640120_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คนเจริญคือคนที่เสียเปรียบมากกว่าได้เปรียบ
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1w7gdDGKpwjTyu0Pb3Tg8b4EGQo4VvJMoIjXp5pf3Lwo/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่https://drive.google.com/file/d/1fTgvukRBqttDEXk2gK3oVFkZNZ6ESHL7/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/TQcUKC8X2Ag
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 20 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ข่าวดังในสังคมไทย ตอนนี้มีข่าวลุงพล ก็ถูกโลกธรรม ลาภยศสรรเสริญสุข หลอกเอา
พ่อครูว่า…
SMS วันที่ 17 ม.ค. 2564
_อังศุมาลี จิวเจริญสกุล : ผักตรงหน้าพ่อครูสวยงามมากค่ะ
พ่อครูว่า…เราทำพืชพันธุ์ธัญญาหารเอามาให้ดูไม่เหมือนที่อื่น เอามาโชว์เพื่อให้เห็นว่าเป็นความอุดมสมบูรณ์ดี จะได้เห็นสิ่งที่ดีๆได้ชมสิ่งที่ดีๆ เพราะว่าพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นอาหาร อาหารเป็นหนึ่งในโลก เราก็ต้องนำอันนี้มาโชว์
_เอื้อมพร : กราบนมัสการพ่อครูค่ะ ลูกมีความศรัทธาอย่างแรงกล้า จึงข้ามน้ำข้ามทะเลมาหาพ่อค่ะ
พ่อครูว่า…เขาไปอยู่ต่างประเทศเสียตั้งหลายสิบปีไปมีครอบครัวอยู่ต่างประเทศ เสร็จแล้วเจอธรรมะก็เลยข้ามน้ำข้ามทะเลมาเมืองไทย เพื่อจะมาใกล้ๆหมู่มิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี ก็เป็นปัญญาของคุณเอื้อมพร หรือคุณอ๋อย ปัญญาที่ได้พบสิ่งที่ดีๆ ในชีวิตก็อายุ 40-50 ปีขึ้นไปแล้ว ก็เข้าใจ ผ่านชีวิตมาพอสมควร อยู่กับโลกไปต่างประเทศไปทางเทวนิยมเขา แต่ก็ยังมีเลือดพุทธอยู่ พอมาเจอก็บอกว่าใช่ อันนี้เป็นเรื่องของบารมีเป็นเรื่องของคนที่มีดวงตามีภูมิธรรมสัมผัสธรรมะที่อาตมา(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) ฟังธรรมะที่อาตมานำเสนอและสะดุดใจน่าสนใจ ซึ่งชีวิตบางคนก็ไม่เคยได้สนใจธรรมะอะไรพอฟังอาตมา ก็สนใจแสดงว่ามีบารมี ส่วนคนแสวงหาธรรมะพระพุทธเจ้าอยู่ เสร็จแล้วก็ไปตกอยู่กับพวกหลับตาบ้าง พวกที่ไปเรียนภาษาบัญญัติเป็นมหาเป็นนักธรรมตรีโทเอกเป็นเปรียญ 9 เป็นดอกเตอร์อะไรไป ได้ตำแหน่งยศศักดิ์ เป็นพระครูเป็นเจ้าคุณ เจ้าคุณธรรมดา เจ้าคุณราช เจ้าคุณชั้นเทพ ชั้นธรรมอะไรไปจนเป็นสมเด็จอะไรไป ก็ไปอยู่อย่างนั้นก็น่าสงสารผู้ที่สนใจจึงบอกว่ามันลึกซึ้งโลกุตระเป็นอจินไตย
การนึกนินทาผู้อื่นจะผิดศีล 5 หรือไม่
_Sutas Supapattarnon (สุทัศ สุภาภัทรานนท์) : แค่นึกนินทาผู้อื่นจะผิดศีล5เป็นกรรมหรือเปล่าครับ /ผมมีความเบื่อหน่ายจะทำอย่างไร / ท่านจำลองยังกลัวกรรมเลิกกินใข่เพราะติดคุกไปหลายวัน ถ้าพาคนไปตายจะกรรมหลักหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า…ยังไม่ถือว่าผิดศีล 5 เพราะยังอยู่เป็นมโนกรรมภายในอยู่ แต่ก็ถือว่ามีจิตที่เป็นอกุศล ถ้ามีจิตที่รุนแรงอยากจะนินทา ก็เป็นกิเลสชนิดนึง
แค่นึกนินทาผู้อื่น ก็แสดงว่า มีเจตนาไปหาคนนั้นคนนี้แล้ว มันก็เป็นอกุศลที่มีบาป มีกิเลสประกอบด้วย อกุศลที่เป็นโลกียที่เป็นสมมติสัจจะ มันก็ไม่บาปอะไรหรอก ไม่เกิดกิเลสอะไร ทำไปตามประสาโลกตามสังคมก็พูดไป อันนี้ก็เป็นรายละเอียดที่อาตมาอธิบายให้ฟัง
แม้แต่ข้างในเป็นวจีสังขารก็เป็นบาปอยู่ มีกิเลสเพ่งผู้อื่น อาจจะยังไม่มากอะไรแต่ก็ไม่ควรประมาท
