640124_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เรียนรู้ปฏิจจสมุปบาทที่ ชาติ ภพ ตัณหา
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/11P7iXEtNKahDEi5i-SJTkDQ0XapTLUbnS6IgZWNRFPw/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1Xfqlo2nEd_RjDf9h2MdrtOKGB58WhYzs/view?usp=sharing
และยูทูปที่
สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ในยุคโควิด ที่ผู้คนต้องหันมาหาการพึ่งพาตนเอง โดยใช้เงินให้น้อยหรือไม่ใช้เงินได้อย่างไร ก็เข้าทางแบบบุญนิยมที่พ่อครูพาทำ ในชุมชนชาวอโศกอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้เงิน อยู่แบบคนจน และขาดทุนของเราคือกำไร
บริษัท Siam bioscience ที่ผลิตวัคซีนเพื่อคนไทยโดยมีวิธีการปฏิบัติงานคือขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ถึงดังไปทั่ว เป็นทฤษฎีคนจนทฤษฎีคนที่ไม่ใช้เงินคนที่พึ่งพาตนเองได้
ที่อื่นคนเดือดร้อนตกงานมากมายแต่ของเราไม่ตกงานพึ่งพาตนเองได้
พ่อครูว่า…(พ่อครู ไอ ตัดอออกด้วย)
SMS วันที่ 22-23 ม.ค. 2564
_ศศิธร โลมะบุตร : กราบนมัสการพ่อปู่ ขอเป็นลูกพ่ออีกคนได้ไหมคะ อยากจะเป็นสมาชิกของอโศกค่ะ
พ่อครูว่า…ลงบัญชี ได้เลย
_ขนโค เขาโค : ฟังสิ่งดีๆแบบนี้ดีแล้ว โชคดีที่ยังได้ฟัง
พ่อครูว่า…ดีผู้ที่รู้สาระเป็นสาระ อสาระเป็นอสาระ ส่วนคนเห็นสาระเป็นอสาระก็ไม่รู้อะไรดีก็น่าสงสาร
_ดินงาม นาวาบุญนิยม : โอ้ ! ตรงเป้าเลยค่ะ การทำงานต้องดูผลสำเร็จของใจ ใจที่ลดกิเลส โดนใจจริงๆค่ะ
พ่อครูว่า…ต้องดูกิเลส แล้วอนาคามี ก็มีการงานและมีการกระทบเกิดผัสสะแล้วมี รูปราคะ อรูปราคะในใจไหม ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาเอง แม้แต่อนาคามีก็ต้องมีกระทบข้างนอกแล้วจะเกิดกิเลสที่เหลือข้างในของเราให้เห็น แต่ถ้าไม่กระทบ แม้อนาคามีก็ไม่ใช่ เพราะเป็นสัญญาหรือคิดเอาเองภายใน มันไม่ใช่ แต่ก็อาจจะระลึกได้ เพราะเป็นกิเลสภายในทีเดียว แต่มันต้องกระทบปัจจุบันนี้ถึงจะเกิดเหตุปัจจัยจริงองค์ประกอบจริง กาย-ใจจริง แล้วก็รู้กิเลสที่เกิดขึ้นจริงทันทีเป็นของจริงในปัจจุบันนั้นไม่ใช่กิเลสเก่า หรือที่นึกคิดเอาเองในอนาคตก็ไม่ใช่
_โกศล สุขเล็ก : กราบคารวะพ่อท่าน..วิบากกรรมเป็นของใครของมัน..เราทำของเราให้ดีก็แล้วกัน..เจริญธรรมทุกท่าน..
พ่อครูว่า…ถูกต้อง
พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ทำปฏิวัติรัฐประหาร
_เดชา อำพร : ถ้าอโศกจะพูด ต้องพูดถึงหลัก “ธรรมาธิปไตย” เหมือนที่ท่านพุทธทาสพูดถึงอยู่เสมอ ไม่ใช่มาบอกว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดหรือดีที่สุด เพราะประเทศไทยอ้างคำว่า “ประชาธิปไตย” แต่ภายหลังมาเพิ่มคำสร้อยต่อท้ายยาวเหยียด…
เพราะประชาธิปไตยสากล(ที่ไม่ใช่แบบไทยๆ)เขาไม่ได้บอกว่าต้องให้เฉพาะคนที่ “ดูว่าดี” (ซึ่งส่วนมากการเมืองในโลกมักเป็นเรื่องของความดีที่สร้างภาพเฉพาะกิจแค่นั้น)เท่านั้น ที่จะมาได้อำนาจในการดูแลประเทศ แต่เขาเล่นการเมืองกันแบบ”แฟร์เกมส์” ต่อให้คุณไม่ได้เป็นคนดีเต็ม 100 แต่ถ้าคุณสามารถที่จะเอาชนะใจประชาชนให้เลือกคุณเข้ามาได้ คุณก็จะได้รับสิทธิ์ในการบริหารประเทศโดยไม่มีข้อแม้ใดๆอย่างน้อย 4 ปี
ดังนั้น ทักษิณก็ไม่นับว่า “แพ้แล้วพาล” เพราะเขาชนะการเลือกตั้ง แต่เขาถูกพาลโดย “เผด็จการซ่อนรูป” ต่างหาก
แล้วถ้าจะด่วนสรุปว่า ทรัมป์ก็ “แพ้แล้วพาล” ก็ยังไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะทรัมป์บอกว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีบางส่วนที่มีการทุจริต ซึ่งยังคงต้องพิสูจน์กันต่อไป เขาก็ต้องรักษาสิทธิ์ของเขาเป็นธรรมดา
ซึ่งถ้าจะเทียบกับสมัยทักษิณ ที่บอกว่า “ตั้งคูหาผิดทิศทาง” เพียงเท่านี้ก็ถึงขั้นมองเป็นเรื่องร้ายแรง จนต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ จะยิ่งไม่ดูแย่ยิ่งกว่ากรณีของทรัมป์หรอกหรือ?
