมดดึงดูดผูกพัน หมด เป็นพลังงานเฉพาะตัว
ถ้าเผื่อว่าพืชมันหมดพลังงานที่เป็นพลังงานชีวิตินทรีย์ ก็สลายเป็นดินน้ำไฟลม ไม่มีพลังงานดึงดูดรักชังจะต้องไปเจอกันวาสิฏฐีจ๋า ไปกับสวรรค์ที่นั่นที่นี่กันนะจ๊ะ ไม่มี พืชไม่มี มันมีแต่จิตนิยามโง่ ถ้าจิตนิยามฉลาดไม่มี ถ้าจิตนิยามโง่มี ถ้าจิตนิยามฉลาดไม่มี ไม่มีจนกระทั่งเรียนรู้ความไม่มีอย่างถาวร ไม่มี จนแยกเป็นดินน้ำไฟลมได้หมดเลย ไม่กลับเวียนวนเป็นชีวะอีก แม้ดินน้ำไฟลมนี้จะจับตัวกันอีกก็ไม่ใช่อัตตาของพระอรหันต์นั้นอีก ไม่เป็นตัวเก่าแล้วก็เป็นอันใหม่ไป ซึ่งมันก็มีของมันเราจะไปเกี่ยวอะไร เราทำตัวเรา เราทำอัตตาคือตัวเราไม่ใช่ของใคร อย่าสับสนนะ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไทว่า… หอม พอมันตายแล้วมันเกิดใหม่ได้ไหม โยม.. ตอบไม่ได้ (พ่อครู..ถ้าเชื้อมันยังไม่หายไม่แตกสลายยังไงมันก็เกิด ถ้าเชื้อมันหายมันก็สลายไป) หอม นี้มันคิดวนเวียนเองไม่ได้ ท่านสมณะฟ้าไทยกหัวหอมใหญ่ขึ้นมา ถ้าอย่างนั้นพ่อครูให้พวกเราทำจิตให้เป็นแบบนี้ ทำแบบนี้ได้ก็จะเป็นอุตุอีกชั้นหนึ่ง
พ่อครูว่า…เราเรียนรู้กายสังขาร แต่วจีสังขารก็เกิดจากจิตสังขาร เกิดในคน นกหนูปูปีกมันก็ส่งเสียงภาษาของมัน แต่คนมันเก่งด้านภาษาของมันไม่รู้กี่ภาษาเป็นพันเป็นหมื่นภาษาภาษาที่สูญหายไปแล้วก็มีเหลือภาษาที่ยังอยู่เท่าที่หยิบมาใช้แทนได้ เขาบอกว่าภาษาบาลีเป็นภาษาที่ตายแล้วแต่ยังคงอยู่ไม่ผิดเพี้ยนไม่เป็นอะไรมากมาย
กายสังขารกับ มโนสังขาร
มโนกับกาย ต้องร่วมกันตลอด มโน เป็นธาตุจิตตัวที่ 3 ธาตุจิตที่เป็นตัวใหญ่เรียกว่า “วิญญาณ” ธาตุที่เป็นตัวกลางเรียกว่า “จิต” ธาตุเล็กละเอียดเราเรียกว่า “มโน”
วิญญาณก็คือรวมใหญ่แล้วก็มาแยกจิต เอาคำว่าจิตมาแจก เรียกเจตสิก มีเยอะ ในสัญญา ในเจตนาก็มีอีกเยอะ ซึ่งไม่ต้องไปคำนึงถึง เรียนรู้แต่เพียงว่าพยัญชนะเรานั้นหมายถึงสภาวะอย่างไรก็พอแล้วไม่ต้องไปกังวล
มาเอาที่เวทนา เจตสิกเท่านั้น ถ้าเรียนรู้ตัวนี้จบ แยกธาตุจิต ตัวนี้ได้ครบสมบูรณ์เลย ท่านแยกไว้จาก เวทนา ตั้งแต่เวทนา 1 คือ กาย, เวทนา 2 คือเวทนาจิต เรียก “เจตสิกะ” กับ “กายิกะ”
เวทนา 108 (ปัญจกังคสูตร พตปฎ. ล.18 ข.412-424)
(แบ่งเป็น 2 เวทนา ได้แก่..)