เรื่องความเบื่อหน่ายมันเกิดอยู่ในจิตเป็นอัตโนมัติแล้ว ก็รู้ว่ามันไม่ดี จะทำอย่างไรดี ก็พยายามรู้ความจริงให้ได้ว่ามันไม่ดี ไม่ใช่เรื่องดี รายละเอียดที่เอาแค่นึกนะ เราก็นึกก็เห็นว่าการนินทาผู้อื่นเป็นการนึกคิด นึกคิดนินทาผู้นั้นผู้นี้ อย่างนั้นอย่างนี้ กับที่อยากนินทาผู้อื่น เรามองผู้อื่นรู้จักคนอื่นว่าผู้นี้ไม่ดี แล้วเราก็นึกถึงว่าคนนี้ไม่ดีอย่างไร แต่เรายังไม่ได้อยากจะไปว่าอะไรเขาหรอก ไม่ได้อยากจะไปพูดว่าอะไร แต่มันเป็นสังขาร มันรู้เรื่อง คนที่สังขารเองก็รู้ว่าเราไปว่าสิ่งที่บกพร่องสิ่งที่ไม่ดี ของคนอื่นตำหนิอยู่ในใจ ก็ต้องรู้ความจริงให้ได้บางทีเรานึกถึงความไม่ดีของคนไม่ดีก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นบาปเป็นอกุศลไปทีเดียวมันก็ไม่ใช่ ซึ่งมันละเอียดลออ จิตของเราจะมีเจตนา มีสัญญาอ่านลึก ระลึกถึง แล้วมีเจตนา เจตนาถึงจะเป็นกรรม ถ้ามีเจตนาไปกระทบอะไรต่อ คนคนนั้นจะต้องมีตัวบุคคลหรือมีผู้ที่เราจะนินทา เกิดขึ้นอีกมันก็มีเจตนาถ้ามีเจตนาที่ไม่ดี
เมื่อเรานึกถึงเรื่องร้ายเรื่องผิดของคนอื่นแล้วก็ว่าเขา ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นบาปแต่เป็นกุศลก็ได้เป็นเจตนาที่เป็นกุศลเจตนา ต้องการให้เขารู้ให้เขาเข้าใจ อย่างเช่นอาตมาและนึกถึงคนอื่นที่ไม่ถูกต้องไม่ดีอย่างไรแล้วเราควรจะพูดอย่างไรควรจะบอกอย่างไร ควรจะอธิบายรายละเอียดอย่างไรเพื่อจะให้เขาเข้าใจเพื่อให้เขารู้แล้วสำนึกเสียอะไรอย่างนี้เป็นต้นก็คิดก็นึก ไม่ได้เป็นบาปอะไรแต่เป็นกุศลด้วยซ้ำอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันละเอียด ก็ให้ศึกษาไป
_ท่านจำลองยังกลัวกรรมเลิกกินไข่เพราะติดคุกไปหลายวัน ถ้าพาคนไปตายจะกรรมหนักหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า…ที่จริงไม่ได้พาคนไปตาย คุณจำลองมีตัวคนเดียวแต่คนอื่นเห็นด้วยก็มาร่วม จะบอกว่าพาคนไปตายเพราะนำคนอื่นไปทำอันนั้นอันนี้ จริงๆแล้วมันเป็นกุศล ถ้าจะว่าไปแล้วดูรายละเอียดองค์ประกอบ คุณจำลองทำสิ่งที่ไม่ดีหรือทำสิ่งที่ดี คุณจำลองทำสิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ เป็นประโยชน์ที่จะต้องขับไล่ผู้ที่มาทำลายบ้านเมืองให้ฉิบหายวายป่วง เป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่งแล้วก็ไปทำ จริงๆออกไปคนเดียวนะ นั่งสมาธิ แล้วก็มีคนฉลาดมานั่งด้วย แล้วก็มีใครต่อใครมาล้อมรอบ เชียร์กัน หนักเข้าก็เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เริ่มมีพฤติกรรมของฝ่ายตรงข้ามมีคณะมีอะไรต่ออะไร รัฐบาลก็เลยเกิดโตขึ้นโตขึ้นอะไรต่ออะไรมีเหตุปัจจัยทั้งนั้น ไม่ต้องขยายความเยอะ เป็นเรื่องของโลกที่มันเป็นมาแล้วเอามาทำตัวเท่านั้นเอง
ปฏิกโกสนาคือคัดค้านอย่างจัง
_ฟ้าปลื้ม ศรีจันทร์ : สะกดอย่างไรคะ ปะ_ติ_โก_สะ_นา
พ่อครูว่า…ปฏิกโกสนา แปลว่า การกล่าวคัดค้านจังๆ เป็นสำนวนของสมเด็จพุทธโฆษาจารย์
ทิฏฐาวิกัมม์ = เป็นการแสดงความเห็น แค่เห็นแย้งหรือชี้แจงความเห็นส่วนตัว แต่ไม่ได้คัดค้านหักหาญกันเต็มที่
ปฏิกโกสนา = การกล่าวคัดค้านจังๆ ไม่เห็นด้วย กล่าวด้วยเหตุผลข่มขี่ที่มีน้ำหนักมากกว่า เท่านั้น
แต่ไม่ถึงขั้น อักโกสะ = การด่า, การติเตียนด่าว่า
ขอบเขตของการกล่าวคัดค้านและเห็นแย้งได้เต็มที่นั้น จะไม่ก้าวล่วงไปเอาผิดกันทางอธิกรณ์ หรือไม่ข้ามเขตไปลงโทษกัน จนกลายเป็น อุกโกฏนา = การที่ไม่เป็นธรรม, ไม่สามารถยุติธรรมได้
อาตมาทำ ปฏิกโกสนาตลอดมา แต่ไม่ทำอักโกสะ แต่อาตมากล่าวตำหนิ แต่ถ้ากล่าวตำหนิอย่างมีกิเลส หรือแม้จะกล่าวเรียบๆเพราะๆก็ตาม แต่มีกิเลสก็ไปร่วมนั่นคือการด่า การตำหนิกับการด่าต่างกัน การติเตียนมีกุศลจิตได้ด้วย นิคคัณเห นิคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง ตำหนิคนที่ควรตำหนิ ชมคนที่ควรชม