พ่อครูว่า…อาตมาขอละเมิดพูดสำทับให้เขารู้ความจริงก็แล้วกัน ส่วนคุณจะไม่เห็นด้วยก็เป็นความเห็นที่แตกต่างกัน
คุณคนนี้สาวกทักษิณนี่เอง เป็นการมองของคุณแต่อาตมาเข้าใจความจริงตามที่ว่านี้เป็นอย่างนี้ ทักษิณแพ้แล้วชพาลจริงๆ อาตมามองอย่างนี้แต่คุณว่าไม่ใช่
จริงๆแล้ว ที่บอกว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเผด็จการซ่อนรูปเป็นคนพาล เข้ามายึดไป ก็ขออธิบายว่าเราเข้าใจอย่างนี้
คือ จริงๆแล้วทักษิณก็แพ้ประชาชน สมัครก็แพ้ประชาชน สมชายก็แพ้ประชาชน ยิ่งลักษณ์ก็แพ้ประชาชน เพราะประชาชนได้ออกไปปฏิวัติ รัฐประหารรัฐบาล ขออภัย ทักษิณไม่ต้องเพราะมีพลเอกสนธิมายึดอำนาจ ที่จริงไม่ได้ยึดอะไร เอารถถังมาตั้ง คนก็เอาดอกไม้ไปเสียบปลายปืน แสดงให้เห็นว่าประชาชนยอมรับว่าทหารมาปฏิวัตินี้ถูกต้องแล้ว ไล่ไปเถอะรัฐบาลทักษิณนี่ มันก็เป็นความเห็นประชาชนพร้อมกันทำ เห็นด้วยกัน เป็นรูปแบบชนิดหนึ่ง ส่วนของ สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ ประชาชนปฏิวัติเขาก็แพ้ ต้องออกไป ซึ่งเป็นการแพ้อำนาจประชาธิปไตยของประชาชนจริงๆ แล้วเป็นการปฏิวัติรัฐประหารด้วยความสงบไม่ใช้อาวุธ อันนี้นักรัฐศาสตร์ต้องตามศึกษาอย่างมาก เขาไม่เชื่อหรอกว่าประชาชนจะปฏิวัติโดยไม่ใช้อาวุธได้สำเร็จ จริงๆแล้วโดยพฤตินัยอันลึกซึ้งนั้น เป็นได้โดยไม่ใช่เผด็จการซ่อนรูป ขอยืนยันว่าไม่ใช่เผด็จการซ่อนรูป เป็นประชาธิปไตยที่แท้ที่ประชาชนปฏิวัติรัฐประหารจริงๆไม่ใช่รูปแต่คุณไม่รู้คุณก็ยังมีดีนิดนึงที่รู้ว่าอันนี้ก็ยังได้อยู่นะไม่เต็มเต็งเท่าไหร่
เพราะว่าพลเอกประยุทธ์ไม่ได้รัฐประหารอะไร เข้ามาก็บอกว่าผมขอยึดอำนาจและบริหารประเทศไปเลย เพราะว่าไม่ได้ปฏิวัติรัฐประหาร แต่ประชาชนปฏิวัติรัฐประหารสำเร็จแล้ว ประยุทธ์ก็บอกว่าผมขอยึดอำนาจ ใช้ภาษาเล็กน้อยเพราะเอาอำนาจนั้นจากประชาชนไปปฏิบัติ โดยบอกนิ่งสวยๆซึ่งตอนนั้นเขาก็ไม่มีอำนาจทั้งพฤตินัยนิตินัย โดยก็บอกไปตามมารยาทสังคม เป็นสมมติไม่ได้มีเนื้อแท้อะไร เพราะเนื้อแท้ไม่ต้องพูดก็บริหารได้ แต่บอกโดยมารยาท เพราะเขายังหลงตนเองเดี๋ยวจะมาโวยวายว่าทำอะไรก็ไม่บอก พลเอกประยุทธ์ก็เลยบอกเขาหน่อย แค่นั้นเอง จะพูดว่าเขาทำต่อก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง อีกนานกว่าเขาจะเข้าใจได้ดี ละเอียดละออ
เพราะฉะนั้นคุณเดชาแปลว่าพลเอกประยุทธ์เป็นพาล และที่บอกว่าเขาชนะการเลือกตั้งอย่างไรก็ตาม แต่ประชาชนไม่เห็นด้วยไม่เอาด้วยเขาก็ไล่ทั้งนั้น จะเลือกตั้งมาอย่างไรก็เถอะ ประชาชนเป็นใหญ่เป็นเจ้าของอำนาจ เขาไม่เห็นด้วยเขาก็ไล่ ซึ่งประชาชนไม่ได้ผิดเลย คุณไม่รู้เรื่องของพฤตินัยที่เป็นเรื่องลึกซึ้ง แล้วไทยทำสำเร็จสวยงามที่สุดแล้ว ก็ศึกษาไป