-เวทนาที่มีกายเป็นเหตุ (กายิกเวทนา อาศัยมหาภูตรูป+นาม)
-เวทนาที่มีใจเป็นเหตุ (เจตสิกเวทนา อาศัยนามรูป
เพราะฉะนั้นแยกจากจิตมาเป็นเจตสิก กับ กาย อันหนึ่งคือกายิกะ อีกอันคือเจตสิกะ
เวทนา 2 คือ กายิกะ เกับเจตสิกะ คือรูปกับนาม คือ สิ่งที่เป็น static กับ Dynamic
กายิกะเป็น static เจตสิกะ เป็น Dynamic ตัวหนึ่งเป็นตัวตั้ง ตัวหนึ่งเป็นตัวเคลื่อน เรียกว่ารูป กับ กาย แต่ไม่ได้หมายถึงรูปนิ่งๆอย่างเดียว กายจึงมีความพิสดารที่ยาก แล้วคนมาเข้าใจคำว่า กาย นี้ผิด มันเป็นกระดุมเม็ดแรก ถ้ากลัดผิด เม็ดต่อๆไปผิดหมด เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงบอกว่าคุณจะเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าที่จะพ้นการผูกความเป็นสัตว์ เรียกว่าสังโยชน์ พ้นความเป็นสัตว์ผูกความเป็นสัตว์อยู่ ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉาน หรือสัตว์มนุษย์ จนกระทั่งมาเป็นพระพรหม คุณก็เป็นพรหมเทวะ เป็นพระเจ้าไป ถ้ายังไม่เป็นพรหมสมบูรณ์ ก็ต้องเรียนรู้อย่างละเอียดละออจริงๆ ดูความต่าง มารหรือผี กิเลสนี่เองที่จริงมันก็คือกิเลสมนุษย์ก็คือกิเลสร่วม ก็คือกิเลสเป็นเทวดามารพรหม
เทวดาสูงสุดเรียกว่า วิสุทธิเทพ อุปัติเทพคือเทพโลกุตระ มีสามเทพ คือ
-
สมมติเทพ (คนที่มีสภาวะจิตเสพโลกียสุขได้สมใจ). .
-
อุปปัตติเทพ (คนที่มีสภาวะจิตเกิดความเป็นอาริยะ) .
-
วิสุทธิเทพ (คนที่มีสภาวะจิตบริสุทธิ์ขั้นอรหัตตผล)
(พตปฎ. เล่ม 30 ข้อ 654)
แยกวิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9
เรียนรู้เจตสิก รูป นิพพาน แยกรูปแยกนามได้ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เรียกว่าอภิธรรม 4 รวมไว้หมดแล้ว
แยกรูป กับ เจตสิก แยกจากรูปจากนาม ทำจิตเจตสิกต่างๆ ก็สรุปที่เวทนา 108
เวทนา 3 มี ความสุข ความทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นสามเส้าเวทนา ปุถุชนเทวนิยมก็วนเวียนอยู่ตรงนี้ วนเวียนอยู่กับสามเส้าคือไม่สุขไม่ทุกข์ กับ สุขกับทุกข์ เพราะไม่รู้ทางออกไปหลงความสุข เพราะไม่รู้ว่าสุขทุกข์มันอันเดียวกัน มันเป็นมายาใหญ่ มารใหญ่ แยกไม่ออก เมื่อแยกไม่ออก พระพุทธเจ้าฆ่าทั้งความสุขความทุกข์ตายเกลี้ยงก็เหลือไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอุเบกขา
ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นพยัญชนะ เรียกอาการไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เพราะฉะนั้นเพราะอะไร ก็เพราะกิเลสมันหมดลง กิเลสมันไม่มีในจิตเจตสิกของเรา จิตก็เป็นจิตที่สะอาดจิตบริสุทธิ์ บริสุทธิ์จากกิเลส อุเบกขาตัวแรกเรียกว่า “ปริสุทธา” สะอาดบริสุทธิ์ว่างจากกิเลส โดยพยัญชนะว่าว่างแล้วว่างจากอะไร ว่างจากสิ่งหยาบตั้งแต่โลกของอบายมุข หมดแล้วไม่เกิดอีกแล้วอบายมุขรู้ความเป็นอบาย อบายคือต่ำที่สุดในโลกกาม หมดแล้ว เหลือกาม กามหยาบ กลาง ละเอียดก็เรียนรู้มัน จนหมดกามหยาบหมด เป็นสกิทาคามี หมดกามทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็เป็นอนาคามี จะสัมผัสสัมพันธ์ปรุงแต่งอย่างไรก็ไม่เกิดอาการสุขทุกข์ของจิตแล้ว แต่เหลือ ตุ้งติ้งๆ เป็นรูป หรือเป็นภวภพหรือภวตัณหา
ก็แยกภพวตัณหา หยาบกลางละเอียด รูป อรูป กับ 0 ก็เรียนรู้รูปเสียก่อนมันเบื้องต้นหยาบ อาการของรูป สังขารในมโนหรือในจิต ก็เรียนเจตสิก
ก็จะมีเวทนาอีก 5 ก็คือ ลำดับน้ำหนักของมัน องศาของมัน คุณภาพของมัน มันนอกมันในมันใหญ่มันเล็กมันเบามันแรงอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเป็นความทุกข์ใช้พยัญชนะเรียกว่าทุกข์เวทนาคู่กับสุขเวทนา มันคือหยาบ มีภายนอก ก็มาเรียนรู้ หยาบ ภายนอกมันเป็นสุขมันเป็นทุกข์หมดไปได้แล้ว ก็เหลือโสมนัสโทมนัส อุเบกขาจากทุกข์สุข ก็เป็นอนาคามี ทำโสมนัสโทมนัสหมดอีก ก็อุเบกขา จิตของคุณจะเป็นจริงเลย กระทบสัมผัสอย่างไรข้างนอกก็ไม่มี ข้างในเป็นรูป หยาบเป็นรูปก็ลดรูปอีก เหลืออรูป ก็ลดอีก
นิดนึงกับไม่มีนี้แยกยาก
ขนาดนิดหนึ่งคุณก็ต้องทำต่อไปเรื่อยๆ มันเหลือน้อยเท่าไหร่ก็เอาให้ไม่มี ไม่มีคุณก็จะค่อยๆ มีญาณแหลมคมลึกเข้าไป เรียนรู้ความมีและไม่มี มีที่หยาบอีก เหลือไม่มีละเอียดลงไปก็ลดลงไปอีก จนกระทั่งท่านใช้คำว่า อากาสา วิญญานัญจา อากิญจัญยา
อากาสา วิญญานัญจา อากิญจัญญาก็เป็นสามเส้า แต่หากอวิชชาทำไปก็งง อยู่ในเนวสัญญา เนวคือครึ่งๆกลางๆ ไม่บริบูรณ์ จะว่ารู้ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่รู้ก็ไม่ใช่ มันกำหนดรู้ไม่ได้ มันยังมีอยู่นิดหนึ่งหรือมันหมดไป เพราะเราไม่ได้ศึกษาธรรมะมาตามลำดับ เราจะสับสนวนไปวนมา แต่ถ้าศึกษามาเป็นลำดับจริงๆเลย คุณจะไม่สับสน ไม่ขลุกขลัก ไม่วนไปวนมา จะเป็นลำดับ เรียบเรียงไปอย่างน่าอัศจรรย์
ใครทำตามอย่างอาตมาพูดได้ นี่ก็มี ใครทำตาม สะสมบ้างก็จะมี ใครไม่ทำตามก็จะสับสนมากเนวสัญญานาสัญญายตนะ คุณต้องทบทวนแล้วทบทวนอีกก็ตามฐานะของแต่ละบุคคล เนวสัญญานาสัญญายตนะก็จะน้อยลง ถ้าทำตามลำดับเรียบเรียงไปเลย คุณก็จะไม่มีเนวสัญญานาสัญญายะตะนะ ให้ปฏิบัติ ผู้ใดปฏิบัติโดยมีวิญญาณฐิติ ก็ปฏิบัติแค่วิญญาณฐิติ 7 จบอากิญจัญญายตนะ ก็จบหมดเลยไม่ต้องไปทบทวนให้เสียเวลาในเนวสัญญานาสัญญายตนะเลย