อย่างเช่นอาตมาจะตำหนิชาวพุทธเมืองไทย ที่ปฏิบัติผิดอาตมาก็ตำหนิ ศาสนาอื่นเขาไม่เหมือน ถ้าจะพูดมิจฉาทิฏฐิศาสนาอื่นก็ต้องมิจฉาทิฏฐิจากศาสนาพุทธไปตั้งเยอะ อาตมาก็ไม่เห็นจะไปตั้งหน้าตั้งตาตำหนิ อาตมาก็ตำหนิในพวกเดียวกันหมู่เดียวกันเห็นว่าเป็นสังวาสเดียวกัน เป็นพุทธศาสนาร่วมกัน แม้จะเป็นนานาสังวาส ก็ให้ปฏิกโกสนาเต็มที่ แต่อย่าให้ถึง อักโกสะ หรือ อธิกรณ์ อย่าถึงขั้นฟ้องร้องกันจะเป็นอาบัติ แต่ถ้าเถรสมาคมมาฟ้องร้องอาตมานั้นเป็นอาบัติ จะเป็นฝ่ายน้อยฟ้องฝ่ายใหญ่หรือว่าฝ่ายใหญ่ฟ้องฝ่ายน้อยก็เป็นอาบัติ นี่คือพระวินัย ที่พูดไปไม่ได้หมายความว่าทำเท่ห์ แต่เถรสมาคมนั้นบื้อกับธรรมวินัยพระพุทธเจ้าอีกเยอะ พูดไปไม่ได้หมายความว่าไม่เคารพ แต่พูดด้วยความเคารพที่เป็นองค์กรหลักของประเทศไทย อาตมาก็ต้องเคารพด้วยสมมติสัจจะเป็นธรรมดา
SMS วันที่ 18 ม.ค. 2564
_Sakhon Wongwian (สาคร วงเวียน) : เอกีภาวะหลาย ๆ รวมกันเป็นหนึ่ง
พ่อครูว่า…เอามาพูดตามความเข้าใจตัวเองก็จะได้ เอกีภาวะ เป็นภาวะที่ลงตัวเข้าใจไๆร่วมกันมีทิฏฐิสามัญญตา ศีลสามัญญตา ในการประพฤติปฏิบัติ ก็จะเกิดภาวะ ตั้งแต่ 2 คนรวมกันเป็นหนึ่ง 3 คนรวมกันเป็นหนึ่ง 4 คนรวมกันเป็นหนึ่ง 5 คนรวมกันเป็นหนึ่ง ทำอยู่เสมอรวมกันเป็นหนึ่งก็เป็น เอกีภาวะ เป็นปึกแผ่นเหนียวแน่นเหมือนอย่างเช่นชาวอโศก สิ่งที่แน่นอนเที่ยงแท้ไม่แปรเปลี่ยนเป็นอื่นก็จะตีไม่แตกอย่างเช่นชาวอโศกเพราะเป็นสัจจะ
ทำอย่างไรจะไม่คิดฟุ้งซ่าน
_กราบนมัสการหลวงปู่ครับ ผม สส.ผ. พีรดนย์ ชั้น ม.3 “พวกผม” หน้าสลอนฟังธรรมหลวงปู่ เห็นหลวงปู่ทุกครั้งครับ แต่ “หลวงปู่ไม่เห็นพวกผม”
ขอถามว่าการที่จะไม่คิดฟุ้งซ่านควรจะทำอย่างไรครับ /
พ่อครูว่า…คิดฟุ้งซ่านคือคิดเกินเลยไปกว่าที่ควรจะพิจารณาใคร่ครวญ การคิดอยู่บ่อยๆไม่ใช่ฟุ้งซ่าน แต่ถ้าคิดอะไรไปไม่เข้าเป้าไม่มีเรื่องอะไรเป็นสาระ มีอะไรผสมผสานไปมากมาย มีเรื่องโลกเรื่องกิเลสเข้ามาปรุงผสมผเส นี่คือฟุ้งซ่านแล้ว แต่ถ้าคิดพิจารณาไปได้อรรถรสได้ธรรมะ คิดมากตลอดเวลาอย่างนี้ดี ดีแต่ให้รู้จักพักผ่อนบ้าง แต่มันจะติดมันจะชิน คิดแล้วก็จะชินหยุดอยู่ไม่ได้นี่แหละต้องระวัง เพราะฉะนั้นจะต้องหัดรู้จักพักรู้จักเพียร รู้จักหยุดให้ได้ ว่าควรหยุดก็ให้หยุด ต้องหยุดมันให้ได้ รู้จักหยุดให้ได้ต่อให้ได้..ฝึก แต่ถ้าเผื่อว่าไม่ปฏิบัติธรรมให้หมดนิวรณ์ 5 จริงๆมันจะทำได้ยาก มันเอาแรงเข้าว่า แรงตัดไม่ให้มันต่อ อยากให้หยุดก็ต้องพยายามบังคับ ก็ยากหน่อย แต่ถ้าปฏิบัติธรรมตามลำดับแล้วมันจะไม่เกิดมันจะหยุดก็หยุด เราจะหยุดไม่ต้องคิดอะไรเลยนั่งเฉยๆ นั่งไป 4 นาที 5 นาที 1 ชั่วโมง 1 ชั่วโมงมันอาจจะยาว อาตมาทำได้ แต่ไปทำถึงชั่วโมงไม่ทำหรอก จะอยู่ไปทำไมเฉยๆ แม้แต่นานเป็น 10 นาทีก็ไม่เคยทำ ก็สามารถที่จะสังขารปรุงแต่งให้เป็นประโยชน์ได้ ถ้านั่งคิดเฉยๆนะ แต่ไม่ได้อยู่เฉยๆอย่างนั้นบ่อยหรอก อาตมาถ้าไม่นอนก็ต้องทำงานอันนั้นอันนี้ ไม่ได้อยู่ว่างๆเฉยๆ 5 นาที 10 นาทีได้ ถ้าเกิน 10 นาที ไม่ได้มีอะไรเป็นสาระเท่าไหร่ว่างๆ ไปกับอันโน้นอันนี้ทำได้ เราก็รู้ เราจะรู้ว่าจิตของเราตอนนี้มีจิตว่าง การจะอ่านจิตของเรามีอารมณ์สุขอารมณ์ทุกข์ หรืออารมณ์ว่างๆ เป็น 3 อย่าง ว่างๆ ต้องอ่านอารมณ์เป็น อ่านอาการว่านี้เป็นสุข ธรรมะพระพุทธเจ้าตรงนี้แหละเป็นหัวใจศาสนา ต้องอ่านอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง อ่านอาการของจิตตัวเอง อาการอย่างนี้เป็นสุขนะ กำลังสุข เป็นสุขโลกีย เป็นเคหสิตโสมนัสเวทนา ก็อ่านออก หรืออันนี้เป็นสุขสงบคิดแบบไม่มีกิเลสเข้าไปปรุงร่วม ถ้าทำได้นะ แต่ถ้ารู้ว่ามีกิเลสอยู่แล้วเราก็แยกกิเลสออก แล้วพยายามทำให้กิเลสหมดไป อย่างนี้แหละคือการปฏิบัติธรรมแท้ๆไม่ได้ฟุ้งซ่าน แล้วต้องทำอย่างนี้ อ่านให้ออกเป็นเคหะสิตะ เนกขัมมสิตะ มโนปวิจาร 18 ตัวนี้แหละคือ หัวใจการปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ
ต้องดูเวทนาในเวทนา การพิจารณาในจิตของเราเองที่สมบูรณ์แบบ ต้องมีเหตุปัจจัยตากระทบรูป หูกระทบเสียง แล้วจะเกิดเวทนาที่เป็นความจริงเกิดในปัจจุบัน มีอาการนั้นแล้วแยกว่ามันบริสุทธิ์มีกิเลสร่วมหรือไม่ ถ้ามีกิเลสร่วมก็แยกกิเลสออก นี่คือคนปฏิบัติธรรมได้ถูกต้องได้ผลดีและพิจารณากิเลสนี้ ว่ามันมีอาการนี้มาผสมร่วม พิจารณาเลยเจ้าอาคันตุกะ อย่ามาแหลมหน้า เอ็งมันไม่ใช่จิตใจของข้า เอ็งมันเป็นตัวปลอม เอ็งเป็นตัวการใหญ่ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส มาร เราหักเรือนยอดของเธอแล้ว พิจารณาจนกระทั่งมันจางคลายหายไปก็รู้ความจางคลาย ความดับ จะเร็วขึ้นจนกระทั่งกระทบแล้วมันไม่เกิดเลยนี่คือบรรลุธรรม มันยังเกิดอีกก็รู้ทัน เมื่อใดก็รู้ทัน แล้วก็พิจารณาให้เข้าใจว่ามันเป็นไตรลักษณ์ มันไม่มีตัวตนไม่ใช่ตัวตนแท้หรอก เป็นของเกิดจากเราเองมีอุปาทานมาเก่า เราก็เลยมาเกิดเพราะอุปาทานนั้นมันมีภวตัณหา เป็นตัณหาแล้วก็ออกมาทางกายวาจานั่นแหละเป็นตัณหาแท้ๆเป็นกามภพ
เรียนรู้จิตที่มันคิดเกินนึกว่าฟุ้งซ่าน เอาง่ายๆ อย่างนี้ก่อน แล้วก็พักมัน ลดมันลง ให้รู้ความจริงอันนี้เข้าเป้าเข้าสัจจะเลย พัก แม้แต่เด็กก็หัดได้ รู้อาการของจิตนะ
ทำอย่างไรจะลดความขี้เกียจได้
_ผม สส.ผ ยอดชาญชัย คล่องงาน อยู่ชั้น ม.๑ ครับ พวกผมทำกสิกรรมทุกวันครับ มี มะละกอ,ฟักเขียว และอีกมากมายครับ ผมอยากทราบว่า หลวงปู่ลดความขี้เกียจได้อย่างไรครับ ผมอยากลดความขี้เกียจครับ /
พ่อครูว่า…ดี..แสดงว่ารู้ว่าอาการขี้เกียจมันเป็นอย่างไร ก็ลดอย่าให้มันเป็นอาการอย่างนั้นสิ มันขยันเป็นอย่างไรก็นึกถึงอาการขี้เกียจเป็นอย่างนี้ก็แก้ให้เป็นขยัน นี่พูดอย่างดื้อๆ ซึ่งได้จริงๆคนเราเข้าใจอาการขี้เกียจ ก็แก้กลับให้เป็นขยัน ขี้เกียจก็คืออยู่เฉยๆหรือเอาเวลาไปทำอะไรไร้สาระที่ไม่เป็นประโยชน์เป็นโทษภัยด้วยซ้ำอย่างนั้นเป็นตัวจริงของความขี้เกียจและเลวด้วย อยู่ดีๆไม่ทำงานที่ควรทำแล้วกลับไปทำสิ่งที่ไม่ควร ทำให้เสียหายไม่เข้าทาง มันก็ยิ่งแย่ใหญ่ รู้แล้วก็แก้กลับ จะไปขี้เกียจทำขยันแล้วเลิกสิ่งที่ไม่ดี นี่คือสาระของเราแท้ๆ
_ผม สส.ผ. ชยางกูร ชั้น ม.2 ผมอยากถาม ว่าถ้าเราลดกิเลสแล้วจะนิพพานไหมครับ
พ่อครูว่า…ใช่ ดีแล้ว
พ่อครูว่า…ถ้าเอา โศลกปีนี้มาขยาย คน ถ้าไม่ทำงานก็เดรัจฉานธรรมดา
ลักษณะคนขยะ ที่ทำให้คนไม่เป็นคน (หนังสือสรรค่าสร้างคนหน้า 60 )
-
ไม่ทำอะไรเลย ไม่คิดอะไรเลย ยกตัวอย่างอาจารย์เกษม(สุสานไตรลักษณ์)นั่งเฉยๆพยายามสงบไม่นึกไม่คิดไม่ทำอะไร นี่แหละคือคนขยะแท้ๆ ขออภัยที่พูดแล้วอ้างอิงตัวบุคคลเพื่อเป็นตัวอย่าง ก็ขอบคุณอาจารย์เกษม หลวงพ่อเกษม เขมโก แห่งป่าช้าสุสานไตรลักษณ์
-
มีเวลา มีโอกาส ก็ว่างๆอยู่ แต่ไม่หางานทำ
-
มีงาน มีสิ่งควรทำยิ่งกว่านั้นอยู่แท้ๆ แต่ไม่ทำ กลับไปทำในสิ่งที่ตนชอบ และมีความเพลิดเพลิน
-
หางานเบาๆ ทำ เพื่อไม่ต้องทำงานที่หนักกว่า
-
มีงานทำ แต่ไม่อยากทำดื้อๆ
-
นอนเกินกว่าควร พักเกินกว่าควรเล่น หรือเริงรมย์มากกว่า อยู่ว่างๆ เกินกว่าควร