คุณก็พูดไปได้ เขาก็ทำไปตามกฎเกณฑ์สังคม เขาไม่ได้นอกกฎหมาย แต่พฤติการณ์ของอเมริกาเขาก็ไม่ได้ทำผิดนอกกฎหมายนอกระเบียบที่ไหน ถ้าต่อไปมีการพิสูจน์ว่าทุจริต โดยเฉพาะโจ ไบเดนหากมีการทุจริตก็ต้องถูกไล่ออกจากการบริหารเองแหละ กฎหมายมันมีลำดับอะไรหมดคุณอย่ามั่วสิ
ชาติ 5 แบบคลี่ขยาย
ทีนี้มาเข้าสู่เรื่องธรรมะ จะพูดถึงเรื่องชาติ
ชาติ คำนี้เป็นคำขึ้นต้นและลงท้าย ถ้าคุณรู้ชาติดับชาติได้ ภพก็ดับ อุปาทานก็ดับตัณหาดับ ผัสสะดับ เวทนาดับ อายตนะดับ วิญญาณดับ สังขารดับ อวิชชาก็ดับ บรรลุหมดเลยตามหลักปฏิจจสมุปบาท มีนัยยะลึกซึ้งมากตั้งแต่เริ่มต้นจนได้มีรายละเอียดจนจบความเป็นชาติ
อาตมาจึงพยายามมาคลี่ขยาย ชาติ ที่เป็นชาติ 5 ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้
ชาติ คือ รูป การเกิดทางกาย เกิดชาติพันธุ์ ประชาชาติ
ชาติ คือ นาม การเกิดทางจิตโอปปาติกโยนิ ได้แก่
1.ความเกิด (ชาติ) 2.ความบังเกิด (สัญชาติ)
3.ความหยั่งลง (โอกกันติ) 4.เกิด (นิพพัตติ)
5.เกิดจำเพาะ (อภินิพพัตติ) [ล.16 ข.7]
คนที่อวิชชาไม่รู้ก็จะเกิดบ้างดีบ้างชั่วสั่งสมไป จนกว่าจะมีปัญญามี อัญญธาตุ สามารถที่จะรู้จักสิ่งที่จะให้เกิด สิ่งที่ไม่ให้เกิดก็คือเป็นบาปเป็นอกุศลเป็นกิเลส ไม่ให้กิเลสเกิด เพราะฉะนั้นการเกิดนี้ก็จะเป็นการเกิดที่ปราศจากกิเลสหรืออย่างเก่งก็ระงับได้บ้างส่วนหนึ่ง ก็ยังเป็นกิเลสอยู่บ้างถ้าสามารถระงับได้ดีเลย ก็ไม่มีกิเลสร่วมเกิดในชาติที่จะให้เกิด ก็มีแต่จิตสะอาดบริสุทธิ์เกิด ก็ทำให้กิเลสลดลงไม่ให้เกิดเต็มตัวได้ก็เรียกว่าการเกิดแบบ “นิพพัตติ” พอเป็นการเกิดที่ไม่ให้มีกิเลสร่วมได้เลยเรียกว่า “อภินิพพัตติ”
อาตมาเองก็คลี่ขยาย อีกอันว่า
-
การเกิดที่มีร่างกายเป็นคนเป็นสัตว์ ถ้าตายก็หมดในชาตินี้ ชาติหนึ่งก็คือการเกิดในร่างกายที่มีอยู่ พอคุณตายคุณก็เลิกไปชาตินึง ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือจิต จากนั้นก็จะไปเกิดเป็นสัมภเวสีไม่มีที่ตั้งทางร่างกายก็อยู่ที่จิตเท่านั้นเอง มันก็ไปของมันตามเรื่อง ซึ่งก็ไม่ต้องไปตามศึกษาเพราะไปทำอะไรกับมันไม่ได้คิดอย่างนั้น พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าอย่าไปยุ่งกับมันสำหรับจิตที่ไม่มีรากไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายไปจับเอาอะไรมันไม่ได้ มันอิสระเสรีไปของมัน ตัวใครตัวมัน พระพุทธเจ้าไปทำก็ไม่ได้
-
การเกิดแบบโอปปาติกโยนิ คือเป็นการเกิดทางจิตวิญญาณในร่างเป็นเป็นของเรา เป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณในร่างคนเรา การเกิดอันนี้ ถ้าวิญญาณนี้ขาดจากความเป็นสัตว์ คือโอปปาติกสัตว์ วิญญาณหากเกิดเป็นสัตว์อยู่ก็เรียกโอปปาติกสัตว์ เช่นพระพุทธเจ้าแจกแจงไว้เป็นสัตตาวาส 9 เป็นต้น