เพราะฉะนั้นคนก็งงว่าทำไมวิญญาณฐิติ 7 แล้วไปไหน แม้แต่สัญญาเวทยิตนิโรธก็ไม่มี ก็เพราะว่า สัญญาเวทยิตนิโรธแปลว่าสัญญาทำการเคล้าเคลียอารมณ์เวทนา หรือตรวจสอบนอกใน ให้ละเอียดนะว่ามันนิโรธแน่หรือยัง สัญญาเวทยิตนิโรธ มันดับสนิทเท่านั้น คุณจะต้องทำสัญญาเวทยิตนิโรธเพราะคุณมีเนวสัญญานาสัญญายตนะ แต่ถ้าทำตามลำ ดับก็จบนิพพานได้ที่อากิญจัญญายตนะได้เลย
วิญญาณฐีติ มี 7 สัตตาวาส มี 9
วิญญาณฐีติ เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิในการปฏิบัติธรรม รู้จักวิญญาณกำหนดรู้วิญญาณได้แยกมาเป็นจิตเจตสิกต่างๆถูกต้อง
แต่คุณทำไม่ถูกต้องก็เป็นสัตตาวาส 9 แม้ไม่ถูกต้องก็เป็นรูปฌานใน 4 อันข้างต้น เป็นสัตว์ 4 ระดับ คุณก็ทำเป็นโลกียะไม่ถูกต้อง ดีไม่ดีหลงผิดไปเป็นอสัญญีสัตว์ ดับสัญญา เช่นไปนั่งหลับตา คุณก็ทำฌานแบบหลับตา เป็นรูปฌานโลกีย์ดับสัญญาแบบโง่ๆ สะกดจิตดับๆๆ เช่นอย่างที่อธิบาย ฌานที่ 1 มีวิตกวิจาร ปีติ สุข คุณจะรู้ต่อเมื่อเริ่มฌาน 3 จะรู้จักสุข ในหลับตานะ ยังหยาบอยู่ ที่วิตกวิจาร มีปีติ จนปีติเบาบางอ่อน หรือไม่มีก็จะรู้สุข มันยึดดียึดว่างเป็นตัวตน ก็เรียนรู้อันนี้ ยังยึดสุขอยู่ยึดทุกข์อยู่ ว่างนี่แหละดี สุขก็อย่าไปหลงสุข วางปล่อยสุข เมื่อสุขไม่มีก็เป็นอุเบกขา อาศัยบ้างไม่ติดยึด แล้วคุณจะมีธาตุรู้ปัญญาที่รู้ยิ่ง โลกุตระว่างอย่างนี้ แต่คุณจะอ่านอาการของจิต ที่ไม่มี อัสสาทะ ไม่มีรสของโลกีย์เลย คุณจะรู้ได้ด้วยตนเอง อาตมาอธิบายไปใช้แต่ภาษาสื่อสารไปคุณต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ว่า อาการว่างดี ที่เรานึกว่าสุขยังยึดว่าว่า แต่มันไม่ว่างหรอก เพราะมันยังมีเนื้อของมันอยู่ที่คุณยังยินดีกับสิ่งเหล่านี้ จนกว่าคุณจะหมดยินดี หมดดูด ดูดนิดนึงก็ไม่มี แล้วก็อยู่กับสัมผัสมีสัมผัสเป็นปัจจัยแล้วก็มีความเป็นกลางอุเบกขา
อุเบกขาตัวที่ 4 เจตสิกของฌานที่ 4 แข็งแรงสมบูรณ์ที่สุด คุณก็อยู่เหนือสุขแล้วจะเรียกว่าสุขมันก็อาศัยจิตว่างพยัญชนะเรียกว่าสุข คุณก็ไม่ประหลาด มันจะอาศัยสุข ซึ่งมันละเอียดแล้วไม่มีมากมาย มันมีนิดนึงมันว่าง มันไม่ใช่หยาบ มันไม่ใช่เนื้อหาของโลกียรสเลย มัน 0 หรือมันว่างแต่คุณยังยึดถือเป็นตัวเป็นตนเป็นอัตตา อัตตาตัวน้อยที่สุดแล้ว