_สุทัศณีย์ วงษ์กิ่ง : กราบนมัสการพ่อครูด้วยเคารพเจ้าคะ การเทศน์ของพ่อครูจะอธิบายได้ชัดเจนง่าย ๆ แต่ในคนที่มีวิบาก ฟังแล้วจำไม่ได้ จำได้ก็ปฏิบัติตามไม่ทัน สภาวะของจิตเรียกว่ามีวิบาก 11 ประการเป็นเช่นนั้นมั้ยคะ
พ่อครูว่า…ไม่เป็นหรอก ฟังแล้วเข้าใจง่ายตามไม่ทันจะเป็นวิบาก 11 ประการได้อย่างไร ไม่เป็น ไม่เกี่ยว ตรวจสอบตัวเองก็ดีแล้วล่ะ อย่าไปหาเรื่องใส่ตัวเองโดยที่มันไม่จริง จะโทษตัวเองมากเกินไป แต่ระมัดระวังไว้สังวรไว้นั่นแหละดี
สังคมชาวอโศกเป็นสาธารณโภคีที่ยอดเยี่ยม
พ่อครูว่า…เหตุการณ์ตอนนี้คุณโดนัลด์ ทรัมป์ ส่อแสดงให้เห็นเลยว่าอเมริกานี้สั่งสมความไม่จริงโดยการกดข่ม ทำเป็นไม่ใช่ คือเขาว่าเขาใช่ ใช่อะไร ใช่ประชาธิปไตยแต่จริงๆแล้วเขาไม่ใช่ก็เลยทำ กลบเกลื่อน นำออกเป็นสินค้าว่า เป็นวิชาการรัฐศาสตร์เรื่องประชาธิปไตยของอเมริกาเป็นเบอร์ 1 ซึ่งอาตมาว่ามันผิด เบอร์ 1 ของประเทศไทย ประชาธิปไตยน่ะ อาตมาถึงจำนนจริงๆตรงที่ว่า ประชาธิปไตยอย่างที่อาตมาเข้าใจนี้ อาตมาเอาอย่างของพระพุทธเจ้ามาเป็นตัวอย่าง ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านมีประชาธิปไตยตั้งแต่ในยุคของท่านที่เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แล้วคณะของสงฆ์ ท่านทำได้แต่ในวงสงฆ์ ประชาชนเข้ามาเป็นประชาธิปไตยด้วย แต่มันอยู่ในสังคมสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่มีสิทธิมนุษยชนอะไร ได้แต่รู้แต่ทำอะไรไม่ได้มาก จะมานั่งประท้วงเหมือนอย่างเขาทำทุกวันนี้ อิสระเสรี ตั้งแต่ทักษิณมา กับประชาธิปไตยของอเมริกา คิดให้ดีเถอะที่คนไทยพวกนอกรีต พวกนอกประชาธิปไตยเขาทำไม่เข้าท่า ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นทักษิณหรือลูกน้องทักษิณจนกระทั่งธนาธรหรือโดนัลด์ทรัมป์ หรือคนอื่นๆที่มีเชิงที่ไม่ใช่ แต่ที่ไม่ใช่นั้นเขากดข่ม กลบเกลื่อน เพื่อจะไม่ให้ลักษณะเหมือนอย่างโดนัลด์ ทรัมป์แสดงออกกับประชาชน 70 กว่าล้านคนที่แสดงออก นี่แหละคือเนื้อแท้ของประชาชนคนอเมริกัน 70 กว่าล้านคนขณะนี้ เขาอ้างอิงเลยว่าขณะนี้เขาคือความเห็นเดียวกันกับโดนัลด์ ทรัมป์ เห็นไหมว่าคนในประเทศเขา ชาวอเมริกันมีความคิดอย่างนี้ และที่ไม่แสดงออกมีอีก แต่จะเห็นอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ไม่ใช่น้อย
สรุปก็คือความเข้าใจองค์รวม Concept ของความเป็นประชาธิปไตยของชาวอเมริกาที่เป็นประชาธิปไตยที่มันแปรรูปมาเป็นขาเดียวมาจนกระทั่ง อิสรเสรีภาพ อิสรเสรีภาพเอาตัวเองเป็นเอก ต้องเห็นอย่างข้า อย่างที่ข้าเห็นนี่แหละเป็นประชาธิปไตย ซึ่งมันไม่ใช่ประชาธิปไตยจะต้องมี 2 ต้องมีฝ่ายหนึ่งเรียกว่าฝ่ายเสนอ อีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าฝ่ายค้าน ประชาธิปไตยอยู่โดดเดี่ยวพุ่งไปที่ 1 เดียวเดี่ยวๆ จนกระทั่งฝ่ายอื่นไม่ใช่ทั้งนั้น ไม่ได้ ฝ่ายค้านก็ต้องใช่ด้วย เขาคัดค้านได้ถูกมีสาระไหม แต่เป็นความผิดของเขาที่ยังไม่ควรในยุคนี้และองค์ประกอบขณะนี้ ในปริเฉทนี้ ในกาละนี้ หรือแม้แต่ในปัจจุบันที่ กาละนั้น น้อยที่สุดเล็กที่สุดก็ตาม คือ ต้องเข้าใจกาละเทศะฐานะต่างๆ โดยพุ่งที่อัตตาตัวเอง เอาความเห็นตัวเองเป็นใหญ่เลย เป็นอัตตาเต็มๆเลย แล้วคนที่เห็นร่วมกันก็มาผนึกกัน