-
การเกิดแบบลิงลมอมข้าวพอง การเกิดแบบนี้ เป็นสิ่งที่ถูกครอบงำจากกระแสโลกในขณะที่เรายังไม่โต เช่นว่าเด็กเกิดมาใหม่ๆก็ยังไม่โตก็ถูกครอบงำจากโลกเมื่อโตขึ้นมาแข็งแรงผู้มีโลกุตรจิตก็สู้กับโลกได้ ผู้ที่ไม่มีโลกุตรจิต ก็ถูกโลกครอบงำดีไม่ดีจะไปหลงตามโลกียไปกับโลกเลย เขาต้องการจะร่ำรวยมากมีอำนาจมากได้ลาภยศสรรเสริญสุขมากไปใหญ่เลย ก็ไม่มีทางอื่น แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่พ้นการถูกครอบงำ โพธิสัตว์ก็ไม่พ้นการถูกครอบงำอันนี้ พระราชบิดาครอบงำพระพุทธเจ้าจริงๆ เพราะถูกพยากรณ์ไว้ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าท่านก็ปิดทางเลย ไม่ให้รู้โลกเลย ขนาดคนแก่คนเจ็บคนตายยังไม่รู้จักเลยนักบวชยังไม่รู้จักสำหรับเทวทูต 4 อย่าง
-
การเกิดขึ้นเป็นประเทศชาติ หรือชาติรัฐ เกิดในองค์รวม ของพื้นที่สถานที่ บุคคล อาหาร ธรรมะ เช่นของประเทศไทย จะมีวัฒนธรรมความรู้ตามของแต่ละชาติแต่ละประเทศเขามีกัน มีผู้รู้ผู้มีอำนาจจะให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ อย่างเช่นประเทศไทย มีการอยู่อย่างราชประชาสมาสัย เป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นที่ยอมรับของคนทั้งโลก แม้แต่ประเทศหรือชาติรัฐที่เขาไม่มีพระเจ้าแผ่นดินเขาก็ยอมรับ ว่าเป็นประชาธิปไตย ซึ่งพวกอันธพาลจะหาเรื่องเอาง่ายๆในขณะนี้พวกอันธพาลออกมาร้องเรียก โดยเข้าใจว่าประชาธิปไตยต้องไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน แล้วก็จะล้างพระเจ้าแผ่นดินให้หมดจากประเทศไทยจะให้เป็นแบบที่ตะวันตกหรือโลกก็มีกัน แบบอเมริกาเป็นต้น ความรู้เขามีกรอบแค่นั้นก็ทำอย่างนั้น
-
การเกิดแบบตรรกะ คือ ยึดทิฏฐิ หรือยึดอัตตา
ทิฏฐิ คือความเห็นความเข้าใจของผู้นั้นว่ามีทิฐิอย่างไรเชื่ออย่างไร ก็ตกผลึกเป็นอัตตาของแต่ละคนไป แต่อยู่ในคนละสถานะเท่านั้น ทิฏฐิคือตัวทำงาน เป็น Dynamic อัตตา เป็น static
ก็มี 2 อย่างคือคู่เป็นเทว คือภาวะ 2 อย่างของโลกที่มีจิตวิญญาณกับมนุษยชาติ มนุษยชาติเป็นสัตว์ที่มีจิตวิญญาณและมีวัฒนธรรมความต่างกันกับสัตว์เดรัจฉาน ปกครองดูแลกันหรือว่ามีคุณค่าที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ต่อตนเองประโยชน์ต่อพืชพันธุ์ธัญญาหารดินน้ำไฟลมประโยชน์ต่อมนุษยชาติ คนนี้เป็นได้สัตว์ก็เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติไม่ได้หรอก คนไปเอามันมาเป็นประโยชน์ ไปกินแรงมันไปเอามันมาใช้เป็นประโยชน์ หรือเอามากินเป็นอาหารเลย เป็นสุดยอดแห่งยักษ์มารแห่งคนเห็นแก่ตัว เอาแรงงานมันมาใช้ไม่พอ ยังเอาเนื้อหนังมังสามันมากินอีก