ธาตุรู้มันจึงเป็นตัวที่ปล่อยทุกอย่างปัญญาอันยิ่ง มีพยัญชนะเรียกอย่างไร สภาวะแต่ละคน ไม่รู้ของตนเองของใครของมัน
อุเบกขาทำให้กิเลสหมดไปจากจิตสะอาด เรียกว่าปริสุทธา ทำได้แล้วก็เข้าใจอาการปริสุทธาเป็นอย่างนี้ คุณก็ทำอย่างอื่นคุณไปติดยึดอะไรอย่างอื่นอีกก็ทำไปต่างๆนานา ที่ยังติดสภาพ ของหยาบขนาดไหนก็แล้วแต่เกี่ยวกับสัตว์เกี่ยวกับของเกี่ยวกับพืช ของคือวัตถุต่างๆเพชรนิลจินดา ธนบัตร วัตถุปรุงแต่งอะไรต่างๆนานา เสื้อผ้าหน้าแพรเครื่องตกแต่งอะไรก็แล้วแต่ หลายอย่างคุณอาศัยก็ไม่ได้ดูดไม่ได้ผลักอะไร ยกตัวอย่างเสื้อผ้า
คุณอาศัยเสื้อผ้า คนที่ยังติดยึดอย่างนั้นอย่างนี้ติดรูปทรงสีสัน เขาก็ว่ากันไป แต่คุณไม่ติดในเสื้อผ้า คุณก็สักแต่ว่าใส่กันร้อนกันหนาว ถ้าในวาระที่ไม่ต้องใส่ก็ไม่ต้องใส่ วาระที่ควรใส่คุณก็รู้ความควรของมนุษยชาติคุณก็ใส่ ใส่เท่านี้มันทนหนาวไม่ได้ก็ใส่ให้มันหนาหน่อยให้มันกันหนาว ถ้ามันร้อนก็เอาออก ดีไม่ดีก็ถอดหมดเลย หาความเย็น ถอดแล้วยังร้อนอยู่เลยก็ต้องหาอะไรมาเป่า เอาน้ำเย็นมารด มันก็ธรรมดาธรรมชาติ
สรุปแล้วเครื่องนุ่งห่มก็เอาไว้ใช้ ที่อยู่อาศัย คนที่มีอารยธรรมแล้ว มีวัฒนธรรมก็มีที่อยู่อาศัยที่พัก ไม่ได้โง่จนกระทั่งแดดเราก็ทนแดด ฝนตกก็อาบน้ำฝน อะไรพัดไปพัดมาทับถมเสร็จตัวเองก็ยอมรับมันแล้วไปล้างเอา จะบ้าเหรอ มีที่พักที่อาศัยพอสมควร เสื้อผ้าหน้าแพรที่อยู่อาศัย ปัจจัยสำคัญมีเท่านี้แหละมนุษย์ นอกนั้นก็อาหารกับยา
อาหารก็คือสิ่งที่กินเข้าไป สังเคราะห์สังขารปรุงแต่งให้ชีวิตนี้ยังอยู่ อาหารกับยาถ้าอย่างนี้กินแล้วมันบำรุงร่างกายให้เจริญก็เรียกว่าอาหาร ถ้ามันไม่สมดุลก็ใช้อาหารนี่แหละเป็นยา มันก็คือธาตุต่างๆที่เขาเรียกป็นธาตุต่างๆก็เอาธาตุนั่นแหละมาแก้กัน เป็นยา ทำให้ธาตุที่เป็นอาหาร ที่มันเป็นพิษหรือมันไม่ถูกปรับมัน คนจะเข้าใจธาตุต่างๆทางวิทยาศาสตร์โภชนาการเขาก็จะรู้ธาตุวิทยาศาสตร์ เพราะเขาจะรู้เขาก็จะมาแก้ ก็เกิดเป็นธาตุที่อาศัยไม่เป็นธาตุที่ทำลาย ยาก็เข้าไปแก้หรือสิ่งที่ขาดก็เอาไปใส่ สิ่งที่จัดการให้ออกเอาสิ่งอื่นมาทดแทนก็ได้ก็เรียกว่า ยา จะไปเรียกด้วยภาษาว่าโอสถอะไรก็แล้วแต่ มีภาษาอะไรอีกสารพัด ชาติไหนๆก็มีของเขาเอง จะเรียกยา เรียกเภสัช ไม่ใช่ยาดูดนะ ยาดูดนั่นก็อีกอย่าง ยาเสพติดก็อีกอย่าง