เพราะฉะนั้นถ้าแทงลึกเข้าไปในถึงจุดที่จิตเป็นประธาน จิตเป็นประธาน อัตตาทั้งนั้น คนที่มาเห็นร่วมกันก็เป็นคณะคอมมิวนิสต์ เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยในตัวเองไม่มี ประชาธิปไตยแท้ๆคือคนไม่มีอัตตาตัวตน ทำงานกับประชาชนทำงานกับผู้อื่นเอาคนอื่นเป็นหลักเลย ไม่เอาตัวเองเข้าไปเป็นหลัก แต่มีปัญญาเอาปัญญาเป็นหลัก เอาความรู้ รู้จักองค์ประกอบทุกอย่างปรุงแต่งสังขารกันทั้งนั้น แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่ใช่เจ้ากี้เจ้าการเป็นพระเจ้า จะต้องเป็นอย่างที่เราบัญญัติไว้แล้ว หนึ่งเดียวเปลี่ยนไม่ได้ ต้องอย่างนี้ ไม่ใช่ เปลี่ยนแปลงได้ตามกาละเทศะฐานะ มันจะไม่เหมือนกัน เหตุปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคนี้กับยุคพระพุทธเจ้า หรือว่าในยุค 100 ปีที่อเมริกาเองหรือในยุค 100 ปีอเมริกา กับตอนนี้เหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งกันก็จะไม่เหมือนกัน เขาไม่รู้จักกาละเทศะฐานะเลย พวกนี้ไม่ละเอียดลออพอ ไม่มีเหตุปัจจัยที่จะเรียนรู้แบบมีสัปปุริสธรรม 7 แล้วมีมหาปเทส 4 เขาไม่มีความรู้หลักเกณฑ์เหล่านี้มาศึกษา
อาตมาไม่ได้โมเมที่บอกว่าประชาธิปไตยอยู่ที่เมืองไทยเป็นเบอร์ 1 แม้จะมีทักษิณก็ตาม ประชาธิปไตยของไทยก็ยังเป็นประชาธิปไตยที่ ดูหยาบๆ อาจจะดูเหมือนมันเป็นความเห็นแก่ตัวของผู้นำที่เห็นแก่ตัวเต็มที่ อย่างเช่นทักษิณ หรือมี ขออภัย อย่างจอมพลสฤษดิ์เป็นต้น ก็เป็นเพียงยุคคราวที่เป็นเช่นนั้น ซึ่งประชาชนต้องจำนนว่า มันเกิดมนุษย์ขึ้นมาแบบนี้ในยุคนี้กาละเทศะนี้ในช่วงนี้ มันก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลง แต่ค่ารวมที่จะพูดแล้วมีแกนหลักอยู่ในจิต จิตเป็นประธานของสิ่งทั้งปวงของคนไทยที่เป็นชาวพุทธ มีโลกุตรธรรมลึกๆอยู่ในใจ แล้วก็ไม่รู้จักว่าโลกุตระคืออะไร แต่มี
จนกระทั้งในประเทศไทยมีพระเจ้าแผ่นดิน เขาบอกว่าถ้ามีพระเจ้าแผ่นดินไม่ใช่ประชาธิปไตยเหมือนอย่างอเมริกาหรืออย่างธนาธรจะมาล้มล้างกษัตริย์ แม้อังกฤษเขาทุกวันนี้ก็ยังมีกษัตริย์ เป็นต้นแบบของประชาธิปไตยอย่างนี้เป็นต้น แต่นี่แล้วก็พูดกัน คงจะมีนักรัฐศาสตร์หรือชาวอังกฤษเข้าใจโน้มๆไปได้แต่เขาดูความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ อเมริกาเป็นประชาธิปไตยแท้กว่าอังกฤษ คนอังกฤษที่เป็นนักรัฐศาสตร์ก็อาจจะมีจิตอย่างนี้ซึ่งเขาไม่รู้ว่าอะไรคือประชาธิปไตยแท้
ประชาธิปไตยสรุปอีกก็คือ ต้องมีกษัตริย์ เป็นประธานาธิบดีนั้นเป็นประชาธิปไตยขาเดียวได้มาอย่างไรก็ไม่รู้ เป็นคนไม่มีราก ขอให้ประชาชนเลือกมา เป็นผู้นำ เมื่อหมดอำนาจก็เหมือนกษัตริย์นั่นแหละ แม้แต่คอมมิวนิสต์อย่างเกาหลีเหนือ คิมจองอึนยิ่งกว่ากษัตริย์เลยทุกวันนี้ ต่อทอดมาจากปู่ เขาโมเมว่าตัวเองว่าไม่ได้สืบสันตติวงศ์ เอาจริงๆ คอมมิวนิสต์ตัวแท้ๆ ในโลกเลยตอนนี้ มันไม่จริงหรอก จิตใจไม่รู้จักกิเลสไม่รู้จักอัตตา หากว่าเขาจะเป็นคอมมิวนิสต์ก็พยายามใช้ไม่ใช่อำนาจของผู้เดียว แต่ใช้อำนาจของคณะ แต่มันเป็นที่ไหน ตั้งเป็นรูปตุ๊กตาไว้เท่านั้น ตั้งคณะบริหาร แต่เด็ดขาด อยู่ที่คิมจองอึน อย่างนี้เป็นต้น
ซึ่งจิตมันไม่จริง จิตอัตตามันไม่ได้ลดง่ายๆ ไม่จริงหรอกมันทำไม่ได้ ถ้าไม่ได้เรียนรู้กิเลสแล้วลดอัตตาจนไม่มีอัตตาเลย เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยผู้ที่เป็นประชาธิปไตยต้องเป็นพระอรหันต์ไม่มีอัตตาเลย ผู้ที่เป็นหัวหน้าต้องเป็นพระอรหันต์ จึงจะเป็นประชาธิปไตยที่แท้ อย่างเช่นชาวอโศก อาตมาเป็นหัวหน้าเป็นพระอรหันต์พูดได้เต็มปากเพราะประกาศไปหมดแล้ว พูดความจริงไม่ได้พูดยกย่องตัวเอง ไม่ได้พูดอย่างมีกิเลสอยากโอ้อวดอะไร แต่พูดเป็นวิชาการ