ต้องแก้ทิฏฐิ อัตตา ให้สัมมาทิฏฐิ แล้วทิฏฐิ กลายเป็นปัญญา ล้างอัตตาสุดยอด เป็นคนหมดอัตตา เป็นอนัตตา เป็นพระอรหันต์ก็จบลงที่ไม่มีอัตตา รู้ทั้งสิ่งที่เป็นอนัตตาและสิ่งเป็นอัตตา แต่ท่านอาศัยอนัตตาเป็นพื้นฐาน แล้วก็อาศัยใช้อัตตาไปโดยไม่ยึดมั่นถือมั่นทั้ง อัตตาและอนัตตา
แล้วท่านก็รู้จักสมุทัยของโลกจึงทำให้ โลกาธิปไตย ทำให้โลกอยู่ได้ด้วยดีด้วยอำนาจแห่งธรรม อำนาจของท่านคือสติแล้วก็ควบคุมด้วยปัญญา คือสิ่งที่เหนือโลกอีกทีหนึ่ง ปัญญาก็คุมสติอีกทีหนึ่ง
สติคือพลังงานคืออธิปไตยที่รู้โลก ก็ช่วยโลกบริหารโลกด้วยปัญญาที่อยู่เหนือโลกเหนือโลกีย์เหนือการที่จะตกเป็นทาสทั้งมวล จึงเป็นผู้ที่มีสติและเข้มแข็งแรง เป็นอธิปไตยมีปัญญาจริงๆ คือมีความอยู่เหนือโลกจริงๆ มีความรู้ที่จะบริหารด้วยความรู้ ไม่ได้ไปดูถูกข่มขี่ให้เขาลำบาก จะช่วยแม้แต่คนชั่ว ช่วยให้เขาฟื้นจากความชั่วกลับจากความชั่วเป็นความดี สุดวิสัยที่จะช่วยก็ต้องปล่อยให้เขาไปตามยถากรรม เพราะถ้าขืนไปช่วยคนนี้อันธพาลมากไปแต่ไม่ได้มันยิ่งใหญ่คืออัตตาเต็มตัวก็ต้องปล่อยไปตามยถากรรม ส่วนที่พอช่วยได้แม้แต่น้อย อย่างเช่นอาตมาช่วยได้เท่าที่พอจะช่วยได้ ช่วยอยู่พูดถึงอยู่ อาตมาพูดด้วยเมตตาเป็นการพูดให้ฟังพูดให้คนรู้เข้าไปด้วย จำเพาะเจ้าตัวรู้ด้วยยิ่งดีรับฟังแล้วก็เข้าใจว่าชั่วอย่างนี้เองหรือก็ยอมรับจริงๆยิ่งสุดยอดเลย
อาตมาก็จะพูดในวงที่อาตมาเป็นอยู่ก็คือวงของพุทธ อาตมาไม่เคยพูดถึงวงของศาสนาอื่นศาสดาอื่น เพราะอาตมาก็อยู่ในวงนี้แหละ ไม่ไปละลาบละล้วงวงอื่น ก็ทำงานไปอยู่อย่างนี้
โดยเฉพาะเข้าใจชาติรวมแล้ว อาตมากระจายชาติเพิ่มเติมอีกให้รู้ในเรื่องของโลกของอัตตาที่พูดกันเข้าใจ ในยุคพระพุทธเจ้ายังพูดกันได้ยากในเรื่องของชาติของรัฐ เพราะเป็นเรื่องของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สิทธิมนุษยชนอะไรพูดไม่รู้เรื่อง ทุกวันนี้สามารถพูดกันรู้เรื่องแล้วสามารถเปิดจิต รับได้เต็มที่ไม่มีอะไรมาห้ามไม่มีอะไรมากั้น ไม่มีอะไรมาทำให้เราไม่มีอิสระที่จะทำการรับรู้สื่อสารได้ เต็มสภาพแล้วทุกวันนี้
ชาติของสุขกับทุกข์
ก็มาเข้าสู่ชาติ ที่เป็นเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้าเลย จับที่ตรงปลาย ปฏิจจสมุปบาท
ชาติ ภพ อุปาทาน ตัณหา เวทนา ผัสสะ อายตนะ รูปนาม วิญญาณ สังขาร อวิชชา
อวิชชาเป็นขั้วหัว ชาติเป็นขั้วปลาย
คนเริ่มด้วยอวิชชาขั้วหัว ก็จะเป็นไปตามปฏิจจสมุปบาทหมดเลย เพราะมีอวิชชาเป็นเนื้อแท้เป็นอำนาจเป็นต้นตระกูล ก็ครอบงำหมดครอบงำสังขารวิญญาณ ไม่รู้จักนามรูปไม่รู้จักวิธีต้องมีผัสสะต้องมีอายตนะ และจะต้องเกิดเวทนาและปฏิบัติที่เวทนานี่แหละเป็นตัวกลางเป็นตัวสำคัญ เพราะเวทนาเป็นตัวกรรมฐานหลัก เป็นตัวปฏิบัติหลักไม่มีเวทนาไม่มีที่ตั้งให้ปฏิบัติไม่มีฐานะให้ปฏิบัติ