สรุปแล้วปัจจัย 4 เสื้อผ้าหน้าแพร อาหาร กับยา ยานั้นไม่มีเรื่องก็ไม่ต้องไปใช้มัน แต่มันก็เป็นของสำคัญในชีวิต อาศัยก็อาหารเป็นหลักเป็นเครื่องอาศัยอาหาร กินที่เข้าไปเลี้ยงขันธ์ด้วยธาตุต่างๆ นอกนั้นก็แยกเป็นอุปโภคกับบริโภค อุปโภคคือเครื่องอาศัยที่อยู่กับเสื้อผ้า บริโภคก็คืออาหารกับยาที่กินเข้าไปภายในร่างกาย อุปโภคอยู่ข้างนอก บริโภคก็เอาเข้าข้างใน
สำคัญที่สุดก็คืออาหารที่กินเข้าไปข้างในนี่แหละ มันจะติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอะไรต่างๆ อันนี้แหละ ตัวอาหารจึงเรียกว่าเป็นหนึ่งในโลก แล้วท่านก็แยกมาเป็นอาหาร ให้เรียนรู้มันโดยเป็นอาหาร 4
เรียนรู้ตั้งแต่อาหาร แล้วก็คือคู่มันคือวิญญาณหรือนามรูป ต้องมาเรียนรู้นามรูป 2 อย่างนี้ แล้วก็จะรู้จักวิญญาณที่มันโง่ มันไปติดในอาหาร เป็นวิญญาณอวิชชา วิญญาณโง่
เมื่อผัสสะแล้วก็มีเวทนาเจตสิก ก็มีความสุขความทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เมื่อมีความสุขความทุกข์ ก็จะมีเจตนามีความมุ่งหมายต้องการตั้งแต่ หยาบๆภายนอกเป็นภพชาติ ภพชาติตั้งแต่หยาบภายนอกก็คือกามภพ ก็เรียนรู้กามภพ ฆ่ากิเลสตัวหยาบที่เป็นกามภพให้หมด จนกระทั่งหมดข้างนอกเหลือข้างในเข้ามาเป็นภวภพ รูปภพ อรูปภพ ก็ฆ่ารูปภพแล้วเหลืออรูปภพ หมดเกลี้ยงไม่เหลือภพ หมดภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ หมดเกลี้ยง
หมดภพแล้ว ภาษาก็ขึ้นมาเรียกว่า วิภวภพ คือไม่มีภพ ผู้นั้นก็อยู่กับโลก อยู่กับสังขารทั้งหลาย อยู่กับมนุษยชาติ เราไม่มีแล้วก็ไปช่วยคนอื่น ในขณะที่เราไม่มีแล้ว เราก็มีความประสงค์ มีความต้องการ มีความฉันทะ มีตัณหา มีกังขาวจร มีตัณหาเลยอยากช่วยคนอื่นมีปรารถนาช่วยคนอื่น ประสงค์จะช่วยคนอื่น
พระพุทธเจ้าก็อยู่ด้วยวิภวตัณหา พระโพธิสัตว์ก็อยู่กับวิภวตัณหา พระอรหันต์ก็อยู่กับวิภวตัณหา ถ้าพระอรหันต์นั้นไม่ประสงค์จะต่อภพไปอีกแล้ว แยกธาตุให้เป็นอุตุไปได้แล้ว ตายลงก็ตายด้วยนิพพาน 3
วิโมกข์ 3 , นิพพาน 3
-
สุญญตวิโมกข์, สุญญตสมาธิ (นิพพานโดยการเห็นความว่างของตัวกิเลส หมดความยึดมั่นจากอำนาจกิเลส)
-
อนิมิตตวิโมกข์, อนิมิตตสมาธิ (นิพพานโดยไม่ต้องถือนิมิต)
3.อัปปณิหิตวิโมกข์ (นิพพานโดยไม่ทำความปรารถนา)
(พตปฎ. เล่ม 31 ข้อ 469)
-
สุญญตนพพาน ตายอย่าง 0 ไม่มีอะไรอย่างอื่นแล้ว
-
ตรวจดูว่ายังมีนิมิตอะไรที่ยังยึดถืออยู่หรือเปล่า ถ้ายังมีนิมิตก็ได้ อนิมิตนิพพาน ก็ตายด้วยอนิมิต นิมิตนี้หยาบกว่าตั้งลงหยั่งลง
-
อปณิหิตะ ก็อย่าให้อาการของคนจะนิพพาน อาการละเอียดมาก อย่าให้มี ไม่มีจิตที่จะตั้งลง ไม่มีนิมิตก็ตายด้วยสุญญตนิพพาน ครบสามคนนี้ก็สูญเลย