อาตมาไม่มีตัวตน บริหารอย่างสบาย แล้วเป็นไปได้ บริหารระบบคนจนด้วย ให้มาเป็นคนจนตรงตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสไว้ทุกอย่างไม่ใช่พูดแค่ปากเปล่าแต่เป็นความจริงได้มนุษย์จริงๆ เป็น กลุ่มมนุษย์ที่ไม่ใช่คนเดียวกลุ่มเดียวแต่มีหลายกลุ่ม สังคมชุมชนชาวอโศกเป็นสาธารณโภคี ซึ่งเหนือชั้นกว่าคอมมิวนิสต์ จะว่าไปจริงๆแล้วเหนือกว่าประชาธิปไตยที่เขาเรียนกันอยู่เป็นดอกเตอร์เป็นนักรัฐศาสตร์ทั้งหลาย สาธารณโภคีเหนือกว่ารัฐศาสตร์ทั้งนั้นเป็นเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคี เป็นสังคมศาสตร์สาธารณโภคี
อาตมาพูดไปนี้ในอนาคตอาจจะ 100 ปีเขาจะค่อยๆเข้าใจว่าอาตมาพูดนี้เป็นอย่างไร จริงๆนะ 100 ปีอาตมาว่า สังคมโลกคงจะนึกถึงแล้วจะยกอาตมาไปให้ขึ้นให้ hornor อาตมาในอนาคต เหมือนบางคนที่ตายไปแล้วเขาก็เพิ่งจะนึกได้ ในองค์กรหลักๆหรือในยูนิเซฟ หรือ nobel prize ถ้าเขามีความรู้อันนี้เขาจะยก แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีทางหรอก จะรู้ก็แค่สังคมนิยมความรู้ของกรรมการเขา ยูนิเซฟก็เอนเอียงไปทางประชาธิปไตยสุดโต่งแบบอเมริกา ส่วนอีกอันหนึ่งมันเอียงแต่เขาไม่รู้หรอกว่ามันเอียง วิจารณ์ด้วยความจริงใจตามภูมิของอาตมา
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…ประชาธิปไตยแบบอเมริกา ข้าต้องใหญ่เท่านั้น
พ่อครูว่า…แล้วเขาก็ครอบงำนักรัฐศาสตร์ทั่วโลกว่าประชาธิปไตยของอเมริกาดีที่สุด เพราะฉะนั้นเขาจึงได้เครดิตว่าประชาธิปไตยต้องแบบของเขา ซึ่งมันไม่ถูก มันผิด มันเป็น เผด็จการ อิสระแบบฮิปปี้ข้าต้องใหญ่เป็น american First American Great เป็นต้น
สมณะฟ้าไท…อะไรก็เอาตัวเองเป็นหลัก
พ่อครูว่า…อเมริกาสร้างอาวุธไม่เก่งก็ไม่ได้รับการยอมรับในอำนาจอย่างทุกวันนี้ ที่เขาสร้างเอาไปยิงชาวตะวันออกกลางแบบนี้เป็นอันธพาลเป็นอาชญากร ขออภัยพูดไปแล้วคนอเมริกันอย่าโกรธเกลียดอาตมาพูดวิชาการ
คนไทยมี 60-70 ล้านคน แม้จะมีไม่มากแต่เป็นเนื้อแท้ยอดทองคำ มีค่าดีมากกว่าตะกั่วไม่มีเยอะ มากกว่ากันเป็นล้านต่อก็ตาม
รู้ทันทักษิณ รู้ทันทรัมป์ / ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
พฤติกรรมของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัล ทรัมป์ ที่ปลุกระดมมวลชนสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้นที่รัฐสภา หลังความพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมและต้องการมีอิทธิพลเหนือวุฒิสภาไม่ได้ผล จึงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย สมัยระบอบทักษิณเรืองอำนาจ
-
ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของธุรกิจผูกขาดขนาดใหญ่ ประสบความสำเร็จจากการเลือกตั้งภายหลังวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง 2540 ขณะที่ผู้คนถวิลหานักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาบริหารประเทศ เพราะมุ่งหวังว่าจะได้ช่วยนำพาเศรษฐกิจ
พ่อครูว่า…ขี้โกงเป็นนักเศรษฐกิจไม่ได้ ไม่ได้ชื่อว่าเป็นนักเศรษฐกิจชั้นดี
โดนัล ทรัมป์ เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐอเมริกาหลังวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ ที่คนอเมริกันแสวงหาผู้ประสบความสำเร็จทางธุรกิจมานำพาประเทศ