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติไปดับเวทนาไปหลับตาดับเวทนาไม่มีผัสสะอายตนะไม่มีภายนอกมันโมฆะมันปิดประตูเลย สำหรับพวกหลับตาปฏิบัติ ไม่มีเวทนาให้ปฏิบัติมีแต่สัญญากำหนดไป
และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เกิดชาติของสุข เกิดชาติของทุกข์ นี่แหละ ในจิตของใครยังมีชาติอาการของสุขโดยเฉพาะทุกข์ที่มันร้ายแรงรู้ก่อนรู้ง่าย แต่สู้กับพวกนี้จริงๆแล้วก็คือมายาทั้งคู่ แล้วก็เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออกเหมือนกระดาษแผ่นเดียว เผาสุขหรือเผาทุกข์ได้หายไปหมด เหมือนกระดาษแผ่นเดียว
เพราะฉะนั้นทำอย่างไรจะกำจัดอาการของจิตที่ยังมีอาการของสุขอาการของทุกข์ พระพุทธเจ้าเลือกเอาให้มาศึกษาทุกข์เพราะมันเป็นการรู้ง่ายดูอาการได้ง่าย หากว่าไปให้เลือกความสุขใครจะไปยอมเพราะมันโง่เต็มที่ มันไม่รู้จักสุขจักทุกข์ ว่ามันเป็นมายามันไม่มีจริงหรอกเป็นอนัตตาไม่มีตัวตน สุขทุกข์ไม่มีจริงไม่มีตัวตน แต่คุณไม่เชื่อ อาตมาเชื่อเพราะอาตมาไม่มีตัวตนของสุขทุกข์แล้ว อาตมาปฏิบัติได้ แล้วก็จิตก็เป็นอุเบกขา จิตใจไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เป็นจิตบริสุทธิ์จากกิเลสที่พาให้สุขให้ทุกข์ มันหมด กิเลสแล้วก็ไม่มีสุข เกลี้ยงสิ้นอาสวะสิ้นอนุสัยแล้ว มันก็ไม่มี
ไม่มีแล้วเราก็มีปัญญาญาณหยั่งรู้ ว่าจิตของเรามีความรู้จริงๆว่าอาการของสุขของทุกข์เป็นอย่างไร อันนี้ชาติสุขอันนี้ชาติทุกข์ มันจะเกิดอยู่ก็ดูหน้าตาของมัน อาตมาสามารถพูดสภาวะภาษาให้สื่อสภาวะให้คุณเข้าใจ เพราะสื่อก็คือภาษาให้คนอื่นรู้ได้ตามของจริง ถ้าไม่ใช่สื่อไม่ใช้ภาษาพยัญชนะภาษาคำพูด สื่อด้วยใบ้ๆ ก็พอรู้เป็นภาษาใบ้มันก็ยาก แต่ถ้ามีภาษาที่กำหนดเลย เป็น อธิวจน ปฏิฆสัมผัสโส อธิวจนสัมผัสโส ไม่ใช่ว่าไม่มีเลยมีแต่แค่ ปฏิฆสัมผัสโส ยังไม่มีอธิวจนสัมผัสโส ก็เลยไม่รู้กันได้ง่ายๆ เรารู้ได้ก็ภาษาพุทธเจ้าแม้แต่เป็นบาลีแล้วเขาก็เอามาอธิบายให้เป็นภาษาไทยให้ฟังให้เข้าใจ
ชาติ ผัสสะ เวทนา
เริ่มต้นด้วยพยัญชนะ หรือภาษาหรือคำพูดของพระพุทธเจ้า ว่า ชาติ มีชาติ จึงเกิดภพ เป็นปัจจัยหรือมีปัจจัยเป็นภพ
“ภพ” กับ “ชาติ” แตกต่างกันอย่างไร? “ชาติ” คืออาการของจิตที่มันเริ่มเกิดพระพุทธเจ้าก็ให้เรียนว่าจิตเริ่มเกิดเริ่มดำริ เรียกว่า “ตักกะ”
ให้ฝึกอ่านตัวนี้เลย เพราะฉะนั้นจะอยู่ดีๆมันก็เกิดดำริขึ้นมาโดยไม่มีเหตุปัจจัยข้างนอกไม่มีกระทบสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย มันก็เป็นชาติเหมือนกัน แต่เป็นชาติที่เรียกว่าสัญญาการกำหนดรู้ที่เกิดมาโดยไม่มีเหตุปัจจัย ซึ่งเมื่อไม่มีเหตุปัจจัยมันก็มีแต่เรื่องเก่า เรื่องเก่านี้ เป็นเรื่องที่เคยเกิดจริงกับตัวเรา อดีตพระพุทธเจ้ารวบรวมไว้ในทิฏฐิ 62 เรื่องเก่าก็มีประมาณ 18 ความเห็น ทิฏฐิ 18 ความเห็น มันไม่มีชีวิตต่อไปได้อีกก็ได้ก็มีแค่พยัญชนะที่จนที่สุดไม่ได้ก็คิดไปทั่วๆไปหาที่สุดไม่ได้ คำว่าหาที่สุดมิได้ คนนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นอรหันต์ คนที่หาที่สุดมิได้ไม่มีสิทธิ์จะเป็นอรหันต์เช่นพวกที่หลงความรู้ในสังคมมีการหลงความรู้สูง สรุปความรู้ความรู้มันเยอะเหลือเกิน ความยึดถือ เท่านั้นเอง
ส่วนอนาคตก็คิดไปเป็นไปได้ ก็ได้ เป็นไปไม่ได้ก็ได้ จนในที่สุดไม่มีสามารถที่จะคิดอะไรต่อไปอีกก็ได้ หาที่สุดไม่ได้ ก็คิดไปเพ้อฝันไป
พวกที่หาที่สุดไม่ได้ คำว่าหาที่สุดไม่ได้นี้ คนนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นพระอรหันต์ เช่นพวกที่หลงความรู้ในสังคมมนุษยชาติหลงความรู้ ความรู้มันเยอะเหลือเกินก็รู้สึกสนุกอย่างเช่นปราชญ์ผู้รู้คนหนึ่งในประเทศไทย น่าสงสารที่ท่านติดในความรู้และท่านก็ไม่หยุดเลยไม่หันมาเรียนรู้จิตเจตสิกรูปนิพพานให้จริงจังแล้วจบ เป็นพระอรหันต์ให้ได้ก็เลยหาที่สุดไม่ได้ ท่านก็เลยไม่รู้ว่าท่านจะได้เป็นพระอรหันต์เมื่อไหร่ เพราะท่านไม่หันมาหยุดเพราะความรู้ที่จะให้เป็นอรหันต์ของท่านนั้นมันเกินไปแล้วความรู้ท่านมีมากจริงๆ ความรู้ที่ท่านมีมากเอามาใช้ปฏิบัติไม่ต้องเอามาเต็มที่ท่านรู้เพราะท่านรู้มากเกินล้นที่จะเป็นอรหันต์ เอามาประมาณหนึ่ง ปฏิบัติเท่าที่จะมีองค์รวม
เพราะฉะนั้นถ้ามาตั้งต้นที่ชาติมาดูว่าจิตเราเกิด อะไรเกิดเป็นสำคัญ กิเลส เรียนรู้กิเลสให้จริง ในชีวิตทุกเวลาทุกสัมผัสที่มีเวทนาเกิด วิจัยในเวทนา เวทนาจึงเป็นตัวที่เป็นกรรมฐานหลักของศาสนาพุทธ อันเดียวนี่แหละพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) จับสองเอามาทำงาน เรียนรู้ภาวะ 2 ที่มันเกิดของเวทนานี่แหละแล้วทำให้เป็นหนึ่ง ให้สำเร็จ มันเกิดเป็น 2 เกิดเป็น 2 ก็เรียนรู้ 2 จึงจะจัดการกับเทวะนี้ได้
เช่นมันมี 2 สุขกับทุกข์ คุณก็ทำเหตุแห่งทุกข์ให้มันลดลงก็จะเหลือเรียกอนุโลมว่ามันเป็นสุข เอาพยัญชนะมาเรียกนะ มันก็จะเหลือเช่น กามสุข ที่แท้มันเป็นทุกข์เป็นกามทุกข์ ไม่ใช่กามสุข แต่คุณใช้มายาหลอกตัวเองเท่านั้น พระพุทธเจ้าให้จับตัวใดตัวหนึ่งให้จับตัวทุกข์ก่อนก็มารู้จัก กามทุกข์ แต่เขาไม่รู้จักเขาเรียกว่ากามสุขแล้วดันเรียกว่ากามคุณด้วย ก็โง่ ที่จริงมันกามทีนวะต่างหาก เป็นกามโทษไม่ใช่กามคุณ
อนุปุพพิกถา 5 พระพุทธเจ้าท่านสอน ในเรื่อง
-
ทาน การสละ การให้
-
ศีล การชำระขัดเกลา ด้วยเจตนางดเว้น
-
สัคคะ (สวรรค์)
-
กามานัง อาทีนวัง โอการัง สังกิเลสัง
โทษของกาม ความต่ำทรามของกาม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย . .
-
เนกขัมมะ อานิสัง อานิสงส์การออกจากกาม
แม้แต่สอนกันก็ไม่สามารถแยกแยะ กามโทษ กับ กามคุณได้ คนโง่อวิชชาก็บอกว่ากามเป็นสุขเป็นกามคุณก็โง่ถูกหลอกไป กามเป็นโทษเป็นอาทีนวะ โว้ย นี่คือคำสอนพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่ากามทุกข์ กามโทษ
นักสอนธรรมะที่ไหนก็ไม่พูดอย่างอาตมา อาตมารู้อย่างนี้ก็พูดไม่เหมือนเขา เขาก็หาว่าพูดเอาเอง อาตมากำลังยืนยันคำสอนพระพุทธเจ้าทั้งนั้นไม่ได้พูดเอาเอง
คนที่รู้จักอาการของจิต อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อาตมาอุเทศ คือชี้แจงอธิบายแจกแจง
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…วันนี้เข้าห้องเรียนพระอภิธรรมกัน เรียนเพื่อทำการลดกิเลสไม่ใช่เรียนเพื่อไปสอบเอาลาภยศสรรเสริญสุข
พ่อครูว่า…เรียนให้รู้สัจจะ ธรรมะ คือกิเลสแล้วล้างกิเลสให้หมดก็จบ จะได้เป็นพระอรหันต์จะได้รู้จักกรอบแห่งการเอามาอธิบายกัน ไม่ต้องไปเสียเวลารู้เรื่อง โลกจินตา มันเป็นความคิดของชาวโลก โลกคิดกันไปเยอะ จะไปตามดูหาที่สุดไม่ได้ จะไปตามความคิดของชาวโลก เขาคิดไป หากเราจะไปตามความคิดเขาก็ถูกจูงจมูกถูกหลอกไปหาความรู้อะไรมากมายไม่มาหาการปฏิบัติให้จบก็เลยไม่รู้จักกรอบ รู้สิ่งที่ควรจะต้องเอามาใช้อธิบายกับบุคคลแต่ละกลุ่มแต่ละหมู่ มันก็เลยได้แต่รู้ๆๆๆ
ผู้ที่ฟังอาตมาพูดเข้าใจจะสะดุ้งเฮือก ว่าโพธิรักษ์พูดถูก ใครเข้าใจได้อย่างนี้อาตมาอนุโมทนาสาธุ เพราะสงสารจริงๆ ผู้ที่หลงความรู้เนี่ย พูดภาษาอังกฤษ ไม่รู้จักจบความรู้และเอาความรู้นั้นมาสาธยายให้ชาวโลกเพื่อให้เขารู้ว่าฉันรู้มากก็มีงานเยอะไม่รู้จักจบ อาตมาไม่มีงานแล้วอาตมาจบกิจ อาตมาประกาศไปแล้วว่าไม่ทำอะไรแล้ว เคยพูดภาษา แต่อาตมาก็ทำอยู่อย่างธรรมดา ที่พูดคือภาษาจบกิจ
ตัณหา 3 อุปาทาน 4 ภพ 3
ความคิดของคุณ คุณไม่ได้คิดเท่านั้นยังมีตัวตัณหา ถ้าคุณคิดก็แค่คิดก็เสพอุปาทานของคุณไป
เสพอุปาทาน มีอะไร
1 การเสพกาม คือ กามุปาทาน
2 เสพ ศีลพรต สีลัพพตุปาทาน ศีลพรต คือการปฏิบัติ นักปฏิบัติไปเสพการปฏิบัติ
-
ทิฏฐุปาทาน ติดยึด ในความเห็น ตัวนี้แหละน่าสงสารที่สุดเลย ความเห็นความรู้ความเชื่อ แล้วก็ยึดอยู่ในความรู้ของกู ทิฐิความเห็นของกู ความเข้าใจของกู ความฉลาดของกู ความเชื่อถือของกู ยึดอยู่ตรงนี้ ทิฏฐิ แล้วก็จบลงที่อัตตาตัวตน แล้วยึดได้แค่นี้ แค่นี้คืออะไร แค่นี้คืออัตตวาทุปาทาน คืออัตตา ตกผลึกเป็นอัตตาแล้วอัตตาที่ยึดได้นั้น ซ้อนลงไปน่าสงสารยิ่ง ยึดได้แค่วาทะ ไม่เข้าถึงสภาวะเลยนะ เป็นแค่คำพูดความรู้บัญญัติ ตักกะ แค่พยัญชนะ ไม่เข้าสู่สภาวะจิตเจตสิกรูปนิพพาน เป็นแค่วาทะของอัตตา