พ่อครูว่า…ถามจริง นั่งอยู่ตรงนี้ใครเคยโกงยังมีเล่ห์เหลี่ยมบ้าง …มีคนยอมรับ อย่าพูดเลยทุกหน้าเคยทำมา มันไม่รู้ตัวหรอก จริง แม้แต่อาตมาถูกลิงลมอมข้าวพองเหมือนเราไปโกงเขาด้วยเล่ห์เหลี่ยม แต่เราไม่ถือว่ามีเล่ห์เหลี่ยมนะเราถือว่าอย่างนี้ได้เปรียบ ไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดวัฒนธรรมเพราะมันละเอียด อยู่ในสังคมมันไม่ซื่อ คนที่สูงสุดแล้วนี้นะนอกจากไม่เอาของเขาแล้วให้เขาด้วยเสียเปรียบด้วยนั่นแหละคือคนเจริญ คนที่อยู่ในสังคมเป็นคนเสียเปรียบให้กับสังคมเป็นคนเจริญ คนที่อยู่กับสังคมคุณจะทำตนให้เท่าทุนมันทำไม่ได้หรอก ไม่เสียเปรียบมันก็ได้เปรียบ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีลักษณะ ได้เปรียบมาก ในวันหนึ่งคุณได้เปรียบมากกว่าเสียเปรียบคุณไม่ใช่แล้วคุณโกง แต่ถ้าในวันหนึ่งคุณเสียเปรียบ เฉลี่ยแล้ว เสียเปรียบมากกว่าได้เปรียบ นี่คือ คนเจริญ คนมีคุณธรรมคนมีประโยชน์แก่สังคม ยิ่งคุณอยู่เสียเปรียบมากๆ เสียเปรียบสุดตัวหมดสุดไม่มีกว่านี้แล้ว อยู่กับหมู่ฝูงไปกินใช้หมู่กลุ่มให้ใช้เท่าไหร่ก็ใช้ ไม่ใช้ก็แล้วไป อย่างชาวอโศกเราทำ มีวรรณะ 9 เต็ม
วรรณะ 9 สาราณียธรรม 6 คือประชาธิปไตยสุดยอดของความเจริญสุดยอด นักรัฐศาสตร์นักเศรษฐศาสตร์นักสังคมศาสตร์มาศึกษาเถอะ พระพุทธเจ้าท่านรวมความรู้ของมนุษยชาติและสังคมเอาไว้หมดแล้ว
-
ทั้งทักษิณและทรัมป์ ยึดนโยบายประชานิยม ชาตินิยม ผลประโยชน์ที่ให้เฉพาะกลุ่มคนที่เลือกเขาเป็นหลัก เหยียดคนกลุ่มน้อยและใช้ความรุนแรง
-
ทั้งสองคนพูดจาโผงผางไม่เกรงกลัวอะไร ใช้ระบบพรรคพวก เอื้อประโยชน์คนรอบข้าง คนในครอบครัวทั้งภรรยา น้องสาว ลูกสาว ลูกเขย มีส่วนในการเข้าแทรกแซงการบริหาร
-
ทักษิณพยายามแทรกแซงวุฒิสภา แจกจ่ายผลประโยชน์ให้ ส.ว. พยายามเปลี่ยนประธานวุฒิสภาและประธานกรรมาธิการให้เป็นคนของตน
ไม่ต่างอะไรกับทรัมป์ที่แทรกแซงวุฒิสภา พยายามกดดันผ่านรองประธานาธิบดีที่ ทำหน้าที่เป็นประธานวุฒิสภา
-
ทักษิณแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ครอบงำองค์กรอิสระ ถึงกับเคยกล่าวว่า “กกต. ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ ก็เป็นคนของเรา”
ทรัมป์พยายามแทรกแซงกระบวนการสอบสวนที่ตรวจสอบพฤติกรรมของตน และสุดท้ายพยายามส่งคนของตนไปเป็นศาลสูงสหรัฐอเมริกา ก่อนการเลือกตั้งครั้งสำคัญ
-
ทั้งทักษิณและทรัมป์แทรกแซงและครอบงำสื่อมวลชน จนกระทั่งสื่อมวลชนแตกแยกเป็นฝักฝ่าย แยกเป็นสองค่าย กลายเป็นสื่อเลือกข้าง (แดงกับฟ้า)
-
ทักษิณและทรัมป์ถูกกล่าวหาว่าหลบเลี่ยง ไม่จ่ายภาษีเป็นจำนวนมากมหาศาล และทั้งคู่ก็แอบอ้าง บิดเบือนประเด็นไปว่า ตนจ่ายภาษีมากกว่าใครๆในประเทศเสียอีก
-
ทรัมป์และทักษิณเป็นนักธุรกิจระดับเศรษฐีที่นิยม ครอบครองบ้านหลายหลังอยู่ในหลายประเทศ และอวดร่ำอวดรวยไม่ต่างกัน
-
จิตแพทย์หญิงชาวสหรัฐอเมริกาเคยอัดคลิปแสดงความเป็นห่วงว่าทรัมป์ว่าน่าจะมีปัญหาทางจิต หากปล่อยให้เป็นผู้นำประเทศบ้านเมืองจะเสียหาย
เช่นเดียวกันกับเมื่อครั้งทักษิณดำรงตำแหน่งนายกฯของไทย จิตแพทย์ได้เขียนในหนังสือ “รู้ทันทักษิณ”แสดงความเป็นห่วงในพฤติกรรมว่า ผู้นำสมัยนั้นอาจเป็นคนสองบุคลิก และเป็นคนบ้าใหญ่บ้าโต (Megalomania)
-
เมื่อจะสูญเสียอำนาจ ทักษิณปลุกระดมคนเสื้อแดง ผ่านวีดีโอคอล “ผมแพ้ไม่ได้” “ให้ออกมากันให้มากๆ หากมีการใช้กำลัง ให้ปฏิบัติการได้ทันที”
เช่นเดียวกับทรัมป์เมื่อจะสูญเสียอำนาจก็ปลุกระดมมวลชนมาบุกรัฐสภา โดยใช้วีดิโอคอลเช่นเดียวกับทักษิณ และบอกให้มวลชนต้องแข็งกล้า ไม่ยอมแพ้ต่อ
-
การปลุกระดมของทักษิณและทรัมป์ นำมาซึ่งความรุนแรง มีการเผา มีการทำลายทรัพย์สิน มีผู้เสียชีวิตจากการปะทะของทั้งสองฝ่ายในทั้งสองประเทศ
-
แม้ทักษิณ และทรัมป์จะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแล้ว สังคมของทั้งสองประเทศก็เกิดความแตกแยกแบ่งฝ่ายและมีทีท่าว่าจะลุกลาม ส่งผลกระทบต่อระบอบประชาธิปไตย เศรษฐกิจ และสังคมในอนาคต